บทเพลงไว้อาลัยแด่เมจิคัลบอย
☆ ลาพูเซล
ลาพูเซลเคารพเมจิคัลเกิร์ลทั้งหมด ความรู้สึกเหล่านี้มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิดตั้งแต่ที่โซตะ คิชิเบะเป็นแฟนของเมจิคัลเกิร์ล แม้ว่าแฟนฟุตบอลจะกลายเป็นผู้เล่นมืออาชีพ ความเคารพนับถืออันยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน และไม่ใช่ว่าการกลายเป็นอัศวินเวทมนตร์ผู้สูงศักดิ์ก็จะกลายเป็นแบบนั้นเช่นกัน การที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะในตอนนี้เธอยืนอยู่บนเวทีเดียวกันกับสิ่งที่ตัวเองนับถือแล้ว
เมื่อเธอเริ่มทำงานในฐานะเมจิคัลเกิร์ลในเมือง N ลาพูเซลก็ได้เรียนรู้เรื่องด้านที่ไม่ค่อยดีของเมจิคัลเกิร์ลด้วย
เมจิคัลเกิร์ลหุ่นยนต์หรือเมจิคัลรอยด์ 44 ได้หลอกลวงเธอด้วยการเรียกเงินจำนวนไม่น้อยจากการเสนอขายไอเท็มไร้ประโยชน์ถึงสองครั้ง ไวส์ วินเตอร์พริซั่นคนที่มีจุดเด่นเรื่องผ้าพันคอและเสื้อโค้ท พยายามอย่างมากเพื่อให้เธอมีรสนิยมเรื่องภาพยนตร์เกรด B แบบเดียวกับที่ตัวเองชอบ ท็อปสปีดที่เป็นแม่มดแบบคลาสสิคนั้นเป็นมิตรและชอบแตะต้องตัวมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อใจของลาพูเซล แล้วเมื่อไหร่ที่รูลเลอร์คนที่สวมชุดเจ้าหญิงปรากฏตัวขึ้นมา เธอก็เอาแต่พูดจาโอ้อวด เด็กสาวในชุดนอน เนมุรินนั้นอยู่ในห้องแชทตลอดเวลาราวกับเป็นบอสประจำถิ่น และเธอก็ถูกมาสค็อทฟาฟรบกวนบ่อยๆว่าให้ทำงานและมีส่วนร่วมให้มากกว่านี้
เรื่องของทุกคนมันมีด้านที่ทำให้ลาพูเซลต้องเอียงหัว และคิดว่าแบบนี้มันโอเคสำหรับเมจิคัลเกิร์ลงั้นเหรอ แต่กระนั้น การได้เห็นพวกเธอทำกิจกรรมภายในเมือง N บนเว็บไซท์รวบรวมข้อมูลเมจิคัลเกิร์ล ลาพูเซลก็ได้แต่รู้สึกประทับใจ เมจิคัลเกิร์ลที่แท้จริงเป็นแบบอื่นงั้นเหรอ? เธอคิด การแก้ปัญหาทุกประเภทด้วยจิตใจที่ไร้ความเห็นแก่ตัวคือตัวตนของเมจิคัลเกิร์ลในยุคก่อน และถ้าเสริมเรื่องสิ่งที่ผู้คนไม่ได้พบเห็นเข้าไปด้วย แบบนั้นการพูดว่าทั่วทั้งเมือง N ได้กลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่หลังจากรวบเขตเล็กๆโดยรอบก็ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด
แต่มันก็มีเมจิคัลเกิร์ลบางคนที่ลาพูเซลไม่สามารถเคารพได้อยู่ด้วย
เมื่อเมจิคัลเกิร์ลสไตล์คาวบอยโผล่ขึ้นมาในเว็บไซท์รวบรวมข่าวสาร เธอก็จะมาพร้อมกับกลิ่นของความรุนแรงอย่างชัดเจน เธอจะดูใจดีกว่านี้หากแค่เตะ ต่อย กระทืบ แล้วทำให้ผู้คนหมอบราบ —เพราะเธอนั้นร่วมมือกับชายที่ดูเป็นอาชญากรอย่างเห็นได้ชัด รับเงินใต้โต๊ะที่ดูเหมือนเป็นการติดสินบน แถมยังยิงปืนขึ้นฟ้าอีกด้วย— ยังมีรายงานมากกว่าหนึ่งหรือสองรายงานเรื่องอาชญากรรมแบบโจ่งแจ้งอีกต่างหาก
นี่คือพฤติกรรมต่อต้านเมจิคัลเกิร์ลจากคาลามิตี้ แมรี่ พวกนอกกฎหมายอันดับต้นๆของเมือง N ซึ่งต่างจากความรู้สึกอันงดงามของลาพูเซล ในจุดนี้ความเคารพมันไม่สำคัญด้วยซ้ำ —เพราะมันไม่สามารถให้อภัยเธอภายใต้ข้ออ้างที่ดูสูงส่งอย่าง “เสรีภาพส่วนบุคคล” หรือ “ความหลากหลายในหมู่เมจิคัลเกิร์ล” ได้ เธอเป็นแค่อาชญากรที่ถูกอนุญาตให้ออกอาละวาดเพียงเท่านั้น
ดังนั้นลาพูเซลจึงแนะนำในแชทไปว่าอย่างน้อยก็ควรจะบอกเธอไปว่าคิดยังไง แต่เมจิคัลเกิร์ลรุ่นพี่ทุกคนก็เตือนเธอเอาไว้
ลืมไปเลยนะ ลืมไป! เธอไม่ควรทำแบบนั้นในแชทนี้ที่ใครก็อ่านบันทึกได้นะ
มันอันตราย~! น่ากลัว~! น่าสยองด้วย~!
ฟาฟไม่แนะนำหรอกนะ ปอน
♪
หากเธอยืนยันว่าตัวเองต้องทำล่ะก็ ฉันก็จะดีใจมากเลยล่ะ ถ้าก่อนลงมือเธอจะเขียนพินัยกรรมไว้ว่าจะยกสมบัติทั้งหมดให้เมจิคัลรอยด์
ฟหกดเเ ดโทษที พอดีไอ้หมาโง่ของฉันมันกระโดดเข้ามาหาน่ะ
แม้ว่าเธอจะคิดเรื่องนี้มามากและเลือกวันที่ในแชทมีคนอยู่เยอะแถมคิดว่าต้องมีคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่เห็นด้วยกับเธอโผล่ขึ้นมา แต่ทุกคนก็ค้านความคิดนี้โดยสิ้นเชิง อวาตาร์สไตล์แม่ชีก้มหน้า ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าหมองในตอนที่ส่ายหัวอย่างเงียบๆ ท่าทางของวินเตอร์พริซั่นนั้นจริงจังและตอบกลับมาเพียงว่า “ทิ้งความคิดนั้นไปเถอะ” ราวกับอยากบอกลาพูเซลว่าอย่าเข้าไปยุ่ง และบางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่จินตนาการของเธอ
พอลาพูเซลมองดูหน้าต่างแชท เธอก็กำหมัดแน่น
เธอได้ยินเรื่องราวของแม่ชีซิสเตอร์นานะผู้ใจดีที่ก้าวเข้าไปในพื้นที่ของคาลามิตี้ แมรี่เพื่อพยายามจะพูดคำพูดของเธอ และก็สามารถออกมาได้ด้วยการปกป้องของวินเตอร์พริซั่น ซิสเตอร์นานะคืออาจารย์ของลาพูเซล และวินเตอร์พริซั่นที่เป็นคู่หูของนานะก็คืออาจารย์ของเธออีกคนเมื่อถึงคราวต่อสู้ ลาพูเซลรู้ว่านานะนั้นแข็งแกร่ง ซึ่งมันทำให้ตอนที่เธอหนีออกมาอย่างน่าอาย ลาพูเซลรู้สึกเล็กน้อยว่าหากเธออยู่ที่นั่นด้วย เรื่องอะไรแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เธอคิดว่าวินเตอร์พริซั่นคงจะเห็นด้วยแน่นอน แต่วินเตอร์พริซั่นก็คัดค้านเธอ
ลาพูเซลนั่งลงบนยอดหอคอยเหล็กโดยที่ไม่มีใครเห็นและตั้งคำถามกับตัวเอง
มีพวกนอกกฎหมายสุดอันตรายที่แม้แต่เมจิคัลเกิร์ลก็แตะต้องไม่ได้ แต่มันพูดได้ไหมว่าการไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเพราะอีกฝ่ายอันตรายคือเรื่องที่ถูกต้อง? แล้วสิ่งที่อัศวินเวทมนตร์ผู้สูงศักดิ์ควรจะทำคืออะไรกันล่ะ?
