ตอนที่ 4 : สนามเด็กเล่นขององค์ราชินี
☆ CQ เท็นชิฮามูเอล
ภาพของภูเขาสองลูกที่อยู่ติดกันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเธอ เมื่อผ่านก้นหุบเขาไปแล้วก็จะถูกหน้าผาขนาบข้าง นั่นคือถนนที่มุ่งหน้าไปสู่สถานโบราณ ประตูขนาดยักษ์ —ที่ในตอนนี้ตกอยู่ในมือของฝ่ายพัค— ป้องกันทางเข้าไปยังถนนเอาไว้ จากด้านบนของพื้นที่ที่สูงขึ้นมาเล็กจนไม่อาจเรียกว่าได้ว่าคือเนิน นั่นคือจุดที่ฮามูเอลอยู่ เธอมองเห็นประตูที่ป้องกันทางเข้าหุบเขา และพื้นที่รกร้างทั่วบริเวณที่อยู่ตรงหน้า
ตำแหน่งที่พวกเธอจัดวางกองกำลังไว้ก็ไม่ใช่จุดที่แย่ มันอยู่ห่างจากประตูแค่สิบกิโลเมตร แต่นี่ก็บอกไม่ได้ว่าคือระยะห่างที่ปลอดภัย —ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเวทมนตร์ด้วย— แต่การอยู่ห่างออกไปกว่านั้นมันก็ทำให้ยากที่จะเข้าใจพื้นที่รกร้างทั้งหมด ซึ่งเป็นที่ฮามูเอลคาดว่าจะกลายเป็นสนามรบหลัก
ฮามูเอลสั่งชัฟฟิน II ข้าวหลามตัดให้สร้างที่นั่งแบบพิเศษขึ้นมาสำหรับแขกคนสำคัญของพวกเธอในทันที เลเธนั่งอยู่อย่างหยิ่งพยองเช่นเคย เนื่องจากว่ามันคือที่นั่งชั่วคราว สิ่งที่พวกเธอมีจึงมีแค่เก้าอี้พับพลาสติก แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานที่ที่สภาพแวดล้อมเลวร้ายอย่างพื้นที่รกร้าง บนเก้าอี้พลาสติกที่อยู่ในเต็นท์ที่สร้างขึ้นจากผ้าใบกันน้ำและท่อเหล็ก เลเธก็ยังคงทำตัวเป็นชนชั้นสูงต่อไป แต่เธอทำให้ตัวเองดู “สูงส่ง” น้อยลง แทนที่จะทำอะไรโง่เขลาเหมือนกับพวกตัวตลกที่เลียนแบบพวกผู้ดี
ชัฟฟิน II ข้าวหลามตัดนั้นไม่เหมือนกับโพดำและดอกจิกที่ตื่นตัวอยู่ตลอดและคอยสอดส่องบริเวณประตู ซึ่งข้าวหลามตัดจะทำอะไรหลายอย่าง ทั้งวิเคราะห์การใช้ทรายเพื่อปกปิดเมจิคัลโฟน แลกเปลี่ยนนามบัตรกับเมจิคัลเกิร์ลจากหลากหลายฝ่ายที่โดยปกติแล้วฝ่ายโอสไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วย
จอมเวทและเมจิคัลเกิร์ลรวมกันอยู่ตรงที่นั่ง VIP ห่างออกมาจากการต่อสู้ เมื่อได้รู้ว่าฝ่ายพัคกระทำการอุกอาจ ชายและหญิงเหล่านี้ก็เสนอความร่วมมือในการปราบปรามพวกนั้นทันที การที่คนเหล่านี้ออกมาคือเรื่องน่ายินดี การสนับสนุนมันอยู่ในหลากหลายรูปแบบ บางคนมีอาวุธเวทมนตร์ เงินทุน หรืออัญมณีเวทมนตร์ในการทำสงคราม แถมคนสำคัญบางคนก็เข้ามาด้วยตัวเอง แม้ทุกคนจะเพียงแค่เสนอชื่อตัว มันก็มีความหมายมากจนพูดได้ว่า “ความยุติธรรมอยู่ข้างพวกเรา” ตั้งแต่ที่ฮามูเอลใช้เวทมนตร์ของเธอแจ้งเรื่องสถานการณ์ไปยังทุกส่วน คนที่มีไหวพริบก็จะลงมือทันทีด้วยความเร็วดุจสายฟ้า แม้ว่าความรู้สึกที่มีต่อฝ่ายโอสจะผ่อนคลายลงตั้งแต่เรื่องความผิดพลาดของกริมฮาร์ท แต่พอเทียบกับฝ่ายพัคที่ผู้นำในปัจจุบันนำพากองกำลังของตัวเองกระทำความผิดทางอาญาแล้ว ฝ่ายโอสก็บอกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าจริงๆ
ผู้คนต่างก็หมุนเวียนเข้ามาก้มหัวต่อเลเธ จับมือของเธอ และร้องขออะไรอย่าง “ทางเราจะมอบความช่วยเหลือให้ ดังนั้นเมื่อปัญหาถูกแก้ไขแล้ว ทางเราก็ขอความนับถือจากท่านอย่างยิ่งด้วย” มันเหมือนกับได้อิทธิพลของตัวเองสมัยก่อนกลับมา แต่กระนั้นพวกเธอก็จะประมาทไม่ได้ พัคพั๊คและพวกคงรู้ดีก่อนที่จะก่อเรื่องนี้ว่ามันคือการทำให้ตัวเองกลายเป็นอาชญากร และเมื่อพวกเธอเลือกทางนี้แล้ว มันก็หมายความว่าเธอเตรียมการที่จะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ตัวเองต้องการ
ในตอนที่จัดการกับพันธมิตรใหม่ด้วยท่าทางที่ทำเป็นประจำ เลเธก็คงมีความคิดของตัวเองในเรื่องนี้เช่นกัน แม้ว่ามันจะเป็นการบังคับฮามูเอลให้ก้มหัวเพื่อเอาใจมากยิ่งขึ้นก็ตาม —มีหน่วยงานเพียงไม่กี่หน่วยที่เหมือนจะคิดว่า หากส่งคนสำคัญเพียงไม่กี่คนมา ก็จะบอกเรื่องความกระตือรือร้นว่าอยากร่วมมือของตัวเองได้— และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่กินเวลาของเธอมากนัก
เลเธอยู่ใต้ม่านบังแดด ชัฟฟิน II โพแดงสองคนกำลังโบกพัดเพื่อให้เธอรู้สึกเย็นขึ้น แม้ว่ามันจะไม่มากพอเพราะว่ามือขวาของเธอถือพัดอีกอันหนึ่งเอาไว้และกำลังพัดไปที่ใบหน้าของตัวเองอยู่ด้วย แต่มือซ้ายของเธอก็ไม่ได้วางแว่นตาโอเปร่าลง ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่ประตูบานยักษ์
ลักษณะอันเด่นชัดของประตูแสดงให้เห็นว่ามีไว้เพื่อหยุดผู้บุกรุก ประตูและกำแพงตั้งอยู่ตรงทางเข้าหุบเขา ความสูงของมันที่เอาไว้ป้องกันศัตรูจากภายนอกนั้นสูงเกินกว่าร้อยเมตร และยังทำให้ใครก็ตามที่เห็นสูญเสียแรงกระตุ้นในการที่พยายามจะปีนขึ้นไปอีกด้วย ขนาดของมันใหญ่จนไม่อยากจะเชื่อ พวกนั้นสร้างแนวหินใหญ่เอาไว้ก่อนที่จะถึงประตู —ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์สามเท่า— จนทำให้มนุษย์ดูตัวเล็กเหมือนกับก้อนกรวด แต่พวกนั้นก็ปกป้องสถานโบราณในระดับที่มากจนเหลือเชื่อ ราวกับว่าสามารถใส่คนทั้งหมู่บ้านเข้าไปได้ ดังนั้นขนาดของมันจึงเหมาะสมแล้ว
“งั้นพวกเราพร้อมแล้วรึ เอ?”
