Guns of Roses?
มันเป็นเรื่องจริงเสมอว่าแผนในการทดสอบเมจิคัลเกิร์ลนั้นจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ควบคุมการทดสอบ และผู้ที่มีพรสวรรค์จำนวนมากก็จะผ่านมันไปได้ ตัวอย่างเช่น หากค้นหาผู้เข้าร่วมตามคุณสมบัติในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กผู้หญิง มันก็จะได้แต่คนที่มาโรงเรียน แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ที่บ้าน คนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล หรือคนที่ทำงานก็จะไม่ได้รับโอกาส แต่กระนั้น ตั้งแต่ที่ผู้ควบคุมการทดสอบและมาสค็อตไม่สามารถทำทุกอย่างให้ครอบคลุมทุกอย่างภายในเขตการทดสอบได้ พวกนั้นก็ยอมแพ้ให้กับความจริงที่ว่าต้องมองข้ามคนจำนวนหนึ่งไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเล็งเป้าหมายไปยังสถานที่ที่เด็กสาวจำนวนมากมารวมตัวกัน
พวกนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำแบบนั้น —จนกระทั่งถึงตอนนี้ แต่จากนี้มันจะต่างออกไป
หากผู้ควบคุมการทดสอบใช้เกมมือถือ เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค เป็นแผนการทดสอบ มันก็จะลดการมองข้ามเป้าหมายไปได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านที่ยุ่งวุนวาย นักเขียนมังงะชื่อดัง ทนายความอิสระ หรือช่างฝีมือหญิงผู้ออกแบบสมบัติของชาติ —หากเธอมีสภาพแวดล้อมที่สามารถเล่นเกมได้เหมือนกับที่มีความสามารถทางเวทมนตร์ แบบนั้นบางที… เธอก็อาจจะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลได้เหมือนกัน
หากเปรียบเทียบการสอบว่าคือการจับปลาด้วยเบ็ด การสอบคราวนี้มันก็เหมือนกับการหว่านแห มันจะมีผู้ที่เข้าร่วมมากขึ้น มีความสามารถมากขึ้น และก็มีเมจิคัลเกิร์ลที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น
หรือจะพูดว่ามาสค็อตฟาฟนั้นฉลาดในเรื่องการพูดว่าแผนการนี้มันสุดยอดยังไง
แต่อย่างไรก็ตาม นักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ ก็ชี้หน้าจอเมจิคัลโฟนของตัวเองพร้อมกับความไม่สนใจ “พวกเราเชื่อใจเจ้านี่ได้จริงเหรอ?”
“หืม นี่เธอสงสัยเรื่องเทคโนโลยีงั้นเหรอ ปอน?”
“เรากังวลว่ามันจะหยิบเอาทุกคนที่อยู่ในพื้นที่มา จนทำให้มองคนที่ถูกเลือกมาแบบทั่วถึงไม่ได้น่ะสิ แถมอาจสร้างความแตกต่างของคนที่ถูกเลือกมาได้อีก”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ปอน เราน่ะรู้ว่าถ้าเธอเป็นคนที่ปฎิเสธเทคโนโลยีล่ะก็ มันก็คงไม่มีฟาฟที่เป็นสุดยอดไซเบอร์แฟร์รี่รุ่นล่าสุดอยู่ด้วยตั้งแต่แรกแล้ว”
แครนเบอร์รี่หลับตาแล้วยักไหล่อย่างเงียบๆ
ฟาฟตีลังกากลางอากาศด้านตรงข้ามกับก่อนหน้านี้จนทำให้ผงสีทองกระจายออกมา ก่อนที่ฝุ่นจะหลอมละลายหายไปในอากาศนั้น ฟาฟก็สะบัดหางเพื่อทำให้มันหายไป
“เราไม่บ่นเรื่องของนายหรอกนะ ฟาฟ”
“แถมยังมีฟังก์ชั่นใหม่ด้วยนะ ตัวอย่างเช่น หากมาสเตอร์ใช้รุ่นใหม่เป็นฐาน มันก็จะได้พลังที่กุมชีวิตและความตายเหนือผู้เข้าร่วมคนอื่น สามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้อย่างปลอดภัยโดยไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ปอน”
แครนเบอร์รี่นั่งลงพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับคิดว่าเรื่องนี้มันน่าชิงชัง “ไร้ค่า นั่นน่ะคือเรื่องที่เราต้องลงมือทำด้วยตัวเองไม่ใช่ปล่อยให้เครื่องจักรจัดการ”
“งั้นพวกเราคงต้องพยายามกันสุดๆเลยล่ะ ปอน พวกเราดำเนินแผนการทดสอบไปแล้ว ปอน เราไม่ปล่อยให้เธอทำตัวเฉยชาแบบนี้ไปตลอดหรอก เพราะคนที่ถูกหว่านแหเข้าร่วมมาน่ะมีความสามารถและคุณภาพเหนือกว่าการทดสอบแบบปกติด้วย ปอน”
แครนเบอร์รี่ไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอหันหลังให้เมจิคัลโฟนแล้วก็ยืนขึ้นตรงหน้าต่าง เอามือวางที่ขอบหน้าต่างและมองออกไปด้านนอก ลมที่พัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านพริ้วไหวจนราวผ้าม่านส่งเสียงดัง
“ทั้งความสามารถและคุณภาพเหนือกว่าการทดสอบแบบปกติงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว มันมีปัญหาตรงไหนเหรอ ปอน?”
แครนเบอร์รี่แตะหน้าผากของเธอด้วยนิ้วกลางของมือขวา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา —หลังจากที่ถอนหายใจออกมาแล้วครู่หนึ่ง มันก็ดูเหมือนว่าเธอจะยื่นมือเข้ามาจับภาพโฮโลแกรมของฟาฟ —เธอพึมพำราวกับว่าพูดอยู่กับตัวเอง แต่ก็เหมือนว่าอยากให้ฟาฟได้ยินเช่นกัน
“ยัยนั่น คุณภาพสูงจริงเหรอ?”
