มิตรภาพแห่งสายรุ้ง
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อนที่เมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค limited จะเริ่มต้นเพียงไม่นาน
เธอหลบการเตะสูงไม่ได้
เธอสร้างสายรุ้งของตัวเองออกมาไม่ได้ อีกแง่หนึ่งคือ เธอไม่สามารถใช้สายรุ้งเพื่อป้องกันการโจมตีได้ เธอยกแขนขึ้นมาด้านข้างใบหน้าด้วยความสิ้นหวัง แต่มันคงไม่เพียงพอจะหยุดการโจมตีที่จะสามารถตัดหัวของเธอให้หลุดได้อย่างสมบูรณ์ เธอจึงถูกเหวี่ยงไปด้านหลังพร้อมกับตั้งการ์ดเอาไว้
หลังของเธอกระแทกเข้ากับบล็อกซีเมนต์ แต่ก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เธอกลิ้งขึ้นไปเหนือคอนกรีต หากเธอปล่อยสายรุ้งออกมาได้ เธอก็จะป้องกันหรือสวนกลับไปได้ และควรจะหลีกเลี่ยงการกลิ้งไปมาแบบนี้ด้วยการใช้สายรุ้งช่วยพยุงร่างกายของเธอเอาไว้ได้ด้วย แต่ในตอนนี้ เธอไม่สามารถทำแม้แต่เรื่องที่ปกติแล้วสามารถทำได้อย่างง่ายๆได้เลย
ออกมาสิ! ออกมา! แต่ไม่ว่าเธอจะภาวนาซักกี่ครั้ง สายรุ้งมันก็ไม่ออกมาเลย ในความมืดมิดขั้นสุดแบบนี้ เธอยังมองไม่เห็นแม้กระทั่งตัวของเธอเองด้วยซ้ำ แต่ถ้ามีสายรุ้งเกิดขึ้น เธอก็จะรู้ตัว และแน่นอน หากสายรุ้งไม่เกิดขึ้นเธอก็จะรู้ตัวอีกด้วย
เมื่อสัมผัสถึงอากาศที่สั่นสะเทือนและเสียงของการร่วงหล่น เธอก็งอหลังเพื่อม้วนตัว
มันมีอะไรเข้ามาตรงจุดที่หัวของเธอเคยอยู่เมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้ว มันพุ่งเข้าไปโดนผิวคอนกรีตจนทำให้เศษคอนกรีตกระจัดกระจายมาโดนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอเอื้อมมือออกไปหาสิ่งที่สร้างแรงกระแทก แต่มันก็หลุดรอดออกไป ตัวตนของมันหลอมละลายเข้ากับความมืด และเธอก็ไม่ได้ยินเสียงอีกด้วย
เธอรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา คู่ต่อสู้ที่มองไม่เห็นนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่
ออกมาสิ ออกมาอีกซักครั้ง ออกมา คราวนี้แหละเราจะจับแกให้ได้
เธอดันตัวเองเพื่อลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเชื่องช้า หากศัตรูใช้โอกาสนี้เพื่อโจมตีเข้ามาครั้งใหญ่ล่ะก็ การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจะกลายเป็นว่าอ่านออกได้ง่าย เรนโปวก็จะจับเธอได้ง่ายตามไปด้วย แม้ในตอนนี้จะมองไม่เห็นอะไรแม้แต่นิด แต่ถ้าเรนโปวจับตัวเธอได้ล่ะก็ โอกาสมันก็จะอยู่ที่ห้าสิบ-ห้าสิบ