“อื้อ แต่เพียงอยู่ในระดับที่ปัจจุบันสามารถทำได้”
สามชั่วโมงผ่านไปตั้งแต่สถานโบราณถูกฝ่ายพัคเข้าโจมตี ถ้าหากคิดเรื่องเป้าหมายคือการป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ถูกเปิดใช้งานเพียงอย่างเดียวล่ะก็ สามชั่วโมงคือเวลาที่นาน แต่หากเป็นเรื่องรวบรวมกำลังพลเพื่อยับยั้งศัตรู มันก็สั้นเกินไป
“งั้นก็เปิดประตู” เลเธสั่งการ
“รับทราบ”
ฝ่ายโอสเคยเป็นคนที่ควบคุมสถานโบราณมาก่อน ซึ่งมันรวมถึงการสร้างประตูด้วย พวกเธอไม่ใช่แค่สามารถเปิดและปิดประตูได้จากภายใน แต่มันยังสามารถควบคุมจากภายนอกได้อีกด้วย ฮามูเอลถ่ายทอดคำสั่งผ่านเครื่องมือสื่อสารของเธอ จากนั้นประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆด้วยเสียงอันหนักแน่นแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นสามารถรู้สึกได้จากจุดที่เธออยู่ แขกของพวกเธอปรบมือและชื่นชมด้วยท่าทางตื่นเต้น เช่นเดียวกับการตัดริบบิ้นในพิธีเปิดสวนสนุกแบบไม่ได้ใส่ใจ มันไม่มีความรู้สึกตึงเครียดอยู่เลย แม้ว่าแรงกระตุ้นและพลังงานของเธอจะน้อยลงเรื่อยๆ ฮามูเอลก็ยังคงเตรียมไมโครโฟนของตัวเองให้พร้อมในตอนที่จ้องมองไปยังประตู
พวกมันอยู่นั่น!
เมื่อประตูเปิดออกกว้างมากพอจนคนหนึ่งคนอาจจะผ่านออกมาหรือออกมาไม่ได้ มันก็มีคนกระโจนออกมาจากภายใน หนึ่งคน ตามมาอีกสองคน จากนั้นก็ออกมาจากด้านข้างไม่ก็บริเวณโดยรอบ เมจิคัลเกิร์ลจำนวนหนึ่งออกมาจากด้านในประตู ร่างของพวกนั้นดูพร่ามัวเหมือนกับภาพเงาจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เลเธมองดูพวกนั้นผ่านแว่นตาโอเปร่าของเธอแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา “หุ่นจำลอง เอ ภาพลวงตาที่สร้างจากเวทมนตร์ ขว้างหินหรืออะไรก็ได้ไปที่พวกมันสิ”
“อ่าา ขว้างหินเข้าไปหารูปร่างที่ดูเบลอนั่น” ฮามูเอลสั่งการชัฟฟิน
“มีศัตรูที่มองไม่เห็นตามมาด้านหลังพวกมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นน่ะคือเป้าของจริง” แว่นตาโอเปร่าที่เลเธใช้เป็นที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะซึ่งเอามาจากคลังสมบัติของฝ่ายโอส ไม่ว่าศัตรูจะมองไม่เห็น พรางตัว หรือปกปิดตัวตนอยู่ พวกเธอก็จะมองเห็นมันทั้งหมด
ฮามูเอลถ่ายทอดคำสั่งของเลเธผ่านเครื่องมือสื่อสารของเธอ “มีศัตรูที่มองไม่เห็นตามมาด้านหลัง ให้ดอกจิกโจมตีมัน”
ด้วยการขว้างหินเข้าไปหาจากทุกทิศทาง ภาพเงาของเมจิคัลเกิร์ลจึงสลายไป และชัฟฟิน II ดอกจิกก็เงื้ออาวุธขึ้นและพุ่งเข้าใส่สิ่งที่อยู่ด้านหลังภาพเงา ดอกจิกนั้นมีความสามารถในการได้ยินดีกว่าชัฟฟิน II คนอื่น ซึ่งสามารถทำให้ติดตามเป้าหมาย แม้อีกฝ่ายจะอยู่ในปฎิบัติการลอบเร้นได้ ถึงจะเป็นการโจมตีโดยอาศัยสัญชาตญาณ แต่เพราะว่าอีกฝ่ายมีจำนวนมากจึงไม่สามารถประมาทได้
พอเมจิคัลเกิร์ลฝ่ายพัคเอาผ้าคลุมล่องหนออกแล้ว พวกเธอก็โจมตีกลับเข้าหาหน่วยดอกจิก เลเธมอบคำสั่งเพิ่มว่า “ส่งหน้าไพ่โพดำไป”
“เอาล่ะ แจ๊ค ควีน แล้วก็คิงโพดำ ไป” ฮามูเอลพูด
“ยืนยันว่าข้าวหลามตัดสนับสนุนพวกนั้นจากแนวหลังด้วย เอ”
“ข้าวหลามตัดทุกคน พร้อมรึยัง?”
ชัฟฟินแต่ละคน ต่อให้แต้มน้อย ก็ล้วนคือทหารชั้นยอด นอกจากนี้ ฮามูเอลยังกำลังมองดูการต่อสู้แบบเรียลไทม์ซึ่งสามารถสั่งการตามสถานการณ์ได้อย่างยืดหยุ่นโดยไม่ล่าช้า และเธอยังมีกำลังพลสามสิบนาย ด้วยการจัดวางกำลังของเธอแล้ว แน่นอนว่ากองกำลังไม่ได้อ่อนแอ ความจริงแล้วพวกเธอแข็งแกร่งด้วยซ้ำ แต่ศัตรูค่อนข้างตึงมือจนพวกเธอไม่สามารถจัดการได้ หน่วยที่ประกอบด้วยชัฟฟินจำนวนหนึ่งเข้าโจมตีเมจิคัลเกิร์ลพร้อมกัน แต่ศัตรูก็หลบหลีกได้อย่างชำนาญ ทำให้การโจมตีของชัฟฟินที่เล็งเข้าไปหาเบี่ยงออกไปรอบๆ
ทันใดนั้นเมฆสีดำก็ตั้งเค้า มีฟ้าผ่าเล็งมาที่ข้าวหลามตัดที่ทำการสนับสนุนอยู่ในแนวหลัง มีเสียงดังอย่างต่อเนื่องจนทำให้อยากอุดหูของตัวเอง จังหวะถัดมาก็มีน้ำไหลเชี่ยวกรากพัดดอกจิกตามไป มีปากขนาดใหญ่เปิดขึ้นในอากาศและพ่นลมกวาดโพแดงออกไปด้วย
เลเธเอาพัดของเธอชี้ไปยังสนามรบพร้อมกับยังคงยกแว่นตาโอเปร่า “พวกนั้นแข็งแกร่ง”
“ดูไม่เหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ลูกน้องส่วนตัว ที่นั่นมีกองกำลังทหารรับจ้างอยู่ด้วย”
“กองกำลังทหารรับจ้าง?”