*********************************************************
แครนเบอร์รี่คิดว่าข้อมูลของร่างก่อนการแปลงร่างนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับกระดาษชำระ เมื่อเป็นเรื่องการทดสอบแล้วเธอไม่ได้ให้น้ำหนักอะไรมันเลย —ความจริงคือเมินไปด้วยซ้ำ แม้ว่าฟาฟจะเขียนเอกสารเอาไว้ แต่เธอก็ไม่ได้อ่าน สำหรับแครนเบอร์รี่แล้ว ผลลัพธ์ —หรือเมจิคัลเกิร์ล— คือสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อผลลัพธ์นั้นแล้ว ชีวิตที่เป็นมนุษย์ของเธอก็เป็นได้แค่ขยะ
ฟาฟนั้นต่างออกไป
มนุษย์ชาตินั้นมีประวัติศาสตร์ และประวัติศาสตร์ก็ย่อมมีความสำคัญ แม้จะเป็นเด็กสาวที่ดูแล้วธรรมดาในแวบแรก แม้ว่าเธอจะดูเหมือนคนที่เป็นแบบอย่าง มันก็ไม่มีใครคนอื่นเหมือนกับเธอ ไม่ว่าชีวิตจะน่าเบื่อหน่ายขนาดไหน มันก็คือโลกของเธอ และความตายนั้นมันก็คือจุดจบของโลก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงได้กลัวความตายที่ไม่ได้ปรารถนาและต้องการที่จะหนีจากมัน
การที่มอนเตอร์ปรากฏตัวขึ้นแล้วถูกฮีโร่จัดการมันน่าสนใจจริงๆงั้นเหรอ? เมื่อรู้จักชื่อ ครอบครัว ปูมหลัง บุคลิก ความสนใจ วิธีคิด หลักการและความเห็น อุดมคติ —และทุกๆอย่าง— ของมอนเตอร์ A เหมือนกับที่มอนเตอร์ A รู้จักตัวเอง จากนั้นมอนเตอร์ก็จะไม่ใช่ NPC ผู้ไร้ชื่อ ซึ่งนั่นจะกลายเป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับฮีโร่ในการฆ่าทิ้ง
หากเป็นเช่นนั้น ข้อมูลในตอนที่เป็นมนุษย์ก็คือเรื่องสำคัญ คาลามิตี้ แมรี่ที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลคนแรกใน เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค นั้นมีตัวตนที่พิเศษและเป็นอะไรที่น่าชื่นชม ฟาฟนั้นเหม็นเบื่อเด็กในวัยแรกรุ่นที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนก่อนที่จะหลงผิดกับความเป็นฮีโร่ของตัวเอง จนสุดท้ายก็มีแต่ต้องตายไป
“อายุสาบสิบปลายๆ ใช้ความรุนแรงกับลูกสาวตัวเอง ติดเหล้า ถูกสามีและลูกสาวทอดทิ้ง ชีวิตอัปสูและอาศัยอยู่คนเดียว”
หากเป็นผู้คุมการทดสอบประเภทน่าเบื่อล่ะก็ ข้อมูลแบบนี้เพียงอย่างเดียวก็อาจจะถูกประทับตราว่าไม่ผ่านคุณสมบัติก็ได้ ฟาฟจินตนาการถึงท่าทางในตอนที่ตัวตนอันพิเศษนั้นใกล้ถูกฆ่าว่าจะเป็นเช่นไรไม่ออก เธอจะยอมแพ้ จะดิ้นรน จะร้องขอชีวิต หรือจะใช้ปัญญาของผู้ใหญ่หลบหนีจากสถานการณ์ไปได้กันนะ? ก่อนที่จะพบกับเธอ ฟาฟก็คิดถึงความตายของเธอ จากนั้นฟาฟก็มุ่งหน้าไปพบกับคาลามิตี้ แมรี่ —หรือนาโอโกะ ยามาโมโตะ
“ยินดีด้วย ปอน เธอถูกเลือกเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้วนะ ปอน”
แมรี่ที่แปลงร่างเรียบร้อยแล้วมองมาที่ภาพโฮโลแกรมและฟังเสียงของฟาฟโดยไม่ได้มีปฎิกิริยาอะไร เธอแค่แตะหน้าจอมือถือแล้วจบเควสเท่านั้น ฟาฟมองไปรอบห้องแล้วก็เห็นนิตยสารกับกล่องกระดาษที่ซื้อมาจากทางออนไลน์กระจัดกระจายไปทั่ว แถมถุงขยะก็วางทิ้งเอาไว้ที่พื้น ร่มพลาสติกที่พังแล้วกับรถสามล้อวางอยู่ที่มุมห้อง ที่โต๊ะห้องครัวและพื้นก็เต็มไปด้วยขวดเปล่า
ฟาฟไม่เคยเห็นห้องแบบนี้มาก่อน ความแปลกใหม่แบบนี้มันทำให้รู้สึกพึงพอใจ ดังนั้นฟาฟจึงรอปฎิกิริยาตอบสนองของแมรี่ หลังจากที่จบเควสแล้ว แมรี่ก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายของแล้วใช้แคนดี้ที่ได้มาเพื่อซ่อมแซมอาวุธ จากนั้นเธอก็อัพเกรดอาวุธ ซื้อกระเป๋าเวทมนตร์ ตรวจสอบแคนดี้ที่เหลืออยู่ แล้วก็พึมพำอย่างเบาๆว่า “แม่งเอ๊ย” จากนั้นเหมือนว่าเธอจะเข้าร่วมอีเวนท์ที่มีของรางวัลดีๆและจำกัดเวลาเข้าร่วม เพราะเธอเดินตรงจากร้านขายของไปยังที่รับเควส—
“เฮ้ ทำไมถึงเมินเราล่ะ ปอน? ฟาฟจะไม่พูดนะว่าเธอไม่รู้ตัวเรื่องตัวตนของฟาฟ ปอน ไม่มีทางที่เธอจะไม่ได้ยินเสียงอันแสนอ่อนหวานของเราที่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆในป่าเขา แถมยังมีเสน่ห์หรอกนะ ปอน”
แมรี่ไม่ได้ตอบและยังคงจ้องมือถือของเธอต่อไป
“หือ? ทำไมล่ะ? เราคิดว่าถ้าเธอจะมองดูตัวเองในกระจกก็จะเข้าใจเอง ปอน นี่เธอมีกระจกบ้างรึเปล่า ปอน? อ่างล้างหน้า กระจกห้องน้ำก็ได้ ปอน”
เมื่อแมรี่ตรวจสอบว่าไม่มีเควสเหลืออยู่แล้ว เธอก็มุ่งหน้าไปยังโคลอสเซียม
“เเเเเฮ้ ฟังงงงงงหน่อย ฟาฟไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ ฟาฟงงไปหมดแล้ว ปอนนนน”
แมรี่หยิบขวดเหล้าสีฟ้าอ่อนที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาแล้วเทของเหลวที่อยู่ด้านในเข้าไปในปาก จากนั้นเธอก็กลืนมันลงไปแบบช้าๆ หลังจากที่เธอเรอออกมาเสียงดังแล้ว เธอก็หันกลับไปหามือถือของตัวเองตามเดิม
จากนั้นฟาฟก็คิดได้ว่า “เดี๋ยวสิ ไม่ใช่เธอคิดว่าเป็นภาพหลอนเพราะฤทธิ์เหล้าหรอกนะ ปอน? ไม่ ไม่ ไม่มีทางที่เธอจะเห็นฟาฟเป็นภาพหลอนได้หรอก ปอน ฟาฟอาจจะดูแฟนตาซีก็จริง แต่ว่านะ เลิกทำตัวแบบนั้นเถอะ ปอน เธอถูกเลือกเป็นเมจิคัลเกิร์ลจริงๆแล้วนะ เข้าใจไหม? ได้ยินรึเปล่าเนี่ย ปอน?”
มันใช้เวลาถึงสิบนาทีกว่าที่เธอจะรู้ถึงตัวตนของฟาฟ แล้วก็อีกสิบนาทีในการตรวจสอบว่าฟาฟไม่ได้โกหกเรื่องที่เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล คาลามิตี้ แมรี่ไม่ได้ตกใจหรือกระโดดโลดเต้นไปทั่วด้วยความดีใจ ท่าทางของเธอเหมือนกับ “กะแล้วว่าต้องเกิดขึ้น” ปากของเธอแสยะยิ้มไปจนถึงใบหู
“แครนเบอร์รี่ เราอยากให้เธอรับบทพี่เลี้ยงของแมรี่หน่อยน่ะ ปอน”
“แล้วทำไมต้องเป็นเรากันล่ะ?”
