ชีวิตจริงของพวกเราถูกเติมเต็มแล้วงั้นเหรอ?
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อนที่เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค JOKERS จะเริ่มต้นเพียงไม่นาน
“ช่วงนี้ไม่มีงานดีๆเลย” เธอพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา เด็กสาวคนอื่นอีกสามคนกำลังจ้องมองเมนูและพูดคุยกันอย่างจริงจังว่า “เจ้านี่น่ะไม่อร่อยเลย” “เจ้านี่รสชาติโอเคนะ” จากนั้นพวกเธอก็หันหน้าไปหาคนพูด —หรือก็คือคาฟุเรีย
“งานดีๆของเธอนี่หมายความว่าไงเหรอ?” เพื่อนคนหนึ่งถามเธอ
คาฟุเรียถอนหายใจออกมาแล้วยกถ้วยของเธอขึ้นมาจิบ แต่กาแฟของเธอมันเย็นไปเรียบร้อยแล้ว “ก็แน่นอนว่ามันคืองานที่จะได้เงินเยอะๆไง มันมีอย่างอื่นด้วยเหรอ?”
“เงินเหรอ หืมม… แต่ถ้าเป็นอะไรที่เปลืองกว่านั้นซักหน่อยล่ะ…? อย่างงานที่ต้องไปเจอใครบางคน?”
“เจอหน้างั้นเหรอ? ถ้าเป็นผู้ชายฉันมีมากพอแล้วล่ะ” เพื่อนสามคนของเธอยิ้มออกมา คาฟุเรียสะบัดซองน้ำตาลเปล่าๆที่วางอยู่ใกล้กับจานรองของเธอ จากนั้นก็เอามันไปไว้ที่มุมโต๊ะ
“คาฟุเรียนี่น่าเบื่อจัง” เพื่อนคนนึงของเธอบ่น
“แล้วเธอโทษฉันได้รึไงล่ะ?”
“เอาจริงๆนะ คือมันเป็นเรื่องที่ต้องพบกับใครบางคนจริงๆ” เพื่อนคนแรกของเธอพูด “หากเธอแต่งงานกับคนรวยได้ แบบนั้นก็จะแก้ปัญหาเรื่องเงินได้ด้วยใช่ไหมล่ะ? อ๊ะ แต่ฉันรู้นะว่าเธอจะไม่ไปหาใครหรอก คาฟุเรีย”
คาฟุเรียกำลังจะวางถ้วยของเธอลงอย่างแรง แต่เธอก็ใช้เวลาครู่หนึ่งกัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆก่อนที่จะวางลงไปอย่างนิ่มนวลบนจานรองขนาดใหญ่ หากเธอใส่แรงมากเกินไปมันก็จะทำให้ทั้งถ้วยและจานรองแตกไปทั้งคู่ —และกรณีที่เลวร้ายที่สุด โต๊ะเองก็จะพังไปด้วย หากมันเกิดขึ้น พวกเธอก็จะถูกห้ามไม่ให้เข้ามาที่นี่อีกต่อไป
ที่แห่งนี้คือคอสเพลย์คาเฟ่ที่ชื่อว่า เมจิคัล ทีไทม์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตหนึ่งของเมืองๆหนึ่ง ลูกค้าสามารถยืมเครื่องแต่งกายของทางร้านได้ หรือจะแต่งมาเองก็ได้เช่นกัน มันยังมีคำชี้แจงบางอย่างเรื่องการแต่งกายอยู่ด้วย เช่น “อยู่ในขอบเขตของสามัญสำนึก” ไม่ก็ “ห้ามแต่งตัวโป๊เปลือย” และมันเป็นเพราะกฎนี้ที่มันคลุมเครือจนเมจิคัลเกิร์ลสามารถเข้ามาใช้บริการในขณะที่แปลงร่างอยู่ได้ แม้จะค้นหาทั่วญี่ปุ่นแล้ว นี่ก็คือสถานที่เพียงแห่งเดียวที่เธอหาเจอ มันคงจะเป็นเรื่องแย่มากหากถูกทางร้านห้ามไม่ให้เข้า
ที่แห่งนี้มีการตกแต่งอย่างหลากหลาย มีทั้งโซ่กระดาษ มีชั้นวางถูกเรียงรายไปด้วยตุ๊กตาและฟิกเกอร์ มีโปสเตอร์อนิเมที่ฉายอยู่ในซีซั่นนี้เช่นเดียวสิบหรือยี่สิบปีก่อน เด็กสาวในชุดคอสเพลย์อนิเมยิ้มต้อนรับลูกค้า ส่วนเจ้าของร้านที่มีหนวดและผูกหูกระต่ายนั้นยืนเช็ดจานอยู่อย่างเงียบๆ เมจิคัลเกิร์ลเองก็ปะปนอยู่ในหมู่ลูกค้าเช่นกัน แม้ว่าลูกค้าและพนักงานอาจคิดว่า คอสเพลย์ได้สุดยอดจัง หรือ คอสนี้มันอะไรกันเนี่ย? แต่ก็จะไม่ได้พูดออกมาดังๆ ในบางครั้ง พวกเด็กสาวก็จะถูกถามว่าขอถ่ายรูปได้รึเปล่าอีกด้วย
เธอหยุดพูดครู่หนึ่ง และเมื่อสงบใจแล้ว คาฟุเรียก็พูดต่อ
“ฉันเองก็เคยเจอกับผู้ชายหนึ่งหรือสองคนด้วยตัวเองนะ แต่คิดว่าครั้งสุดท้ายมันก็เมื่อสองหรือสามปีก่อน ตอนที่ฉันแอบเข้าไปในงานเลี้ยงของฝ่ายประชาสัมพันธ์”
“สองหรือสามปีก่อน? ไม่นานไปหน่อยเหรอนั่นน่ะ? แถมตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…” เด็กสาวทวินเทลพูด
“ฉันเข้าใจว่าเธออยากจะพูดแซะนะ แต่ก็ฟังเรื่องของคาฟุเรียก่อนเถอะ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?” เด็กสาวสวมหน้ากากถาม
เพลงประกอบที่เล่นอยู่ในคาเฟ่เปลี่ยนจากเพลงเปิดของอนิเมต่อสู้เป็นเพลงปิดของอนิเมเลิฟคอม ด้วยการที่มีเพลงบัลลาดอันอ่อนหวานที่เล่นประกอบฉากอยู่นั้น คาฟุเรียก็พูดต่อ “ผู้ชายคนที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากรายการโชว์นั่นพยายามเข้าหาฉันมากเลย เอาแต่พูดชมแบบซ้ำซากน่าเบื่ออย่าง ‘คุณนี่มีความงดงามแบบดั้งเดิมที่เมจิคัลเกิร์ลในอนิเมขาดหายไปอยู่ด้วย คุณนี่สมควรจะถูกเรียกว่าเมจืคัลเกิร์ลแห่งญี่ปุ่นจริงๆนะ’ ออกมาเรื่อยๆอีกต่างหาก พอฉันถามเขากลับ ฉันก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่สำคัญมาก คนอื่นพูดกันว่าเขาไม่ได้มาจากดินแดนเวทมนตร์ แต่เหมือนกับเป็นคนในวงการบันเทิงแบบนั้นมากกว่า”
“โหยย ว้าว พูดซะเหมือนธอเป็น ‘ไอดอลแห่งยุคถัดไป!’ เลยนะนั่น!” เด็กสาวสวมหน้ากากอุทานออกมา
“เขาเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจะพูดอะไรตรงๆด้วย อย่างเช่น ‘บางที คุณอาจจะไม่ค่อยจะเหมาะกับอนิเม’ น่ะนะ”
“ที่พูดนั่นหมายความว่าไงล่ะนั่น?”
