บางครั้งทามะก็เป็นแบบนี้
ที่โรงเรียนมัธยมต้นนาบุกะปีที่สาม พวกเราได้จัดตั้งกลุ่มสองคนสำหรับงานวิจัยอิสระขึ้นมา แต่ละกลุ่มนั้นจะทำงานร่วมกันเพื่อศึกษาอะไรบางอย่างที่ตัวเองสนใจ ค้นคว้ามัน จากนั้นก็ทำการรวบรวมรายงานเรื่องกระบวนการและผลลัพธ์ ซึ่งรายงานที่ดีที่สุดของแต่ละชั้นจะถูกคัดเลือก และกลุ่มนั้นจะต้องนำเสนอผลลัพธ์ต่อหน้านักเรียนทั้งหมดในภายหลัง
กลุ่มสองคนคือกลุ่มที่เล็กที่สุดเท่าที่จะมีได้ มันไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องการปฎิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดได้เลย ดังนั้นเมื่อต้องหาคู่หู เรื่องต่างๆจึงตึงเครียดกว่าปกติ ไม่มีใครอยากคิดเรื่องการได้เป็นหนึ่งคนที่เป็นเศษเหลือ แต่นักเรียนทุกคนก็พูดคุยและหัวเราะกันราวกับว่าไม่ได้คิดเรื่องนั้นอยู่ในใจในขณะที่พวกเราถูกแบ่งเป็นคู่ ย้อนกลับไปสมัยประถม มันก็ไม่เคยมีปัญหามากขนาดนี้ ต่อให้เป็นมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยชั้นก็พนันได้เลยล่ะว่าก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่านี้เหมือนกัน ชั้นสงสัยว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะยังคงกังวลเรื่องแบบนี้รึเปล่านะ แต่สำหรับนักเรียนมัธยมต้น แค่กังวลเรื่องการแยกกลุ่มมันก็ทำให้รู้สึกปวดท้องขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยชั้นก็คิดแบบนั้น
จำนวนของคนในกลุ่มคือสอง พูดอีกแบบหนึ่งก็คือเป็นคู่ กลุ่มเพื่อนของพวกเราที่รวมตัวของชั้น จิฮิโระ คุวาตะ ไปแล้วก็มีทั้งหมดหกคน หากต้องแบ่งกลุ่ม พวกเราก็สามารถแบ่งกันเป็นกลุ่มได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่หรือกลุ่มสามคน ด้วยการมีคนอยู่หกคนแล้ว มันก็สามารถแบ่งอะไรได้อย่างเท่าเทียมกัน การมีกลุ่มใหญ่อย่างสี่ถึงหกคนนั้น มันก็สามารถยืดหยุ่นเรื่องจำนวนคนได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าโชคร้ายที่สมาชิกหนึ่งคนในกลุ่มเกิดอุบัติเหตุจนข้อเท้าหักและต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะก็ พวกเราก็สามารถจับคู่กันได้ตามปกติ แต่การที่พวกเราเหลืออยู่กันห้าคน มันก็หมายความว่าไม่สามารถจับเป็นสามคู่ได้
ทุกคนต่างก็มีท่าทีที่สดใส แต่ก็มีความกังวลใจปนอยู่ด้วย มันน่าอายที่ต้องเป็นคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ และชั้นก็เดาว่าทั้งสี่คนจะทิ้งหนึ่งคนที่สามารถอยู่กับคนที่ถูกทิ้งเอาไว้เช่นเดียวกันเหมือนกับก่อนหน้านี้ ชั้นคิดคำนวนในหัวอย่างรวดเร็วแล้วก็พูดออกมา
“ถ้างั้นชั้นจะไปจับคู่กับคนอื่นนะ”
มันจะเป็นปัญหาถ้าบางคนที่ควรเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มถูกทอดทิ้ง ถ้าชั้นก้าวออกมาเอง มันก็จะลดความอึดอัด แล้วก็ไม่มีความอับอายอีกต่อไป ทุกคนเอาแต่พูดว่า “จิฮิโระไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย” แล้วก็ “ฉันจะไปเอง” แต่ชั้นคิดว่าโดยส่วนตัวแล้วพวกเธอรู้สึกโล่งใจมากกว่า ชั้นหมายถึงถ้าตัวเองอยู่ในจุดเดียวกันกับพวกเธอน่ะนะ
ในตอนนี้ การที่ชั้นจะออกมาด้วยตัวเองมันดีที่สุดแล้ว การที่เพื่อนในกลุ่มจากหกคนลดลงเหลือห้าคนแทนที่จะเป็นหกคนตามปกตินั้นชั้นไม่ชอบเอาซะเลย ไม่ใช่ว่าภายในกลุ่มมันสามารถกำหนดตัวเลขแบบเป็นลำดับขั้นได้ แต่ชั้นก็สัมผัสแบบรางๆได้ว่ามันเป็นยังไง ชั้นเคยอยู่ในอันดับที่สามหรือสี่ ถ้ามีใครซักคนที่จะถูกตัดออกไป มันก็มีโอกาสมากที่จะเป็นชั้นนี่แหละ
เพราะแบบนั้นชั้นถึงถอยออกมาจากกลุ่มอย่างเต็มใจ แต่มันก็สายเกินไปเล็กน้อย
พวกเราต่างคนต่างเกี่ยงกันว่า “ฉันจะไป” “ไม่ ไม่ เราไปเอง” อย่างกับเรื่องตลกร้าย จนคนส่วนใหญ่ในชั้นก็จับคู่กันเรียบร้อยแล้ว ภายในชั้นเรียนเองก็มีลำดับขั้นเหมือนกับภายในกลุ่ม พวกเราอยู่ลำดับกลางๆ หากชั้นทำตัวเอื่อยเฉื่อยล่ะก็ โดยปกติแล้วจะไม่มีใครหยุดรอ พวกนั้นจะจับคู่กันโดยที่ไม่มีชั้น
ด้วยการที่เป็นคนเดียวที่ถูกทิ้งเอาไว้ มันจึงทำให้ชั้นไม่มีทางเลือกอื่น
ตลอดทั้งภาคเรียน ทั้งในชั่วโมงเรียนและนอกเวลาเรียนจะถูกจัดสรรให้กับงานวิจัยอิสระ ภายในห้องเรียนแต่ละกลุ่มนั้นจะรวมกลุ่มกันเพื่อพูดคุย ทำการค้นคว้าที่ห้องสมุด ออกไปภายนอกโรงเรียนเพื่อทำการสำรวจ หรือใช้การสำรวจเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะโดดเรียน กลุ่มของชั้นยังไปไม่ถึงขั้นวิจัยเลย ก่อนอื่นพวกเราต้องตัดสินใจว่าจะทำอะไรก่อน
คู่หูชั่วคราวและชั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้คนละฝั่งของโต๊ะ เธอนั้นตัวเตี้ย ส่วนชั้นนั้นตัวสูง แม้ในตอนที่พวกเรานั่งอยู่ ระดับสายตาของเธอก็ต่ำกว่าของชั้นประมาณสองหรือสามนิ้ว บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมระยะห่างของโต๊ะแค่ตัวเดียวก็ให้ความรู้สึกไกลกว่าที่เห็น แล้วชั้นก็รู้สึกโอเคกับมันด้วย
“เอ่อ…ฝากตัวด้วยนะ…”