“เพราะว่าเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลคนแรกของเมือง N ไงล่ะ ปอน —นี่เป็นเรื่องพิเศษที่ต้องฉลองกันนะ แทนที่จะให้ฟาฟรับบทเป็นพี่เลี้ยง ฟาฟอยากให้เธอแสดงให้เห็นว่าเมจิคัลเกิร์ลนั้นควรจะเป็นยังไงมากกว่า ปอน”
ฟาฟไม่ได้พูดแบบนี้เพราะคิดว่าอยากให้แครนเบอร์รี่ไปเป็นพี่เลี้ยงของแมรี่จริงๆ —แต่มันเป็นเพราะความอยากรู้ว่าเมื่อทั้งสองคนเจอกันแล้วจะเป็นยังไงมากกว่า ฟาฟต้องอธิบายให้แน่ใจว่าแครนเบอร์รี่จะทำตัวเหมือนกับเป็นผู้ทดสอบด้วย และต้องไม่ลืมว่าเธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลคนแรกที่ถูกฟาฟเลือก ส่วนแมรี่นั้นเป็นคนที่สอง ฟาฟจึงจัดแจงให้ทั้งสองคนมาเจอกันบนดาดฟ้าของตึกที่สูงที่สุกในเขตโควนัน
คาลามิตี้ แมรี่เอามือจับปีกหมวกเท็นแกลลอนเอาไว้พร้อมกับจ้องมองมาที่เมจิคัลเกิร์ลคนแรกที่เห็นนอกจากตัวเองอย่างรุนแรง
ตรงกันข้าม แครนเบอร์รี่นั้นก้มหัวลงต่ำด้วยท่าทีสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักนะคาลามิตี้ แมรี่ เราคือนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่”
“อ่าฮะ”
แครนเบอร์รี่คือผู้เชี่ยวชาญในการเป็นผู้คุมการทดสอบ เธอรู้ว่าดินแดนเวทมนตร์มองหาเมจิคัลเกิร์ลแบบไหน และเธอก็สามารถอธิบายมันให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแมรี่เชื่อว่าเมจิคัลเกิร์ลคืออะไรที่ไม่จำเป็น การอธิบายของแครนเบอร์รี่จึงถูกเมินไปอย่างสมบูรณ์ และตัวแมรี่เองก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน ท่าทางของเธอดูเบื่อหน่ายเหมือนกับการที่ได้รับฟัง บ่อยครั้งแครนเบอร์รี่เองก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แค่ท่องสิ่งที่ตัวเองจำเอาไว้ออกมา ในขณะที่แมรี่หาวแล้วก็ดื่มเหล้าของตัวเองโดยไม่ได้แสดงท่าที่จริงจัง
ฟาฟมองดูอย่างระแวง มันคงแย่หากจู่ๆพวกเธอเข้าปะทะกันจนทำให้การทดสอบล่ม แต่ฟาฟก็หวังว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้นด้วย
เมื่อการอธิบายที่ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนักจบลงไปแล้ว แครนเบอร์รี่ก็ถามแมรี่ว่า “มีคำถามอะไรไหม?”
แมรี่ยกขวดเหล้าทรงเหลี่ยมแล้วก็ซดเหล้าที่อยู่ด้านในลงไปอย่างเสียงดัง
จากนั้นเธอก็เช็ดปากด้วยหลังมือขวาแล้วก็เอาก้นขวดกระแทกเข้ากับรั้วเหล็ก “แกบอกว่าเป็นเมจิคัลเกิร์ล ‘พี่เลี้ยง’ ของชั้นสินะ”
“ใช่”
“เกมนี้เพิ่งออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อน”
“ใช่ แบบนั้นแหละ”
“อีกแง่หนึ่ง แม้ว่าแกจะบอกว่าตัวเองมีประสบการณ์มากกว่า แต่ก็แค่เป็นเมจิคัลเกิร์ลมาก่อนชั้นแค่สัปดาห์เดียว”
“อืม เราคิดว่าก็จริง”
“แล้วทำไมแกถึงดูถูกชั้นนักล่ะ? กะอีกแค่สัปดาห์เดียวมันต่างอะไรกันนักเหรอ ทั้งในโรงเรียน ที่ทำงาน ความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้อง แกมันก็พอๆกับคนอื่นนั่นแหละ ชั้นพูดผิดไหม? หากมีเหตุผลอื่นที่แกทำตัวเป็นพี่เลี้ยงแล้วพูดคำแนะนำปัญญาอ่อนออกมาเพราะว่าเป็นเมจิคัลเกิร์ลมาก่อนชั้นสัปดาห์นึงล่ะก็ แบบนั้นชั้นจะฟัง”
แครนเบอร์รี่กับแมรี่จ้องหน้ากันและกันอย่างเงียบๆ ทั้งคู่อยู่ห่างกันแค่ห้าก้าวซึ่งมันเป็นระยะการสนทนาที่แปลกประหลาดสำหรับคนสองคน เส้นผมของแมรี่และดอกกุหลาบของแครนเบอร์รี่พริ้วไหวไปตามแรงลมที่ด้านบนตึกสูง แมรี่ปิดตาข้างหนึ่ง ส่วนแครนเบอร์รี่ก็พ่นลมหายใจออกมาทางจมูก
“ขออภัย” แครนเบอร์รี่พูด “ไม่ได้ตั้งใจหรอก… เราขอโทษด้วยหากท่าทีดูไม่ดี”
“ฮึ”
แมรี่รู้ว่าการที่แครนเบอร์รี่ขอโทษนั้นไม่ได้จริงใจ และแครนเบอร์ร์ก็รู้ว่าแมรี่คิดแบบนั้นเช่นกัน อากาศแห้งๆที่เหมือนกับลมพัดผ่านทุ่งร้างพัดเข้ามาหาทั้งสองคน ทั้งสองคนคงสัมผัสได้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งคู่นั้นสามารถหายไปได้ตลอดเวลา
นี่ไม่ใช่เรื่องที่สุภาพอย่างการที่นักรบสองคนที่รู้จักตัวตนของกันและกัน ทำการตอบโต้กันไปมาเพื่อทดสอบว่าจะต่อสู้กันหรือไม่ ตอนนี้พวกเธอจะหงุดหงิดหรือโกรธเอาได้ง่ายๆ
แมรี่ยกมือขวาขึ้นมา และมือซ้ายของแครนเบอร์รี่ก็ขยับเป็นการตอบสนอง “มันคงดีถ้าชั้นจะถามอะไรใช่ไหมล่ะ?” แมรี่พูด
“เชิญเลย”
“ชั้นเข้าใจเรื่องที่บอกว่าให้ทำเรื่องดีๆกับคนอื่น แต่…แกไม่ได้พูดว่าห้ามทำเรื่องไม่ดีใช่ไหม?”
“เพราะทุกคนเข้าใจเรื่องนั้นโดยที่เราไม่ต้องอธิบายไงล่ะ”
บรรยากาศมันอึมครึมมากขึ้น แต่ก็ฟาฟเพิ่งคิดได้ว่ากังวลไปก็เท่านั้น ทั้งสองคนมันเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฟาฟเองก็ไม่อยากให้เกิดการต่อสู้ที่ไม่มีประโยชน์เกิดขึ้นก่อนการทดสอบจะเริ่มด้วย
แครนเบอร์รี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ส่วนมุมปากของแมรี่ม้วนขึ้น พวกเธอยังคงจ้องหน้ากันต่อไปอีกพักหนึ่ง
แครนเบอร์รี่เป็นคนที่หันไปมองทางอื่นก่อน จากนั้นเธอก็เปิดปากอย่างช้าๆเพื่อทำลายความเงียบ “หากความผิดที่ทำถูกเปิดโปงล่ะก็ สิทธิ์ในการเป็นเมจิคัลเกิร์ลจะถูกริบไป แล้วเธอก็จะลืมเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล มันขึ้นอยู่กับการกระทำของเธอ บางทีอาจจะถูกส่งตัวไปให้มนุษย์จัดการก็ได้”
“ฮึ” แมรี่หัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ดูสนุกสนานอะไร “พวกนอกกฏหมายต้องโดนจัดการรึไง?”
“ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่ทำน่ะ”
แมรี่ซดเหล้าของเธออีกครั้งแต่ก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก เรื่องมันจึงจบลงเท่านั้น พอแครนเบอร์รี่บอกแมรี่ว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้ติดต่อมาเรียบร้อยแล้วเธอก็กลับ เธอกระโดดจากสิ่งก่อสร้างที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง กลับไปสู่รากเหง้าของตัวเองโดยไม่สนโลกใบอื่น
*********************************************************
สำหรับคนบางคนแล้วมันไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ มันสามารถเขียนเหตุผลได้นับไม่ถ้วนว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น แต่ความจริงแล้ว คนที่อยู่ในคำถามเองก็ไม่ได้รู้คำตอบจริงๆของเรื่องนั้นเช่นกัน —ซึ่งในหลายๆเหตุผลคือการที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมากพอ หรือการที่พวกเธอเป็นเพื่อนกันไม่ได้เพราะว่ามีเหตุผลแบบนับไม่ถ้วนซะเอง?