“ฉันหมายถึง เธอคิดว่าฉันเหมาะกับอนิเมไหมล่ะ?”
“อะ…เอ่อ บางทีเธออาจจะไม่ได้มีจุดสนใจเหมือนกับอะไรที่เพิ่งออกมาใหม่ๆก็ได้”
“แต่เขาก็ยังพูดว่าอยากรู้จักฉันให้มากขึ้น แถมยังขอเบอร์ฉันอีกนะ”
“บางทีฉันก็คิดนะว่า อาจจะเรียกผู้ชายคนนั้น…ว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในหลายๆด้านได้เหมือนกัน”
มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของคาฟุเรีย เนื่องจากใบหน้าส่วนใหญ่ของเธอถูกซ่อนอยู่หลังผ้าคลุมหน้า เด็กสาวคนอื่นจึงสามารถรู้ได้แค่จากรอยยิ้มที่ริมฝีปากของเธอ “ฉันเลยให้เบอร์ปลอมเขาไป”
“หือ? …ทำไมเธอทำแบบนั้นล่ะ?”
“ฉันได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการเริ่มเดทกับฝ่ายชายที่ชมฝ่ายหญิงในตอนที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลนะ แต่พอเมื่อฝ่ายชายเห็นฝ่ายหญิงในร่างมนุษย์ว่ามีรูปร่างหน้าตายังไงเท่านั้นแหละ ฝ่ายหญิงก็โดนปฎิบัติด้วยอย่างกับว่าเป็นพวกสิบแปดมงกุฎและสุดท้ายก็จะโดนฝ่ายชายทิ้งไป ฉันพูดอะไรผิดไหม?”
“อ่าาา…ใช่ เธอพูดได้ตรงจุดเลย”
“แต่เธอไม่คิดว่านั่นคือเรื่องดีๆที่ไม่ได้เข้ามาหาบ่อยๆบ้างเหรอ? จริงๆแล้วเธอเองก็ยังไม่ได้ให้เขาเห็นหน้าของร่างมนุษย์เลยนี่นา”
“อย่าพยายามให้คนทำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้สิ” คาฟุเรียพูด
“อ่า คุยเรื่องที่มันไม่รื่นหูแบบนี้แล้วมันหิวน้ำจัง ขอโทษนะ คุณพนักงาน ขอเพิ่ม ‘เอ็นด์ ออฟ เดอะ เวิร์ล มิลค์เชค’ ลงในออเดอร์ด้วย”
เมื่อพนักงานในชุดเครื่องแบบเอาแก้วมาวางลงบนโต๊ะ มันก็มีบางคนฉวยเอามันไปจากคาฟุเรียอย่างรวดเร็ว เธอคนนั้นมีผมทรงแอฟโฟร่สีเงินขนาดใหญ่ที่ผสมผสานกับชุดเมจิคัลเกิร์ลของตัวเองที่ดูแฟนซีตามแบบฉบับ เด็กสาวนั้นโดดเด่นกว่าใครคนอื่นในคาเฟ่ การเอียงตัวไปด้านหลังพร้อมกับถือมิลค์เชคด้วยท่าทางที่สง่างามมันไม่เข้ากับแฟชั่นของเธอเอาซะเลย
คาฟุเรียมองดูเครื่องดื่มของตัวเองถูกขโมยไปพร้อมกับริมฝีปากที่บิดเบี้ยวอย่างไม่พอใจ “ออโร่ เธอเอามิลค์เชคที่ฉันสั่งไปทำไม?”
“หืมม? ไม่ได้สั่งมาให้ฉันหรอกเหรอ?”