หัวข้อสนทนาในแชทเปลี่ยนไปแล้ว และเมจิคัลรอยด์ก็เริ่มพยายามขายขยะของตัวเอง
สามวันผ่านไปตั้งแต่การแชทของเมจิคัลเกิร์ลครั้งนั้น ตอนนี้คือเวลาห้าโมงเย็น ลาพูเซลกระโดดจากอาคารแห่งหนึ่งไปยังอีกที่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า โดยพื้นฐานแล้ว เมจิคัลเกิร์ลจะแอคทีฟที่สุดตั้งแต่ตอนเย็นถึงตอนดึก แต่เธอคิดว่าในย่านโคมแดงของเขตโจนันที่รู้จักกันดีว่าคือเมืองที่ไร้ยามค่ำคืน จะมีผู้คนอยู่มากหลังจากนั้น หลังจากที่ระดมความคิดของตัวเอง เธอก็เลือกเวลาพลบค่ำ สิ่งนี้แลกมาด้วยการแกล้งป่วยเพื่อออกมาจากชมรม —มันเป็นพฤติกรรมที่แย่พอที่โซตะจะหลุดจากการเป็นสมาชิกชมรมฟุตบอลได้เลย
แม้ว่าวินเตอร์พริซั่นจะมีซิสเตอร์ นานะที่ต้องปกป้องอยู่ การที่เธอเลือกจะออกมาเมื่อซิสเตอร์ นานะหนีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คาลามิตี้ แมรี่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวของเธอน่ากลัวกว่าพฤติกรรมที่น่ารังเกียจซะอีก
แล้วลาพูเซลควรจะสู้ยังไงล่ะ? คู่ต่อสู้ของเธอคือคาวเกิร์ล ดังนั้นเธอจึงใช้อาวุธแบบโพรเจกไทล์เป็นหลักแน่ ลาพูเซลต้องเข้าไปในระยะประชิด หากเธอทำไม่ได้ เธอก็จะยืดดาบของตัวเองเพื่อบังคับให้เข้าไปในระยะประชิดแล้วจัดการอาวุธของแมรี่ หากทำแบบนั้นไม่ได้ เธอก็จะทุบเข้าไปที่กำแพงหรือพื้นเพื่อใช้ก้อนหินป้องกันไม่ให้ศัตรูยิงเข้ามา
การจำลองในจิตใจแบบซ้ำๆของลาพูเซลมาถึงข้อสรุปว่าหากเธอทำแบบนี้ เธอก็จะทำได้สำเร็จ กรณีที่แย่ที่สุด —ถึงว่ามันจะไม่เท่เลยก็ตาม เธอก็จะเพิ่มตัวเลือกในการใช้ดาบยืดออกไปเพื่อสร้างทางหนี ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วมันก็ควรจะได้ผลซักทาง
เธออาจจะมีสมมติฐานมากหรือน้อยกว่านั้น แต่ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดคงจะเป็นการเปลี่ยนใจแมรี่แม้เพียงเล็กน้อย โซตะคิดแบบนั้นและเตรียมบางอย่างไว้ล่วงหน้าเพื่อโน้มน้าวใจเธอ โซตะเริ่มเขียนเรียงความ และก็ลงมือแบบจริงจังมาก เรียงความมันยาวขึ้นเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งก็ขยำมันทิ้งเพราะคิดว่ากระดาษสิบหน้ามันยาวเกินไป มันเป็นงานที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อเมจิคัลเกิร์ล โดยดึงเอาเมจิคัลเกิร์ลทั้งเก่าและใหม่ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง
ผู้เล่นคนไหนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลของจริงผ่านทางเกมมือถือ เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค ก็คือคนที่มีความรักที่ไม่ธรรมดาต่อเมจิคัลเกิร์ล คาลามิตี้ แมรี่ก็คงจะมีเมจิคัลเกิร์ลที่ตัวเองรักเช่นกัน หากลาพูเซลใช้เรื่องนี้ เธอคงชนะแน่
เป้าหมายอันดับแรกคือการเอาชนะใจอย่างจริงจัง แต่ลาพูเซลก็ยังคงจำลองการต่อสู้ในจิตใจอย่างซ้ำๆเพื่อเตรียมการหากว่ามันล้มเหลว เพื่อให้ตัวเองมั่นใจในความสำเร็จของแผนการ แผนการสองชั้นนี้มันไม่มีจุดอ่อน เมื่อถึงเวลากลางคืน สถานการณ์นี้ —ที่มีเมจิคัลเกิร์ลในเมือง N ทำตัวไม่ดี— ก็จะถูกแก้ไข
ความรู้สึกเบิกบานแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอกของลาพูเซล เธอพลังงานเหลือเฟือ มันพร้อมที่จะทะลักออกมา —ดังนั้นเธอจึงใช้ขาวิ่งลงมาแทนที่จะกระโดดออกจากดาดฟ้า ตอนนี้เธอชักช้าอะไรไม่ได้ ความท้าทายมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เธอแค่ต้องพูดอย่างใจเย็นโดยไม่เกรงกลัว ไม่ต้องกังวลแค่ทำตัวตามปกติเท่านั้น การยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารร้างคือเป้าหมายของเธอ ลาพูเซลหายใจเข้าลึกๆ เหวี่ยงดาบขึ้นมาและหันด้านคมมาตรงหน้า จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเอาดาบกลับไปที่ฝักที่หลัง แบบนี้โอเคแล้ว เธอใจเย็นอยู่ ใจเย็นเหมือนกับปกติ เธอทำได้แน่
เธอเดินเข้าหาประตู และเมื่อจับลูกบิด มันก็หมุนไปทางขวาทันที ประตูนั้นไม่ได้ล็อค แบบนี้มันก็ไม่ได้มีการป้องกันอะไรเลยนี่นา มันน่าแปลกสำหรับอาคารที่คาลามิตี้ แมรี่ใช้เป็นแหล่งกบดาน แต่กระนั้น ไม่มีขโมยคนไหนจะบุกเข้ามาจากดาดฟ้าของอาคารร้างใช่ไหมนะ? ดังนั้นบางทีนี่อาจจะเป็นแหล่งกบดานของตัวร้ายจริงๆก็ได้
เมื่อเธอเปิดประตู เธอก็พูดออกมาว่า “ประทานโทษ” ในตอนที่เข้าไปด้านใน ภายในนั้น มีชานบันไดที่ตรงไปสู่บันไดด้านล่าง หากแมรี่อยู่ที่นี่ เธอก็จะอยู่ด้านล่าง เสียงของลาพูเซลดังออกมาอย่างผิดปกติ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาพลบค่ำ แต่ความมืดด้านในนี้เหมือนกับความมืดยามค่ำคืนที่มีกลิ่นของฝุ่นฟุ้งอยู่โดยรอบ เมื่อลาพูเซลเดินไปที่ชานบันได มันก็เกิดเสียงกระทบดังขึ้นที่ใต้เท้า เธอจึงชักขากลับอย่างอัติโนมัติ เมื่อภายในใจนับถึงสามสิบ และยืนยันได้ว่าไม่มีการตอบสนองอะไรจากเสียงของเธอหรือเสียงที่เท้า เธอก็ก้าวออกไปอย่างกล้าหาญกว่าเดิม