แม้ว่าฟาฟจะบอกให้แครนเบอร์รี่สงบจิตสงบใจไว้จนกว่าการทดสอบจะเริ่มขึ้น แต่ฟาฟก็ไม่รู้ว่าแครนเบอร์รี่จะฟังรึเปล่า อายุของแครนเบอร์รี่นั้นเห็นได้ชัดว่าแก่กว่าเมจิคัลเกิร์ลโดยเฉลี่ย แต่ลึกลงไปแล้ว เธอก็ไม่ได้ต่างจากวันแรกที่ได้พบกัน ตัวอย่างเช่น อารมณ์ของเธอจะบูดบึ้งอยู่เป็นเวลานานจนกว่าฟาฟจะเข้ามาพูดด้วย หรือการที่แครนเบอร์รี่จะไม่พูดกับฟาฟเป็นต้น
สุดท้ายแล้ว ฟาฟก็คือคนที่ต้องเปลี่ยน เขาต้องเป็นคนที่จัดการเรื่องการเจอหน้ากันของแครนเบอร์รี่และแมรี่ซะเอง แล้วก็จะไม่ยกเรื่องแครนเบอร์รี่ขึ้นมาพูดต่อหน้าแมรี่ด้วย สำหรับแครนเบอร์รี่แล้ว ฟาฟก็จะหลีกเลี่ยงไม่ไปแตะต้องเรื่องแมรี่มากที่สุดเท่าที่ทำได้ หากเป็นไปได้ก็จะปล่อยเรื่องที่ต้องร่วมมือกันให้กับเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นที่เหมาะสมแทน หลังจากที่พิจารณาดูแล้ว ฟาฟก็รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถยั้งความต้องการที่ไม่ได้มองการณ์ไกลของตัวเอง ฟาฟคิดแค่ว่าหากทั้งสองสองคนได้พบกันมันคงน่าสนใจ จากประสบการณ์ที่ปล่อยให้ความอยากรู้อยู่เหนือการกระทำ โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์มันก็ไม่ได้ออกมาดี มันคือการลงมือทำอะไรแบบไม่ระมัดระวัง
ฟาฟเสียใจอยู่หลายครั้งและคิดทบทวนอยู่หลายครา ในอนาคตเขาต้องไม่ให้แครนเบอร์รี่ทำตัวเป็นพี่เลี้ยงอีก ฟาฟจะเป็นคนที่จัดการเองและต้องทำให้มันเป็นงานอาสา แม้ในตอนที่คิดว่าจะพาแมรี่และแครนเบอร์รี่มาเจอกันมันจะยุ่งยาก สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไรเลย
หลังจากที่ปรับเปลี่ยนแผนเล็กน้อย ฟาฟก็คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่เพียงไม่นาน —ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นทันที เรื่องนั้นมันมาจากภายนอก
เมื่อฟาฟได้ยินมันก็รู้สึกโกรธ จากนั้นก็รู้สึกโง่ที่ตัวเองโกรธ ไม่พอใจตัวเองจนรู้สึกเศร้า ทำไมต้องมีคนเข้ามาสอดตอนที่การทดสอบแสนสนุกกำลังจะเริ่มด้วยนะ?
เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันก่อนในการทดสอบเมจิคัลเกิร์ลที่เมือง T ของพื้นที่ข้างเคียงที่มีศาลาว่าการจังหวัดตั้งอยู่ เด็กสาวคนหนึ่งได้เข้าร่วมการทดสอบแบบถูกต้องและผ่านมันมาได้โดยที่ไม่มีปัญหา พวกนั้นพูดกันว่าเวทมนตร์ของเธอคือ “สร้างสิ่งมีชีวิตจากจินตนาการได้” แล้วในการทดสอบเธอก็แสดงความสามารถออกมาหลายครั้งให้ผู้คุมการทดสอบดู แต่กระนั้นก็ไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องการจัดการ หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์ของเธอในตอนที่ทำการทดสอบเกิดหลบหนี แล้วเมื่อไล่ตามไป มันก็หลบซ่อนอยู่ในหุบเขาลึกของเมือง M ซึ่งเป็นพื้นที่ข้างเคียงของเมือง N
แม้ว่าเด็กสาวจะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ แต่เธอก็ไม่สามารถเสกมันให้หายไปได้ดั่งใจ แถมยังขาดทักษะในการค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาอีกด้วย เธอปรึกษากับผู้คุมการทดสอบเมจิคัลเกิร์ลของตัวเอง และผู้คุมการทดสอบคนนั้นก็รายงานไปยังดินแดนเวทมนตร์ แล้วทางดินแดนเวทมนตร์ก็รู้ว่านักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ เมจิคัลเกิร์ลที่เป็นแบบอย่างนั้นจัดการทดสอบอยู่ใกล้ๆจึงได้สอบถามเธอมาว่า ในตอนที่จัดการทดสอบของตัวเองอยู่นั้นจะจับหรือฆ่าสิ่งมีชีวิตนั้นทิ้งก็ได้
ถ้าให้พูดแล้ว ทางนั้นเลือกเมจิคัลเกิร์ลได้ถูกกับงานมาก แครนเบอร์รี่คือผู้เชี่ยวชาญการปฎิบัติการในที่รกร้างเหมือนกับชื่อของเธอ และไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดไหนสามารถหลบหนีจากการได้ยินอันเฉียบคมของเธอไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแล้ว เธอสามารถจัดการสัตว์ร้ายที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์ได้ในเสี้ยววินาที
“แบบนี้ดีเลยนะ ปอน มันเหมือนเป็นภารกิจต่อสู้สำหรับเธอเลย ปอน”
“ไม่ใช่ว่าเราจะดีใจตอนที่ได้สู้กับใครก็ได้หรอกนะ จากข้อมูลแล้ว มันไม่ใช่ศัตรูที่แข็งแกร่งเท่าเมจิคัลเกิร์ล ถ้าจะจัดว่างานนี้มันน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ ก็บอกได้เลยว่าเป็นอย่างหลัง”
แม้ว่าแครนเบอร์รี่จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานนี้หรือไม่ก็ตาม ฟาฟก็คิดแบบไร้เดียงสาว่า ต้องเหมาะอยู่แล้วสิ! ออกมาแบบง่ายๆเพราะว่ามันควรเป็นแบบนั้น การที่ต้องไปจัดการปัญหาของคนอื่นมันก็ทำให้ฟาฟรู้สึกเบื่อหน่าย และยังทำให้รู้สึกว่าเป็นลางไม่ดีที่เรื่องมันเกิดขึ้นในตอนที่การทดสอบเมจิคัลเกิร์ลใกล้จะเริ่มอีกด้วย ดังนั้นฟาฟจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลยในตอนที่ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังเมือง M
เมจิคัลเกิร์ลที่สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมานั้นได้ขออนุญาตเพื่อเข้ามาร่วมในการล่าด้วย แต่อย่างไร เธอก็ถูกปฎิเสธไปอย่างสุภาพ การมีคนที่ต้องปกป้องมากกว่าหนึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้งานของแครนเบอร์รี่ และถ้าแครนเบอร์รี่มีงานมากขึ้น แบบนั้นฟาฟเองก็จะมีงานมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งมันไม่ใช่อะไรที่ดีเลย