เด็กสาวอีกสองคนที่โต๊ะหัวเราะออกมาพร้อมกันในขณะที่มองดูคาฟุเรียกับออโร่โต้ตอบกัน คาฟุเรียบุ้ยปาก จริงๆแล้วเธอก็ไม่ได้โกรธเหมือนกับที่เธอแสดงออกมา และคนอื่นๆเองก็เข้าใจเรื่องนั้น เมจิคัลเกิร์ลสี่คนที่มาที่นี่ในวันนี้ พวกเธอล้วนแต่เป็นฟรีแลนซ์ —มันเป็นอาชีพของเมจิคัลเกิร์ลที่ไม่ได้มีเกี่ยวข้องกับองค์กรใดๆที่ทำมาหากินในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับเมจิคัลเกิร์ลเลย
“มันไม่มีอะไรที่น่าตลกไปกว่าการที่เธอพยายามหาผู้ชายมาช่วยสนับสนุนตัวเองที่อยู่ในงานแบบนี้แล้วล่ะ”
เมจิคัลเกิร์ลคาฟุเรีย —ความสามารถของเธอนั้นคือการรู้ว่าใครจะเป็นคนที่ตายเป็นคนแรก เมื่อเธอบอกคนอื่นเรื่องเวทมนตร์ของตัวเองไป ผู้คนก็จะมองกลับมาด้วยสายตาที่ไม่พอใจอยู่เสมอ และเมื่อมันเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นด้านที่ดีอีกด้าน— ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผู้คนจะวิ่งหนีหรือตะโกนใส่เธอ โดยส่วนตัวแล้วเธอชอบชุดของตัวเองที่เป็นสไตล์ชุดไว้ทุกข์ แต่เมื่อเธอไปงานแฟนซี มันก็กลายเป็นว่าโดดเด่นในทางที่ไม่ดี
“นั่นน่ะมันคือเรื่องที่ควรเก็บไว้พูดกับตัวเองหลังจากที่เรื่องต่างๆมันจบลงแล้วต่างหากล่ะ เธอน่ะควรคบกับเขาทันทีนะ”
โคคุริ เมจิคัลเกิร์ลที่สวมหน้ากากหมาจิ้งจอกอยู่ด้านข้างใบหน้านั้น สามารถใช้เวทมนตร์ของเธอเพื่อเคลื่อนย้ายเหรียญไปรอบๆได้ตามใจ แต่กระนั้นเธอก็สามารถควบคุมได้แค่ครั้งละเหรียญ และยิ่งไปกว่านั้น เธอทำให้มันเคลื่อนที่เร็วกว่าการเดินของมนุษย์ไม่ได้ โดยปกติแล้วเธอจะใช้พลังของตัวไปกับอย่างอื่นนอกจากควบคุมคกคุริซัง —ผีเหรียญ— ไม่ได้เลย แม้ตัวเองจะต้องการก็ตาม แต่จากที่เธอนั้นเป็นคนเชื่อโชคลางแบบสุดๆ โคคุริก็บอกว่า “หากทำอะไรแบบนั้น ฉันโดนสาปแน่ๆ” และไม่ใช้พลังในเรื่องที่ไม่ดีเลย
“ฉันสัมผัสได้ว่า ที่นี่มันมีคนพูดเรื่องที่ตัวเองต้องการอยู่ด้วยล่ะ”
เนกิโนะ คนที่มีผมสีเขียวที่มัดเอาไว้เป็นทรงทวินเทลด้วยคลิปหนีบผมรูปหัวหอมสีเขียว ด้วยการที่เธอเป็นเมจิคัลเกิร์ลสไตล์หัวหอม เธอจึงมักจะเจอเหตุการณ์เกี่ยวกับหัวหอมเกิดขึ้นเสมอ แต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์สำคัญนั้นจะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง เธอยืนยันว่าเวทมนตร์ของตัวเองคือ “สร้างกลิ่นของต้นหอมได้” ซึ่งมันมีประโยชน์มากหากต้องการเพลิดเพลินไปกับกลิ่นของหัวหอม และเมื่อคนในกลุ่มพูดถึงเรื่องนี้ มันก็กลายเป็นเรื่องตลกแบบมาตราฐานไปเลย
“ถ้าเมจิคัลเกิร์ลออกเดทกับมนุษย์ธรรมดามันก็จะมีแต่ปัญหา”
ออโร่ผู้ชอบอวดผมทรงแอฟโฟร่สีเงินขนาดใหญ่ของตัวเองก็มีเวทมนตร์แบบเรียบๆซึ่งก็คือแอฟโฟร่เวทมนตร์ มันคือเวทมนตร์ป้องกันที่จะไม่ทำให้เส้นผมของเธอยุ่ง เธอนั้นจะเก็บสิ่งของเล็กๆอย่างเมจิคัลโฟนและอุปกรณ์ที่ใช้เขียนเข้าไปในเส้นผมและดึงออกมาตอนที่เธอจะใช้ ในตอนนั้นแอฟโฟร่ก็ยังคงรักษารูปทรงไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากไม่นับตัวของออโร่เอง มันก็มีเพียงผู้คนรอบๆเธอที่รู้สึกว่าแอฟโฟร่ของเธอนั้นมันใหญ่และน่ารำคาญมากเมื่ออยู่ในพื้นที่เล็กๆ
ฟรีแลนซ์ —ผู้ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรใดๆที่หากินกับธุรกิจเมจิคัลเกิร์ล— ถูกปฎิบัติด้วยอย่างเลวร้ายในสังคมของเมจิคัลเกิร์ล คำว่า “เมจิคัลเกิร์ลปกติ” คือคนที่ทำงานอย่างแข็งขันเพื่อช่วยเหลือผู้คนโดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน แต่การได้เงินมาเพื่อเลี้ยงตัวเองด้วยวิธีการอื่นนั้นถูกมองว่าเป็นคนที่ต่อต้านสังคมเพราะต้องพยายามในเรื่องการหาเงิน ส่วนเมจิคัลเกิร์ลที่ทำงานเต็มเวลาจะได้รับเงินเดือนจากงานที่ตัวเองทำร่วมกับแผนกอื่นๆในดินแดนเวทมนตร์ที่จับตัวพวกเธอเอาไว้ด้วยความหยิ่งยโส เห็นพวกเธอเป็นแค่พวกไร้ระเบียบ โลภ และเป็นแหล่งรวมของพวกเหลือขอที่ไม่มีความสามารถพอที่จะหางานจริงๆได้
มันมีผู้เชี่ยวชาญเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการปฎิบัติด้วยอย่างสุภาพ คนส่วนใหญ่จะมองพวกเธอเป็นพวกขยะที่ไม่ได้เงินเดือนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าพวกเธอจะถูกหัวเราะเยาะ แต่พวกเธอก็หาเลี้ยงชีพด้วยตัวของพวกเธอเองอย่างเต็มที่
มันไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่มีความสามารถ และก็ไม่ใช่ว่าถูกใช้ให้ทำงานที่ยากลำบาก เมจิคัลเกิร์ลที่ไม่มีความสามารถนั้นไม่สามารถเลี้ยงชีพด้วยการเป็นฟรีแลนซ์ได้ ในงานนี้ที่ต้องถูกหลอก ถูกใช้งาน และถูกเขี่ยทิ้ง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน การที่พวกเธออยู่รอดได้มันก็ต้องขอบคุณทักษะของพวกเธอเอง