เสียงในที่นี่มันค่อนข้างก้อง หากแมรี่อยู่ในตัวอาคาร เธอก็ควรจะรู้ตัวแล้ว ลาพูเซลเอามือขวาจับด้ามดาบเอาไว้ในตอนเดิน ดังนั้นเธอจึงสามารถชักออกมาได้ตลอดเวลา บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอเครียด แต่เธอก็รู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทั่วท้อง เธอจึงพยายามหายใจเข้าลึกๆ เมื่อลงบันไดไปได้ครึ่งทาง มันก็มีพื้นที่หลายแห่งที่คอนกรีตเหมือนกับถูกขุดออกไป จนดูเหมือนมีประกายระยิบระยับอยู่ตรงนั้น เมื่อมองดูใกล้ เธอก็พบว่ามันคือสายเปียโน หน้าต่างที่ประตูห้องก็ถูกปิดเอาไว้ด้วยไม้กระดานและตะปูด้วย จนแสงแทบจะลอดเข้ามาไม่ได้ มีเครื่องจักรที่ไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไรถูกทิ้งเอาไว้ ลาซูเซลเดินเข้าไปหาเครื่องจักรพวกนั้นแบบไม่ได้ใส่ใจ แต่เธอก็เปลี่ยนใจก่อนที่จะเข้าไปสัมผัส เธอประกาศว่าตัวเองอยู่ที่นี่แล้วและก็ไม่ใช่ว่าได้รับอนุญาตให้เข้ามา เธอไม่ควรสัมผัสอะไรในบ้านของใครซักคนโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมา
เธอเดินลงบันไดมาโดยคงท่าเดิมเอาไว้ กริ่งเตือนไฟไหม้ถูกเอาออกมาจากผนัง บันไดพับถูกวางทิ้งเอาไว้ รางหลอดไฟและตัวหลอดถูกรื้อออก ที่โกยผง ไม้กวาด และเศษผ้ายังคงเปียกชื้น ลาพูดเซลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าสิ่งของทุกอย่างในห้องอยู่ในตำแหน่งที่ผิดธรรมชาติ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดเอาไว้หลังจากที่ได้ยินมาจากซิสเตอร์ นานะและวินเตอร์พริซั่น มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ อย่างเช่นเคลื่อนย้ายหรือเตรียมการรีโนเวท แต่มันกลับไม่มีใครอยู่ที่นี่ —แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันนะ?
ลาพูเซลที่ลงไปหนึ่งชั้น แล้วก็สองชั้น มันก็ยังรู้สึกแปลก แมรี่เองก็ไม่ปรากฏตัวออกมาด้วย ทางเข้าของห้องทุกห้องและหน้าต่างถูกปิดเอาไว้ด้วยไม้กระดานและตะปู แมรี่อยู่ที่ไหนซักที่งั้นเหรอ? หรือว่าไม่อยู่กันนะ? สามชั้น สี่ชั้น แล้วก็ห้า เธอยังคงลงมาเรื่อยๆ และเพราะว่าเธอรู้สึกกดดันที่จะตอบสนองกับการซุ่มโจมตีในตอนที่ลงมา เธอจึงไม่รู้อีกแล้วว่าตัวเองอยู่ชั้นที่เท่าไหร่ และการมาที่นี่โดยการกระโดดจากดาดฟ้า แล้วก็บุกเข้ามาจากดาดฟ้า เธอจึงไม่ได้ตรวจดูว่าอาคารมันมีทั้งหมดกี่ชั้น และเธอก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าต้องลงไปอีกเท่าไหร่ถึงจะไปยังชั้นล่างได้
บางทีอาจจะย้ายไปแล้ว? หรือว่านี่คือกับดักไม่ก็อะไรซักอย่าง? แม้ว่าตอนนี้เธอจะรู้สึกกังวลมาก แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจที่จะก้าวเข้าไปในห้องใหญ่
มันไม่มีบันได้ให้ลงไปด้านล่างแล้ว ดังนั้น แบบนี้ก็หมายความว่าในตอนนี้เธออยู่ที่ชั้นหนึ่งใช่ไหม?
ที่ด้านหน้ามีประตูขนาดใหญ่ มันถูกปิดเอาไว้ด้วยโซ่และแม่กุญแจ หน้าต่างมีระยะห่างที่เท่ากัน แถมยังมีโถงทางเดินทอดยาวออกไปจากจุดที่เธอยืนอยู่ทั้งทางซ้ายและขวา
ลาพูเซลสำรวจประตูขนาดใหญ่ก่อนเป็นอย่างแรก มันถูกปิดเอาไว้ด้วยโซ่และแม่กุญแจ มันดูไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเร็วๆนี้มีคนผ่านเข้าไป ดังนั้นก็หมายความว่าหากแมรี่อยู่ที่นี่ เธอก็คงจะอยู่ที่หนึ่งในโถงทางเดินสองทางใช่รึเปล่า? ลาพูเซลเริ่มมุ่งหน้าออกไปทางหนึ่ง แต่เธอก็หยุดเดิน มันควรต้องมั่นใจก่อนที่จะเดินไปตามทางเดินว่าประตูนั้นถูกล็อคอยู่จริงๆ เธอไม่อยากโดนโจมตีเข้ามาจากด้านหลัง ลาพูเซลจับแม่กุญแจเอาไว้แล้วยกขึ้น
มีเสียงเตือนดังขึ้นอย่างรุนแรงจนกลบเสียงของโซ่ที่กระทบกัน ลาพูเซลหันกลับไปมองรอบๆตัว เธอกระชากมือออกจากแม่กุญแจอย่างตื่นตระหนก แต่เสียงที่ดังขึ้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุด มันทำให้สติของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และจากนั้นก็มีเสียงตะโกนที่ดังยิ่งกว่าดังขึ้นมา
“นี่เธอทำอะไรเหรอ?”
ลาพูเซลตอบสนองกับเสียงที่ดังขึ้นด้วยการหันไปรอบๆบริเวณ แต่เธอก็ถูกเหวี่ยงออกไป จนกลิ้งไปตามพื้น เธอรีบลุกขึ้นแล้วก็เห็นเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่คุ้นเคยยืนหันหลังให้อยู่ตรงหน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ? จังหวะที่เธอพยายามส่งเสียงออกไปมันก็มีแสงสว่างจ้าขึ้น ภาพที่เธอมองเห็นกลายเป็นสีขาว แล้วมันก็ค่อยๆกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นยกโล่ที่มีขนาดใหญ่พอที่จะบังทั้งตัวขึ้น —โล่นั้นเป็นทรงหัวใจและมีดีไซน์ที่น่ารัก— มันก็มีควันสีขาวลอยออกมาจากโล่พร้อมด้วยกลิ่นเหม็นไหม้ จากนั้นก็มีเสียงแตกดังขึ้นจากประตูที่ล็อคอยู่พร้อมกับเกิดประกายไฟ
“อะไรเ—? หือ?” ลาพูเซลพูด
“มันคือกับดัก กับดักน่ะ เร็วเข้า หนีเร็ว!”