ทามะ อินุโบซากิ เธอไม่ใช่แค่คนที่แย่ที่สุดในชัั้นเรียน แต่ยังเป็นคนที่แย่ที่สุดในโรงเรียนอีกด้วย เธอเป็นคนที่อยู่ในอันดับต่ำสุดของชั้นปี เธอเล่นกรีฑาได้ดีก็จริงแต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ตอนที่แข่งขันกระโดดเชือกระหว่างชั้นเรียน เท้าของเธอก็ไปโดนเชือกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกคนมองเธอด้วยสายตาน่ารังเกียจจนกระทั่งเธอน้ำตาซึม ชั้นไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกดีใจที่ไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกันกับเธอในตอนนั้น
เพราะเธอไม่ได้มีเรื่องน่าสนใจจะให้พูดถึงและเป็นแค่นักเรียนที่แย่ทั้งวิชาการและกีฬา เพราะแบบนั้นมันจึงไม่มีใครต้องการเธอ เธออยู่ในอันดับต่ำที่สุดของชั้นเรียน เธอโดนกลั่นแกล้ง โดนหัวเราะเยาะเย้ย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ไม่ได้โกรธเลย เธอแค่ฝืนยิ้มออกมากับความงี่เง่าของตัวเอง
ชั้นไม่ได้อยากให้กลุ่มต้องมาแตกหักกันเพราะเรื่องที่ต้องมีคนออกไป นั่นคือเหตุผลที่ชั้นอาสาออกมาเอง แต่ชั้นก็ไม่รู้เลยว่าต้องมาทำงานวิจัยอิสระกับทามะ อินุโบซากิ แต่ชั้นก็เปลี่ยนแปลงเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ได้ ทุกสิ่งที่ชั้นทำได้ในสถานการณ์แบบนี้ คือการหลีกเลี่ยงทำตัวไม่ให้เด่นที่สุดเท่าที่ทำได้เท่านั้น
แค่ไม่ดึงดูดความสนใจมาที่ตัวเองก็พอ แค่ไม่ทำตัวเองให้น่าหัวเราะหรือดูอับอายก็พอ แค่ไม่ทำลายชื่อเสียงของชั้นกับอาจารย์เท่านั้น —ทุกสิ่งมันเอาแต่ถามชั้นว่าให้พยายามอย่าง “มากพอ” คู่ของชั้นไม่ได้มีเรื่องนั้น ดังนั้นชั้นจึงเป็นคนที่ถูกบังคับให้ต้องมีมัน
และการสร้างผลลัพธ์ของงานวิจัยนี้มันก็ไม่ใช่แค่งานเดียวที่ชั้นถูกบังคับให้ทำ
ค่าของมันจะขึ้นอยู่กับว่าร่วมมืออยู่กับใคร คนใหญ่คนโตคนไหนเป็นคนที่พูดแบบนี้กันนะ? ชั้นเป็นคนเดียวที่ถูกบังคับให้จับคู่กับทามะ อินุโบซากิ คนที่ปกติแล้วไม่มีใครคบด้วย แถมยังต้องรู้สึกถึงสายตาของหลายๆคนที่อยู่ในห้องเรียนจ้องมองมาอีก ถ้าอยากจะหัวเราะใส่ชั้นล่ะก็เชิญเลย ชั้นไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับทามะ อินุโบซากิในที่ที่เต็มไปด้วยสายตาของคนอื่นอยู่แล้ว ต่อให้พวกเราดูสนิทกัน ชั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นแบบนั้น ชั้นจำเป็นต้องทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจับคู่กับนักเรียนเกรดต่ำ เพราะถ้าชั้นถูกปฎิบัติด้วยเหมือนเป็นเพื่อนของเธอล่ะก็ จากนั้นเป็นต้นมาชั้นก็จะกลายเป็นคนที่ถูกผลักไล่ไสส่งออกจากชั้นเรียนเหมือนกับเธอไปเลย —ซึ่งมันก็คือเรื่องหายนะ
“อินุโบซากิ”
แน่นนอนว่าน้ำเสียงของชั้นไม่ได้ฟังแล้วรื่นหู แต่มันก็ทำให้ทามะ อินุโบซากิตัวสั่นไปทั้งตัว “อะ-อื้อ?”
“เธอมีความคิดเรื่องที่อยากจะทำรึเปล่า?”
“อื้อ…” เธอคุ้ยหาด้านในโต๊ะของตัวเอง และชั้นก็ตะลึงที่ได้คำตอบที่ไม่คาดคิดกลับมา ชั้นคิดไว้ว่าเธอไม่ได้เตรียมอะไรเอาไว้เลยและตั้งใจเกาะคนอื่นให้ผ่านไป แต่เหมือนว่าเธอจะเตรียมอะไรบางอย่างเอาไว้ เธอดึงเอากระดาษถ่ายเอกสารไม่กี่หน้าที่และตรงมุมกระดาษก็ถูกพับเอาไว้ออกมา เธอดึงมันออกมาด้วยปลายนิ้วแล้วงอกลับไปอีกทาง จากนั้นก็ยื่นมาให้ชั้น
ทางด้านซ้ายของกระดาษมันถูกเย็บเข้าไว้ด้วยกันเหมือนกับหนังสือเล่มเล็ก มันดูน่าเชื่อถืออย่างน่าประหลาด ชั้นเปิดมันดูแล้วก็พบว่าลายมือของเธอแย่มาก มันเป็นนิสัยเฉพาะตัวที่แปลกประหลาดในการทำให้ลายมือของตัวเองอ่านยากแบบสุดๆ แต่มันก็มีส่วนสำคัญที่เน้นด้วยสีแดงหรือสีน้ำเงินอยู่ด้วย จนสัมผัสได้ถึงความพยายามอย่างน่าประหลาดเลย
บางทีเธออาจจะอยากทำจริงๆก็ได้ แต่ชั้นได้ยินมาจากที่ไหนซักที่ว่าไม่มีใครไร้ประโยชน์ไปกว่าคนโง่แต่ขยันอีกแล้ว การไม่คาดหวังอะไรมากคงจะดีที่สุด ชั้นอ่านมันอย่างผ่านๆ แต่พอพลิกกระดาษไป มือของชั้นกลับหยุดลง สิ่งที่เขียนเอาไว้มันคือวิธีการปลูกพืชว่าควรจะใช้ดินประเภทไหน และทำการค้นคว้าด้วยการใช้ดินต่างประเภทกับพืชแต่ละชนิด มันไปจนถึงขั้นที่สังเกตความแตกต่างของการจัดสรรดินและการระบายน้ำ
ชั้นเงยหน้าขึ้นจากสมุดเล่มเล็กและมองไปยังทามะ อินุโบซากิ เธอนั้นกำลังตัวสั่นราวกับว่ากำลังหวาดกลัว
นี่มันไม่เลวเลย มันทำให้ชั้นมองเธอในแง่ดีขึ้นเล็กน้อย —แค่เล็กน้อยน่ะนะ จากนั้นชั้นก็เปิดไปยังหน้าถัดไป
ส่วนท้ายของเนื้อหาพูดเกี่ยวกับดินและพืชพรรณ ต่อไปก็คือการวิจัยความแตกต่างของดินในแต่ละพื้นที่ —อย่างเช่นภูเขากับทะเล ต้นน้ำและปลายน้ำ ย่านที่พักอาศัยและพื้นที่สำนักงาน และอีกหลายสถานที่— แล้วก็คิดว่าทำไมถึงแตกต่างกัน จากนั้นก็มีข้อเสนอเพื่อตรวจสอบชั้นดินของเมือง N และพิจารณาว่าภูมิประเทศสมัยก่อนนั้นเคยเป็นยังไง และอะไรที่ทำให้เปลี่ยนมาเป็นแบบปัจจุบัน และหลังจากนั้น… ชั้นก็พลิกหน้ากระดาษของสมุดเล่มเล็กไปหมดแล้ว หน้าสุดท้ายมันจบลงด้วยภาพวาดของเด็กสาวหูสุนัขที่กำลังโบกมือพร้อมกับกรอบคำพูดที่เขียนไว้ว่า “ลาก่อน!” มันดูไม่ค่อยดีนักเหมือนกับลายมือของเธอเลย
“อินุโบซากิ”
“ค-คะ?”
“ทำไมทั้งหมดนี่ถึงเกี่ยวกับดินล่ะ?”