เนกิโนะและออโร่จบการศึกษามาจากกลุ่มการต่อสู้ชื่อดังอย่างโรงเรียนกวดวิชามาโอ เนกิโนะนั้นติดหนึ่งในหกอันดับแรกของการวิ่งหนึ่งหมื่นเมตร ในขณะที่ออโร่ทำคะแนนได้ดีที่สุดเป็นอันดับแปดของการแข่งงัดข้อ แม้จะมีดี แต่เพราะว่าพวกเธอดูงี่เง่าแถมเวทมนตร์เองก็จะสร้างแต่เสียงหัวเราะ พวกเธอจึงไม่ได้ถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มเล็กๆในโรงเรียนกวดวิชามาโออย่าง “สี่ราชาสรวงสวรรค์” หรือ “แปดพยุหะ”
โคคุรินั้นกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลจากการยอมรับของนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ คนที่รู้จักกว่าเข้มงวดในการทดสอบ แถมยังเห็นได้ชัดว่าแครนเบอร์รี่เองก็ชมเธอไว้มาก “แม้จะบ้าคลั่ง แต่เธอก็ยังรักษาตัวตนเอาไว้ได้ ด้วยการมีพรสวรรค์ด้านกีฬาและความสามารถการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม เธอถึงได้เลือกทางเลือกดีที่สุด นั่นน่ะคือพรสวรรค์ที่จำเป็นมากในสนามรบ” แต่กระนั้น มันก็ไม่มีแมวมองคนไหนมาหาเธอเลย
คาฟุเรียเองก็เหมือนพวกเธอ เธอไม่ได้มั่นใจในทักษะของตัวเองเท่ากับอีกสามคน แต่เธอก็ยังคงมีความสามารถด้านร่างกายที่มากกว่าเมจิคัลเกิร์ลโดยเฉลี่ย และเมื่อเป็นเรื่องของการบินแล้ว มันก็ไม่มีใครสู้คาฟุเรียและปีกของเธอได้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กลางอากาศ การสังเกตการจากที่สูง ภารกิจลับ การแสดงผาดโผน —เธอสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องต่อสู้เท่านั้น เธอยังเชี่ยวชาญในภารกิจสนับสนุน อย่างการวิเคราะห์ข้อมูล เจรจา แม้กระทั่งงานนั่งโต๊ะ
สิ่งที่พาพวกเธอมาเจอกันก็คือสิ่งเดียวที่พวกเธอมีเหมือนๆกัน —นั่นก็คือความสามารถด้านเวทมนตร์ที่แสนน่าเบื่อ พวกเธอรู้จักกันและกันในงานที่ถูกจ้างมาและบ่นเรื่องเวทมนตร์ของตัวเองด้วยกันกับคนอื่น แม้ว่าจะจบงานแล้ว พวกเธอก็นัดแนะที่จะมาเจอกันเป็นประจำแม้จะต่างวัยและอาชีพก็ตาม และในตอนนี้พวกเธอก็มาจับกลุ่มคุยเรื่องต่างๆพร้อมหน้ากัน
เพราะพวกเธอรู้ว่าความสามารถของตัวเองว่าเป็นสิ่งที่จะมีแต่คนหัวเราะเยาะ พวกเธอจึงสร้างเส้นสายการติดต่อขึ้นมาอย่างลับๆ ทิ้งงานฉายเดี่ยวซึ่งมาก่อนได้ก่อนไป ถ้าหากมีงานสำหรับหลายคน แบบนั้นพวกเธอก็จะแลกเปลี่ยนข้อมูลแล้วก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พวกเธอสร้างเครือข่ายที่มีประโยชน์กับทุกคนขึ้นมา เพราะมันไม่มีใครยืนยันว่าพวกเธอจะได้เงินเดือนแบบประจำ พวกเธอจึงต้องดูแลตัวเอง แม้การบ่นกับคนอื่นใน เมจิคัล ทีไทม์ จะคือเรื่องที่ผู้คนล้อเลียนเรื่องความสามารถหรือหัวเราะกับเรื่องรูปลักษณ์ของพวกเธอก็ตาม —แต่มันก็มีความหมายมากพอ
“ฉันเคยถูกสะกดรอยตามมาก่อนด้วยล่ะ” ออโร่พูด
“เธอ? สตอล์กเกอร์เนี่ยนะ?” โคคุริคิด “พวกนั้นมีเฟติชแอฟโฟร่รึไงเนี่ย?”
“ก็ใกล้เคียง เฟติชเส้นผมน่ะ”
“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงทนพวกผู้ชายไม่ได้” คาฟุเรียบ่น
“อ๋อ ไม่ใช่ผู้ชายหรอก ผู้หญิงน่ะ เมจิคัลเกิร์ลสตอล์กเกอร์”
“ทนผู้หญิงไม่ได้เหมือนกัน”
“คาฟุเรีย แบบนั้นมันหมายความว่าเธอทนทุกคนไม่ได้โดยไม่คิดถึงเรื่องเพศเลยนะ?”
“เธอยังเด็กอยู่นะ เนกิโนะ เพราะแบบนั้นเธอถึงไม่เข้าใจว่าผู้คนน่ะน่าเกลียดขนาดไหน”
“พวกเราอายุเท่ากันนะ”
“ไงๆก็เหอะ” โคคุริพูด “แล้วตอนจบมันเกิดอะไรขึ้นกับสตอล์กเกอร์กันล่ะ ออโร่?”
“เธอตามฉันมาทั้งวัน จากนั้นจู่ๆก็เข้ามาหาแล้วพูดว่า ‘ผมของเธอสวยมากเลยนะ แต่มันไม่ค่อยเหมาะกับรสนิยมฉันเท่าไหร่’ พวกเธอเชื่อไหมล่ะ?”
“โหย แรงอ่ะ”
“แย่มาก” คาฟุเรียเห็นด้วย
“ใจร้ายสุดๆ” เนกิโนะพูด
ทั้งสี่คนถอนหายใจออกมา จากนั้นก็จิบเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง มีเพียงคาฟุเรียเท่านั้นที่ไม่มีเครื่องดื่ม —เพราะถูกออโร่ขโมยไปแล้ว— เธอจึงดับกระหายด้วยน้ำเปล่าแทน “เงินน่ะมันอยู่เหนือความรัก”
“ฉันคิดว่างานดีๆคงตกลงมาไม่ถึงท้องพวกเราง่ายๆหรอก ว่าไหม?” เนกิโนะพูด
“ได้ยินว่าทางฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็รับสมัครคนอยู่เป็นระยะๆด้วยนะ” ออโร่พูด “พวกนั้นเป็นไง?”
“ได้ยินว่าจ่ายดีอยู่นะ” คาฟุเรียพูดเสริม
“งั้นไปดูหน่อยก็คงจะดี” โคคุริพูด
“แล้วทางฝ่ายวิจัยและพัฒนาล่ะ?” เนกิโนะถาม?
“บางทีอาจจะเป็นอคติส่วนตัวนะ…” คาฟุเรียพูด “แต่ฉันรู้สึกว่าพวกนั้นจะปฎิบัติด้วยเหมือนกับเป็นตัวอย่างวิจัยเลย”
โคคุริพยักหน้า “อ๊ะ ฉันเชื่อนะ”
“เพราะพวกเราทุกคนมีเวทมนตร์หายากไงล่ะ” ออโร่เห็นด้วย
“พอพูดถึงเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นร่างของตัวเองก่อนการแปลงร่างแล้ว” โคคุริพูด “มันคงเศร้าสุดๆใช่ไหมล่ะ ถ้าเธอดันอายเกินไปที่จะปล่อยให้คนอื่นเห็นร่างหลังการแปลงร่างอีกน่ะ?”