ลาพูเซลถูกลากตัวจนกลายเป็นบังคับให้วิ่ง ผิวอันนุ่มนวลที่เธอรู้สึกผ่านฝ่ามือมันทำให้รู้สึกใจเต้น และยังไม่ใช่แค่นั้น แม้จะเป็นในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ความแข็งแกร่งที่ดึงตัวเมจิคัลเกิร์ลอย่างลาพูเซลได้ เส้นผมที่พริ้วไหวเล็กน้อย และกลิ่นหอมอ่อนๆที่เตะจมูก ที่หัวของเธอนั้นมีริบบิ้น ที่หลังเองก็มีของประดับเหมือนกับปีกนกติดอยู่ เธอยังสวมเสื้อแจ็กเก็ตที่ยื่นออกมาจากส่วนที่เหลือด้วย
เมจิคัลเกิร์ล…!
นี่ไม่ใช่คนที่ลาพูเซลรู้จักในแชท เธอไม่เคยเห็นรายงานการพบเมจิคัลเกิร์ลแบบนี้บนเว็บไซท์ด้วย เธอเป็นหน้าใหม่ หรือว่ามาจากเขตอื่นกันนะ?
พวกเธอรีบวิ่งผ่านโถงทางเดินในพริบตาเดียว จากนั้นก็หยุดลงตรงหน้ากำแพงโลหะ มันคือประตูหนีไฟ มันปิดกั้นโถงทางเดินเอาไว้ราวกับเป็นบานเหล็ก มีแผงวงจรติดตั้งอยู่บนกำแพง และมีสายไฟยื่นออกมาจากปุ่มที่เชื่อมต่อเข้ากับแล็ปท็อปที่ถูกทิ้งเอาไว้ตรงโถงทางเดิน รูปร่างของแล็ปท็อปเหมือนกับเปลวไฟ มีขาตั้งทรงโค้งและภายนอกที่โปร่งใส —เป็นความชอบส่วนบุคคลที่ดูน่าประหลาดมาก
เมจิคัลเกิร์ลคนนั้นกดคีย์บอร์ด จากนั้นจอคอมพิวเตอร์ก็เริ่มส่องแสงออกมารางๆ เธอยังคงกดปุ่มคีย์บอร์ดราวกับกว่าตัวเองหงุดหงิด แต่มันก็ยังคงส่องแสงออกมารางๆและไม่ได้เปลี่ยนไป
“อ๊า! โธ่เอ๊ย! สัญญาณเตือนนี่รังเกียจจัง! แต่มันไม่มีเวลาแล้ว! ไม่งั้นประตูก็จะไม่เปิด!”
เหมือนว่าเธอจะพยายามจะเปิดประตู แต่มันก็เป็นไปได้ไม่ดี
ลาพูเซลวางมือของเธอลงบนไหล่ของเมจิคัลเกิร์ล แล้วก็ผลักเธอและคอมพิวเตอร์ไปทางซ้าย เธอชักดาบออกมาด้วยมือขวาในตอนที่ยังฟังเสียงของเธออยู่ เธอเหวี่ยงดาบลงมาแรงมากที่สุดเท่าที่ทำได้ในตอนที่เสียงเตือนยังคงดัง เพื่อไม่ให้โดนเพดาน เธอจึงยืดดาบจากแปดนิ้วจนยาวอย่างเต็มที่ในตอนที่เหวี่ยงลงมา ทำลายประตูหนีไฟ เพดาน แล้วก็ผนัง เธอตั้งใจจะผ่าครึ่งด้วยท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ผล
“เยี่ยมเลย! โอเค ไปกันเถอะ!” เด็กสาวพูด
เมื่อเด็กสาววิ่งออกไป ในคราวนี้ลาพูเซลยังคงยืนอยู่และไม่ได้วิ่งตาม
เด็กสาวหันกลับมาอย่างหงุดหงิด “ยังยืนอยู่ทำไมเนี่ย?”
“ชั้นทำแบบนั้นไปโดยไม่ทันคิดน่ะ… ก็เลยไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“พวกเรากำลังหนีอยู่ยังไงล่ะ! มันมีอะไรที่น่ากลัวสุดกำลังไล่ตามมาจากด้านหลัง! พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะหนีจากด้านบนด้วย!”
เมจิคัลเกิร์ลจับข้อมือของเธอเอาไว้อย่างแน่นๆ เมื่อผิวหนังสัมผัสกัน ลาพูเซลก็รู้สึกถึงความชุ่มชื้น ความอบอุ่นของร่างกาย ชีพจร และทุกๆอย่างผ่านทางผิวหนัง เธอยังคงพยายามตั้งใจพูดออกมาต่อ แต่ปากของลาพูเซลกลับไม่ขยับ พอเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่หัว เธอก็คิดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดออกมาแบบตรงๆไม่ได้ เธอต้านทานเมจิคัลเกิร์ลปริศนาคนนี้ไม่ได้เลย ทั้งสองคนทำให้ฝุ่นฝุ้งกระจายในตอนที่วิ่งไปตามโถงทางเดินจนกระทั่งตัวของทั้งคู่กระแทกเข้ากับหน้าต่างตรงสุดทาง มันไม่มีเสียงแก้วแตกหรือแรงกระแทกอยู่อย่างที่คิดเอาไว้ พวกเธอไม่ได้ทำอะไรพังเลย มันเป็นแค่อะไรว่างๆ กระจกนั้นถูกถอดออกไปแล้วงั้นเหรอ? หรือนี่ก็คือวิธีที่เด็กสาวคนนี้เข้ามา? หรือว่าเธอสร้างทางหนีตรงนี้เอาไว้ก่อนแล้ว? ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม นี่ก็คือวิถีทางของหัวขโมย
บางทีลาพูเซลอาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการลักขโมยก็ได้ แต่ถึงเธออยากจะถามเด็กสาว มือของเธอก็ยังคงถูกมือของเด็กสาวจับเอาไว้ จนลาพูเซลจะพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวก็ไม่ได้ ลาพูเซลยังคงจับด้ามดาบเอาไว้และมองไปรอบๆในตอนที่พวกเธอลงมาบนถนน
ที่ตรงนี้ดูเหมือนกับถนนด้านหลัง มันไม่ได้เต็มไปด้วยผู้คนเหมือนกับถนนหลัก แต่ก็ยังคงมีผู้คนที่หยุดเดินแล้วก็จ้องมองมาที่อาคาร เสียงเตือนคือสิ่งที่รวบรวมฝูงชนเข้ามา คนที่ดูเหมือนจะเป็นพนักงานออฟฟิส คนที่เข้ามาเพราะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสนุก คนที่เหมือนโฮสต์ และคนอื่นๆที่ดูเหมือนจะเป็นนักเรียน —คนหลายกลุ่มเข้ามาอย่างพลุกพล่าน บางคนก็ชี้นิ้ว บางคนก็หัวเราะ บางคนก็รู้สึกกังวล เมจิคัลเกิร์ลสองคนวิ่งฝ่าฝูงชนที่ถูกเสียงเตือนดึงดูดเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะทันได้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่วิ่งจากเงาของอาคารหนึ่งไปยังอีกที่จนถึงถนนด้านหลังผ่านทางอนุสาวรีย์ที่ไม่สามารถระบุรูปร่างได้ว่าคืออะไร พวกเธอก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งตรงถังพลาสติกที่ได้กลิ่นทงคัทสึออกมาอย่างรุนแรงก่อนที่จะออกมาจากตรอกด้านหลัง
เสียงเตือนอยู่ห่างออกไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่หายไป
“แบบนี้ไม่ดีเลย” เมจิคัลเกิร์ลหันกลับมายังอาคารที่อยู่ข้างๆพร้อมกับรอยย่นระหว่างคิ้ว ท่าทางคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่
เมื่อลาพูเซลหันไปยังที่ๆเด็กสาวมองอยู่ เธอก็เห็นชายที่สวมชุดแบบที่บ่งบอกว่าเป็น “มืออาชีพที่แสนซื่อสัตย์” โดยไม่ต้องพูดออกมา พวกนั้นกำลังตะโกนใส่กันพร้อมกับรวมตัว พวกนั้นดูเหมือนคนกระหายเลือด ถ้าทั้งสองคนถูกเจอตัวเข้าล่ะก็คงเป็นหายนะแน่
“เธอดูเหมือนจะเป็นพวกที่จะยิงออกมา ต่อให้คนพวกนั้นถูกฝูงชนล้อมอยู่ด้วยสิ” เมจิคัลเกิร์ลพูด “ถ้าพวกเราไม่สนแล้วก็วิ่งออกไปเต็มแรง มันก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ แถมยังมีคนมองอยู่ด้วย เราได้ยินว่าพื้นที่นี้มันเป็นชนบท แล้วทำไมคนมันถึงอยู่กันมากล่ะ? พอมีพยานอยู่เยอะแล้ว เธอคงจับพวกเราได้ที่ไหนซักที่แน่ ส่วนการปล่อยพวกเราไปนั้น…ไม่ใช่ว่าคือสิ่งที่เมจิคัลเกิร์ลควรทำหรอกเหรอ?”