“เพราะฉัน…ชอบขุดหลุมค่ะ…”
พอชั้นนึกภาพของเด็กสาวที่ไม่มีเพื่อนและอยู่คนเดียวตรงมุมสนามหญ้าของโรงเรียนพร้อมกับใช้พลั่วขุดดินอย่างไม่ลดละ ชั้นก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ชั้นไม่รู้เลยว่าเธอไม่มีเพื่อนเพราะว่าเป็นคนแปลก หรือเพราะว่าเธอเป็นคนแปลกก็เลยไม่มีเพื่อนกันแน่ แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของทามะ อินุโบซากิที่มีต่อดิน —หรือการขุดหลุม— นั้นเป็นบางสิ่งที่พวกเราสามารถใช้การได้
เมื่อพวกเราตัดสินใจที่จะวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงชั้นดินในเมือง N แล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังห้องสมุด ชั้นอยากจะค้นหาหนังสือที่ต้องก่อนที่ชั่วโมงโฮมรูมจะจบลง
ชั้นสั่งทามะ อินุโบซากิไปว่าให้หยิบอะไรที่ดูเหมือนใช้การได้มาจากชั้นหนังสืออ้างอิงวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ในขณะที่ชั้นค้นหาหนังสือภาพอ้างอิงเรื่องโลกและชั้นดิน ห้องสมุดของโรงเรียนเราไม่ได้มีสิ่งที่น่าสนใจอย่างบรรณารักษ์ แถมยังไม่มีคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาด้วย พวกเรามีแค่สมาชิกของคณะกรรมการห้องสมุดประจำอยู่ตอนพักเที่ยงและหลังเลิกเรียน ดังนั้นในช่วงเวลาเรียนมันจึงไม่มีใครอยู่ ถ้าหากพวกเราจะไปหาหนังสือ พวกเราก็ต้องทำด้วยตัวเอง นอกจากพวกเราแล้วก็มีนักเรียนคนอื่นที่กำลังทำการค้นหาอยู่ด้วย หากพวกเราจำเป็นต้องหนังสือเล่มเดียวกันแล้วพวกนั้นเอาไปก่อน แบบนั้นมันก็จะยุ่งยากมากขึ้น
ชั้นเริ่มค้นหาจากชั้นของภาพประกอบนำเที่ยว หนังสือสามในเจ็ดเล่มไม่อยู่ที่นี่ แต่อีกสี่เล่มยังคงอยู่ พอคิดดูแล้วว่าห้องสมุดโรงเรียนของเรานั้นเล็กแค่ไหน ผลลัพธ์มันก็กลายเป็นว่ายอดเยี่ยมไปเลย ชั้นดึงเอาหนังสือสามเล่มแรกออกมา จากนั้นก็เป็นหนังสือเล่มที่สี่ที่ค่อนข้างหนาและอยู่ตรงชั้นบนสุด ชั้นเอื้อมไปไม่ถึงเพราะเตี้ยเกินไป ชั้นจึงไปเอาเก้าอี้มาและจับขอบของชั้นวางหนังสือไว้ได้ด้วยปลายนิ้ว ชั้นจับหนังสือเอาไว้แล้วดึงมันออกมาแต่มันก็ติดอยู่แน่นมาก ตอนนั้นชั้นยืนอยู่ด้วยปลายเท้าและยืดมือออกไปจับหนังสือเพื่อดึงออกมาอย่างช้าๆ —ชั้นใส่แรงดึงมันออกมาเพราะคิดว่าอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น และทันใดนั้นจู่ๆมันก็หลุดออกมาพร้อมกับเสียงดังฟุบ เพราะแบบนั้นร่างกายท่อนบนจึงเอนไปด้านหลัง จนชั้นเกิดเสียสมดุลย์ หนังสือจำนวนหนึ่งก็ร่วงลงมาเข้าหาใบหน้า ชั้นจึงตอบสนองด้วยการปิดตาและกัดฟันเอาไว้ เตรียมรับความเจ็บปวดและแรงกระแทกที่จะตามมา… แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย หลังของชั้นไม่ได้กระแทก หนังสือเองก็ไม่ได้หล่นลงมาโดนใบหน้าเช่นกัน
ชั้นเปิดตาออกอย่างช้าๆ —แล้วก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นทามะ อินุโบซากิอยู่ตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้น หน้าผากของพวกเราชนกัน “โอ๊ย” ชั้นส่งเสียงครางออกมา เธอเองก็ร้องออกมาเหมือนกัน แถมกำลังกดหน้าผากพร้อมก้มตัวลง ไหล่เองก็ยังสั่นด้วย
ชั้นตรวจดูรอบๆ หนังสือภาพที่ร่วงลงมามันกองกันอยู่บนโต๊ะ เก้าอี้เองก็ไม่ได้หงาย ชั้นไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ชั้นคิดว่าทามะ อินุโบซากิช่วยชั้นเอาไว้ แต่ว่าชั้นก็รู้สึกประทับใจที่เธอช่วยชั้นทั้งๆที่ตัวเองมีปฎิกิริยาเข้าขั้นแย่
“อินุโบซากิ”
“ค-คะ?”
“ขอบใจนะ”
“มะ-ไม่เป็นไร” เธอหน้าแดงพร้อมกับก้มหน้าลงและเอามือขวาจับที่ท้ายทอย เธอดูเหมือนจะอาย ชั้นคิดว่าตัวเองเข้าใจเด็กคนนี้ แต่จริงๆแล้วชั้นไม่ได้เข้าใจเธอเลย
ตอนชั่วโมงอื่นเช่นเดียวกับวิชาพละ ทามะ อินุโบซากิก็เป็นเหมือนกับทามะ อินุโบซากิคนเดิม อาจารย์สอนคณิตศาสตร์ไม่ได้ถามคำถามอะไรกับเธอ ทำเหมือนกับว่าเธอไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นี่ เมื่อพวกเราเล่นบาสเก็ตบอลในชั่วโมงพละ เธอก็วิ่งไปทั่วแบบไร้จุดหมายและไม่ได้จับบอลเลย ทั้งอาจารย์ เด็กคนอื่น มันไม่มีใครเลยที่ชายมองเธอ มีเพียงชั้นคนเดียวที่ทำแบบนั้น
ยิ่งมองดูเธอมากเท่าไหร่ ชั้นก็ยิ่งมองเห็นทามะ อินุโบซากิคนเดิมมากเท่านั้น แต่ชั้นรู้สึกว่าบางครั้งเธอนั้นต่างออกไป มันมีอะไรที่ต่างออกไปกันนะ? มันไม่ใช่ว่าเธอฉลาดขึ้น ไม่ใช่ว่าทักษะทางกายภาพพัฒนาขึ้น สิ่งที่ต่างออกไปมันคือพฤติกรรม การกระทำของเธอ แม้ว่าจะไม่ได้มีผลอะไรนัก แต่เธอก็ดูมั่นใจขึ้นกว่าแต่ก่อน
ตอนเล่นบาสเก็ตบอล มือของเธอนั้นไม่เคยได้จับลูกเลย แต่ก่อนหน้านี้ เธอเอาแต่อยู่ตรงมุมสนาม แสร้งทำเป็นว่าเคลื่อนที่ไปรอบๆ และไม่เคยขึ้นไปข้างหน้า แม้วันนั้นมันจะไม่ได้มีประโยชน์ แต่เธอก็วิ่งไปรอบๆมากพอจนเหนื่อยหอบ
ชั้นสัมผัสได้ถึงความมมั่นใจบางอย่าง เธอยังคงขี้อายและลังเลอยู่ก็จริง แม้ชั้นจะแค่คุยกับเธอตามปกติ เธอก็ดูหวาดกลัว แต่เธอก็ต่างไปจากเมื่อก่อนจริงๆ
ในตอนที่กำลังเรียน ในตอนที่ผ่านบอลไปรอบๆ ในตอนที่คุยกับเพื่อน ในตอนที่ทำความสะอาด ในตอนที่เดินมาโรงเรียนและกลับจากโรงเรียน ในตอนที่อาบน้ำ ในตอนที่หั่นสเต็กซาลิสบูรี่ที่เป็นมื้อเย็นออกเป็นหกชิ้น ในตอนที่อาบน้ำ ในตอนที่แปรงฟัน ในตอนที่ดูละคร ชั้นก็เอาแต่คิดถึงเรื่องของทามะ อินุโบซากิ ตอนกลางคืนที่นอนอยู่บนเตียง ชั้นก็รู้สึกตัวว่าทั้งวันไม่ได้คิดเรื่องอะไรเลยนอกจากเรื่องของเธอ จนรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง จากนั้นชั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้