แต่ศัตรูนั้นคงต้องรู้ถึงความคิดของเธออยู่แล้ว เพราะแบบนั้นถึงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย อีกฝ่ายคือผู้ที่มีประสบการณ์ รู้จักเวทมนตร์ของเรนโปวและวิธีที่เรนโปวใช้ต่อสู้ ศัตรูประเภทนี้น่ากลัวที่สุด
ศัตรูที่เป็นผู้ใช้ความมืดคนนี้ช่วงชิงแสงสว่างในพื้นที่โดยรอบไป เวทมนตร์ของเรนโปวไม่สามารถอยู่ในความมืดได้เช่นกัน สำหรับเรนโปวแล้ว การที่เธอสร้างสายรุ้งออกมาไม่ได้มันก็เหมือนกับว่าทั้งอาวุธและชุดเกราะของเธอถูกพรากออกไป
แม้คู่ต่อสู้จะไม่ได้วิ่งหนีไป เรนโปวก็สัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้เลย เธอมีแต่ความรู้สึกที่ว่าคู่ต่อสู้นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ในความมืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรซักอย่างเช่นนี้ มีเพียงสัมผัสเดียวที่เธอหวังพึ่งได้ เธอรู้สึกว่าถ้าเกิดความมืดมันค่อยๆเสียดแทงเข้าสู่ผิวหนังได้ล่ะก็ แค่ยืนอยู่ที่นี่มันก็รู้สึกหมดแรงแล้ว
มีอะไรบางอย่างบินเข้ามาหาเธอ บางทีมันอาจจะเป็นก้อนหิน หากเป็นแบบนี้เธอก็สามารถหลบได้ แม้ศัตรูจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ในความมืด เธอก็ไม่สามารถลบเสียงจากการขว้างหินให้หายไปได้
เรนโปวหลบมันได้ แต่ในตอนที่พยายามระบุทิศทางของหินที่ขว้างออกมานั้น มันก็มีหินอีกหลายก้อนที่ขว้างเข้ามาหาเธอจากหลายทิศทาง เธอหลบมันได้อีกครั้งและอีกครั้ง จากนั้นเมื่อมีก้อนหินสองก้อนลอยเข้ามาในเวลาเดียวกัน เธอก็หลบมันได้อีก —หรือไม่ได้กันนะ
ก้อนหินสองก้อนถูกเชื่อมต่อกันเอาไว้ด้วยเชือก… หรืออะไรที่เหมือนกับลวดบางชนิดพันเอาไว้ระหว่างกัน มันเหมือนกับอาวุธขว้างที่สร้างขึ้นมาเพื่อจับสัตว์ ในจังหวะที่เธอวอกแวกเพราะลวดที่พันรอบต้นแขนและลำตัวนั้น มันก็มีเสียงร้องตะโกนผ่านความมืดดังขึ้นมา
“เจอตัวแล้ว!”
ก่อนที่เรนโปวจะทันได้คิดว่าเสียงร้องมันหมายถึงอะไร เท้าของเธอก็เคลื่อนไหวออกไปก่อนแล้ว เธอจินตนาการถึงศัตรูที่โจมตีเข้ามาและพยายามสร้างความได้เปรียบในขณะที่เธอถูกลวดพันเอาไว้ โทโกะสอนบทเรียนนี้ให้เธออย่างไร้ปรานี —อาวุธของเมจิคัลเกิร์ลคือจินตนาการ แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่จินตนาของเธอนั้นเป็นอิสระ
เรนโปวเริ่มร่างภาพท่าทางของคู่ต่อสู้อย่างยากลำบาก รูปร่าง เวลา และตำแหน่งที่เธอควรจะโจมตี
เธอก้าวออกไปอย่างมั่นคงด้วยเรียวขาที่ดูโดดเด่น ทะลุผ่านชั้นคอนกรีต เจาะลงไปที่พื้นด้านล่างด้วยนิ้วเท้า และจากนั้นด้วยพลังของร่างกายและจิตใจทั้งหมดที่มี เธอก็เตะตรงกลับไปด้านหลัง