เมือง M นั้นมีขนาดเล็กมากซึ่งต่างจากเมือง N ที่ทำการบังคับให้เกิดการขยายตัวผ่านการควบรวมกิจการ ที่แห่งนี้คือเมืองที่อยู่ลึกในหุบเขา มันดูเป็นหมู่บ้านมากกว่าเมืองซะอีก มันอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาจนบางครั้งบางคราวประมาณทุกๆสิบปีจะมีหญิงชราหลงทางเพราะหาของป่า แถมในช่วงเวลากลางวันภายในป่าเองก็มืดมาก แม้จะเป็นชาวบ้านก็ไปไหนไม่ได้ไกล แต่สำหรับแครนเบอร์รี่แล้ว เรื่องนี้มันไม่ได้ต่างจากการเดินทอดน่องอยู่รอบที่พักในตอนกลางวัน เธอทำการค้นหาด้วยเสียงสะท้อนอย่างระมัดระวังจนฟาฟต้องยั้งความไม่พอใจเอาไว้
เธอเดินผ่านกิ่งไม้และพุ่มไม้ จากนั้นราวสามสิบนาทีให้หลังเธอก็พูดขึ้นมาว่า “เราคิดว่าคงใช่แน่”
“พวกนั้นพูดว่ามันดูเหมือนหมี แบบนั้นคงใช่แน่ ปอน”
ทั้งสองคนพบมันอย่างง่ายดาย ผิวหนังของมันมีสีดำอมน้ำตาล มีเขี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคม หูเหมือนกับสัตว์ร้าย และมีขนาดราวสองเมตร ทุกอย่างทำให้มันดูเหมือนกับหมีมาก
จู่ๆท้องฟ้าก็มืดลง ราวกับก้อนเมฆมันบดบังแสงจากดวงจันทร์ไป
บางทีเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้อาจจะรู้สึกโกรธเพราะถูกเรียกว่าหมี หรือบางทีอาจจะรู้สึกหงุดหงิดเพราะแสงสว่างหายไปจนทำให้มันคำรามออกมา แม้แต่เสียงก็ยังฟังแล้วเหมือนกับหมี มันก้มตัวลงมาที่พื้น แล้วก็พุ่งเข้าหาแครนเบอร์รี่ที่ยืนรออยู่ในท่าทางปกติ
สิ่งมีชีวิตนั้นเหวี่ยงกรงเล็บ แล้วพลังของลมที่เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวก็ทำให้พืชที่อยู่รอบๆลอยขึ้นมาด้านบน แครนเบอร์รี่หลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว แล้วก็เข้าไปใกล้เพื่อจับแขนของสิ่งมีชีวิตนั้น ทุบลงไปที่ข้อศอกด้วยหลังมือ จากนั้นก็บิดข้อต่อไปในทิศทางตรงกันข้าม
มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและเหวี่ยงแขนที่แครนเบอร์รี่จับเอาไว้ไปรอบๆอย่างรุนแรง แรงนั้นทำให้ตัวของเธอลอยขึ้นไปในอากาศ แต่เธอก็หมุนตัวเพื่อลงมา —จากนั้นก็พุ่งตัวกลับเข้าหาเจ้าสิ่งมีชีวิต เธอลอดผ่านกรงเล็บที่สวนเข้ามาเพื่อจับขาอีกฝ่าย ตัวของมันล้มไปด้านหลัง แครนเบอร์รี่จึงกดข้อเท้าที่อยู่ข้างตัวของเธอแล้วก็บิดมันในครั้งเดียว แครนเบอร์รี่ยังคงจับขาของมันเอาไว้ ส่วนสิ่งมีชีวิตนั้นพยายามขยับแขน แต่คงเพราะความเจ็บปวด การเคลื่อนไหวจึงแปลกไป
แครนเบอร์รี่ไม่ใช่คนที่จะเผยช่องว่างออกมา เธอหลบแขนของมันแล้วหมุนแขนทั้งสองข้างไปรอบๆเป็นวงกลมด้านหลัง เอาแขนของตัวเองไปโอบรอบคออีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นก็จับเข้าไปที่กรามและบิดอย่างรวดเร็วไปในทางตรงกันข้ามครึ่งรอบ จัดการจนเรียบร้อย จากนั้นสิ่งมีชีวิตก็ล้มตัวลงไปด้านหน้าในท่าหมอบและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกมีอาการกระตุก ฟาฟเองก็คิดอยู่แล้วว่าต้องลงเอยแบบนี้
“เอาล่ะ งั้นก็เอาตัวมันกลับไปกันเถอะ ปอน”
แครนเบอร์รี่มองไปยังอีกทางหนึ่ง ฟาฟจึงหันไปมองทางนั้นพร้อมกับมองเข้าไปด้วยการซูม —มันมีเงาที่กำลังขยับอยู่ ฟาฟรู้สึกเหนื่อยหน่ายมากเพราะเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายหมีกำลังแยกเขี้ยวขู่อยู่ “ทำไมพวกมันมีหลายตัวเนี่ย ปอน?”
“พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นโดยเวทมนตร์ ถ้าแบ่งร่างได้ก็ไม่แปลกอะไรน่ะนะ”
“นี่เธอไม่คิดว่านกกระสาอย่างพวกเราทำงานหนักไปหน่อยเหรอ ปอน?”
“เงียบซะ” แครนเบอร์รี่หันหน้าจากทางขวามาซ้าย ปลายหูของเธอกำลังกระดิก “นกกระสาน่ะต้องทำงานหนักอยู่แล้ว”
เธอเตะเข้าไปที่ขาของสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่ผ่าน จากนั้นก็ทุบลงไปเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งที่สามมันถูกกันเอาไว้โดยสัตว์ประหลาดสองตัวที่เข้ามาขวาง เธอจึงใช้หมัดต่อยเข้าไปที่หน้าของมันจนทำให้ขนและชิ้นเนื้อปลิวกระจัดกระจาย พอเธอดึงหมัดกลับจากหน้าของมัน กลิ่นคาวเลือดก็โชยออกมา แครนเบอร์รี่เข้าไปหาตัวแรกและตัวที่สองก่อนที่พวกมันจะทันได้ลุกขึ้น ด้วยเพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ปลายนิ้วของเธอก็คว้านเข้าไปที่กระดูกสันหลังของศัตรูผ่านทางลำคอ พอตัวที่สี่โจมตีเข้ามาจากด้านหลัง เธอก็ก้มตัวลงเพื่อหลบพร้อมกับวางมือลงบนพื้นเพื่อเตะสวนกลับไปที่กรามของมันโดยไม่หันไปมอง
“…ตัวที่สี่?!”
แบบนี้มันคงไม่จบไม่สิ้นแน่ ตัวที่ห้าและหกก็ใกล้เข้ามาแล้ว จากนั้นไม่นานตัวที่เจ็ด แปด และเก้าก็ปรากฏตัวขึ้น แครนเบอร์รี่เตะเข้าไปที่ด้านข้างของแต่ละตัว บิดแขนตัวที่สิบแล้วก็ใช้มันเป็นโล่เพื่อเข้าปะทะกับตัวที่สิบเอ็ด แล้วก็เตะพวกมันทุกตัวลงกับพื้น
เธอได้ยินเสียงคำรามดังกึงก้องมาจากทุกทิศทุกทาง แบบนี้ไม่ใช่แค่สิบหรือยี่สิบตัวแล้ว กลิ่นของสัตว์ประหลาดและคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ กลบกลิ่นของดิน ต้นไม้ และใบหญ้าไปจนหมด
“ทำไมพวกมันถึงมีมากขนาดนี้เนี่ย ปอน?”
“เมจิคัลเกิร์ลที่สร้างพวกมันขึ้นมาเป็นมือใหม่ เธอคงยังไม่เข้าใจพลังของตัวเองดีล่ะนะ”
“ไร้ความรับผิดชอบสุดๆเลย ปอน!”