วันต่อมามันไม่มีชั่วโมงโฮมรูม ดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้องทำโปรเจคงานวิจัยอิสระ แต่ชั้นก็สัญญากับทามะ อินุโบซากิไว้ว่าพวกเราจะมาเจอกันที่ห้องสมุดหลังเลิกเรียน ชั้นบอกตัวเองว่าเพราะวันนั้นไม่มีเรียนพิเศษ และเพราะว่าชั้นอยากให้งานมันเสร็จเร็วๆ แม้รู้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงก็ตาม แต่ชั้นก็ตัดสินใจแสร้งว่าเป็นแบบนั้น ชั้นไม่อยากเดินคู่กันกับเธอ ดังนั้นชั้นถึงไม่พาเธอไปห้องสมุดด้วยกัน ชั้นแค่ไปรอเธอที่นั่น —นั่นคือแผนที่คิดเอาไว้ซึ่งมันดูเหมือนกับข้ออ้าง
หลังจากโรงเรียนเลิก ชั้นก็มุ่งหน้าไปยังม้านั่งตรงที่จอดจักรยานข้างห้องสมุด ชั้นไม่ชอบการถูกทำให้รอ และการทำให้ใครบางคนต้องรอก็เหมือนกับติดหนี้อีกฝ่ายด้วย และชั้นก็ไม่ชอบอะไรแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นในตอนที่กำลังเดินไป ชั้นจึงดูมือถืออยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เดินช้าลงและไปให้ถึงตรงตามเวลา ทามะ อินุโบซากินั่งอยู่คนเดียวบนม้านั่งและกำลังจ้องมองหน้าจอมือถือ หากเรียกเธอมันคงเป็นการรบกวน ดังนั้นในตอนที่เดินอยู่บนกรวดชั้นจึงทำเสียงฝีเท้าให้ดังขึ้นเพื่อให้เธอรู้ตัว แต่เธอก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอยังคงจ้องมองไปที่มือถือ มันจึงทำให้ชั้นรู้สึกหงุดหงิด —หรืออีกอย่างก็คือใจร้อน เพราะแบบนั้นชั้นถึงเดินเข้าไปหาเธอโดยไม่ได้พูดอะไรแล้วอ้อมไปด้านหลังเพื่อแอบดูหน้าจอด้วยความสงสงสัยว่าเธอทำอะไรอยู่ ชั้นเห็นเธอกำลังเล่น เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค มันเป็นเกมมือถือที่โฆษณาว่าเล่นฟรี ดังนั้นเด็กประถมหรือเด็กมัธยมต้นจึงเล่นมัน ชั้นเองก็เล่นด้วยเหมือนกัน ชั้นไม่รู้มาก่อนว่าเธอเล่นมันด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร แม้จะเป็นคนที่ไม่ได้สุงสิงกับใครในห้องเรียน คนที่ตัดขาดจากเรื่องสมัยนิยมก็ยังคงเล่นมัน —เกมนี่มันแพร่ไปทุนหนทุกแห่งจริงๆ
“อ๊ะ!” เธอส่งเสียงและมองขึ้นมา จากนั้นก็รีบซ่อนมือถือของตัวเอง แต่ชั้นจับแขนของเธอเอาไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น
ชั้นชี้ไปที่หน้าจอแล้วก็ถามออกไปพร้อมกับมีรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงของตัวเองอาจจะสั่น “เอ่อ ตราวงเวทตรงช่องเลเวลนี่… เธออยู่ระดับสูงสุดงั้นเหรอเนี่ย?”
“ค่ะ… เอ่อ รู้จัก เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค ด้วยเหรอคะ?”
“อื้อ ชั้นเองก็เล่น ขอดูหน้าจอสถานะหน่อยได้ไหม?”
“ดะ-ได้ค่ะ”
อวาตาร์หูสุนัขของเธอมันดูคุ้นเคยมาก แถมยังมีค่าพลังที่มหาศาลตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ เธอมีเลเวลสูงสุด นอกเหนือจากค่าพลังโจมตี ป้องกัน และ HP ที่สูงแล้ว เธอก็ยังไอเท็มเสริมที่ทรงพลังอีกด้วย พอดูตรงช่องสวมใส่อุปกรณ์ ชั้นก็เห็นแรร์ไอเท็มทุกชิ้นที่ได้ยินมันมาจากข่าวลือเท่านั้นอยู่อีกต่างหาก
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย?” ชั้นถามเธอ
“เอ่อ… ก็ เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค ไงคะ”
“ชั้นรู้! ที่ชั้นจะถามน่ะคือทำไมเลเวลของเธอถึงสูงขนาดนี้ต่างหากล่ะ!”
“ก็…เพราะฉันเล่นมันบ่อยน่ะค่ะ”
ถ้าเธอบอกว่า “เล่นบ่อย” ล่ะก็ แบบนั้นชั้นกับเพื่อนเองก็ “เล่นบ่อย” เหมือนกัน แต่เลเวลของพวกเราไม่ถึงครึ่งของเมจิคัลเกิร์ลหูสุนัขเลย พวกเราไม่ได้มีไอเท็มพวกนี้ด้วย เกมนี้เองก็ไม่มีเนื้อหาที่ต้องเสียเงินเล่ม ดังนั้นการเล่นจึงเป็นเรื่องของเวลาและประสิทธิภาพในการทำเควส
จากนั้นชั้นก็นึกออกว่าทำไมเมจิคัลเกิร์ลหูสุนัขถึงดูคุ้นเคย เธอดูเหมือนกับภาพวาดที่ทามะ อินุโบซากิวาดไว้ตรงหน้าสุดท้ายของร่างวิจัยที่เธอเอามา
“อินุโบซากิ”
“อะ-อะไรเหรอคะ?”
“ถ้าชั้นจะเพิ่มเธอเป็นเพื่อน…เธอจะว่าอะไรไหม?”
“หือ? แน่ใจเหรอคะ?”
หลังจากนั้น พวกเราก็คุยกันเรื่อง เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค อย่างจริงจังจนตะวันตกดินและเริ่มมืด เพราะว่าห้องสมุดปิดไปแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจว่าค่อยมาหาหนังสือกันพรุ่งนี้
“นี่เธอเลเวลสูงขนาดนั้นได้ยังไงเนี่ย?”
“เอ่อ…ฉันเล่นมันตอนกลางคืนและทำอะไรหลายๆอย่างน่ะค่ะ”
“อย่างนอนสามชั่วโมงอะไรแบบนั้นเหรอ?”
“ค่ะ ไม่ก็ไม่ได้นอนเลย”
“มากไปแล้วนะนั่นน่ะ…”
“แต่ทุกคนก็เล่นมันนี่นา…”
ชั้นขอยอมแพ้ การเล่นแบบพอดีคืออะไรที่ดีที่สุด การขึ้นสู่จุดสูงสุดในเกมแบบนี้มันคือการกระทำของมอนเตอร์ไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นชั้นจึงไม่เห็นเธอเป็นคนที่สามารถแข่งด้วยได้ ชั้นตัดสินใจว่าจะยก เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค เป็นงานอดิเรก ทามะบอกชั้นเรื่องทริคการเล่นเล็กน้อยแล้วก็สถานที่ที่ใช้ฟาร์ม และตอนกลางคืนเธอก็มาช่วยชั้นทำเควสที่ชั้นทำเพื่ออัพเลเวลและหาไอเท็ม ในตอนกลางวัน เรื่องที่เพิ่มเข้าไปนอกเหนือจากการเรียนตามปกติและไปไหนมาไหนกับเพื่อน ชั้นก็ยังคงทำโปรเจคด้วย ไม่ใช่แค่ชั่วโมงโฮมรูม แต่ยังทำทั้งในเวลาว่างหลังเลิกเรียน พวกเราต้องรวบรวมหนังสือเพื่อเอามาทำรายงาน
บางทีความคิดเรื่อง “พืชและดิน” อาจจะง่ายกว่า ชั้นเลือกแนวคิด “พิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงในชั้นดิน” เพราะคิดว่าพวกเราสามารถคาดเดาอะไรก็ได้อย่างเหมาะสม แต่มันก็สายเกินไปที่จะรู้สึกเสียใจ วันที่ชั้นไม่ได้ไปเรียนพิเศษ ชั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดหลังเลิกเรียนในห้องสมุดเพื่อทำการค้นคว้าและเขียนสิ่งต่างๆ
“นี่เธอติดโพสอิทไว้ในหนังสือให้ชั้นรึเปล่า?” ชั้นถามทามะ
“ค่ะ นี่ไงคะ”
“แล้วก็บันทึกเรื่องลักษณะของดินแต่ละประเภทล่ะ?”