ดูไม่เหมือนว่าเธอกำลังพูดกับลาพูเซลอยู่ แต่เสียงของเธอนั้นดังและชัดเจนเกินกว่าที่จะพูดกับตัวเอง บางทีเธออาจจะพูดแบบนี้เพื่อลาพูเซลด้วยก็ได้
“บางทีพวกเราคงต้องใช้แรงกันหน่อย” เด็กสาวพูด
มือของเธอบีบข้อมือลาพูเซลแรงขึ้น จนหัวใจของลาพูเซลเต้นรัวอย่างรุนแรง
“มาคลายการแปลงร่างกันเถอะ”
ลาพูเซลไม่ทันมีเวลาที่จะเถียงกลับไป สมองของเธอนั้นสับสนไปหมด และเมื่อเธอเห็นเมจิคัลเกิร์ลอีกคนหนึ่งคลายการแปลงร่างของตัวเอง เธอก็ทำตามราวกับเป็นการตอบสนอง แล้วเมื่อเธอทำตามไปแล้ว เธอก็รู้ถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่มันก็สายเกินไป
เด็กสาวพูดว่า “หือ?” ขึ้นมา
“อ๊ะ เอ่อ…เอ่อ”
พอพูดถึงความแตกต่างของการแปลงร่างของเมจิคัลเกิร์ล มันก็หลากหลายมากจนพูดได้ว่า “ขึ้นอยู่กับซีรี่ย์” ด้วยเกมมือถือ เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค แล้ว ไม่ว่าก่อนการแปลงร่างจะเป็นยังไง พอหลังจากแปลงร่างแล้วก็จะกลายเป็นเด็กสาวที่งดงาม โซตะรู้เรื่องนี้ดี
“นาย…”
“ไม่นะ! เอ่อ…”
เมจิคัลเกิร์ลปริศนากลายร่างเป็นเด็กผู้หญิง เส้นผมของเธอสั้นกว่าเดิมและมีสีเข้มขึ้น คางเองก็ดูคมขึ้น ที่แก้มนั้นดูนุ่มนวลน้อยกว่าเดิม รูปร่างของเธอในร่างเมจิคัลเกิร์ลที่เหมือนกับเด็กสาวมัธยมต้นปีสาม ตอนนี้มันลดเหลืออยู่ประมาณมัธยมต้นปีหนึ่งหรือประถมปลาย แน่นอนว่าชุดของเธอก็ดูเรียบง่าย เสื้อยืด เสื้อพาร์ก้า และกางเกงคาร์โก้ที่มีกระเป๋าเยอะ —เป็นชุดแบบที่เห็นได้ทุกที่ แต่โซตะก็ไม่ใช่จะพูดว่าเธอให้ความรู้สึกแบบนั้นได้— มันเป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับรูปหน้าโดยรวมของเธอ ใบหน้าที่ได้รูปมันสัมผัสไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เธอค่อนข้างสวยเลยทีเดียว
ด้วยสายตาและปากที่เบิกกว้างอย่างแปลกใจ เด็กสาวมองดูโซตะที่อยู่ในชุดเครื่องแบบตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่สุภาพ ในขณะที่โซตะบิดตัวไปมารอบๆด้วยท่าทางประหลาด ไม่ใช่ว่าตอนนี้เขาจะย้อนเวลากลับไปหรือจะลบความทรงจำของเด็กสาวคนนี้ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ หากเธอไม่จ้องดูก็คงจะดีกว่า
โซตะอยากให้ลาพูเซลเป็นเมจิคัลเกิร์ลที่กล้าหาญและยอดเยี่ยมเพียงเท่านั้น การที่ร่างก่อนการแปลงร่างเป็นเด็กผู้ชายวัยมัธยมต้นคือตัวละครที่ค่อนข้างประหลาดมาก แล้วในตอนแรก เขาก็รู้สึกว่ามีผู้ชายหนึ่งคนปะปนอยู่ในหมู่เด็กสาวแสนสวยมันก็ไม่ดีเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนพวกโรคจิตมากกว่าด้วย
ตัวของโซตะถูกพัดพาไป และในตอนนี้บางสิ่งก็เกิดขึ้นจนเข้าย้อนกลับไปไม่ได้
หลังจากที่มองดูสองสามครั้ง เด็กสาวก็พยักหน้าและพูดว่า “บางคนเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน” พร้อมกับดึงมือของโซตะ แม้กระทั่งเสียงของเธอยังคล้ายกับร่างเมจิคัลเกิร์ลอีกด้วย “ดีแล้วล่ะ”
“เอ่อ ชั้นคงไม่พูดว่า ‘ดีแล้ว’ หรอกนะ…” โซตะพูด
“นายบอกเราเพิ่มที่นั่นดีกว่านะ”
เด็กสาวพยายามมุ่งหน้าไปยังทิศตรงข้ามที่พวกเธอกำลังจะไป —หรือก็คือ ตรงไปยังอาคารที่อยู่ใกล้ๆ ที่ๆพวกเธอวิ่งหนีออกมาอย่างสิ้นหวัง แล้วทำไมถึงต้องกลับไปยังที่นั่นอีกล่ะ?
โซตะรั้งขาตัวเองเอาไว้ “ไปทางนั้นมันไม่แย่เอาเหรอ?”
“ในเวลาแบบนี้น่ะ การพยายามวิ่งมันจะดูเด่นขึ้นกว่าเดิม พวกเราที่คลายการแปลงร่างแล้วก็แค่ต้องรอ เท่านี้ง่ายๆ การตื่นตระหนกแล้วก็ออกนอกสถานที่ไปมันเสี่ยงมากกว่านะ”
ในตอนนี้พอเธอพูดขึ้นมา บางทีมันก็เป็นจริงอย่างที่ว่า เด็กสาวดึงโซตะไปด้วยแรงที่น่าประหลาดใจ เขาที่ต่อต้านอะไรไม่ได้ก็ถูกลากเข้าไปในร้านแฟรนไชน์เบอร์เกอร์ที่มีสาขามากมายในเมือง เด็กสาวสั่งเฟรนช์ฟรายส์และน้ำ ส่วนโซตะนั้นสั่งกาแฟเย็น —จริงๆแล้วเขาไม่ได้รู้สึกอยากดื่ม แต่เขาก็ต้องวางท่าทำเป็นเท่เหมือนที่ทำตามปกติ— พวกเธอนั่งลงตรงโต๊ะริมหน้าต่างที่มีที่นั่งสองที่ ผู้คนที่ผ่านไปมามีท่าทางไม่ใส่ใจอย่างเคย ทั้งสองคนนั่งอยู่แถวหน้าที่สามารถมองเห็นชายท่าทางน่ากลัวตะโกนเข้าใส่กันพร้อมกับวิ่งออกไป โซตะเหลือบมองดูพร้อมกับความกลัวตาย มันเป็นจินตนาการของเขาเองรึเปล่านะที่อีกฝ่ายดูเหมือนมีอะไรที่กำลังกลัวอยู่ด้วย?