“เราไม่คิดนะว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของนายนะ ฟาฟ”
พวกมันทั้งหมดพุ่งเข้ามาในครั้งเดียว แต่เมื่อก้าวมาข้างหน้า ร่างกายท่อนบนของพวกมันก็ถูกผลักไปด้านหลังอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีเสียงทุบลงไปที่แขนขา และเมื่อแขนขาของพวกมันถูกทุบแล้ว พวกมันก็ลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้น
ฟาฟแปลกใจเป็นการส่วนตัว แครนเบอร์รี่นั้นใช้เวทมนตร์ของตัวเอง เธอรักในการต่อสู้มือเปล่า ดังนั้นเธอจะใช้เวทมนตร์โจมตีก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้ทำให้เธอจนมุมเท่านั้น
แครนเบอร์รี่เข้าหาศัตรูด้วยท่าทางตามปกติ จากนั้นก็แตะไหล่หนาๆของมันด้วยปลายนิ้ว และทั่วทั้งร่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรงในทันที จากนั้นของเหลวในร่างกายก็ทะลักออกมาจากหู ตา จมูก และปากจนเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ ด้วยการที่ส่งเสียงสั่นสะเทือนเข้าไปในร่างกาย มันจึงเป็นการสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับอวัยวะภายในโดยเฉพาะสมอง เมื่อแครนเบอร์รี่เคลื่อนตัวเข้าไปผ่านระหว่างสิ่งมีชีวิต ของเหลวใดๆก็ตามที่พุ่งเข้ามาหาเธอมันก็ร่วงลงไปบนพื้น
พวกสิ่งมีชีวิตยังคงโจมตีเข้ามาหาแครนเบอร์รี่ตัวแล้วตัวเล่า จนซากศพพี่น้องของพวกมันที่กองพะเนินอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นภูเขา แต่พวกสิ่งมีชีวิตนั้นก็ไม่ได้มีศีลธรรมอะไร พวกมันตบเท้าเข้ามาหาแครนเบอร์รี่อย่างไม่หยุดพัก ราวกับว่าความปรารถนาของตัวเองคือความตาย
“โผล่มาไม่จบไม่สิ้นเลยนะ” เสียงของแครนเบอร์รี่ฟังดูตื่นเต้น ก่อนที่สิ่งมีชีวิตนั้นจะทันได้โจมตีเข้ามา เธอก็โจมตีมันด้วยคลื่นเสียงทำลายล้าง จนร่างกายของพวกมันโอนเอน บวมขึ้น แล้วก็ล้มลงไป “ไม่มีสัญญาณอะไรบ่งบอกว่าจำนวนมันลดลงเลย”
เธอเตะเข้าไปที่เข่าด้วยส้นรองเท้า ใช้เข่าของมันเป็นแท่นดีดตัว แทงศอกเข้าไปที่หน้าท้อง แล้วก็หมุนตัวครึ่งรอบในอากาศพร้อมกับเตะลงมาเข้าที่หลังจนพวกมันคว่ำหน้าลงกับพื้น แครนเบอร์รี่วิ่งถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่างกับพวกมัน จากนั้นเมื่ออีกฝ่ายไล่ตามเธอมา เธอก็ปล่อยคลื่นเสียงทำลายล้างไปยังทิศตรงหน้าที่พวกมันรวมตัวกันอยู่ จนทำให้ทั้งตัวของพวกมัน หญ้า และพื้นดินลอยขึ้นไป ร่างกายลอยอยู่สูงในอากาศ ต้นไม้เองก็โค่นลงมาจนกระเด้งกระดอนแล้วก็กลิ้งไปตามพื้น
เพราะพื้นดินถูกคว้านออกมันจึงทำให้ในตอนนี้ศัตรูยืนอยู่ในจุดต่ำกว่าเดิม พวกมันกวัดแกว่งกรงเล็บตัดผ่านฝุ่นควัน แครนเบอร์รี่หลบการโจมตีนั้นแล้วก็จัดการตัวที่หนึ่ง สอง สามด้วยเสียงของเธอจากภายใน พร้อมกับเตะเข้าไปที่อกของตัวที่สี่เพื่อกระโจนไปด้านหลัง กระโดดลงมาจากต้นไม้ลงมาที่พื้นเพื่อเด้งตัว
เธอหลบแขนที่โผล่ขึ้นมาพร้อมๆกับใบไม้ที่ลอยขึ้นจากบนพื้นดิน แล้วเมื่อสัตว์ร้ายอีกตัวลงมาจากด้านบนต้นไม้ เธอก็ใช้จังหวะเหวี่ยงหัวของมันกระแทกเข้ากับพื้นดิน จนทำให้ร่างกายจนาดใหญ่ของมันดิ้นไปมา
ไม่ว่าจะปกปิดการลอบโจมตีได้ชาญฉลาดแค่ไหน มันก็ไม่ได้ผลกับแครนเบอร์รี่ ต่อให้ซ่อนตัวอยู่ก็ไม่สามารถปกปิดเสียงทุกอย่างของร่างกายได้ แต่อย่างไรก็ตาม การจัดการเรื่องซุ่มโจมตีมันจะผลาญพลังงานและน่ารำคาญทุกครั้ง
“แครนเบอร์รี่ ด้านหลัง ปอน”
“นายไม่ต้องบอกหรอกนะ”
เธอหลบแขนของสิ่งมีชีวิตที่พยายามจะจับตัวเธอเอาไว้ จากนั้นก็สวนกลับไปด้วยการหมุนตัวแล้วก็ใช้สันมือสับลงไปที่ด้านข้างเป็นคอมโบสามชุด เธอลูบแขน ขา แล้วก็หัวของพวกมันเบาๆ และทุกครั้งที่ทำแบบนั้น เลือดที่ไหลพุ่งออกมาเป็นละอองก็จะย้อมตัวของแครนเบอร์รี่ให้กลายเป็นสีดำแดง หยดเลือดข้นๆมันหยดลงมาจากใบหูยาวๆและดอกกุหลาบของเธอ เธอพยายามใช้คางป้องกันการทุ่มตัวของศัตรู แต่แรงปะทะมันมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงลดคางลง พร้อมกับหลบแรงด้วยการหมุนไปด้านหน้ารอบหัวของศัตรูและทุบเข้าไปที่หลัง เอว และข้อเท้าอย่างต่อเนื่อง
ก่อนที่สิ่งมีชีวิตจะล้มตัวลง ลำคอของมันก็ส่งเสียงคำรามออกมาดังกึกก้อง แครนเบอร์รี่จึงเอาเท้าของเธอบดขยี้บริเวณลำคอของมันทิ้ง สิ่งมีชีวิตตัวอื่นเองก็คำรามออกมาราวกับว่าทำตามเสียงคำรามแรก เพราะแบบนั้นคิ้วขวาของแครนเบอร์รี่จึงเชิดขึ้น
แครนเบอร์รี่สามารถจับเสียงที่เบาที่สุดได้ด้วยการได้ยินอันแหลมคมของเธอ และเธอก็ต่อสู้โดยใช้เสียงเป็นข้อมูล แม้จะเป็นการตะโกนตัวของเธอก็ไม่ได้สั่นไหวมากนัก แต่กับการที่ต้องพยายามฟังเสียงคำรามอยู่ตลอดเวลาและต้องต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากมันก็ทำให้เธอเหนื่อยล้า หากเธออยากจะปิดการรับเสียงทั้งหมดไปเธอก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเธอทำแบบนั้นมันก็จะตรวจจับการลอบโจมตีไม่ได้อีกต่อไป
เธอหัวเราะออกมาอย่างดีใจในตอนที่เอี้ยวตัวหลบการโจมตีอันทรงพลังซึ่งสามารถทำให้ต้นซีดาห์สั่นไหวได้ด้วยเพียงแค่แรงลม พร้อมกับกวัดแกว่งหลังมือตอนหมุนตัวไปด้วย
แต่ฟาฟไม่ได้หัวเราะ จำนวนของศัตรูมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว “พวกเราต้องขอกำลังเสริมแล้วก็ต้องอพยพผู้คนด้วย ปอน”
“ไม่จำเป็น”
แครนเบอร์รี่หมุนแขนของสิ่งมีชีวิตไปด้านข้าง จับขาของมัน แล้วก็หมุนไปรอบๆเพื่อทุ่มลงบนพื้นจนทำให้เกิดรอยยุบขนาดใหญ่ แครนเบอร์รี่กระโดดเข้าไปที่ด้านหลังของพวกศัตรูที่อยู่รอบๆตัวเธอ จากนั้นก็เตะ ต่อย เฉือนมันด้วยสันมือ ใช้นิ้วแทงเข้าไปในลูกตาและกระชากออก แต่แขนเสื้อของเธอก็ถูกงับเอาไว้ เธอจึงต้องเสียเวลาไปเสี้ยววินาทีเพื่อฉีกมันออก เพราะแบบนั้นเธอจึงหลบกรงเล็บที่ฟาดเข้ามาจากด้านหลังได้ไม่ทั้งหมด จนมันทำให้เสื้อด้านหลังของเธอฉีกขาด —แครนเบอร์รี่จับกิ่งไม้เอาไว้แล้วก็หมุนตัวเพื่อลงมาบนพื้น
“แครนเบอร์รี่”
“ขอปฎิเสธ”
ตัวของฟาฟเองไม่ได้มีสิทธิ์ในการร้องขอกำลังเสริม เขาจึงเป็นต้องขออนุญาตจากแครนเบอร์รี่ แต่เธอก็ดื้อด้านไม่ยอมอนุญาต แครนเบอร์รี่ไม่ได้กลัวเรื่องชื่อเสียงจะเสียหาย เธอแค่สนุกสนานกับการต่อสู้ครั้งนี้และพยายามป้องกันไม่ให้เมจิคัลเกิร์ลคนอื่นขโมยมันไปงั้นเหรอ? แต่ถ้าในตอนนี้พวกสิ่งมีชีวิตมันสร้างอันตรายให้กับคนธรรมดา การทดสอบอาจจะถูกยกเลิกก็ได้
“แครนเบอร์รี่!”