“ค่ะ นี่ไง”
“เอ่อ…แล้ว ‘รสชาติของดิน’ นี่มันคือ?”
“ฉันลองกัดมันดู…มันไม่ดี…เหรอคะ?”
“ไม่หรอก บางครั้งการมีตัวตนไม่เหมือนใครก็เป็นเรื่องดี …แต่ว่า เธอมีภาพถ่ายรอยเลื่อนภูมิศาสตร์รึเปล่า?”
“นั่นพวกเราต้องทำเอง…”
“หือ? พวกเราต้องทำเหรอ? ชั้นคิดว่ามีหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอยู่ซะอีก”
“บางที…ฉันไม่คิดว่าพวกเราจะใช้มันได้ค่ะ”
แบบนี้มันฟังดูเป็นอะไรที่น่ารำคาญสุดๆ ชั้นถอนหายใจออกมา และคิ้วของทามะก็ม้วนลงราวกับว่าจะขอโทษ
“อ๊า โธ่เอ๊ย” ชั้นพูด “อย่ามองชั้นแบบนั้นสิ ตอนนี้เธอทำให้ชั้นรู้สึกแย่ไปด้วยเลย รู้ไหม”
“ขอโทษค่ะ… เอ่อ ถ้าพวกเรารีบไปรีบกลับล่ะก็ มันคงไม่ใช้เวลามาก”
คิ้วของชั้นเชิดขึ้น มีบางอย่างที่รู้สึกไม่ค่อยดี —แต่ก็แค่เล็กน้อย หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ชั้นจะจับคู่กับทามะ อินุโบซากิ ก่อนที่ชั้นจะคิดถึงเรื่องของเธอล่ะก็ บางทีคงจะไม่ได้รู้สึกแบบนี้ เพราะตอนนี้ชั้นรู้จักเธอมากขึ้นแล้ว
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชั้นก็พยักหน้า “โอเค งั้นพวกเราก็ไปกันเลย”
“หือ? ตอนนี้?”
“พวกเราต้องทำมันให้เสร็จนะ” ชั้นยืนขึ้นและทามะก็ตาชั้นมาอย่างเงียบๆ ซึ่งฝีเท้าของเธอไม่ได้มีความหนักหน่วงอยู่เลย
แม้คิดว่าข้อเสนอของตัวเองจะค่อนข้างกระทันหัน แต่ทามะก็ไม่ได้ปฎิเสธ และจากการที่เธอพูดว่า “รีบไปรีบกลับ” พร้อมกับคิดเรื่องบุคลิกของเธอแล้ว ชั้นคิดว่าเธออยากจะพูดว่า “ถ้าเธอไม่อยากไปจริงๆล่ะก็ แบบนั้นฉันจะไปคนเดียวเอง” แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้น —ชั้นรู้สึกว่าตัวเองอยากจะไปกับเธอด้วย
ทามะกับชั้นสลับตำแหน่งกันเมื่อไปถึงที่จอดจักรยาน เธอเข้าไปก่อนและชั้นก็ตามไปทีหลัง ทามะมีแผนว่าจะไปถ่ายภาพชั้นดิน ดังนั้นเธอคงตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าพวกเราจะไปที่ไหนกัน และเหมือนว่าเธอจะพยายามพาชั้นไปที่นั่นด้วย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้พยายามพาชั้นไปยังที่รกร้างที่ไหนซักที่แล้วจัดการทิ้ง แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันนะ? ด้วยความหงุดหงิด 30 เปอร์เซ็นต์และความอยากรู้อยากเห็น 70 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นแรงขับเคลื่อน พวกเรามาถึงภูเขาจูซุ —ไม่ใช่ภูเขาเมย์โช ภูเขาทาคานามิ หรือภูเขาฟุนากะ มันไม่ใช่ภูเขาที่โดดเด่นของจังหวัด —ภูเขาจูซุเป็นหนึ่งในห้าภูเขาที่เล็กที่สุดในเมือง แม้ว่าพวกเราจะถ่ายรูปชั้นดินจากที่แบบนี้ไป ชั้นก็คิดว่าสุดท้ายแล้วมันดูน่าเศร้ามาก
“นี่ ที่ตรงนี้มันดีจริงๆเหรอ?” ชั้นถามเธอ
“อื้อ”
พวกเราลงจากจักรยานแล้วมาเดิน จากนั้นก็มาถึงยอดเขาอย่างรวดเร็ว ที่แห่งนี้มันใหญ่พอๆกับสนามเด็กเล่น แต่เนื่องจากว่ามันมีต้นรักใหญ่ที่มีพิษขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก มันจึงเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย เดิมทีที่นี่เป็นแค่เนินเขาเล็กๆที่ไม่มีใครผ่าน มันจึงไม่มีทางที่จะมีอะไรที่เรียกได้ว่าชั้นดินอยู่เลย
“แล้วไหนชั้นดินล่ะ?” ชั้นถาม
“ซักครู่นะคะ” ทามะมองไปรอบๆ จากนั้นเธอก็แยกพุ่มไม้ออกจากกันและกวักมือเรียกชั้น
“ไม่ใช่ว่าแถวนี้มีแต่ต้นรักใหญ่เหรอ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ตรงนั้นมันมีอะไรอยู่กันนะ? ชั้นมุ่งหน้าไปยังจุดที่เธอกวักมือเรียก จุดที่เธอชี้มันอยู่ด้านล่าง —ชั้นจึงมองลงไปตรงเท้าของเธอ ที่นั่นมันมีกองใบไม้ขนาดใหญ่กองอยู่ “นี่อะไรน่ะ?”
“ซักครู่นะคะ” เธอขยับใบไม้ออกจนมองเห็นกองดิน และเมื่อเธอย้ายมันไปด้านข้าง มันก็มีแผ่นเหล็กที่โดยปกติแล้วจะอยู่เหนือรางน้ำปิดเอาไว้ ชั้นคิดว่ามันเรียกว่า “ตะแกรง” หรืออะไรซักอย่าง ทามะพยายามจะลากตะแกรงนั้นออกไปด้านข้าง ชั้นจึงเข้าไปช่วยเธอ พวกเราจับที่ปลายคนละด้านแล้วย้ายมันไปไว้ด้านข้างจนมองเห็นหลุมขนาดใหญ่
ชั้นคิดว่ามันมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร พอพยายามมองลงไปจากด้านบน ชั้นก็เห็นท่อเหล็กวางอยู่ด้านในตามยาวและไขว้กันอยู่เหมือนกับลูกกรงจนมองไม่เห็นก้มหลุม
“ฉันคิดว่าพวกเราคงไม่เป็นอะไรค่ะ แต่ว่า…” ทามะพูด “ชั้นปิดหลุมเอาไว้แล้ว ดังนั้นคงไม่มีใครหล่นลงไปเพราะอุบัติเหตุ”
“อื้อ ชั้นเข้าใจ… แล้วนี่มันอะไรน่ะ?”
“ฉันขุดมันค่ะ”
“หือ? ขุด? เธอขุดงั้นเหรอ? คนเดียวน่ะนะ?”
“ค่ะ… เพราะฉันชอบขุดหลุม”
ชั้นหยิบก้อนหินจากกองดินที่ปิดด้านบนเอาไว้ขึ้นมาแล้วก็หย่อนลงไปในหลุม มันร่วงลงไประหว่างท่อเหล็กและหายไปอย่างรวดเร็ว แถมชั้นก็ไม่ได้ยินเสียงกระทบจากก้นหลุมด้วย
บางทีหลุมนี่อาจจะลึกมากก็ได้
“…นี่เธอทำไปได้ยังไงเนี่ย? ไม่เบื่อรึไง?”