ครั้งนี้พวกเธอทุกคนหัวเราะไปด้วยกัน หรือบางทีอาจจะเรียกว่าหัวเราะแบบเฝื่อนๆจะถูกต้องกว่า
พวกเธอใช้เวลาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องงานดีๆที่เคยทำเมื่อในอดีต จนสุดท้าย เมื่อพวกเธอไม่มีอะไรจะคุยกันนอกจากเรื่องเศรษฐกิจไม่ดีแล้วนั้น —ซึ่งก็คือจุดที่ออโร่เริ่มเอามือเล่นกับผมของตัวเอง— พวกเธอก็คิดว่าได้เวลาแล้ว ออโร่นั้นมีนิสัยชอบเล่นกับผมตัวเองเมื่อเธอรู้สึกเริ่มเบื่อการพูดคุย อีกสามคนเองก็รู้เรื่องนี้ และในตอนที่พวกเธอหัวเราะเรื่องที่ออโร่ขาดสมาธินั้น พวกเธอก็ตกลงแยกย้ายกัน
คาฟุเรียเดินออกมาจากร้านพร้อมกับดึงเอาผ้ามาคลุมไหล่เพื่อปกปิดปีกของเธอเอาไว้ ในเวลาแบบนี้ เมจิคัลเกิร์ลที่มีไหวพริบก็จะคลายการแปลงร่างกลับไปเป็นมนุษย์ก่อนที่จะกลับบ้าน คาฟุเรียไม่อยากทำแบบนั้นเพราะมันมีปัญหามากเรื่องการเปลี่ยนชุด แถมเธอก็ไม่อยากซักผ้าเพิ่มด้วย ดังนั้นเธอจึงแปลงร่างออกมาในขณะที่ตัวเองสวมชุดนอนอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับบ้านไปในร่างของเมจิคัลเกิร์ล
แม้ว่าเธอจะสวมชุดที่มีลักษณะแบบไว้ทุกข์ แต่ชุดของเธอนั้นก็ไม่ได้เป็นชุดไว้ทุกข์จริงๆ หากคนที่แต่งตัวแบบนี้เดินไปทั่วรอบเมืองก็จะดูโดดเด่นมาก แม้จะเอาผ้าคลุมหน้าออก ชุดของเธอก็จะเข้าไปได้แค่ในคอสเพลย์คาเฟ่เท่านั้น แต่กระนั้นคาฟุเรียก็ยังคงใส่ผ้าคลุมหน้าเอาไว้ —เพราะมันก็ยุ่งยากด้วย อย่างน้อยเธอก็ชมตัวเองที่ยังมีสามัญสำนึกมากพอที่จะไม่คิดว่า มีคนเห็นก็ช่าง บินกลับไปดีกว่า
เมื่อมีคนเห็นคาฟุเรียต่างคนก็ต่างกระซิบกระซาบกัน เด็กมัธยมปลายก็เป็นเช่นนั้น หญิงชราเองก็พูดว่า “โอ้” พร้อมกับท่าทางประหลาดใจ เด็กๆนั้นพยายามจะชี้แล้วพูดออกมาเสียงดังแต่ก็ถูกแม่ตัวเองห้ามเอาไว้ หากคาฟุเรียม้วนผ้าคลุมหน้าของเธอขึ้นและโชว์ใบหน้าของเธอออกมาในตอนนี้ เรื่องคำพูดที่น่ารังเกียจจากเงามืดก็จะกลายเป็นคำพูดที่ช็อคแหละหวาดกลัวแทน หากย้อนกลับไปในตอนที่คาฟุเรียเพิ่งกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล เรื่องนี้มันทำให้เธอชอบใจมาก
เธอไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นในตอนนี้ ณ จุดนี้เธอเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน
เรื่องที่เธอพูดคุยกับเพื่อนของเธอ พอเวลาผ่านไปหลายปีมันก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน “ฉันสงสารเมจิคัลเกิร์ลกินเงินเดือนที่ถูกกักขังเอาไว้จัง พวกเธอไม่มีอิสระอะไรเลย เมจิคัลเกิร์ลน่ะควรใช้ชีวิตอย่างอิสระสิ —พวกเราน่ะมีอิสระที่เมจิคัลเกิร์ลควรจะมีอยู่นะ!” เรื่องนี้มันคือเรื่องที่พวกเธอพูดคุยกันในสมัยก่อน
ในตอนนี้พวกเธอไม่ได้พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว พวกเธออิจฉาคนที่ถูกจ้างงาน และถ้าเป็นไปได้พวกเธอก็อยากเป็นแบบนั้นด้วย มันเป็นเพราะว่าพวกเธอทำแบบนั้นไม่ได้ พวกเธอจึงถูกบังคับให้มาเป็นฟรีแลนซ์ แถมยังต้องมองหางานที่ได้กำไรอีกด้วย
เธอต่อแถวรออยู่ตรงป้ายรถเมล์โดยไม่สนใจสายตาที่มองมาจากรอบๆ เมื่อเธอเห็นที่นั่งริมหน้าต่างด้านขวาแถวที่สองจากด้านหน้าว่างอยู่ เธอเดินเข้าไปหา แต่มันก็มีใครบางคนมาสะกิดไหล่ของเธอ
“คุณทำเจ้านี่ตกฮะ”
เด็กผู้ชายที่อยู่ในวัยก่อนวัยรุ่น เขาไม่ได้สนใจกับเรื่องรูปลักษณ์แปลกๆของคาฟุเรียและยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้เธอด้วยรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติ ลวดลายนี้มันดูคุ้นตา มันคือผ้าเช็ดหน้าของเธอนั่นเอง
“อ๊ะ ขอบคุณนะ” เธอแสดงความขอบคุณออกมาและรับมันเอาไว้ จากนั้นก็นั่งลงไปตรงที่นั่งของเธอแล้วก็หลับตา ภายในใจของเธอก็มีภาพผู้ชายจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ คนที่ชมเธอว่ามีความงามแบบดั้งเดิมโผล่ขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เธอพูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนๆด้วยความสบายใจ แต่ความกังวลของเธอกับเรื่องนี้มันจริงจังมาก ผู้ชายคนนั้นชมว่าเธอน่าดึงดูดขนาดไหน แต่เมื่อเธอถามเขาไปว่า “แบบนั้นคุณช่วยใส่ฉันลงในอนิเมด้วยได้ไหม?” เขาก็ส่ายหัวออกมาพร้อมกับบอกว่าไม่อย่างชัดเจน เขาพูดอย่างเรียบๆว่าเธอไม่เหมาะกับอนิเม
เรื่องนั้นมันทำให้คาฟุเรียรู้สึกโกรธ แต่เมื่อเธอมาคิดดูในภายหลัง เธอก็คิดว่าเขานั้นพูดเรื่องทัศนคติของตัวเองออกมาอย่างจริงใจ ผู้ชายที่คุ้นชินกับเมจิคัลเกิร์ลจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ เธออาจจะเรียกได้ว่าการตกผลึกของความมีเสน่ห์นั้นได้ทำให้เกิดการชมเชยตัวของคาฟุเรียนอกเวลางานของเขา เธอไม่อยากจะนับเลยว่า กี่ครั้งแล้วที่เธอคิดว่าควรจะให้เบอร์ตัวเองกับเขาไป กี่ครั้งแล้วที่เธอปฎิเสธความคิดนั้น และกี่ครั้งแล้วที่เธอรู้สึกเสียใจ