“ชั้นได้ยินข่าวลือที่น่ากลัวอย่าง เมื่อถูกพัคพั๊คว่างจ้างครั้งหนึ่งแล้ว พวกนักรบรับจ้างก็จะหยุดหานายจ้างใหม่ แม้เจ้าตัวจะได้ผลตอบแทนเพียงน้อยนิด แล้วก็นะ ชั้นสงสัยมากว่าพวกนั้นพูดอะไรแบบนั้นง่ายๆเพราะสบายใจรึเปล่า แต่เพราะหลังจากที่ถูกติดต่อกับ นั่น ตัวเองก็จะถูกขโมยบางสิ่งไปด้วย ด้วยเหตุนั้นทางฝ่ายพัคจึงมีกองกำลังนักรบรับจ้างอยู่มาก แถมทุกคนก็เหมือนกับว่า ‘ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของมาสเตอร์’ อย่างเลือดร้อนอีกด้วย”
“ทางเราไม่มีเมจิคัลเกิร์ลที่เป็นนักรบรับจ้างอยู่หรือ เอ?”
“พันธมิตรของพวกเราไม่ค่อยเต็มใจเสนอกำลังรบชัฟฟินซีรี่ย์ที่มีอยู่ในครอบครองให้พวกเรา ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นชัฟฟินซีรี่ย์ II แต่ก็มีหลากหลายรูปแบบ อย่างชัฟฟินรุ่นต้นแบบ ชัฟฟินรุ่นทะเลทราย ไม่ก็ชัฟฟินรุ่นเทรนเนอร์ ชั้นเองก็คงจะเถียงหากนับเป็นทหารรับจ้างด้วย”
“นั่นฟังดูแย่นะ”
“อ๊ะ ไม่เลย ห่างจากเรื่องนั้นเยอะ” ฮามูเอลพูด “จริงๆแล้วมันดีเลยล่ะ โดยพื้นฐานแล้ว มาสเตอร์หนึ่งคนสามารถทำสัญญากับชัฟฟินได้หนึ่งชุด แต่การมอบสิทธิ์สั่งการให้เป็นการชั่วคราวนั้นเป็นไปได้ แม้ว่าจะถือสัญญากับชัฟฟินคนอื่นอยู่แล้ว และในตอนนี้ พวกเราก็ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นั้นเพื่อสั่งการกองกำลังชัฟฟินจำนวนมาก”
“ข้าไม่มีอะไรจะบ่นหรอก หากมีก็คงเป็นเรื่องที่เมจิคัลเกิร์ลหลากคนก็ควรใช้เวทมนตร์หลากประเภทนั่นแหละ เอ”
“ยังไงก็เถอะ พวกเราไม่มีเวลา—”
“แล้วพีเฟิลล่ะ?” เลเธพูดขัด “ไม่ใช่เจ้านั่นบอกว่าสามารถรวบรวมคนได้ด้วยการใช้พลังของฝ่ายทรัพยากรเมจิคัลเกิร์ลรึไง?”
“เธอรวมคนจากภายในและภายนอกฝ่ายได้ แต่มันก็ยังคงกินเวลาในการมาที่นี่ และต้องถูกตรวจสอบว่าตกอยู่ใต้เวทมนตร์ของพัคพั๊ครึเปล่าอีกด้วย”
“ถ้างั้น… เรื่องนี้คงยากงั้นสินะ เอ”
ชัฟฟิน II กำลังพยายามอย่างที่สุด แต่การโจมตีของศัตรูก็ดันพวกเธอกลับมา กองกำลังของศัตรูเป็นกองกำลังผสมและขาดความสามัคคี แต่ก็มีความสามารถในการโจมตีที่ทรงพลังและมีระยะที่กว้าง อาวุธระยะไกลที่ชัฟฟิน II มีคือปืนไฟฟ้าและปืนจับนกของข้าวหลามตัด ซึ่งมันโจมตีได้ไม่ดีเมื่อออกนอกระยะยิง
ฮามูเอลจับไมโครโฟนแล้วเอาเข้ามาใกล้ปากพร้อมกับหรี่ตาหนึ่งข้าง “แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ?”
“ได้เวลาแล้ว สั่งให้พวกนั้นถอย”
“เอาล่ะ ทุกคนที่กำลังสู้อยู่ให้ค่อยๆถอยร่นกลับมา ชั้นไม่ได้หมายถึงว่าควรรีบวิ่งกลับ แต่ให้คงแนวรับสู้กับศัตรูเอาไว้ในตอนที่ถอยกลับมา”
ชัฟฟินค่อยๆออกห่างจากศัตรูตามที่ฮามูเอลสั่ง และแขกผู้มีเกียรติตรงที่นั่ง VIP ก็ขยับตัวไปมา สิ่งที่พวกนั้นเห็นคือสนามรบที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัยเพราะอยู่ห่างออกไป ชัฟฟิน II ถอยร่นมากขึ้นพร้อมกับลากสหายที่ถูกฆ่าไปแล้วกลับมาด้วย จนความปั่นป่วนขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ศัตรูรู้ว่านี่คือกำลังหลักของพวกเธอเช่นกัน มันจึงไม่น่าแปลกใจนักที่ทางนั้นจะคิดว่าหากเดินหน้ามาอีกซักนิดก็จะสามารถบดขยี้ทั้งหมดได้ กระสุนลูกหลงกระทบกับพื้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และอีกไม่นานมันก็จะไม่ใช่ “ลูกหลง” อีกต่อไป
เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้มากพอจนพันธมิตรบางคนของพวกเธออาจเริ่มคิดหนี เลเธก็สั่งการ “ตอนนี้ บดขยี้พวกมันซะ”
“เอาล่ะทุกคน ทำตามที่คุยกันไว้นะ” ฮามูเอลพูดใส่ไมโครโฟน
ในทันใดนั้น ชัฟฟิน II จำนวนสิบสองคนก็กระโจนออกมาจากที่นั่ง VIP พวกเธอวิ่งผ่านพื้นที่รกร้างเร็วกว่าชั่วพริบตา หลบลำแสงที่ยิงเข้ามาหา แถมยังหลบสายฟ้าที่ผ่าลงมาได้อีกด้วย พวกเธอเคลื่อนไหวไปมาและแยกตัวออกราวกับสิ่งมีชีวิต พวกเธอวิ่งฝ่าสิ่งกีดขวางเพื่อพุ่งเข้าชนกับศัตรู
เอซโพดำทั้งสิบสองคนถูกคัดเลือกมาเป็นพิเศษคือหน่วยพิเศษขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นโป๊กเกอร์ แกรนด์มิลเลี่ยนแนร์* หรือการต่อสู้จริง พวกเธอก็จะไม่มีวันแพ้ พวกเธอแข็งแกร่งเกินกว่าจะโดนเวทมนตร์น้ำหรือสายฟ้าของศัตรู การเหวี่ยงหอกแต่ละครั้งด้วยความรวดเร็วมันก็ดูเหมือนกับการเหวี่ยงหอกพร้อมกันหลายเล่ม มันทำให้ศัตรูล้มลงไปเรื่อยๆ ศัตรูเข้ามาลึกเกินกว่าจะหนีได้ มันไกลจากประตูมากเกินไป ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการยอมแพ้อย่างสิ้นหวังในขณะที่หันหน้าไปทางประตูที่กำลังปิดลง
*แกรนด์มิลเลี่ยนแนร์หรือไดฟูโกะคือการ์ดเกมชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น
เลเธมองดูสนามรบผ่านแว่นตาโอเปร่าพร้อมกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้าพูดได้ว่าการต่อสู้ครั้งแรกของพวกเราคือชัยชนะ”
“มันเป็นผลมาจากการสั่งการของท่านนั่นแหละ เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก” ฮามูเอลยกย่องเธอ
“คำชมของเจ้านี่ช่างน่ารำคาญจริง”
“ถ้าคำชื่นชมของชั้นยังน่ารำคาญล่ะก็ แบบนั้นชั้นคงพูดอะไรไม่ได้เลยงั้นสิ…?”