“เบื่อ? ฉันคิดว่ามันน่าสนใจออกนะคะ”
“ชั้นไม่ได้หมายถึงแบบนั้น… ชั้นหมายถึงเธอขุดหลุมนี่ได้ยังไงต่างหาก?”
“ฉันแค่ขุดแบบพยายามสุดๆเองค่ะ”
ชั้นกระพริบตา จากนั้นก็ใช้มือขวานวดระหว่างคิ้วและมองลงไปในหลุมอีกครั้ง คราวนี้ชั้นพยายามใช้แสงจากมือถือส่องลงไปด้วย แต่ก็ยังคงมองไม่เห็นก้มหลุมอยู่ดี ชั้นหันกลับไปที่มาทามะ เธอนั้นกำลังมองมาที่ชั้นด้วยความคาดหวัง
“นี่เธอ…ขุดหลุมนี่จริงๆงั้นเหรอ?”
“อื้อ”
นี่ชั้นควรจะโกรธกับความงี่เง่าของเธอ ตกใจว่าเรื่องนี้มันบ้าแค่ไหน หรือควรจะมีปฎิกิริยาแบบอื่นดีนะ? ชั้นเอามือวางลงบนเข่า มองลงไป หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น นี่ชั้นคิดอะไรอยู่กันนะ? คนที่ชั้นคิดว่าไม่มีอะไรดีเลยกลับมีพรสวรรค์ที่น่ากลัว หากมีใครซักคนบอกให้ชั้นเลียนแบบเรื่องนี้ ชั้นก็ไม่มีวันที่ทำได้เลย และสำหรับคนอื่นแล้วชั้นคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงมีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ชั้นควรพูดกับเธอ
“ทามะ…เธอนี่สุดยอดเลย”
เธอยิ้มออกมาอย่างสดใส และชั้นก็เข้าใจว่าเธอคาดหวังอะไรอยู่ ทามะอยากได้คำชมนี่เอง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงอยากให้ชั้นมาด้วยกัน เธออยากให้ชั้นเห็นหลุมนี้เพื่อให้รู้ว่าสุดยอดแค่ไหน ชั้นเอามือวางบนหัวของเธอแล้วก็ลูบเส้นผมของเธอ เธอเองก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“พวกเราถ่ายรูปชั้นดินในหลุมนี่ได้นะคะ”
“มันไม่อันตรายเหรอ? ชั้นไม่รู้จะลงไปยังไง แต่ถ้าลื่นแล้วร่วงลงไปล่ะก็ อาจจะตายก็ได้นะ… แล้วถ้ามันมีแก๊สหรืออะไรอย่างอื่นอยู่ล่ะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉัน เอ่อ… ฉันเป็นมืออาชีพแล้ว”
ถ้าจะพูดว่า “เธอเป็นแค่เด็กมัธยมต้นนะ ไม่ใช่มืออาชีพ” ก็ไม่ได้ แต่เธอขุดหลุมลึกขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่มืออาชีพ แล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ?
“อ๊ะ ใช่” ชั้นพูด “แล้วเธอเอาดินที่ขุดขึ้นมาไปไว้ที่ไหนล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันดูแลมันอย่างดีเลย”
เธอคงมีวิธีการของมืออาชีพในการทำแบบนั้นสินะ
“อ๊ะ ฉันมีอะไรที่น่าสนใจด้วยค่ะ” เธอพูดเสริม
“อะไรที่น่าสนใจ?”
ชั้นช่วยทามะลากตะแกรงกลับมา เอาดินและใบไม้มาปิดไว้เหมือนเดิม จากนั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้และเดินไปตามกำแพงดินแบบทวนเข็มนาฬิกา หลังจากที่เดินมาครู่หนึ่งเธอก็หยุด เธอเตะส่วนหนึ่งของกำแพงด้วยเท้า กระแทกพื้น แล้วก็เอาตะแกรงที่อยู่ด้านล่างออกจนมองเห็นอุโมงค์
“นี่เธอชอบตะแกรงรึไงเนี่ย?”
“ตะแกรงคืออะไรเหรอคะ?”
“…ช่างมันเถอะ แล้วที่นี่มีอะไรกันล่ะ?”
“ก็หลายๆอย่างเลย”
เมื่อเธอเอาหินสีน้ำตาลที่มีรูปร่างแปลกๆออกมา ชั้นก็รู้สึกผิดหวัง ชั้นคิดว่าไหล่ของตัวเองลู่ลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเมื่อเห็นเธอเอาก้อนหินที่ดูคล้ายกันออกมาอีกก้อนหนึ่ง ชั้นก็เอียงหัว แล้วเมื่อเห็นหินก้อนที่สาม ชั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวก่อนนะ” ชั้นพูด “นี่มัน…เศษเครื่องปั้นดินเผารึเปล่า?”
สิ่งถัดไปที่เธอเอาออกมาก็คือก้อนหินที่เป็นเกลียวสวยงามและมีขนาดเท่าฝ่ามือ —หรือว่าพวกนี้จะเป็นฟอสซิลแอมโมไนต์อะไรพวกนั้นรึเปล่านะ? จากนั้นเธอก็เอาสิ่งที่ดูเหมือนกับเขี้ยวออกมา หรือว่านี่คือฟอสซิลไดโนเสาร์? แถมยังมีฟอสซิลที่ดูเหมือนต้นขาหรือกระดูกบางอย่าง และมีสมบัติอีกมากมายออกมาอย่างรวดเร็ว เธอปิดท้ายคอลเลกชั่นของเธอด้วยแอมโมไนต์ที่มีขนาดเท่ากับแขน เครื่องปั้นดินเผา แอมโมไนต์ และเขี้ยวไดโนเสาร์ —มันมีอะไรจากหลายยุคหลายสมัยผสมกันอยู่ การได้เห็นทั้งหมดนี้ ชั้นก็เข้าใจได้ว่าเธอขุดลงไปลึกขนาดไหน
“นะ…นี่เธอขุดทั้งหมดนี่เองเหรอ?”
“ค่ะ ตอนที่ฉันขุดอยู่ก็เจอเจ้าพวกนี้เข้า… ฉันคิดว่าซักวันอาจจะมีประโยชน์ก็เลยหยิบมันขึ้นมา”
อาจจะมีประโยชน์งั้นเหรอ? ของพวกนี้มันมีค่ามากกว่าชั้นดินอีกนะ
“เจ้าพวกนี้มันประโยชน์นะ เธอรู้ไหม ของจริงเลยล่ะ”
“มีประโยชน์…? ยังไงเหรอคะ…?”
“ใช่แล้ว ของจริงเลยนะ ของจริง”
“อะ-โอเคค่ะ…งั้นเหรอ ดีจัง”
“อื้อ ดีสุดๆเลย!”
ดูเหมือนว่าทามะจะไม่เข้าใจ แต่ชั้นก็จับมือของเธอเอาไว้พร้อมกับยิ้มออกมา จากนั้นพวกเราก็ขี่จักรยานกลับไปยังห้องสมุด
ชั้นรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก มันเป็นเรื่องราวเหมือนกับในภาพยนตร์หรือมังงะ —คู่หูที่คิดว่าไร้ประโยชน์และทำอะไรไม่ได้เรื่องซักอย่างกลับกลายเป็นคนที่ไม่คาดคิด— ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตจริง ทั้งอาจารย์ เพื่อนร่วมชั้น ทุกคนคงต้องตกใจแน่ และเพื่อนของชั้น—พอคิดถึงเรื่องนี้ชั้นก็อ้าปากหวอ ถ้าทามะกับชั้นถูกเลือกให้นำเสนอผลงาน แบบนั้นพวกเราก็คงยืนอยู่ต่อหน้านักเรียนทุกคนในโรงเรียนเพื่อพูดเรื่องงานวิจัยของพวกเรา ถ้ามันเกิดขึ้นล่ะก็ แบบนั้นเพื่อนของชั้นจะคิดและมองชั้นแบบไหนกันนะ? พวกนั้นจะคิดเรื่องของชั้นยังไงกันแน่?