เธอส่ายหัว มันมากเกินไปกว่าที่จะจินตนาการออกมาได้จากเด็กผู้ชายที่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาให้โดยไม่ได้กลัวชุดของเธอกับผู้ชายที่เคยชมเรื่องตัวตนของเธอ
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง รูปปั้นกบที่อยู่หน้าร้านขายยามันล้มลงไปซะแล้ว
คาฟุเรียลืมเลือนไปแล้วว่าเธอรู้สึกยังไงในตอนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลครั้งแรก มันไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจดจำช่วงเวลาที่เริ่มรู้ว่าเวทมนตร์ตัวเองเป็นอะไรที่ไม่ได้เรื่อง แต่เป็นเพราะเธอไม่ได้อยากคิดถึงเรื่องนั้น เธอก็เลยไม่ได้นึกถึงมัน
คาฟุเรียหันความสนใจของเธอกลับมาที่ภายในรถบัส จากนั้นชายตามองจากใต้ผ้าคลุมหน้าด้วยตาขวา
ในตอนนี้คือช่วงสุดสัปดาห์ บางทีมันอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมรถบัสถึงเต็มไปด้วยผู้คน ผู้คนมากมายไม่ใช่แค่คาฟุเรียนั้นนั่งอยู่บนที่นั่ง และคนที่มีเครื่องหมายหัวกะโหลกลอยอยู่บนหัวคือเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กที่อยู่ชั้นมัธยมต้น เด็กผู้ชายคนนั้นคือคนที่หยิบผ้าเช็ดหน้าของเธอขึ้นมาให้นั่นเอง ก่อนหน้านี้ เธอมองใบหน้าเขาแบบตรงๆ ดังนั้นภาพที่เธอมองเห็นจึงเต็มไปด้วยภาพใบหน้าของเขา เพราะแบบนั้นเธอถึงไม่ได้รู้เรื่องหัวกะโหลก แม้ในตอนนี้จะมีหลายคนอยู่ในภาพที่เธอมองเห็น แต่หัวกะโหลกก็ยังคงลอยอยู่บนหัวของเขา
สำหรับคาฟุเรียแล้ว เครื่องหมายหัวกะโหลกก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของฉากหลัง หากเธอปล่อยให้มันมากวนใจทุกครั้ง เธอก็จะใช้ชีวิตของตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อมันลอยอยู่บนหัวของคนที่อายุน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนที่ใจดีกับเธอด้วยแล้ว มันก็ทำให้เธอไม่พอใจ เธอไม่ได้คิดว่าคนเรานั้นควรจะตายตามอายุ แต่มันมีผู้คนมากมายในภาพที่เธอมองเห็นที่มีอายุมากกว่าเขา ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่อายุคราวพ่อแม่ของเขาที่เดินไปมา ทั้งชายชราที่จับไม้เท้าเอาไว้ที่กำลังจะลงรถบัสและมีหญิงชราคอยช่วยเขา และชายชราที่เดินผ่านข้างเด็กชายแล้วก็นั่งลงไปที่ด้านหลัง —มีผู้คนมากมายอยู่ในภาพที่เธอมองเห็น และมันก็เป็นเรื่องที่น่าหดหู่มาก เพราะคนที่จะตายคนแรกก็คือเด็กผู้ชายที่อายุยังน้อย
เธอถอนหายใจออกมา
หัวกะโหลกนั้นไม่ใช่ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผู้คนรู้เรื่องหัวกะโหลกด้วยการแทรกแซงของคาฟุเรีย อนาคตของพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนไป ในทางกลับกัน มันก็อาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย หรืออาจจะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ที่สุดไปเลยก็ได้ ตัวของคาฟุเรียไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบไหน แต่ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรเลย มันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะแทรกแซง เธอจะติดตามเด็กผู้ชายคนนี้ไป มองดูเขาจากในเงามืด และพาเขาไปหาหมอก่อนที่เขาจะป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่ได้ หรือเธอจะจับตัวเขาแล้วบินออกไปในอากาศถ้ามันดูเหมือนว่าเขาจะประสบอุบัติเหตุ หลังจากนั้นหัวกะโหลกที่อยู่บนหัวของเขาก็อาจจะหายไป แต่มันก็อาจจะไปลอยอยู่บนหัวของคนอื่นแทน ชีวิตของคาฟุเรียจะเป็นยังไงถ้าเธอพยายามช่วยคนทุกคนกันล่ะ? แม้ว่าจะเป็นแค่เด็กผู้ชายคนนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะตายในอีกสิบวินาทีหรือสิบปีด้วยซ้ำ
ดังนั้นคาฟุเรียจะไม่ช่วยเขา แม้ว่าเธอจะรู้สึกแย่ แต่เธอก็จะแสร้งเป็นว่าไม่เคยมองเห็นหัวกะโหลกมาก่อน
รถบัสหยุดลงตรงหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็มีผู้โดยสารขึ้นมาและลงไป ผู้คนบนรถบัสเบียดเสียดกันมากกว่าก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นฤดูหนาว —ไม่สิ เพราะว่าเป็นฤดูหนาวและมีเครื่องทำความร้อนเปิดอยู่— อากาศมันจึงอบอ้าว คาฟุเรียสะบัดผ้าคลุมหน้าของตัวเองเพื่อให้ใบหน้ารู้สึกเย็นขึ้น
เมื่อรถบัสออกตัว คาฟุเรียจึงหันหน้าของเธอมาด้านหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ชายตามองจากใต้ผ้าคลุมหน้า
มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น หัวกะโหลกที่ลอยอยู่บนหัวเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป แต่มันยังคงมีหัวกะโหลกอีกหัวหนึ่งลอยอยู่บนหัวผู้หญิงอายุราวๆยี่สิบปีที่นั่งอยู่ข้างๆเขา และก็ยังคงมีหัวกะโหลกลอยอยู่ที่คู่เด็กสาววัยรุ่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันอีกด้วย