“ช่วยเงียบหน่อย มันรบกวนนะ”
เสียงทำลายล้างดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณเพื่อโจมตีศัตรู แครนเบอร์รี่ใช้ปลายของท่อนไม้หักที่แบกเอาไว้บนไหล่แทงเข้าไปที่ร่างกายของหนึ่งในพวกสิ่งมีชีวิต จากนั้นก็แทงเข้าไปที่ตัวที่สองก่อนจะเหวี่ยงพวกมันไปด้านข้าง
การจัดการศัตรูพวกนี้มันทำให้เธอช้าลง ซึ่งมันทำให้ฟาฟเป็นกังวลมากยิ่งขึ้น แล้วเมื่อยิ่งฟาฟกังวลมากเท่าไหร่ มันก็ไม่มีทางที่แครนเบอร์รี่จะใจเย็นได้เลย เธอทำลายสิ่งมีชีวิตสามตัวด้วยเสียงจากระยะไกล สัมผัสพวกมันสองตัวในระยะใกล้เพื่อทำลายจากภายในด้วยเวทมนตร์ และอีกตัวหนึ่งที่เธอใช้มือควักหัวใจ แต่พอแครนเบอร์รี่จะดึงมือกลับ เจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นก็กอดเธอเอาไว้เพื่อกันไม่ให้หนี
แครนเบอร์รี่ใช้ศอกตอกลงมาบนแขนของมันเพื่อพยายามสลัดให้หลุด แต่ก่อนที่เธอจะหลุดไปได้ สิ่งมีชีวิตอีกตัวก็พุ่งเข้ามาหาเธอ มันทุบเข้ามาเหนือสองมือที่เธอยกขึ้นเป็นการ์ด ตัวของเธอกลิ้งไปตามพื้นด้านหลังจนทำให้ต้นไม้และกิ่งไม้หักไปตามทาง ในตอนที่กลิ้งอยู่นั้น เธอก็ใช้มือขวาทุบลงไปที่พื้นเพื่อกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ และก็ใช้ข้อศอกโจมตีเข้าไปหาศัตรูเพื่อทำลายข้อต่อ จากนั้นก็ผลักมันไปด้านข้างเพื่อทำการโจมตีด้วยเสียงซ้ำเข้าใส่ ในตอนที่เธอยืนขึ้น มันก็มีเลือดไหลลงมาจากหน้าผากเป็นทาง
มันใช่อาการบาดเจ็บที่มากมายอะไร ที่จริงแล้วเป็นแค่รอยข่วนเท่านั้น แต่กระนั้นมันก็หมายความว่าตัวของแครนเบอร์รี่เคลื่อนไหวช้าลงจนทำให้ตัวเองบาดเจ็บ มันไม่มีทางเลยที่การโจมตีระยะประชิดจะไม่สร้างภาระให้เธอ
“แครนเบอร์รี่! กำลังเสริม ปอน!”
“อย่างที่พูด เราไม่ต้องการ มันน่ารำคาญด้วย”
เธอเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแบบปกติโดยไม่ได้แสดงท่าทีที่บ่งบอกว่าบาดเจ็บออกมา พวกศัตรูที่ถูกพัดปลิวก็พุ่งมาใส่ ฝูงสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจนพื้นดินสั่นสะเทือน และจู่ๆการสั่นสะเทือนก็รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีเสียงของเครื่องจักรเข้ามาในพื้นที่พร้อมกับไฟส่องสว่าง
รถไถที่จู่ๆก็ปรากฎตัวขึ้นมานั้นมันโค่นต้นไม้จนล้มลงและกวาดพืชต่างๆจนราบเรียบ กวาดศัตรูจากด้านข้าง บดขยี้พวกสิ่งมีชีวิตจนเกิดเสียงอันน่าอดสู บางตัวก็ลุกขึ้นและพยายามป้องกันเอาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล จนพวกมันปลิวออกไป เด็กสาวที่นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับสบถใส่พวกสัตว์ประหลาดด้วยภาษาหยาบคายที่ระคายหูพร้อมกับเหยียบคันเร่งแรงขึ้นอีก
คาลามิตี้ แมรี่นั่นเอง
แครนเบอร์รี่กระโดดและเตะเข้าไปที่สิ่งมีชีวิต จากนั้นก็หมุนตัวเตะเพื่อทำให้พวกมันล้มลง แล้วรถไถก็หมุนไปพร้อมกับแสงไฟที่สาดส่องเข้าฝูงศัตรูที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เหมือนว่าแสงไฟนั้นจะถูกเวทมนตร์ร่ายเอาไว้ด้วย
แมรี่ก้มตัวและลุกขึ้นมาจากที่นั่งครึ่งตัว เธอหันไปทางขวามือแล้วก็ลั่นไกปืนคู่เข้าหาศัตรู จนพวกมันส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อกระสุนหมดแล้วเธอก็โยนมันไปด้านหลัง แล้วก็หยิบปืนกระบอกใหม่ขึ้นมายิงต่อ การยิงเข้าที่หัวอย่างจังราวกับจับวางของเธอทำให้หัวของพวกมันระเบิดไปตัวแล้วตัวเล่า พวกสิ่งมีชีวิตล้มลงเป็นกองก่อนที่จะเข้ามาถึงรถไถ รถไถยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าเข้าหาแครนเบอร์รี่ แล้วด้วยการกระโดดอย่างรวดเร็ว เธอก็ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งผู้โดยสารที่อยู่ด้านหลังแมรี่
“ขอบคุณมากนะ” แครนเบอร์รี่พูด
“เฮ๊อะ! ด้วยความยินดี!”