ไม่ใช่ว่าชั้นจะดูเหมือนคนประหลาดเพราะสุงสิงอยู่กับคนที่ไม่มีใครคบอย่างทามะ อินุโบซากิหรอกเหรอ? พวกนั้นคงไม่พูดแบบว่า “อยู่กับยัยนั่นดีกว่าอยู่กับพวกเรางั้นสิ?” ใช่ไหมนะ? ถ้ามันเป็นแบบนั้น คนในชั้นก็คงไม่มีใครจะมาพูดกับชั้นอีก —แล้วชั้นก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องหลังจากนั้นด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเราแยกกันเป็นกลุ่ม เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเรายืดกล้ามเนื้อในวิชาพละ ทุกคนก็จะเมินชั้น ชั้นไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย
ชั้นหยุดปั่นจักรยาน และทามะที่ตามมาด้านหลังก็ปั่นนำไปและหยุดอยู่ตรงหน้าราวสองเมตรแล้วก็หันกลับมามองชั้นด้วยท่าทางสับสน ชั้นจึงโบกมือให้เธอ ชั้นไม่อยากให้เธอสงสัยว่าในตอนนั้นชั้นคิดอะไรอยู่
เมื่อพวกเรากลับมาถึงห้องสมุด ทามะกับชั้นก็กลับมาดูหนังสือกันอีกครั้ง ชั้นพลิกหน้าหนังสือเล่มหนาพร้อมกับสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็มองดูเธอ ชั้นย่องออกหากมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็วิ่งไปยังที่จอดจักรยานและปั่นมันอย่างบ้าคลั่งตลอดทางกลับบ้าน
ทันทีที่ชั้นกลับมาถึงบ้าน ชั้นก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ชั้นนอนแผ่และจ้องมองไปที่เพดาน ความคิดของชั้นมันมีแต่เรื่องในแง่ลบ อารมณ์ของชั้นกลายเป็นหนักหน่วง มืดหม่น และน่าสังเวชในพริบตา อนาคตที่ดำมืดและเหนียวหนืดราวกับดินโคลนถาโถมเข้ามาในจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า —ไม่นะ ชั้นไม่อยากเป็นแบบนั้น ชั้นไม่อยากจบลงแบบนั้นเลย
ในตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่าเผลอตัวมากเกินไป หากมันเกิดสำเร็จจนโดดเด่นคงไม่ดีแน่ ชั้นต้องการเพียงแค่เกรดไม่ตก —เพียงแค่นี้เท่านั้น ต่อให้โปรเจคมันแพ้คนอื่น เมื่อจบงานแล้วไม่มีใครจำได้ —เป็นโปรเจคที่มาเร็วไปเร็วเหมือนกับสายลมก็ไม่เป็นไร
การขุดสำรวจซอสฟิลมันไกลตัวเกินไป ถ้าชั้นอยู่ในจุดยืนของนักเรียนคนอื่นหรืออาจารย์ล่ะก็ ถ้าพูดตรงๆแล้วมันก็แปลกเล็กน้อย การวิจัยชั้นดิน ก็นะ พูดแบบนี้คงจะถูกต้อง ดูเหมือนว่าเดิมทีทามะไม่ได้ตั้งใจจะเอาฟอสซิลกับของอย่างออกมา ดังนั้นถ้าชั้นบอกเธอว่าให้เก็บเป็นความลับไว้ ชั้นก็คิดว่าเธอคงจะบ่นแน่ๆ
ชั้นกลิ้งตัวไปมาและหยืบมือถือมาไว้ข้างหมอน ตอนนี้เวลา 5:50 ชั้นหลับตาลง บี้จนรู้สึกเจ็บ แล้วก็เปิดตาออก ในตอนนี้ภาพต่างๆที่ชั้นมองเห็นนั้นพร่ามัว เวลาที่แสดงอยู่ก็เปลี่ยนเป็น 5:51
เวลามันผ่านไปโดยไม่หยุดรอ ชั้นไม่รู้เบอร์มือถือของทามะ อีเมลเองก็ด้วย ชั้นบอกเธอไม่ได้ว่ามีเรื่องด่วนต้องทำและกลับบ้านมาก่อนเธอ ชั้นไม่อยากมองหน้าจอมือถือของตัวเองอีกแล้ว เพราะแบบนั้นชั้นจึงปามันไปที่หมอน มือของชั้นที่จับเอาไว้เต็มไปด้วยเหงื่อ ชั้นดึงฟูกขึ้นมาแล้วก็ขดตัว ชั้นไม่ได้อยากจะประสบความสำเร็จ แต่รอยยิ้มของทามะโผล่ขึ้นมาในใจของชั้น พอเธอดีใจในแบบของตัวเองเพราะชั้นพูดว่า “เจ้าพวกนี้มันประโยชน์นะ” ชั้นก็มุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง มันก็เหมือนกับกระดาษห่อลูกกวาดเอาไว้ พอห่อตัวด้วยผ้าห่มแล้วดิ้นไปมามันก็ทำให้หายใจไม่ออก ชั้นจะประสบความสำเร็จไม่ได้ ชั้นจะประสบความสำเร็จไม่ได้ ชั้นพูดมันแบบซ้ำๆราวกับท่องคาถา —จากนั้นผ้าห่มก็ถูกดึงออกไปจากตัว แล้วชั้นก็สะดุ้งอยู่ใต้แสงที่สว่างจ้า
“ทำอะไรของลูกเนี่ย?” แม่มองลงมาหาชั้น
ชั้นนิ่วหน้าและพูดว่า “อย่างน้อยก็เคาะประตูก่อนเข้ามาในห้องสิ”
“อย่าทำเสียงแปลกๆ เข้าใจนะ?” แม่ของชั้นยักไหล่แล้วก็ปิดประตู
ชั้นกระโดดขึ้นมาจากเตียงเพราะความตกใจจนหลังไปกระแทกเข้ากับผนัง ชั้นลูบหลังของตัวเองพร้อมกับร้องโอดโอย จากนั้นเมื่อหันไปมองนาฬิกาติดผนัง มันก็เห็นว่าตอนนี้เวลาหกโมงครึ่งแล้ว ห้องสมุดนั้นปิดตอนหนึ่งทุ่ม ต่อให้ชั้นจะไปที่นั่น ทามะก็คงกลับไปแล้ว
ทำไมชั้นถึงกลับมาคนเดียวกันนะ? ชั้นรู้สึกว่าตัวเองอยู่ใกล้เธอไม่ได้ ดังนั้นชั้นจึงทิ้งเธอเอาไว้คนเดียวแล้วกลับบ้านโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าทามะจะดูมีความสุขมาก แถมชั้นเองก็แน่ใจว่าเป็นแบบนั้นด้วย เธอคงไม่คิดว่าชั้นจะกลับบ้านคนเดียวโดยที่ไม่พูดอะไรแน่ๆ ถ้าเธอรู้ล่ะก็จะรู้สึกยังไงกันนะ? เธอจะเหงา จะเศร้า หรือไม่ได้สนใจรึเปล่า? ชั้นแน่ใจว่าเธอคงมีท่าทางเหมือนอย่างเคย
ชั้นกลิ้งตัวไปมาบนเตียงและมองขึ้นไปที่เพดานอีกครั้ง วอลล์เปอร์สีครีมกลายเป็นสีเหลืองสกปรกเพราะอยู่ใต้แสงหลอดฟลูออเรสเซนต์มานานหลายปี ชั้นจำตอนที่พูดกับพ่อแม่ได้ว่า “วอลล์เปเปอร์สีเข้มมันไม่ดีกว่าเหรอ?” แต่สุดท้ายแล้วแม่ของชั้นก็ยืนกรานเรื่องรสนิยมของตัวเอง
ชั้นลุกขึ้นจากเตียง ใช้มือขวาจับมือถือและมือซ้ายจับแจ๊กเก็ต จากนั้นก็ยืนขึ้น ชิ้นวิ่งลงบันไดแล้วก็ออกไปที่ประตูหน้าโดยไม่สนเสียงบ่นของแม่ที่ดังมาจากด้านหลัง
สิบนาทีหลังจากหนึ่งทุ่ม ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังเลยเวลาปิดทำการของห้องสมุดด้วย มันยังคงมีผู้คนอยู่รอบๆบริเวณ แต่ไม่มีใครที่ดูเหมือนทามะเลย นี่เธอกลับบ้านไปแล้วรึเปล่านะ? หรือจะยังอยู่ใกล้ๆแถวนี้? ชั้นเดินผ่านน้ำพุตรงกลางสวนสาธารณะแล้วก็ผ่านสนามเบสบอลเพื่อมุ่งหน้าไปยังพุ่มไม้ที่อยู่ด้านหลัง ชั้นมองดูใบหน้าของคนที่ผ่านไปมาแต่ทามะก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพียงไม่นานคนที่อยู่รอบๆก็น้อยลงเรื่อยๆ งานที่ต้องตรวจดูมันน้อยลงก็จริง แต่ทามะก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
“เฮ้”
ชั้นหันไปมองเด็กผู้ชายสามคนที่อายุราวๆมัธยมปลาย
“นายพูดกับชั้นเหรอ?” เสียงของชั้นออกมาอย่างแข็งกระด้างแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจตอบก็ตาม
สามคนนั่นแสยะยิ้ม สีผมของพวกเขาย้อมเป็นสีน้ำตาลแล้วก็แดง เสื้อที่เป็นสีแดงไม่ก็เขียวนั้น —มันดูฉูดฉาด พวกนั้นมันเข้ามาจีบชั้น แน่นอนว่าไม่ได้มีธุระอะไรกับชั้นหรอก ให้ตายเถอะ มาจีบเด็กมัธยมต้นเนี่ยนะ ชั้นคิดแบบนั้น แต่ร่างกายมันไปคนละทางกับจิตใจ ชั้นรู้สึกเครียด ทั้งสามคนเข้ามาหาชั้นอย่างช้าๆ
“มีอะไร?”