เวทมนตร์ของคาฟุเรียจะไม่ได้วัดค่าเป็นหน่วย 0.00000 วินาทีอย่างแม่นยำ จากประสบการณ์ของเธอที่ผ่านมา เธอคิดว่ามันนับคนที่จะตายภายในหนึ่งวินาทีเป็นการตายอย่างฉับพลัน และเธอก็รู้ว่าเมื่อจะมีคนที่ตายหลายคนในเวลาเดียวกัน หัวกะโหลกมันก็จะลอยอยู่บนหัวของทุกคนที่จะตายทั้งหมด
เด็กสาวสองคนนั้นดูเหมือนว่าจะรู้จักกัน แต่เด็กผู้ชายและผู้หญิงที่ดูเหมือนว่าจะขึ้นรถมาในเวลาเดียวกันนั้นไม่ได้คุยกันเลย คาฟุเรียเอามือของเธอสอดเข้าไปใต้ผ้าคลุมหน้าแล้วก็ขยี้ตา จากนั้นก็มองไปข้างหน้าอีกครั้ง หัวกะโหลกนั้นลอยอยู่บนหัวของคนสี่คน เด็กผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กสาวสองคน และในตอนนี้เธอก็รู้ตัวว่า —มันยังมีอีกคนหนึ่งที่มีหัวกะโหลกลอยอยู่บนหัวด้วย ซึ่งก็คือคนขับรถนั่นเอง
ลำดับการตายมันผิดปกติมาก แถมเธอยังมีลางอีกว่ามันคืออุบัติเหตุ ถังน้ำมันหรือเครื่องยนต์ระเบิดกันนะ? ลำดับมันผิดเพี้ยนไปหมด รถบัสอาจจะตกลงมาจากที่ไหนซักที่แล้วไปชนกับอะไรบางอย่างจนเกิดระเบิดก็ได้ —ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็คือหายนะ
คาฟุเรียเอื้อมมือแล้วทุบลงไปที่ออด ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เธอต้องลงจากรถเดี๋ยวนี้ เธอไม่รู้ว่ามันจะเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นกับรถบัส แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างที่จะเกิดขึ้น เธอจึงจะอยู่ที่นี่อีกไม่ได้
เธอทุบลงไปที่ออดอีกครั้งและอีกครั้งพร้อมกับพูดว่า “ขอโทษนะ! ฉันปวดท้องมาก! ตรงนั้นมีโรงพยาบาลอยู่ด้วย!”
เธอก้าวไปที่ด้านหน้าของรถบัส และผู้คนก็เริ่มซุบซิบกันอย่างบ้าคลั่ง “เธอมีอาการวูบบ้างไหม? ไม่มีเหรอ งั้นบางทีอาจจะเป็นเจ็บท้องคลอดก็ได้” ในเวลาแบบนี้ มันมีเคล็ดลับอยู่ว่าต้องทำให้คนอื่นคิดว่าตัวเองนั้นเป็นตัวปัญหา และไม่นานรถบัสก็หยุดลงที่ไหล่ถนน คาฟุเรียจึงจ่ายค่าโดยสารและเดินออกไป หลังจากที่ออกมาแล้ว เธอก็กลับมามองและยังคงเห็นหัวกะโหลกหลายหัวลอยอยู่ที่นั่น
“โชคร้ายจงหายไป” เธอพึมพำและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ห้านาทีต่อมา รถบัสก็หยุดลงตรงหน้าโรงเรียนมัธยมต้น ถ้าเป็นวันธรรมดาล่ะก็ เด็กๆทุกคนที่กำลังกลับบ้านก็จะขึ้นมาด้วย แต่เพราะว่าเป็นช่วงสุดสัปดาห์ มันจึงมีคนแค่หนึ่งหรือสองคนที่ลงจากรถไป แต่รถบัสก็ยังไม่ขยับ นี่เป็นเพราะว่าโคคุริจับด้านหลังของรถบัสเอาไว้แล้วก็ทำให้เหรียญห้าร้อยเยนออกมาจากเครื่องเก็บค่าโดยสารและกลับเข้าไปแบบซ้ำๆจนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊งออกมาไม่หยุด ซึ่งมันทำให้คนขับเกิดตื่นตระหนกแล้วรีบโทรหาบริษัทรถบัสอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหล่าผู้โดยสารต่างก็เคลื่อนไหวไปมาเพราะเวทมนตร์ของโคคุริทำให้เครื่องเก็บค่าโดยสารพ่นเหรียญออกมาเหมือนกับเมอร์ไลออน เหรียญนั้นกลิ้งออกไปบนพื้นในขณะที่ผู้โดยสารช่วยกันเก็บมันขึ้นมาแล้วกลับเอาไปให้คนขับรถ
คาฟุเรียที่มองดูรถบัสจากบนฟ้านั้นก็รู้สึกพอใจที่การก่อเหตุเป็นไปได้ด้วยดี
ถึงเธอจะบินอยู่บนฟ้าอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาแบบนี้ แต่มันก็ยังเพิ่มโอกาสที่เธอจะถูกพบตัวได้อยู่ดี ดินแดนเวทมนตร์ไม่ชอบใจเมื่อมีเมจิคัลเกิร์ลปรากฎอยู่ในบันทึกในฐานะปรากฏการณ์ลึกลับหรือตำนานเมือง —แต่นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นเธอจะมาคิดเรื่องเล็กๆน้อยๆไม่ได้
เธอปล่อยให้โคคุริจัดการรถบัส คาฟุเรียบอกเธอว่าให้วิ่งหนีไปถ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่โคคุริก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะทำอะไรผิดพลาด ในตอนนี้ เธอกำลังซื้อเวลาเพื่อไม่ให้รถบัสแล่นออกไปแม้จะเป็นเพียงแค่ไม่นานก็ตาม
หลังจากที่คาฟุเรียบ่นว่าปวดท้องและออกมาจากรถบัส เธอก็โทรหาเพื่อนที่เพิ่งจะไปเที่ยวด้วยกันและขอให้พวกเธอนั้นมาหา หากเป็นเรื่องใหญ่อย่างรถบัสประสบอุบัติเหตุ มันก็เป็นเรื่องผิดปกติที่คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าจะตายพร้อมกันหมด และคาฟุเรียก็อาจป้องกันเรื่องนั้นด้วยตัวเองไม่ได้ มันจำเป็นต้องมีเมจิคัลเกิร์ลอยู่หลายคน การมีจำนวนอยู่มากนั้นสามารถพึ่งพาได้เสมอ
คาฟุเรียกำลังค้นหาทุกอย่างที่ดูเหมือนว่าจะทำให้เกิดอุบัติเหตุตามเส้นทางของรถบัสจากบนฟ้า และเธอก็พบมันในทันที มันมีรถบรรทุกน้ำมันที่แล่นมาตามถนนใหญ่ด้วยความเร็วที่เกินกำหนดแถมยังขับส่ายไปส่ายมา คาฟุเรียบินลงมาต่ำและมองดูผ่านกระจกหน้ารถ คนขับนั้นกำลังหลับอยู่ หากเป็นแบบนี้ แม้พวกเธอจะหยุดรถบัสเอาไว้ได้ มันก็จะเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ขึ้นที่ไหนซักแห่ง คาฟุเรียจึงบินขึ้นไปสูงอีกครั้ง เธอตามรถบรรทุกน้ำมันไปพร้อมกับส่งข้อความหาออโร่และเนกิโนะด้วยเมจิคัลโฟน
เจอรถบรรทุกน้ำมันที่เป็นต้นเหตุแล้ว คนขับหลับคาพวกมาลัย จากที่นั่นมองเห็นคนขับไหม?