แรงกระแทกนั้นโดนเข้าที่ช่องท้องของศัตรู ผ่านเข้าไปยังกล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และเจาะทะลวงไปถึงกระดูกสันหลัง ความรู้สึกทั้งหมดจากด้านล่างของเท้าบอกให้เรนโปวรู้ว่าการจินตนาการของเธอไม่ผิดพลาด เธอฉีกทะลวงผ่านกล้ามเนื้อ หักกระดูก และสร้างบาดแผลให้อวัยวะภายในได้
ศัตรูพยายามจับขาของเธอที่เตะเข้าไปหา แต่อีกฝ่ายก็อ่อนแอเกินไป ในตอนนี้คู่ต่อสู้อาเจียนออกมาเป็นเลือดและล้มตัวลงไป เมื่อเรนโปวได้ยินเสียงล้มตัวลงบนพื้นคอนกรีต เธอก็ชักเท้าของเธอกลับมา
เวทมนตร์ความมืดที่บดบังการมองเห็นค่อยๆจางหายไป เมื่อเธออยู่ในความมืด มันก็เหมือนอยู่ในก้นบึ้งขุมนรก แต่ในตอนนี้มันก็หายไปแล้ว เธอก็แค่อยู่ในย่านที่พักอาศัยธรรมดาๆที่สามารถหาเจอได้ทุกที่ในเวลากลางคืน สวนเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าอพาร์ทเมนท์มันถูกส่องสว่างด้วยไฟถนน มันสว่างมากจนน่ารำคาญ —บางทีอาจจะเอาไว้ไล่พวกคนน่าสงสัยก็ได้
เธอฉีกกระชากลวดออกอย่างรุนแรง จนทำให้ก้อนหินที่พันติดอยู่ตรงปลายกระเด็นออกไป มันกลิ้งไปโดนเข้ากับขอบคุณและหยุดลง
เธอดันร่างกายของหญิงสาวที่คว่ำหน้าจมกองเลือดขึ้นมาด้วยเท้า หญิงสาวนั้นคลายการแปลงร่างแล้ว เธอสวมชุดนักเรียนที่มีกระโปรงสั้น ผมที่ย้อมมาเป็นสีอ่อนๆนั้นยุ่งเหยิงไปหมด แม้จะอยู่ในชุดนักเรียน เธอก็ยังคงแต่งหน้า บางทีมันอาจจะเรียกว่า “สไตล์สาวแกล” ก็ได้
นี่คือเป้าหมายของเรนโปวแน่นอน เธอจึงเอาเท้าไว้ที่คอของหญิงสาวแล้วกระทืบมันลงไป
“เกือบไปแล้วนะเนี่ย!”
สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆหมุนตัวลงมาจากด้านบนของไฟถนน เธอตัวเล็กมากจนสามารถวางไว้บนฝ่ามือได้เลย ปีกแมลงโปร่งใสที่อยู่บนหลังนั้น มันทำให้เธอดูเหมือนแฟร์รี่ในนิทานพื้นบ้านสมัยก่อน แถทชุดเดรสผ้าไหมสีขาวและรูปร่างที่ส่องแสงออกมารางๆนั้นมันทำให้ดูเหมือนแฟร์รี่จริงๆ
“ถ้าเราไม่ตะโกนเรียกล่ะก็ เธอคงตายไปแล้วสินะ หืม?”
“นี่เธอมองเห็นภายในความมืดจากด้านนอกด้วยเหรอ?”
“อ๋อ เราแค่ใช้ฟังก์ชั่นใหม่ของเมจิคัลโฟน พอใช้แล้วมันก็จะค้นหาคนที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์ที่อยู่ใกล้เคียง ไม่เชิงว่าจะเหมือนเรดาร์หรือโซนาร์หรอก แต่นี่น่ะ เราใช้มันแบบนี้”
“โอ๊ะ เอ่อ… แต่ว่านะ เธอคิดว่าที่มันบังเอิญรึเปล่าที่เวทมนตร์ของเรากับเป้าหมายมันไม่เข้ากันเลยน่ะ? คิดว่าพวกเราเลือกช่วงเวลาไม่ดีในตอนที่พยายามโจมตีเธอตอนอยู่ในร่างมนุษย์ แต่มันกลายเป็นว่าอยู่ในร่างเมจิคัลเกิร์ลอยู่แล้วไหม?”
“แปลกจัง เราคิดว่าไม่นะ”
“เอาจริงๆนะ แบบนี้มันคือกับดักไม่ใช่รึไง?”