“เหมือนว่าเธอจะเดินวนไปวนมาอยู่แถวนี้นะ”
“ถ้าเบื่อล่ะก็ ไม่มาทำอะไรสนุกๆกันหน่อยล่ะ? พวกเรามีรถด้วย จะไปทะเลก็ได้นะ ดวงอาทิตย์ตกสวยมากเลย”
“โทษที ตอนนี้ชั้นกำลังหาเพื่อนตัวเองอยู่” เสียงของชั้นมันแข็งกระด้างเอามากๆ
“โฮ่ แบบนั้นพวกเราก็จะหาด้วย”
“เดี๋ยวพวกเราจะช่วยเอง”
“พอหาเพื่อนเจอแล้ว ก็ไปสนุกด้วยกันดีกว่า”
ชั้นมองไปรอบๆ แต่มันก็ไม่มีใครอยู่เลย คนพวกนี้เข้ามาใกล้เรื่อยๆ “โทษทีนะ ตอนนี้ชั้นยุ่งมาก”
“ถ้าพวกเราช่วยล่ะก็ เธอก็จะยุ่งน้อยลงครึ่งนึงใช่ไหมล่ะ?”
“ช่าย พวกเรามีกันสามคน ดังนั้นก็จะเหลือหนึ่งในสี่”
“สามคนจะไม่เป็นหนึ่งในสามเรอะ?”
“แกนี่กลับไปเรียนประถมใหม่เถอะ”
“โทษนะ ชั้นยุ่งจริงๆ” ชั้นพยายามเดินผ่านพวกนั้นไป แต่ก็มีคนหนึ่งจับแขนชั้นเอาไว้
“แบบนี้ก็เหมือนหนีเลยนะ”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราจะจับเธอกินซักหน่อย”
“ขอร้องล่ะ ปล่อยชั้นที”
“ไม่เอาสิ พวกเราไปหาด้วยกันก็ได้ จริงไหม?”
“ช่าย ช่าย”
ชั้นไม่รู้สึกว่าตัวเองจะรอดไปได้เลย แต่ชั้นก็ยังคงพยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย จนกระทั่งชั้นล้มลงจนก้นกระแทกพื้น
ชั้นคิดว่าโดนผู้ชายพวกนี้ผลัก แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้น มันมีเด็กสาวยืนอยู่ตรงหน้าชั้น เธอยืนอยู่เหมือนกับว่ากันตัวของชั้นเอาไว้จากชายพวกนี้ เธอกางแขนของตัวเองออกกว้างตรงหน้า และเมื่อชั้นพยายามลุกขึ้น ตัวของชั้นก็งอเป็นกุ้ง ลมหายใจก็ติดขัดเพราะแรงกระแทกและความตกใจ จากนั้นภาพของใบหน้าของชายสามคนที่ตกใจก็ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไม่เห็นตัวพวกนั้นแล้ว พวกเราก็ขยับตัวช้าลงจนในที่สุดก็หยุด ชั้นล้มตัวลงบนพื้นตรงรากของต้นมะเดื่อ
เมื่อมองขึ้นมาชั้นก็เห็นใบหน้าของใครบางคน ภายใต้แสงของไฟถนน ชั้นมองไม่เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจนเพราะแสงนั้นมันอยู่ด้านหลังเธอ แต่ชั้นก็บอกได้ว่าเธอคือเด็กผู้หญิง เธอสวมฮู๊ดหูสุนัขและถุงมือทรงอุ้งเท้าสุนัข สวมถุงน่องลายจุด ดูเหมือนกับอวาตาร์เมจิคัลเกิร์ลที่ชั้นรู้จัก
เด็กสาวหูสุนัขวิ่งออกไปสี่ขาเหมือนกับสุนัข ชั้นได้แต่มองดูเธอจนไม่ได้แม้แต่จะส่งเสียงเรียก ตัวของเธอเตี้ยกว่าชั้น แต่เธอก็จับตัวของชั้นแล้วก็วิ่งออกมาอย่างเร็วที่สุดจนสามคนนั่นได้แต่มองพวกเราอย่างงุนงง ชั้นจำข่าวลือของเกมมือถือ เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค ได้ —ว่าทุกๆหนึ่งในหลายหมื่นคนจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลจริงๆจากการเล่นเกม
มีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ ชั้นที่ยังคงทรุดตัวอยู่บนพื้นก็หันหน้าไปทางต้นเสียง ใบหน้าของทามะสลับไปมาระหว่างมืดและสว่างเพราะแสงสว่างจากไฟถนนในตอนที่เดินเข้ามาหา
“จิฮิโระเป็นอะไรไหม?” เธอถาม
ชั้นผยักหน้าและก็จับมือของเธอที่ยื่นเข้ามาช่วย “…ขอบคุณนะ”
“หือ? เอ่อ แต่…ฉัน เอ่อ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนี่คะ?”
“อ่า ใช่ งั้นชั้นก็ขอโทษนะ ขอโทษที่กลับไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะตอนนี้ก็กลับมาแล้วนี่นา”
ชั้นมองขึ้นไปยังไฟถนน และใบหน้าของเพื่อนทุกคนในกลุ่มของตัวเองก็โผล่ขึ้นมาในใจ หากถามว่าใครมีบุคลิกที่น่ารังเกียจที่สุดในกลุ่มและชอบอาฆาตแค้นที่สุด ถ้าจะให้พูดแบบตรงๆแล้วล่ะก็ ชั้นคิดว่าคนๆนั้นก็คือตัวชั้นเอง ดังนั้นบางทีก็คงไม่เป็นอะไร
“นี่” ชั้นพูด
“อะ-อะไรเหรอคะ?”
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยง”
“คะ?”
“มากินข้าวกับชั้นไหม?”
“หือ…? ดะ-ได้เลยค่ะ!”
นี่คือสิ่งที่ชั้นควรจะทำ
แนะนำตัวทามะ ตั้งเป้าการนำเสนอผลลัพธ์ของงานวิจัยอิสระ ถ้ามันเป็นไปได้ด้วยดี มันก็คงจะทำเงินจากพวกแอมโมไนต์ได้ จากนั้นก็ตั้งเป้าเพื่อให้บรรลุเรื่องสิ่งที่ทามะมีในเมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค ถ้าชั้นสามารถกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้ เธอก็คงต้องตกใจแน่ๆ แค่จินตนาการถึงใบหน้าตกใจของเธอมันก็ทำให้ชั้นรู้สึกไม่ดี แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
MANGA DISCUSSION