เธอมองเห็นเนกิโนะที่อยู่บนทางเท้ากำลังยกมือของเธอเข้าไปหารถบรรทุกน้ำมัน กลิ่นของต้นหอมนั้นทรงพลังมากและมันก็ส่งผลเหมือนกับยาดม จนทำให้คนขับเงยหน้าขึ้นมา มันจะไปนอนต่อได้ยังไงทั้งๆที่มีกลิ่นต้นหอมอยู่เต็มรถน่ะ? แต่มันก็ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง เพราะดูเหมือนว่าเนกิโนะจะตื่นเต้นเกินไปจนทำให้คนขับสำลัก รถบรรทุกน้ำมันนั้นแล่นข้ามถนนสองเลน โชคดีที่รถคันเล็กที่วิ่งอยู่ข้างๆนั้นเหยียบเบรคได้ทันและไปจอดที่ริมถนนได้ แต่รถบรรทุกน้ำมันนั้นก็เสียการทรงตัวไปอย่างสมบูรณ์แล้ว การที่คนขับตื่นมาเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ในตอนนี้มันก็มีปัญหาใหม่ที่ต้องจัดการด้วย
ทันใดนั้น มันก็มีก้อนกลมๆสีเงินกระโดดเข้ามาที่ด้านหน้ารถบรรทุกน้ำมัน ออโร่นั่นเอง พอมองดูจากด้านบน แอฟโฟร่ของเธอนั้นก็ใหญ่มากจนคาฟุเรียมองเห็นแต่ผมของเธอ
ออโร่โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วทำท่าเหมือนกับนักอเมริกันฟุตบอล เธอหันแอฟโฟร่ของตัวเองเข้าหารถบรรทุกน้ำมัน ผมของออโร่นั้นเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ เธอบอกว่าแม้ตัวของออโร่จะถูกเผาจนไหม้เกรียม แต่เส้นผมของเธอนั้นจะเป็นอย่างเดียวที่เหลืออยู่ เส้นผมของเธอที่รับแรงกระแทกจากรถบรรทุกน้ำมันเอาไว้ได้มันก็ไม่มีอะไรเสียหายเช่นกัน รถเองก็หยุดลงอย่างนิ่มนวล แต่ตัวของออโร่นั้นรับแรงผลักไม่ได้ แถมมันยังมีกันชนพุ่งเข้ามาในเส้นผมของเธออีก จนมันส่งผลให้ตัวของเธอปลิวข้ามถนน
เนกิโนะกระโจนเข้ามาที่ถนนและจับตัวออโร่เอาไว้จากด้านหลัง จากนั้นคาฟุเรียก็บินลงมาจากบนฟ้าเพื่อจับด้านหลังของเธอเอาไว้ เมจิคัลเกิร์ลสามคนต่อกรกับรถบรรทุกน้ำมันอย่างสุดกำลัง และบางทีคนขับก็อาจจะเหยียบเบรคด้วย เพราะมันมีเสียงเบรคดังขึ้นพร้อมกับรอยยางที่ลากยาวมาถึงทางเท้า จนกระทั่งรถบรรทุกน้ำมันหยุดลง จากนั้นออโร่ เนกิโนะ และคาฟุเรียก็ออกไปจากถนนแล้วมองขึ้นไปยังสิ่งก่อสร้างที่อยู่ใกล้ๆและหนีขึ้นไปยังดาดฟ้าทันที
รถที่อยู่รอบๆนั้นจอดนิ่งและผู้คนก็เริ่มมารวมตัวกัน รถตำรวจและรถพยาบาลเองก็กำลังมา คนขับรถบรรทุกน้ำมันนั้นลงมาจากรถ เขานั้นไอเหมือนกับว่ากำลังทรมาณอยู่ด้วย
เนกิโนะยิ้ม “บางทีอาจจะทำกลิ่นแรงไปนิดหน่อยแหะ?”
“อันนี้ไม่ขำนะ” คาฟุเรียดุเธอ
“ไม่เอาน่า สุดท้ายแล้วมันก็ได้ผลนี่ แต่แบบนี้มันก็อันตรายเกินไปนะ คนขับรถเองคงเหนื่อยจากงานใช่ไหม? แบบนี้คงโดนทางบริษัทไล่ออกแน่ๆ คิดแบบนั้นไหม?”
ออโร่เอามือปิดปากแล้วยิ้มออกมา “หากพวกเราทำเรื่องนี้ได้ดี มันอาจจะกลายเป็นงานที่ทำเงินให้พวกเราได้นะ”
“เอาไว้คิดแบบนั้นทีหลังเถอะ ฉันจะไปตรวจดูรถบัสหน่อย”
คาฟุเรียบินออกไป เธอยังคงผ่อนคลายไม่ได้จนกว่าจะได้ตรวจดูหัวกะโหลกที่รถบัสอีกครั้ง ในตอนที่บินอยู่บนฟ้าเพื่อเข้าไปหารถบัสนั้นเธอก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย มันเป็นเวลานานแล้วที่เธอใช้เวทมนตร์ของตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้คน… ไม่สิ บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอทำได้สำเร็จอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ได้ ด้วยการมีกลิ่นของหัวหอม การควบคุมเหรียญ และแอฟโฟร่ขนาดใหญ่ออกปฎิบัติการ นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวในชีวิตที่ไม่ว่าเธอจะมีกี่ชีวิตมันก็อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้งก็ได้ ตอนที่เจอหน้ากันครั้งถัดไป เด็กสาวสี่คนควรจะลองคุยกันว่า พวกเธอจะใช้เวทมนตร์ของตัวเองช่วยเหลือผู้คนได้อย่างไร
MANGA DISCUSSION