ในตอนที่กองกำลังของทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ประตูก็ยังคงขยับต่อไป แต่มันก็ยังคงมีเวลากว่าประตูจะเปิดออกอย่างเต็มที่ จากนั้นมันก็มีหลายอย่างที่ต้องทำ สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา จัดกำลังพลใหม่ เตรียมตัวเดินทัพ —ทุกอย่างล้วนแต่สำคัญทั้งสิ้น แต่ก็อื่น ฮามูเอลก็ต้องรับรองแขกเสียก่อน
แขกที่เข้ามาเยี่ยมเลเธด้วยความต้องการของตัวเองนั้นไม่มีปัญหา แต่มันก็มีแขกที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นอยู่ด้วย โดยปกติแล้วการพูดว่า “พวกนั้นช่างหยาบคายเสียจริงนะ ท่านหญิงเลเธ ฮะฮะฮ่า!” ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่ในตอนนี้พวกเธอต้องการความช่วยเหลือมากเท่าที่มากได้
ฮามูเอลพลิกดูสมุดที่มีรายชื่อของจอมเวทและเมจิคัลเกิร์ล “ความช่วยเหลือยังคงมาอย่างต่อเนื่องจากทุกหนทุกแห่ง… อืม” เธอมองไปรอบๆ แต่ก็หาคนที่ต้องการไม่พบ ด้วย “ขออภัย ขอเวลาซักครู่” ที่เธอพูดกับเลเธ ฮามูเอลจึงทำให้อีกฝ่ายรอในตอนที่เธอเดินวนไปด้านหลังของที่นั่ง VIP แต่เธอก็ยังคงหาคนๆนี้ไม่พบ
จากนั้นเธอก็เห็นจอมเวทกับเมจิคัลเกิร์ลอยู่ด้านหลังก้อนหินขนาดใหญ่ตรงด้านล่างเนินเขา ทั้งคู่กำลังตะโกนใส่กันอยู่
“นี่เธออยู่ในจุดที่จะมาร้องเหมือนเด็กๆได้ด้วยรึไง?!”
“อูรูรุไม่ได้ร้องไห้ซักหน่อย! อูรูรุก็บอกไปชัดๆแล้วนี่!”
“ก็ตั้งแต่แรก เธอมาที่นี่ในฐานะพยาน—”
“อูรูรุไม่ใช่พยานซักหน่อย!”
ฮามูเอลจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ตราบใดที่เธอบอกเลเธได้ว่าคนพวกนี้อยู่ฝั่งเดียวกัน เท่านั้นมันก็พอแล้ว จากที่สองคนที่ตะโกนใส่กันและกัน เธอก็พูดกับจอมเวทสาวสวมแว่นไปว่า “ก่อนหน้านี้ขอบคุณมาก ชั้นต้องขออภัยจริงๆที่รบกวนในตอนที่กำลังยุ่ง แต่เธอช่วยแนะนำตัวกับหัวหน้าของชั้นได้ไหม? ชั้นเชื่อว่ามันจะเป็นการดีหากเธอได้ยินว่าพวกเราได้ความร่วมมือจากหน่วยสืบสวน”
จอมเวทสวมแว่นที่ยังดูไม่พอใจหันหน้าเข้ามาหาฮามูเอลแล้วก็พ่นลมหายใจออกมา “ฮึ ชั้นน่ะเหรอ ร่วมมือ?”
“หือ? ก็เธอเสนอความช่วยเหลือในเรื่องจัดการฝ่ายพัค เพราะทางนั้นเข้ายึดครองสถานโบราณอย่างผิดกฏหมาย… ไม่ใช่เหรอ?”
“มายิงกันในสถานที่แบบนี้ พวกเธอก็เป็นวายร้ายเหมือนกันทั้งหมดนั่นแหละ พอเรื่องนี้จบแล้ว ชั้นแน่ใจเลยล่ะว่าจะสืบสวนแน่ อย่าลืมแล้วกัน” เธอพูดเพียงเท่านั้นแล้วหันกลับไปหาเมจิคัลเกิร์ลที่มาด้วยกัน จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มด่าทอกันอีกครั้ง
หากนี่คือเรื่องที่พวกนั้นต้องการ แบบนั้นเธอก็ไม่ใช่คนที่ฮามูเอลยินดีที่จะร่วมงานด้วย และถ้าฮามูเอลแนะนำตัวของเธอกับเลเธแล้วเรื่องทุกอย่างแย่ลง แบบนั้นมันก็จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น
ฮามูเอลหันหลังให้ทั้งคู่และเริ่มเดินออกไป แต่เมื่อเธอรู้สึกตัวถึงเรื่องนั้น เธอก็หันกลับมา ไม่ใช่เรื่องของจอมเวทที่สวมแว่น แต่เป็นคนที่สวมเสื้อคลุมเหมือนจอมเวทและดึงฮู๊ดลงมาเหนือดวงตา เมจิคัลเกิร์ลคนนั้น— หรือบางทีอาจจะเป็นเมจิคัลเกิร์ล ฮามูเอลเอามือไปแตะที่ขมับของเธอ
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเด็กสาวถูกซ่อนเอาไว้ แต่ก็มองเห็นจมูกและครึ่งล่างของใบหน้าได้ จากที่ฮามูเอลเห็นใบหน้าของเธอที่มีรอยกระบางๆอยู่ทั่ว มันก็รู้สึกคุ้นเคย มันเป็นเรื่องแปลกที่เมจิคัลเกิร์ลจะมีกระ
ฝ่ายพัคเองก็มีเมจิคัลเกิร์ลเช่นนั้นอยู่ ฮามูเอลคิดว่าเวทมนตร์ของเธอคือทำให้เชื่อในคำโกหก เพราะเวทมนตร์นั้นฮามูเอลจึงต้องให้กองกำลังทั้งหมดใส่ที่อุดหู
เธอนวดขมับของตัวเองขึ้นลง จากนั้นก็ผละมือออกก่อนที่จะแตะกลับลงไปที่จุดเดิม ทำไมเมจิคัลเกิร์ลของฝ่ายพัคถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ล่ะ? ตอนที่พีเฟิลบอกว่าทุกเรื่องที่เธอพูดมาจากแหล่งข้อมูล หรือว่าเธอจะหมายถึงคนๆนี้งั้นเหรอ? แล้วด้วยเหตุผลซักอย่างเธอจึงกลายมาเป็นคนของหน่วยสืบสวนและต้องสู้กับคนที่มีตำแหน่งเหนือกว่าตัวเอง? ไม่มีทางซะหรอก
ฮามูเอลเอาไมโครโฟนของเธอมาจ่อที่ปาก จากนั้นก็ตั้งค่าให้มีผู้รับเพียงคนเดียว “เมจิคัลเกิร์ลที่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าคำโกหกเป็นความจริง” และก็กระซิบแบบเบาๆเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน “งี่เง่า”
“ไม่ใช่ซะหน่อย คนที่เรียกอูรูรุว่างี่เง่าต่างหากที่งี่เง่าน่ะ!” เมจิคัลเกิร์ลที่ดึงฮู๊ดลงมาต่ำตะโกนออกมา