พอมองดูเด็กสาวที่ดูดน้ำของตัวเองตรงหน้าอย่างตั้งใจ โซตะก็รู้สึกสับสน นี่มันหมายความว่ายังไง? เธอเป็นใครกันแน่? นี่เขาควรจะแก้ตัวยังไงดี? หรือว่าควรจะทำอะไรไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป? ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ภายในหัวก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น แล้วที่หัวรู้สึกร้อนนี่หมายถึงเขารู้สึกอายด้วยรึเปล่านะ? ถูกเธอจับข้อมือมาตลอด ดังนั้นเธอก็คงจะรู้เรื่องอุณหภูมิและการเต้นของหัวใจแน่ หากเธอรู้หมดแล้วว่าเขารู้สึกปั่นป่วนขนาดไหน แบบนั้นบางทีก็ไม่อาจจะไม่ต้องทำอะไรด้วยเหมือนกัน
“ขอโทษนะ ขอตัวไปห้องน้ำก่อน” โซตะคิดว่าแบบนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้หัวของเขาเย็นลง มันมีสิ่งที่เขาจะไม่คิดจนกว่าจิตใจจะสงบลงอยู่ด้วย
เขาล้างหน้าที่อ่างในตอนที่เข้าห้องน้ำไปได้ไม่นาน จากนั้นก็เช็ดหน้าด้วยกระดาษทิชชู่อย่างระมัดระวังโดยไม่ให้ใครรู้ว่าเขาทำแบบนั้น เขาหายใจเข้าลึกๆ บางทีมันก็ไม่มีอะไรที่เขาควรจะทำที่ด้านในนี้ แต่เขาคิดว่าจะทำในสิ่งที่ควรทำในห้องน้ำ ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าโถฉี่ รูดซิปกางเกงลงมา แล้วก็ทำสิ่งที่จะทำพร้อมคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไป
“หวังว่าอีกไม่นานพวกเราคงจะได้กลับบ้านนะ”
พอใครบางคนพูดกับเขา เขาจึงมองไปด้านข้าง แล้วก็พบว่าเด็กสาวยืนอยู่ตรงนั้น
เขาเกือบจะล้มตัวลงด้านหลัง แต่ก็รั้งตัวเองเอาไว้ได้ เขาขอบคุณที่ของลับของตัวเองไม่ได้ขยับไปไหนในตอนที่กำลังทำธุระอยู่ เด็กสาวเอาสองมือมาไว้ตรงหน้าก่อนที่จะฉี่ออกมาพร้อมกับฮัมเพลง เธอเพิ่งจะเดินเข้ามา เธอ —ไม่สิ เขาชินกับอะไรแบบนี้อย่างชัดเจน
“สะ-สถานการณ์แบบนี้… มันก็ค่อนข้างดีใช่ไหม?” โซตะพูด
“แน่นอนสิ”
พอเวลาผ่านไป ความตื่นตกใจที่เหมือนกับสายฟ้าที่แล่นไปทั่วร่างก็สงบลง พอเขาพยายามคิดดู นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ การที่จะแอบเข้าไปในโรงเรียนหญิงล้วนเพราะว่าทุกคนคือเด็กผู้หญิงมันก็จะถูกประนามว่าเป็นพวกโรคจิต หากทั้งคู่เป็นผู้ชาย แบบนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคนสองคนที่นั่งแลกเปลี่ยนความทุกข์กัน แถมเด็กผู้ชายก็รับมือง่ายกว่าเด็กผู้หญิงด้วย เพราะโซตะเคยชินกับเรื่องนี้ที่ชมรมฟุตบอลมาโดยตลอด
แต่มันก็…
โซตะแสร้งทำเป็นรู้ว่าคนๆนี้เป็นเด็กผู้ชายมาโดยตลอด แต่ภายในใจเขาตกใจมาก เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงมาโดยตลอด พอในตอนนี้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก แต่ถ้าไม่มีหลักฐาน เขาก็คงไม่เชื่อหากมีคนบอกว่าคนๆนี้คือผู้ชาย พอมาลองคิดเรื่องนี้ แรงตอนที่ดึงแขนโซตะนั้นค่อนข้างแรง แถมตอนจับก็ไม่ได้ลังเลด้วย —การพูดแบบนี้ก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ หากบอกโซตะว่าว่านิ้วและเล็บที่สัมผัสผิวหนังของเขานั้นเป็นของผู้ชาย มันก็สมเหตุสมผล เขาเองคงก็ไม่ได้แต่งตัวเหมือนผู้หญิงในช่วงวัยนั้น อย่างการพยายามทำให้ตัวเองดูดีและทันสมัย เพราะเขานั้นเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ
แต่กระนั้น โซตะก็ยังคงเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่เพราะท่าทางหรือหน้าตา การที่มองดูจากด้านหลัง แล้วเห็นว่าเขาเดินแบบปลายเท้าชี้เข้าหากันพร้อมกับก้าวเล็กๆราวกับว่าเดินอยู่อย่างสง่างาม แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน การเดินของเขาก็ยังดูเหมือนกับเป็นหญิงสาว แบบที่โซตะจินตนาการเรื่อง “การเดินของเด็กผู้หญิง” ในแบบที่ควรเป็น
หลังจากออกมาจากห้องน้ำ ทั้งสองคนก็นั่งลงที่โต๊ะตัวเดิมแล้วก็เริ่มพูดคุย บรรยากาศนั้นดูผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้ แค่อีกคนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายก็ทำให้โซตะประหม่าน้อยลงแล้ว แถมพวกเขายังยืนฉี่ข้างกันอีกก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้นอีกมาก
“นายไม่ใช่…เมจิคัลเกิร์ลจากแถวๆนี้ใช่ไหม?” โซตะถาม
“เส้นทางปกติของเราห่างจากที่นี่น่ะ” เด็กชายตอบ
“ชั้นได้ยินว่ามันยากนะที่เด็กผู้ชายจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล”
“เราก็คิดว่ายากนะ นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เราเจอคนอื่นที่เป็นแบบนี้ด้วย”
“คนสองคนบังเอิญมาเจอกันแบบนี้มันยากยิ่งกว่าอีก… ว่าแต่ นายมาทำอะไรที่น่ะ?”
“เราเองก็อยากจะถามเหมือนกันนั่นแหละ ว่านายมาทำอะไรเนี่ย?”
“เรียกชั้นว่าโซตะก็ได้”
“เราชื่อคาโอรุ”
โซตะกำลังจะพูดว่าชื่อคาโอรุนั้นดูเหมือนผู้หญิง แต่เขาก็ยั้งเอาไว้ มันไม่มีประโยชน์เลยที่จะทำให้เมจิคัลเกิร์ลที่เพิ่งพบหน้ากันรู้สึกโกรธ
“นายคิดว่าชื่อของเราเหมือนผู้หญิงใช่ไหมล่ะ?”