ทั้งคู่ที่ชุ่มไปด้วยเลือดต่างมองดูอีกฝ่ายราวกับว่าเป็นการทักทายแบบปกติ แน่นอนว่าแครนเบอร์รี่นั้นฆ่าพวกมันไปเป็นจำนวนมาก แต่เพื่อให้มาถึงที่นี่ได้แมรี่เองก็คงฆ่าไปพอสมควร แครนเบอร์รี่สามารถตรวจจับเสียงได้จากระยะไกล ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้ว่าแมรี่กำลังมา นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมแครนเบอร์รี่ถึงพูดว่ากำลังเสริมนั้น ‘ไม่จำเป็น’
รถไถขับผ่านผืนป่า ใบมีดด้านล่างที่หมุนวนแบบไม่รู้จักจบสิ้นโค่นต้นไม้ ทำลายพืชพรรณ พื้นดิน หิน สิ่งมีชีวิต มันทำลายทุกอย่างทิ้งโดยการบดขยี้ พวกเธอฆ่าศัตรูตัวแล้วตัวเล่า แครนเบอร์รี่ใช้เสียง ส่วนแมรี่นั้นใช้ปืน ความรุนแรงและกำลังอันน่ากลัวของพวกเธอที่ถาโถมใส่ศัตรูนั้นมันทำให้ฟาฟรู้ตัวว่าจำนวนของศัตรูมันลดลงแล้ว พวกเธอฆ่าพวกมันไปมากกว่าที่เกิดขึ้นมาซะอีก
พวกสิ่งมีชีวิตเหมือนจะสัมผัสได้ว่ากำลังแพ้ พวกมันจึงหันหลังกลับแล้วก็เริ่มหนีไป แต่แมรี่และแครนเบอร์รี่ไม่คิดจะปล่อยให้พวกมันหนี จากนั้นการต่อสู้ก็เปลี่ยนไปเป็นการล่าสังหารอยู่ฝ่ายเดียว ชิ้นเนื้อและเลือดสดก็โปรยปรายลงมาราวกับเป็นปรากฏการณ์อันงดงาม
แมรี่หัวเราะด้วยความดีใจ ในขณะที่แครนเบอร์รี่ถอยหายใจออกมาเบาๆ
“อะไรน่ะ ไม่สนุกรึไง?” แมรี่ถาม
“การโจมตีจากระยะที่ปลอดภัยด้วยอาวุธระยะไกลมันไม่ใช่รสนิยมของเราน่ะนะ”
“ชั้นน่ะทำแบบนั้นตลอดแหละ!”
“น่ารำคาญจริง…”
“นี่แกพูดอะไรน่ะ?”
“ทำไมเธอถึงมาที่นี่?”
“ก็ดูเหมือนว่าแกกำลังสนุกอยู่ เพราะงั้นชั้นก็เลยมาร่วมวงด้วย” แล้วก็พูดต่อว่า “ชั้นจะติดเรื่องนี้ไว้เป็นหนี้ก็แล้วกันนะ คุณพี่เลี้ยง” จากนั้นเธอก็ยิงปืนออกมาพร้อมกับพูดพึมพำอะไรบางอย่าง
ท่าทางบนใบหน้าของแมรี่ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับคำพูดของเธอ ด้วยท่าทีรุนแรงของเธอแล้วมันดูเหนือกว่าเหตุผล ทำไมแมรี่ถึงมาที่นี่กันล่ะ? ฟาฟจินตนาเหตุผลอื่นนอกจากเธอสะกดรอยตามแครนเบอร์รี่มาไม่ออกเลย และเหตุผลที่สะกดรอยตามมานั้นคงเป็นอะไรอย่างการปลดปล่อยความเครียดของตัวเธอ เธออยากได้สถานที่ที่สามารถปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองออกมาได้
พอคิดแบบนี้แล้วเรื่องราวต่างๆของแมรี่จึงสนุกมากยิ่งขึ้น ฟาฟจึงพูดกับแมรี่ไปว่า “แมรี่ นี่เธอไปเอาปืนพวกนี้มาจากไหนน่ะ ปอน?”
“ที่กรมตำรวจที่ไหนซักที่”
“นั่นไม่ดีเลยนะ ปอน”
“ใครจะสนกันล่ะว่าชั้นไปได้มาจากไหน? ในประเทศนี้การมีของพวกนี้มันก็ผิดกฏหมายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบ่นเรื่องแหล่งที่มาหรอกนะ”
“งั้นเราจะทำรายชื่อพวกกลุ่มอันธพาลในเมืองให้เธอเอง แบบนั้นคงเหมาะกับเธอมากกว่า ดังนั้นก็ไปกับพวกนั้นแล้วกัน ปอน”
“ถ้านั่นเป็นข้อเสนอล่ะก็ ชั้นจะลองคิดดู”
เรื่องถัดมาคือเรื่องที่ต้องใช้แรงเล็กน้อย แครนเบอร์รี่ตรวจจับเสียงได้ รถไถจึงมุ่งหน้าไปทางต้นเสียง และนักรบผู้บ้าคลั่งทั้งสองก็จะกำจัดพวกสิ่งมีชีวิตให้เหี้ยน พวกสิ่งมีชีวิตต่างพากันหนีอย่างน่าสงสาร เมื่อเห็นเช่นนั้นแมรี่ก็หัวเราะออกมา ส่วนแครนเบอร์รี่ก็หลับตาลง ฟาฟจึงมองสำรวจเมจิคัลเกิร์ลทั้งสองอย่างใจเย็น
ฟาฟคิดไม่ผิดเลย —บุคลิกส่วนตัวของพวกเธอนั้นขัดแย้งกัน ความสำคัญอันดับแรกของแครนเบอร์รี่คือการต่อสู้ ส่วนความสำคัญของแมรี่คือการทำให้คู่ต่อสู้ยอมจำนน หากจำเป็นแครนเบอร์รี่ก็จะลงมืออย่างรุนแรงโดยไม่ลังเล แมรี่เองก็เช่นกัน ต่อให้ไม่จำเป็นเธอก็จะจัดการอีกฝ่ายโดยไม่ปราณี แครนเบอร์รี่เห็นวิธีการของแมรี่ —ซึ่งก็คือการยิงปืนจากระยะไกล— ว่า “ไม่ใช่รสนิยมของเธอ” ในขณะเดียวกัน แมรี่ก็เห็นแครนเบอร์รี่ต่อสู้และใช้เวทมนตร์ แมรี่ก็คิด (แม้ว่าความคิดนั้นจะถูกปกปิดด้วยเสียงหัวเราะแบบบ้าคลั่งก็ตาม) ว่า ของพวกนี้ใช้กับเธอไม่ได้ผลหรอก
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน พวกเธอก็ไม่เข้ากันเลย
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พวกเธอก็เสร็จสิ้นการล่าในหุบเขา แมรี่ทิ้งรถไถเอาไว้ที่นี่แล้วก็กลับไป ซึ่งมันหมายความว่า “จัดการให้ด้วยแล้วกัน” การที่เธอแยกตัวออกไปคือการบอกว่า “ชั้นชินกับมันแล้ว” เช่นเดียวกับท่าทางสดชื่นของเธอที่ใครเห็นก็บอกได้ว่าเธอบรรลุเป้าหมายในการปลดปล่อยความรุนแรงออกมา พอได้เห็นท่าทีแบบนี้ บางทีเธออาจจะชินกับมันจริงๆก็ได้
แครนเบอร์รี่และฟาฟที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลังก็มองขึ้นไปจากที่นั่งของรถไถไปยังหุบเขากองศพของสิ่งมีชีวิต
“ฟาฟ” แครนเบอร์รี่พูดกับมาสค็อตของตัวเอง
“อะไรเหรอ ปอน?” ฟาฟตอบ
“ที่นายพูดว่า เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค สามารถทำให้ค้นพบผู้เข้าร่วมที่ทรงพลังได้น่ะ —นายแน่ใจเรื่องนั้นใช่ไหม?”
“พวกเราควรจะรวบรวมเมจิคัลเกิร์ลประเภทที่ไม่เคยมีมาก่อน… อย่างแมรี่ไงล่ะ ปอน”
“วิธีการต่อสู้ของเธอ เราพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ได้ชื่นชอบ แต่ถ้ามีความแข็งแกร่ง ถ้ามีคนที่สามารถสู้กับเธอปรากฏตัวขึ้นมาล่ะก็… งั้นเหรอ เหมือนว่ามันจะน่าสนใจดีนะ”
“ในที่สุดก็เข้าใจแล้วเหรอ ปอน?”
“อื้อ เหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ”
“งั้นให้เราจัดการตอนนี้เลยไหม ปอน? ถ้าทิ้งเนื้อสดๆไว้ในอากาศแบบนี้นานๆล่ะก็ มันจะเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเอานะ ปอน”
เมจิคัลเกิร์ลและมาสค็อต ทั้งคู่ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่เข้ากัน
MANGA DISCUSSION