จอมเวทสวมแว่นมีสีหน้าแบบว่า “ยัยนี่พูดบ้าอะไรเนี่ย?” ในตอนที่มองคนที่จู่ๆก็พูดอะไรขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลขณะที่กำลังคุยกันอยู่
ฮามูเอลกระซิบต่อ “ยัยงี่เง่า งี่เง่า” และเมจิคัลเกิร์ลที่ดึงฮู๊ดลงมาก็เหวี่ยงแขนขึ้นลงพร้อมกับกระทืบเท้า
จอมเวทสวมแว่น คนที่โดนตะโกนใส่และโต้เถียงอยู่กับเธอเหมือนจะดูสับสน เธอพูดว่า “เงียบหน่อย” แล้วก็ “นี่พูดเรื่องอะไรน่ะ?” ในการพยายามทำให้เพื่อนของเธอสงบลง
ดังนั้นคนที่ฮามูเอลพูดด้วยจึงถูกคนแล้ว จะจับเธอ จะถาม หรือจะจับตาดูดีนะ? เธอดูไม่เหมือนสายลับเลย แถมยังดูไม่เหมือนผู้ก่อการร้ายด้วย
ฮามูเอลติดต่อไปหาเอซดอกจิกสามคนแล้วก็สั่งว่าให้ร่วมมือกันจับตาดูเธอไว้ เพราะเธอจำได้ว่าตัวเองยังคงมีงานต้องทำ เธอยังปล่อยให้เลเธรออยู่ด้วย
หากเธอแนะนำหน่วยสืบสวนไม่ได้ แบบนั้นเธอก็แค่ต้องแนะนำหน่วยอื่นเพียงเท่านั้น
เมื่อมองไปรอบๆบริเวณครู่หนึ่ง เธอก็เห็นผู้หญิงสวมชุดสูทที่ดูคุ้นเคย ปากของคนๆนั้นอ้าออกครึ่งหนึ่งในตอนที่มองไปยังประตู ฮามูเอลเรียกเธอจากด้านหลัง “คุณโยชิโอกะ”
“หืม? อ๊ะ ฮามูเอล” โยชิโอกะตอบกลับ
“เหมือนว่าคุณจะมาช่วยพวกเราสินะ —ขอบคุณมากเลย”
“อ๋อ ฉันแค่มาที่นี่เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นซักนิดน่ะ”
“แล้วท่านหญิงรัทสึมุ…?”
“ฉันไม่ได้พาสัมภาระมาด้วยหรอก”
“สัมภาระ” —นั่นคือการปฎิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนกับสิ่งของ โยชิโอกะปรับแว่นของเธอด้วยนิ้วกลางแล้วก็ยักไหล่ขวาเพียงข้างเดียว นี่ควรจะเป็นการหยอกล้อกันของเพื่อนหรือแค่มันหลุดออกมาจากปากเธอกันแน่นะ? ฮามูเอลคิดไม่ออกเลย เธอจึงยิ้มนิดๆเพื่อตอบกลับไป
“ก็นะ” โยชิโอกะพูดต่อ “รู้ไหม? การอยูในสภาพนั้นน่ะ ต่อให้มีกระสุนลูกหลงยิงเข้ามา สิ่งของแบบนั้นก็หลบไม่ได้หรอก”
สภาพนั้น แถมยังมี สิ่งของแบบนั้น —คำพูดไม่ดีมันออกมาเรื่อยๆ แต่การพูดแบบนี้กับรัทสึมุที่เป็นร่างเกิดใหม่ของหนึ่งในสามปราชญ์มันโอเคเหรอ? ฮามูเอลควรจะบอกเธอรึเปล่า? แต่บางทีฝ่ายแคสปาร์อาจจะไม่คิดอะไรมาก มุขตลกแบบนั้นคือเรื่องธรรมดา ดังนั้นฮามูเอลจึงยิ้มนิดๆเพื่อตอบกลับไปอีกครั้ง
“เธอดูยุ่งนะ” โยชิโอกะพูด “ต้องการอะไรรึเปล่า?”
ฮามูเอลมีความรู้สึกว่าหากเธอพาคนๆนี้ไปหาเลเธ โยชิโอกะคงพูดจาปากไม่มีหูรูดตามเคย ดังนั้นการไม่พาเธอไปด้วยคงดีกว่า ฮามูเอลค่อยๆถอยห่างออกมาพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆที่ยังคงอยู่บนใบหน้า จากนั้นเมื่อโยชิโอกะมองไปยังประตู เธอก็รีบออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาหรือโอกาส ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่างๆก็ยังคงมีปัญหามากมาย
☆ พัคพั๊ค
ฝ่ายโอสเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่คาดไว้ แน่นอนว่าทางนั้นคงมีหัวหน้าที่มีความสามารถอยู่ หากเธอสามารถกลายเป็นเพื่อนได้ล่ะก็ เธอก็จะกลายเป็นประโยชน์ให้กับทุกๆด้าน ดังนั้นพัคพั๊คต้องพยายามอย่างที่สุด —เพื่อตัวของเธอเองเช่นกัน
ทุกเรื่องที่ทุกคนบอกเธอคือเรื่องสถานการณ์การต่อสู้ล้วนแต่คือข่าวร้าย พัคพั๊ครู้สึกเศร้ามาก ทุกคนเข้าร่วมกับโอสเพื่อโจมตีพัคพั๊ค ทุกคนใจร้ายแถมยังพยายามทำให้เธอร้องไห้อีก
หากเสียใจและร้องไห้ในตอนนี้มันก็เป็นเรื่องง่าย คนใจดีบางคนคงเข้ามาปลอบโยนเธอ บางทีความเศร้าของเธอจะบางเบาลงเล็กน้อย แต่เมื่อใครบางคนพยายามทำให้เธอร้องไห้ และการร้องไห้ก็รู้โดยทั่วกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของเด็กขี้แย หากเป็นแบบนั้นเธอคงเป็นเพื่อนกับใครไม่ได้
พัคพั๊คต่อสู้กับน้ำตาของตัวเองพร้อมกับกอดตุ๊กตาโคอาล่า ตุ๊กตานั้นตัวใหญ่มากพอที่จะโอบกอดเธอได้ และเมื่อเธออยู่ในอ้อมแขนของตุ๊กตาแล้วกอดมัน หัวใจของเธอก็สงบ และอ่อนโยนกว่าเดิมได้
เธอปล่อยตุ๊กตาโคอาล่า กลิ้งตัวไปบนพรมแล้วก็ลุกขึ้น พรม ภาพติดผนัง เพดาน โคมระย้า เตียงคาโนปี้ ตุ๊กตาที่กองกันเป็นภูเขา ลิ้นชักเล็กๆ แจกันดอกไม้และดอกลิลลี่สีขาวที่อยู่ด้าน —เพื่อนของเธอสร้างห้องนี้ที่เหมือนกับห้องของเธอขึ้นภายในสถานโบราณ ดังนั้นมันจึงง่ายกว่าที่พัคพั๊คจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ และอยู่ที่นี่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย พัคพั๊คจึงพูดขอบคุณเมจิคัลเกิร์ลทุกคนที่อยู่เคียงข้างเธอ
“นี่ พี่สโนวี่”
“อะไรเหรอ?