โซตะสำลัก ตอนที่เช็ดกาแฟที่พ่นออกมาบนโต๊ะ เขาก็มองไปที่คาโอรุแล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเหมือนกับกำลังสนุกสนาน รอยยิ้มของเขานี่มีออร่าของความเป็นหญิงมาก
“เปล่าซะหน่อย” โซตะตอบกลับ “จะว่าไปนายมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
“เบื้องบนได้ข้อมูลที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนมาว่าอาจมีใครบางคนแหกกฏ… อ๊ะ เก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราสองคนดีกว่านะ ความจริงที่เราอยู่ที่นี่ก็ด้วย ถ้านายไม่พูดเรื่องนี้กับเพื่อนล่ะก็ เราจะดีใจมากเลยล่ะ”
“อ่า ได้สิ เข้าใจแล้วล่ะ”
“เบื้องบน” ที่คาโอรุพูดถึงนี่คือเดินแดนเวทมนตร์งั้นเหรอ? ฟาฟเองก็พูดถึงอะไรบางอย่างที่บริหารจัดการเมจิคัลเกิร์ลแบบคลุมเครือออกมาด้วย
ซึ่งมันก็มีเหตุผล ถ้าคาลามิตี้ แมรี่ทำอะไรตามที่ข่าวลือว่า มันก็ไม่มีทางที่องค์กรปกครองเมจิคัลเกิร์ลจะอยู่นิ่งเฉยได้ บางทีลาพูเซลอาจจะไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง
“แล้วทำไมโซตะถึงอยู่ที่นั่นล่ะ?”
“เอ่อ ชั้นได้ยินมาว่าเธอคนนั้นทำอะไรไม่ดี… แล้วชั้นก็คิดว่าจะอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้น่ะ”
เมื่อเทียบกับมืออาชีพอย่างคาโอรุ คนที่ถูกส่งมาภายใต้คำสั่งของ “เบื้องบน” คำพูดที่โซตะพูดออกมามันก็ดูเหมือนความคิดของเด็กที่ทำให้ตัวเองรู้สึกอาย เขาซดกาแฟเข้าไปเต็มปากและสำนักเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกอายมากนัก
คาโอรุหัวเราะออกมาเหมือนกำลังสนุกสนาน ตรงข้ามกับสภาพจิตใจของโซตะ “เราชอบแบบนั้นนะ! มันดูเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่เลย!”
“…อย่างนั้นเหรอ? ชั้นเองก็ไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่มันก็รู้สึกว่าไม่ได้อะไรเหมือนกัน”
“ไม่จริงหรอก เท่นะ เท่สุดๆเลย เราชอบอะไรแบบนี้ เมจิคัลเกิร์ลที่เรารู้จักต่างกันหันหน้าหนีเรื่องนี้กันหมด เพราะแบบนั้นเธอเลยไม่ได้ลงมือทำเพราะความยุติธรรมหรืออะไรแบบนั้นเลย”
“หือ”
“เราคิดว่ายอดมากเลยล่ะ ที่มาของอัศวินก็มาจากแบบนี้เหรอ?”
“ใช่ ชั้นมีความรู้สึกแบบนั้นน่ะ”
“เราได้ยินมาว่าปกติแล้วพอผู้ชายกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล ร่างแปลงก็จะไม่ได้ต่างจากเดิมนัก แต่นายนี่เปลี่ยนแบบยอดสุดๆเลย ทั้งเขาทั้งหาง ความยาวของเส้นผมเองก็ต่าง อายชาโดว์ก็เพอร์เฟ็ค แถมก้นกับหน้าอกก็ใหญ่ด้วย”
พอได้ยินคำว่า “ก้น” และ “หน้าอก” พร้อมกับรอยยิ้มแบบเด็กสาวผู้ใสซื่อมันก็ทำให้โซตะสำลักอีกครั้ง “เอ่อ ก็… พอพูดถึงแล้ว นายดูคล้ายกับร่างเมจิคัลเกิร์ลเลยนะ คาโอรุ”
“มันปกติน่ะ เราหมายถึง สิ่งที่เราได้ยินมาไม่เหมือนกับสิ่งที่รู้จริงๆ มันแทบไม่มีผู้ชายอยู่ตั้งแต่แรกแล้วด้วย วันนี้เป็นวันแรกเลยที่เราได้เจออีกคนหนึ่งนอกจากตัวเราเอง”
“ชั้นได้ยินจากฟาฟมาว่า —เอ่อ จากมาสค็อทน่ะ— พวกเราน่ะไม่ได้ปกติ แต่การใช้ร่างกายนี้ชั้นก็ไม่ได้รู้สึกผิดเลยนะ ชั้นเองก็รู้จักใครบางคนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลประเภทหุ่นยนต์ด้วย —ถ้าไม่สนใจเรื่องเพศก่อนการแปลงร่าง ไม่รู้สึกว่ามันแปลกกว่าอีกเหรอ?”
“ยังมีอะไรที่น่าทึ่งอยู่อีกเหรอเนี่ย? ว้าว เมือง N นี่ดีจัง”
“อ๊ะ หุ่นยนต์นี่เองก็ไม่ปกติใช่ไหมนะ? บางทีชั้นก็รู้สึกว่าเป็นแบบนั้นน่ะ”
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องต่างๆของเมจิคัลเกิร์ล พอถึงเวลาที่ร้านอาหารจะมีคนพลุกพล่าน แต่มันก็ไม่มีใครฟังบนสนทนาของทั้งคู่ เด็กผู้ชายสองคนแค่พูดคุยกัน —เรื่องเมจิคัลเกิร์ลที่เห็นในทีวี
ตอนแรกโซตะนั้นพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ แถมยังตรวจดูรอบบริเวณอยู่ตลอด แต่ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็จมดิ่งลงไปในบทสนทนา เอนตัวไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้น “เวทมนตร์ของนายคือคอมพิวเตอร์เหรอ คาโอรุ? หรือว่าเป็นโล่? ทั้งสองอย่างดูเหมือนเป็นไอเท็มเวทมนตร์เลย”
“ก็…ทั้งคู่น่ะ เวทมนตร์ของเราคือการทำให้ใช้ไอเท็มเวทมนตร์ของคนอื่นได้ดี แม้จะไม่เท่ากับเจ้าของ แต่ก็ดีพอ”
“อ่าฮะ มีอีกคนที่ใช้ไอเท็มที่ไม่ใช่ของตัวเองได้อีกสินะเนี่ย”
“หือ? นายไม่แปลกใจเหรอ? เราว่าพลังของเรามันหายากมากนะ”
“พอดีชั้นรู้จักเมจิคัลเกิร์ลที่ขายไอเท็มที่ตัวเองทำขึ้นมาน่ะ”
“…เมือง N นี่ดีสุดๆเลย”
เวทมนตร์เองก็ไม่ใช่เรื่องเดียวที่พวกเขาพูดกัน พวกเขายังคุยถึงเรื่องความลำบากของเด็กผู้ชายที่รักเมจิคัลเกิร์ลและความน่าอายที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลท่ามกลางหมู่เด็กสาว โซตะบ่นว่า แม้ตัวเองจะดีใจที่คนอื่นไม่ได้สงวนท่าทีกับเขา เพราะเมจิคัลเกิร์ลเองก็ห่างไกลจากการยับยั้งชั่งใจอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าพวกเธอควรจะเก็บเป็นความลับเอาไว้ซักหน่อยเหรอ? คาโอรุบ่นว่า เรื่องมันจะดีแค่ไหนก็ได้ แต่เขาก็ไม่ชอบเลยที่มันเป็นความลับมากเกินไปจนไม่พูดอะไรออกมาทั้งที่มันเป็นเรื่องง่ายๆ พวกเขาแลกเปลี่ยนความทรงจำอนิเมเมจิคัลเกิร์ลเรื่องแรกที่ดูกันด้วย —มิโกะสำหรับโซตะ และคิโยโกะสำหรับคาโอรุ โซตะตื่นเต้นมากตอนที่พูดเรื่องคิวตี้ฮีลเลอร์ และเมื่อพวกเขาคุยว่าคิวตี้ฮีลเลอร์ กาแล็กซี่ควรจะจบยังไงเสร็จสิ้น คาโอรุก็มีสำหน้าที่อึดอัด บางทีโซตะรู้สึกว่าคาโอรุเลื่อนเก้าอี้กลับไปด้านหลังด้วย โซตะคงตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย
โซตะยังพูดอย่างน่าเร่าร้อนเรื่องภูมิหลังของลาพูเซล และจริงๆแล้วเธอทำอะไรบ้าง คาโอรุนั้นสนใจดาบเวทมนตร์ที่สามารถยืดหดได้ แล้วก็ถามโซตะเรื่องรายละเอียดและวิธีใช้งาน โซตะอธิบายรายละเอียดอย่างภูมิใจ แต่เมื่อเขาพูดว่าการเอาให้คาโอรุเห็นจริงๆอาจจะเป็นความคิดที่ดี และเมื่อเขาหันไปมองที่นอกหน้าต่างก็พบว่ามันเริ่มมืดแล้ว
พอเขารู้สึกตัวเรื่องนี้ก็ลุกขึ้นยืน เด็กนักเรียนมัธยมต้นในชุดเครื่องแบบที่พูดคุยกันในเขตโจนันตอนดึกอาจถูกตำรวจท้องที่พาตัวกลับบ้านได้ง่ายๆ แถมแม่ของเขาเองก็จะเป็นห่วงว่าเลิกชมรมแล้วแต่ยังไม่กลับบ้าน หากแม่ติดต่อไปที่โรงเรียนล่ะก็ แบบนั้นก็จะรู้ว่าเขาโดดชมรม
โซตะหันออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อตรวจดูถนนทั้งสองข้างทาง ชายที่ดูน่าสงสัยก่อนหน้านี้หายไปแล้ว มีแค่เด็กนักเรียนและมนุษย์เงินเดือนที่เดินกันอยู่ด้านนอก
“เราคิดว่าควรจะกลับแล้วล่ะ” คาโอรุยืนขึ้นตามโซตะ “ตอนนี้เองเราก็คิดว่าโอเคแล้วด้วย”
“อ่า ใช่…จริงด้วย”
“วันนี้เราสนุกมากเลย หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ” คาโอรุยื่นมือออกมา จากนั้นครู่หนึ่ง โซตะก็จับเอาไว้
“อื้อ ดีเลยล่ะ… ชั้นไม่ได้พูดเรื่องเมจิคัลเกิร์ลมากแบบนี้มานานแล้วด้วย แล้วเจอกันใหม่นะ”
มือของคาโอรุที่จับนั้นหนักแน่น แต่เขาก็ยังยืนเอาปลายเท้าชิดเข้าหากัน ท่าทางเองก็ยังดูเอียงอายและสำรวมด้วย
ในตอนนี้โซตะรู้สึกว่า มันไม่ใช่เพราะว่ารูปร่างของคาโอรุที่ทำให้โซตะเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่ท่าทางเองก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย —ไม่สิ เพราะว่าคือเด็กผู้ชาย บางทีเขาก็เลยพยายามลดสัมผัสบางอย่างหลังการแปลงร่างด้วยการใช้ภาษากายของผู้หญิง
ลึกลงไป โซตะคิดอย่างจริงจังว่า ให้ตายสิ มือโปรนี่ช่างต่างกันจริงๆ
☆ คาโอรุ โอสะไน
หลังจากที่แยกกับโซตะได้ยี่สิบนาที คาโอรุก็นั่งลงตรงกลางบันไดหินทางขึ้นศาลเจ้าเล็กๆทางตะวันตกสุดเขตโจนัน เขาเหนื่อยจนตัวเองถอนหายใจออกมาอย่างอัตโนมัติ การที่ได้คุยกันกับโซตะมันสนุกมาก ตัวของโซตะเองก็เป็นคนดี แต่สิ่งที่คาโอรุแบกรับอยู่มันจำกัดการเคลื่อนไหวของเขา และมันก็ทำให้รู้สึกอึดอัดมากด้วย คาโอรุเอาสายเปียโน โซ่ แล้วก็ลวดเหล็กที่ถูกห่ออยู่ในเสื้อออกมา ดึงแผ่นเหล็กที่ซุกเอาไว้ในเสื้อปาร์ก้าออก ดึงรีโมท ผงสีดำ ผงยานอนหลับ ระเบิด อุปกรณ์จุดไฟ สตันกัน และอีกหลายสิ่งออกมาจากกระเป๋าของกางเกงคาร์โก้ ทุกอย่างวางเรียงอยู่บนขั้นบันไดหินเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้มองอะไรตกหล่นไปก่อนที่จะเอาทุกอย่างใส่ลงไปในกระเป๋าใบเล็ก ไอเท็มแต่ละชิ้นถูกร่ายเวทมนตร์เอาไว้ ดังนั้นพวกมันจึงน่าตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
การที่ลาพูเซลบุกเข้าโจมตี มันเป็นการบังคับให้สเตลล่า ลูลู่ต้องหนีออกมาเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งมันทำให้จำนวนสิ่งของที่เธอทำการปล้นลดลงมาบ้างแต่เธอก็ยังคงได้อาวุธเวทมนตร์มาไม่น้อย ปลดสัญญาณเตือนและกับดักทั้งหมดทีละอันในขณะที่เดินหน้าไปด้วยคือการต่อสู้ที่แท้จริง แม้จะหลังจากนั้น การแบกกองสิ่งของพวกนี้จะทำให้เธอเคลื่อนไหวอย่างอิสระไม่ได้ และยังเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีอีกด้วย แต่มันก็คุ้มค่าพอ สเตลล่า ลูลู่ได้ยินว่าในเมือง N มีเมจิคัลเกิร์ลที่ใช้ไอเท็มเวทมนตร์อยู่หลากหลายอย่าง แต่นี่มันก็น่าประทับใจยิ่งกว่าข่าวลือซะอีก
กระนั้น สเตลล่ายังได้ยินมาว่าผู้จัดการสอบเมจิคัลเกิร์ลที่กำลังจัดขึ้นในเมืองนี้ก็คือนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ เธอเป็นคนแข็งแกร่งในหมู่ของคนแข็งแกร่งที่มาจากโรงเรียนกวดวิชามาโอและจบการศึกษาด้วยการโจมตีเข้าหามาโอแพม หากคาโอรุได้ใจและพยายามเอาไอเท็มมามากกว่านี้ เขาก็อาจจะไปเตะตาของผู้จัดการสอบก็ได้ และคงจะทนไม่ได้หากต้องกลายเป็นพยานในการเห็นฝ่ายต่อต้านถูกจับกุมคนแล้วคนเล่าหลังจากนั้น
ฝ่ายต่อต้านพยายามต่อต้านเผด็จการและการกดขี่จากดินแดนเวทมนตร์นั้นลงมืออย่างลับๆ ไม่มีใครรู้ว่าทางดินแดนเวทมนตร์รู้เรื่องนี้มากขนาดไหน ดังนั้นมันอาจกลายเป็นการไม่ระวังในสิ่งที่ต้องระวังก็ได้ เขาเองก็ควรจะพอใจกับเรื่องนี้ด้วย
ในตอนนั้นเขาเองก็คิดจะฉวยเอาดาบของลาพูเซลมาด้วย แต่การคุยกับโซตะมันทำให้คาโอรุล้มเลิกความคิดนั้นไป การทำเรื่องไม่ดีกับเมจิคัลเกิร์ลดีๆอย่างเขาไม่ใช่รสนิยมของคาโอรุ —หรือบางทีพี่สาวของเขาจะทำมันเอง หากมันการเป็นการปะทะกับดินแดนเวทมนตร์อย่างเต็มรูปแบบเข้า บางทีลาพูเซลก็อาจกลายเป็นศัตรู… แต่เขาก็ไม่สามารถทิ้งความเป็นไปได้ที่ลาพูเซลอาจจะมิตรไปด้วยเช่นกัน
คราวต่อไปที่เจอกัน คาโอรุจะพยายามคุยให้ลึกและมีความหมายมากกว่านี้ เขาดึงกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วก็ออกไปจากศาลเจ้า
To be continued…
MANGA DISCUSSION