“เพื่อนของพัคตรงทางเข้าหุบเขากำลังเจอปัญหาใหญ่ พวกเราควรจะทำยังไงกันดี?”
“พวกเราทำอะไรกับคนที่ตายไปแล้วไม่ได้ ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ ฉันแนะนำว่าให้พวกเราถอยกลับมายังทางเข้าสถานโบราณ”
สโนไวท์ตอบกลับมาโดยไม่ได้ใช้เวลาหยุดคิดเลย ดังนั้นเธอคงคิดถึงเรื่องนี้ก่อนที่พัคพั๊คจะถามเสียอีก แต่ถ้าพัคพั๊คไม่ได้ถาม เธอก็คงจะยืนอยู่ที่นั่นโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ตั้งแต่ที่พัคพั๊คทำให้สโนไวท์กลายเป็นเพื่อนและพาตัวมาด้วย ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องทำให้สโนไวท์สามารถทำอะไรให้เธอได้มากกว่านี้
“ขอโทษนะ พี่สโนวี่”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“อ๊ะ ไม่หรอก พัคแค่คิดไปเองน่ะ จะว่าไป ทำไมพวกเราถึงควรกลับมาตรงทางเข้าสถานโบราณเหรอ?”
“พื้นที่ตรงหุบเขามันกว้างกว่าทางเข้าสถานโบราณ พื้นที่ตรงนั้นสามารถใช้เวทมนตร์ทำลายล้างขนาดใหญ่ได้ และทหารจำนวนมากเองก็สามารถปะทะกันได้ในคราวเดียว ตรงทางเข้าสถานโบราณน่ะมันแคบกว่า แบบนั้นพวกเราจึงสามารถเน้นไปที่การใช้ยอดฝีมือจำนวนน้อยๆในการป้องกันได้ คนที่โจมตีเข้ามาก็จะกลายเป็นเสียเปรียบ” สโนไวท์อธิบาย
“ถ้าเป็นแค่เรื่องที่ทำให้คนโจมตีเสียเปรียบล่ะก็ พัคคิดว่าให้เพื่อนๆไปรอกันที่ถนนแคบๆของหุบเขาก็โอเคแล้วนี่นา แบบนั้นไม่ดีเหรอ?”
“ฉันคิดว่าซุ่มโจมตีตามเส้นทางของอีกฝ่ายดีกว่าการส่งกำลังไปสู้ซึ่งหน้าก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งนะ แต่ศัตรูก็มีชัฟฟินคอยลาดตระเวณและสอดแนมอยู่ ฉันสงสัยเหมือนกันว่าอีกฝ่ายรู้อะไรมากแค่ไหนแล้ว”
“แต่ว่า แต่ว่านะ ถ้ามันเกิดการต่อสู้แบบรุนแรงใกล้ๆกับสถานโบราณ แบบนั้นจะไม่อันตรายเหรอ? ถ้าเวทมนตร์บางชนิดเกิดพลาดจนโดนเข้ากับตัวสถานโบราณแทนล่ะก็ แบบนั้นอุปกรณ์อาจจะ บึ้มมม แล้วก็พังไปเลยได้นี่นา?
“เรื่องนี้อีกฝั่งเองก็รู้ มันเลยกลายเป็นการป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายใช้การโจมตีเป็นวงกว้างที่สามารถสร้างความเสียหายกับสถานโบราณได้ ซึ่งนี่ก็คือจุดได้เปรียบสำคัญของพวกเรา”
พัคพั๊คมองขึ้นมาที่สโนไวท์ เธอยืนอยู่ที่นั่นอย่างไร้อารมณ์เช่นเคย แต่เธอก็ยังคงมีความภูมิใจปรากฏออกมาด้วย ดังนั้นพัคพั๊คจึงยืดตัวขึ้นด้วยปลายเท้าและลูบหัวของสโนไวท์*
*ตรงจุดนี้ของฉบับ platfleece จะเป็นเมื่อพัคพั๊คยื่นมือออกไป สโนไวท์จะย่อตัวเพื่อให้พัคพั๊คลูบหัว
☆ บลูเบล แคนดี้
การที่เธอตัวติดกับดีลูจและคนอื่นๆมันก็ได้พาเธอมายังสถานที่แบบนี้ สถานที่ที่อากาศแห้งอย่างผิดปกติและไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากพื้นที่รกร้างทอดยาวออกไปจนสุดสายตา ในตอนที่มองดูคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญที่ขับรถมาส่งพวกเธอกำลังขับออกไปจากหางตา บลูเบลและคนอื่นก็ถูกบังคับให้ต้องวิ่งฝ่าพื้นที่รกร้างเพื่อไปยังสถานที่ตั้งของกองกำลัง
กลาเซียอาเน่กำลังพักผ่อน ดาร์คคิวตี้กับดีลูจยังไม่กลับมา ใกล้ๆมีเมจิคัลเกิร์ลไพ่ที่เพิ่งต่อสู้มาอยู่ ในอดีตดีลูจเคยสู้กับเมจิคัลเกิร์ลไพ่พวกนี้ หากนี่คือไพ่ที่รอดชีวิตจากในตอนนั้น ดีลูจก็คงจำได้แน่ ดังนั้นบลูเบลจึงสงสัยว่ามันโอเครึเปล่าที่พวกเธออยู่ที่นี่ หากพวกเธออยู่ที่นี่ ดีลูจก็ควรอมแคนดี้ของบลูเบลเพื่อให้จิตใจสงบลง แต่ในคืนก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้แตะต้องมันเลย เรื่องนี้มันทำให้บลูเบลเสียใจ จนสงสัยว่าตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่
บลูเบลรู้ว่าดีลูจไม่ได้งี่เง่า เธอคิดว่าดีลูจพยายามหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจ แต่จริงๆแล้วบลูเบลก็กังวลมากว่าดีลูจอาจจะพังมันด้วยการลงมือทำบางอย่างเพราะถูกกระตุ้นในตอนนี้ พวกไพ่นั้นวิ่งไปมารอบๆราวกับว่ายุ่งอยู่ ในขณะที่เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นกำลังผ่อนคลายกัน —ราวกับว่าเห็นการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเรื่องของคนอื่น และพูดอะไรอย่าง “ว้าว ลำบากจังนะ” ราวกับว่าเป็นผู้ชม
ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ภายในสนามรบก็เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เมจิคัลเกิร์ลฝ่ายเราบุกเข้าไปได้อย่างเฉียบคม และเมื่อศัตรูพยายามจู่โจมกลับมา พวกเธอก็ถอนกำลังเหมือนกับคลื่น พอศัตรูบุกเข้ามาลึก ไพ่ทรงพลังที่ซ่อนตัวอยู่ในเต็นท์ก็จะกระโจนออกมารอบๆแล้วจัดการเมจิคัลเกิร์ลฝ่ายศัตรู
“ความสามารถคนละระดับงั้นเหรอ หืมม”
บลูเบลหันไปรอบๆแล้วก็เห็นเมจิคัลเกิร์ลที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ เธอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่ากลัว แต่ในตอนนี้บลูเบลกำลังเข้าไปหาเธอ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มันทำให้อีกฝ่ายดูเหมือนกับคนที่มาช่วยชีวิตเลย “คุณพีเฟิลมาที่นี่ด้วยเหรอ?”
“มาสิ ก็เห็นอยู่นี่ว่าฉันอยู่ที่นี่”
“เอ่อ… นั่น… ไม่เป็นอะไรเหรอคะ?”
“สถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ของฉันหรอก บางทีอาจต้องใช้อะไรหลายๆอย่างเพื่อผ่านมันไป ที่สำคัญ —ดูนั่นสิ”
จู่ๆบลูเบลก็รู้ว่าศัตรูหายไปจากสนามรบหมดแล้ว ประตูยังคงเปิดออกอย่างช้าๆจนกว้างพอที่คนจะผ่านเข้าไปได้ แต่ทหารไพ่ก็ยังคงอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมกับเงื้อหอกขึ้น และไม่ได้ขยับไปจากจุดนั้น
“พวกนั้นไม่เข้าไปโจมตีเหรอ?” บลูเบลถามพีเฟิล
“ฉันแน่ใจนะว่าพวกนั้นระวังตัว เธอเองก็คงสัมผัสได้ถึงความใจเย็นของพวกนั้นเหมือนกัน แม้ว่าจะวางแผนที่จะบุกเข้าไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเร่งรีบ เห็นได้เลยว่ารักษาวินัยเคร่งครัดมาก” พีเฟิลใช้มือขวาบังแสงในตอนที่มองไปยังสนามรบ “จะให้พูดแล้ว เมจิคัลเกิร์ลแต่ละคนก็มีบุคลิกที่ต่างกัน มันเลยยากที่จะใช้พวกเธอเป็นกำลังทางทหาร การทำให้เคลื่อนย้ายกำลังเป็นกลุ่มอย่างลื่นไหลก็ยากด้วย… ที่ฉันพูดนี่เพราะว่าประทับใจกับชัฟฟินนะ แน่นอนว่ามันก็ขึ้นอยู่กับเวทมนตร์ของผู้บัญชาการด้วย —จะว่าไป นั่นเป็นอะไรที่มีแล้วสะดวกเลยล่ะ”
ในตอนที่มือขวาของเธอยังคงยกขึ้นเพื่อบังแสง เธอขยับวีลแชร์จากด้านหนี่งไปยังอีกด้านเพื่อเปลี่ยนทิศทางการมอง “กลาเซียอาเน่อยู่ไหนเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอเข้าไปในสนามรบแล้วนะ”
“เธอพักอยู่ในเต็นท์ค่ะ เธอบอกว่าสายตาของเธอล้ามาก”
“แบบนั้นก็แย่หน่อยนะ พวกเราต้องให้เธอทำงานต่อด้วย ตอนนี้ให้เธอพักไปก่อนคงไม่เป็นอะไร… เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อน” พอพีเฟิลออกไปได้ราวๆสองเมตร เธอก็หยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็หันกลับมาหาบลูเบลทันที บลูเบลจึงถอยหลังกลับแบบอัติโนมัติ
“จะว่าไป แล้วดีลูจล่ะ” พีเฟิลพูดออกมาแบบไม่ได้กังวล
“ค-คะ?”
“มีชัฟฟินอยู่ใกล้ๆแบบนี้เธอโอเครึเปล่า?”
“อ๊ะ ไม่หรอกค่ะ ดูเหมือนว่าเธอใจเย็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“เพราะแคนดี้ของเธองั้นเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ฉันหมายถึง ดูเหมือนว่าเธอไม่จำเป็นต้องใช้แคนดี้ของฉันอีกแล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้ใช้มันเลย”
พีเฟิลพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวอย่างกระทันหัน 180 องศาอีกครั้ง บลูเบลที่มองดูพีเฟิลออกไปก็คิดว่า เธอนี่แปลกคนจริงๆ
เมื่อมองตรงไปยังเต็นท์และพบว่าดีลูจกับดาร์คคิวตี้ยังคงไม่กลับมา บลูเบลก็ถอนหายใจ ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรที่เธอทำได้เลย แม้ว่าการที่เธอมาที่นี่เพื่อที่จะได้มีประโยชน์กับดีลูจ ช่วยสนับสนุนเธอแม้เพียงเล็กน้อย เธอลบความรู้สึกที่ว่าตัวเองไร้ประโยชน์ออกไปไม่ได้ มันกำลังลากเธอให้จมดิ่งลงไป
ทุกคนที่นี่ —ไม่ใช่แค่พีเฟิลและดาร์คคิวตี้ แต่เป็นทุกคน— ต่างก็มีงานที่ตัวเองต้องทำ บลูเบลคือคนๆเดียวที่ลังเลและติดอยู่ระหว่างทาง เธอคือคนที่มาที่นี่โดยไม่ได้เอาอะไรมาเลย
ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เธอก็รู้สึกเหนื่อยล้า เธอใส่แคนดี้เข้าไปในปากตัวเอง เมื่อเธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เธอก็พัก เธอเติมพลังกายและพลังใจ แบบนี้เธอก็จะมีประโยชน์มากขึ้น เธอหลับตาลงแล้วก็นวดระหว่างคิ้ว ที่นี่มีแดดจัด นอกจากเต็นท์แล้วก็ไม่มีที่ไหนให้หลบแดดเลย เต็นท์ผุดขึ้นมาทั่วทุกที่ราวกับดอกเห็ด แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกคนอื่นใช้ไปหมดแล้ว
ในตอนที่กำลังหาเต็นท์ที่ว่างอยู่ เธอก็ก้าวเดินอย่างโซซัดโซเซ แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าออกไปอีกก้าว มันก็มีอะไรบางสิ่งที่อุ่นๆมาสัมผัสกับปากของเธอ ก่อนที่เธอจะรู้ว่ามันคือมือของใครบางคน ปากและลำคอของเธอก็ถูกจับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอชูมือไปข้างหน้าแต่มันก็ทำได้เพียงสัมผัสกับอากาศ เธอตะโกนหรือส่งเสียงอะไรไม่ได้ ตัวของเธอถูกลากเข้าไปในเต็นท์โดยไม่มีใครเห็น
ตอนนี้มือที่ปิดปากของเธอเอาไว้ถอยห่างออกไป บลูเบลจึงใช้โอกาสนั้นเปิดปากเพื่อที่จะตะโกน แต่มันก็มีบางอย่างใส่เข้ามา ทรงกลมบางอย่างละลายอยู่บนลิ้นของเธอ เธอพยายามจะถ่มมันออก แต่ในตอนนั้นปากของเธอก็ถูกปิดเอาไว้อีกครั้งจนเธอทำไม่ได้ ในพริบตาเดียว ทรงกลมบางอย่าง —หรือก็คือแคนดี้— ก็ละลายอย่างสมบูรณ์ และบลูเบลก็จำได้ว่าตัวของเธอไม่ใช่บลูเบลแต่อย่างใด
☆ ปรินเซสดีลูจ
เมื่อเธอมาถึงที่นี่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบสวน เธอก็ไม่ได้พยายามปกปิดใบหน้าของตัวเอง พีเฟิลบอกว่าไม่เป็นอะไร ดังนั้นมันจะมีปัญหาอะไรได้กันล่ะ? ต่อให้บางคนรู้ว่าดีลูจฆ่าชัฟฟินในเมือง W ไปเป็นจำนวนมาก จนเกิดความโกลาหลและเข้ามาเผชิญหน้ากับเธอ เธอก็แค่ต้องสู้กับคนพวกนั้นแล้วก็วิ่ง การที่เธอไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้คงเป็นเพราะตัวของเธอคงสิ้นหวังมากพอแล้ว แต่มันก็ไม่ได้มีความโกลาหลหรือการเผชิญหน้าอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นการอยู่ในเต็นท์ตัวเองอย่างเงียบๆคงดีที่สุด
หากเธอเป็นเหมือนเมื่อก่อน ตัวของเธอคงรับมันไม่ไหว เควค เท็มเพรส อินเฟอร์โน และปริซึม เชอร์รี่ ทุกคนจะฟื้นขึ้นมาในใจของเธอพร้อมกับความรู้สึกร่าเริงราวกับเป็นความจริง จากนั้นพวกเธอก็ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ทำไมพวกเธอถึงต้องตายด้วย ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ ทั้งหมดมันเป็นเพราะคนพวกนั้น ถ้าพวกมันหายไปล่ะก็ เธอคิดเช่นนั้นและก็ลงมือสร้างสถานการณ์กับชัฟฟินโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา เธอจึงคิดว่าการที่เธอมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้มันเป็นเพราะผลที่ตามมาจากการกระทำ
“ชั้นได้ยินอะไรบางอย่างมาจากหัวหน้า”
ดีลูจเงยหน้าขึ้น คนที่นั่งอยู่ด้านในเต็นท์คือเมจิคัลเกิร์ลชุดดำที่หลอมรวมเข้ากับความมืด ท่าทางของเธอดูอาวุโสกว่า แต่การที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมเต็นท์มันก็มีส่วนทำให้เธอดูงี่เง่าไปด้วย
“เธอบอกว่าจอมเวทจากหน่วยสืบสวนไปรับเมจิคัลเกิร์ลที่คฤหาสน์พัค”
ดีลูจเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ในตอนที่กลาเซียอาเน่ตรวจสอบว่าชาโดว์เกลอยู่ที่ไหน พีเฟลก็บอกเธอว่ามีเมจิคัลเกิร์ลหนีไปพร้อมกับสิ่งของต่างๆของสโนไวท์ จากนั้นก็รับเธอเข้ามาในการดูแล
“…เรื่องนั้นมันทำไมเหรอ?” ดีลูจถาม
“เป็นคนเดียวกับที่พวกเราสู้ด้วยในสวนสาธารณะ คนที่มีเวทมนตร์ที่ทำให้เชื่อในสิ่งที่พูดแบบไม่มีเงื่อนไข”
ดีลูจมองไปที่ใบหน้าของดาร์คคิวตี้ คนที่แทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลย แต่ในตอนนี้ตอนนี้ ตั้งแต่แก้มจนถึงปากของเธอกลับขยับเล็กน้อย
“ชั้นฆ่าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่อยู่กับเธอไป…” ดาร์คคิวตี้พูดต่อ “เหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เป็นพวกเดียวกัน แต่ยังเป็นครอบครัวด้วย”
“…แล้ว?”
“แม้ตอนนี้จะมีเป้าหมายร่วมกัน แต่ถ้าเธอรู้ว่าชั้นอยู่ที่นี่ เธออาจเข้ามาหาชั้นด้วยตัวเองก็ได้”
“นี่เธออยากให้อีกฝ่ายเข้ามาฆ่างั้นเหรอ?”
ดาร์คคิวตี้มองลงไปที่พื้นพร้อมกับส่ายหน้า “ชั้นกำลังคิดว่าตัวเอกจะทำยังไง จะร่วมมือกับชั้นเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า แม้ว่าชั้นจะเป็นคนฆ่าคนที่เธอรักก็ตาม หรือเธอจะโดนครอบงำด้วยความต้องการของตัวเองแล้วเข้ามาหาชั้นโดยไม่สนว่าจะเสียอะไรไปบ้างกันนะ? การกระทำแบบไหนคือสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอกกันแน่? ถ้าเธอเลือกอย่างหลัง แบบนั้นตัวร้ายก็ไม่ควรจะถูกฆ่า ชั้นคิดว่าชั้นปฎิบัติกับตัวเอกด้วยการดูถูกเหยียดหยามอย่างการสัมผัสจุดอ่อนของเธอตรงหน้าพร้อมกับพูดว่า ‘น่าหัวเราะสิ้นดี แกควรพยายามจะฆ่าชั้นด้วยการใช้ทุกสิ่งที่ตัวเองมี! ถ้าอยากจะฆ่าชั้นนักล่ะก็ ไปแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ซะ’ —และด้วยการพูดเป็นนัยว่าให้เธอมาสู้กันอีกครั้งเมื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ลุล่วงไปแล้ว มันพูดได้ว่าทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยแล้วก็จริง แต่นั่นมันก็จะไม่ทำให้พวกเรากลับไปเป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้ ในตอนที่การแก้มือยังไม่ถูกเติมเต็มไม่ใช่หรือ?”
เธอพึมพำไปเรื่อยๆในตอนที่มองลงไปที่พื้น นี่เธอพูดกับดีลูจหรือพูดกับคนอื่นกันนะ? หรือว่าเธอพูดเรื่องนี้ให้ตัวเองฟัง? ถ้าไม่ใช่โมโนชิริ มิจจังกับกลาเซียอาเน่ ดีลูจเองก็ไม่รู้เช่นกัน
แม้จะเป็นดีลูจ คนที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีสภาพจิตใจมั่นคง ยังคงแน่ใจว่าจิตใจของดาร์คคิวตี้ไม่ได้ปกติ ทุกคน —พีเฟิล มิจจัง และกลาเซียอาเน่— รู้ถึงความจริงข้อนี้ แต่พวกเธอก็ปล่อยให้ดาร์คคิวตี้เป็นแบบนี้ของเธอไป
หากไม่ได้มีอันตรายเกิดขึ้น แบบนั้นก็ไม่เป็นอะไร ในตอนนี้ดีลูจแค่ต้องการคิดเรื่องอื่น แต่ดาร์คคิวตี้ก็ช่างพูดอย่างผิดปกติจนทำให้เธอจดจ่อกับความคิดของตัวเองไมได้ ซึ่งมันน่าหงุดหงิดเล็กน้อย
“ตัวร้ายควรจะคิดเรื่องแบบนั้นรึเปล่า?” เธอไม่ได้หมายความตามที่พูดเสมอไป แต่มันเป็นแค่คำพูดน่ารังเกียจที่หลุดออกมาจากปากของเธอ
“เธอคิดว่าการวางแผนการมันไม่เหมาะกับตัวร้ายงั้นเหรอ?”
“การวางแผนโดยไม่ให้ตัวเอกรู้คืองานของตัวร้าย” ไม่ว่าดีลูจจะพูดอะไร ดาร์คคิวตี้ก็จะหาข้ออ้างให้ตัวเองอยู่ดี เพราะแบบนั้นดีลูจจึงหลับตาลง
ในความมืดอันว่างเปล่า ทุกสิ่งที่เธอได้ยินคือคำพูดของดาร์คคิวตี้ “บางครั้งผู้ล้างแค้นก็จะกลายเป็นตัวเอก เธอเองก็อาจจะกลายเป็นตัวร้ายได้เช่นกัน แต่กระนั้น คนที่ตายไปโดยไม่ได้กลายเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งคือเรื่องที่ธรรมดามาก ชั้นแน่ใจว่ามันคือเรื่องจริง และเรื่องนั้นก็ไม่มีใครรู้ เพราะไม่มีใครคอยเล่าเรื่องราวของพวกเธอ ดีลูจ— เธอคือผู้ล้างแค้นรึเปล่า? หรือว่าไม่ใช่ล่ะ?”
ดีลูจลืมตา และดาร์คคิวตี้ก็ยังคงมองลงไปที่พื้นเช่นเคย
MANGA DISCUSSION