“ถ้ามันคือกับดักล่ะก็ เราคิดว่ามันต้องดูเป็นกับดักมากกว่านี้นะ ต้องมีคนหรืออะไรบางอย่างมากกว่านี้…”
ท่าทางของแฟร์รี่ว่างเปล่าในทันที แต่รอยยิ้มที่คุ้นเคยก็กลับมาในทันใด จากนั้นเธอก็บินขึ้นไปในอากาศ
“ถ้าจะขุดให้ลึกกว่านี้ก็อาจเป็นความคิดที่ดีนะ เดี๋ยวเราจะถามนายทุนเอง”
ในตอนที่โทโกะมาโลกใบนี้ครั้งแรก เธอก็คิดว่าเมจิคัลเกิร์ลเป็นแค่พวกงี่เง่า
แต่จริงๆแล้วมันก็มีคนที่ฉลาดอยู่มากมาย มีเมจิคัลเกิร์ลที่ชั่วร้ายหลายต่อหลายคนที่มีรายได้เพียงเล็กน้อยด้วยการทำงานสกปรกอย่างติดสินบน ปล่อยข่าว เอาสินค้าต่างๆไปขายในตลาดมืด และทำเรื่องเลวร้ายอื่นๆอีกมาก ส่วนเรนโปวก็คือคนที่รับงานฆ่า
แต่เรนโปวก็ไม่ใช่ตัวแทนของความยุติธรรม เธอคือตัวร้ายในหมู่ของตัวร้าย เธอฆ่าคนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของฝ่ายๆหนึ่งในดินแดนเวทมนตร์ คนส่วนใหญ่ที่เรนโปวฆ่าคือผู้ร้ายหลายประเภท แต่มันก็มีคนธรรมดาอยู่จำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน บางครั้งมันก็มีพวกหัวทึบที่มีความยุติธรรมอย่างแรงกล้าด้วย
ในวันนั้น โทโกะก็มีข้อเสนอใหม่ให้เธอ
“ตอนนี้งานกำลังไปได้ด้วยดีเลย แต่มันก็คงไม่ดีไปตลอดหรอก… เราหมายถึง เธอเข้าใจดีใช่ไหมจากเรื่องเมื่อวันก่อนน่ะ? ถ้ามีสิ่งรับประกันเอาไว้บ้างล่ะก็จะเป็นเรื่องดีนะ”
“สิ่งรับประกัน? อะไรล่ะนั่น?”
“เราจะสร้างเมจิคัลเกิร์ลจากรอบๆที่นี่ขึ้นมาเยอะๆเพื่อเอามาเป็นกองหนุน เพราะจากพื้นฐานแล้วเมจิคัลเกิร์ลมันต้องต่อสู้เป็นทีมใช่ไหมล่ะ? แน่นอนว่าพวกเราจะเก็บงานจริงๆเอาไว้เป็นความลับ การเข้ามายุ่งกับพวกมือใหม่ก็มีแต่จะทำให้เกิดเรื่องอันตรายน่ะนะ เราจะจัดพวกเดียวบางคนที่ใช้เป็นโล่ได้ และเมื่อถึงเวลาก็ทิ้งพวกนั้นไว้แล้วก็ออกไปจากที่นี่”
“โหย ชั่วร้ายสุดๆเลยนะว่าไหม? แล้วเธอจะเป็นคนออกไปหางั้นเหรอ โทโกะ?”
“อื้อ แต่มันก็ต้องให้เธอช่วยอีกแรงนะ เรนโปว”
“ฟังดูน่ารำคาญชะมัด” คาโอริกางแขนสองข้างออกมาแล้วนอนกลิ้งอยู่บนเตียง เธอเหนื่อยมากจากการฆ่าและเกือบถูกฆ่า แม้กระทั่งกลับมาถึงบ้านแล้ว เธอก็ยังผ่อนคลายไม่ได้เลย
คาโอริไม่ได้แสวงหาชีวิตที่สุขสบายในฐานะเมจิคัลเกิร์ล แต่เธอก็ไม่อยากใช้ชีวิตจมอยู่ในความเครียดและทรมาณแบบไม่รู้จบเช่นกัน เธอมีความสนุกสนานในการหาเงิน เที่ยวเล่น และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพื่อการนั้นเธอจึงทำงานหนัก ครั้งหนึ่งตอนชั้นมัธยมต้นจบลง เธอติดอยู่ในอพาร์ทเมนท์โทรมๆที่ต้องคอยหลบหน้าพี่สาวคนที่เธอไม่อยากจะเห็นหน้า เมื่อเธออยู่ชั้นมัธยมปลาย เธอก็ออกไปจากที่นี่และอาศัยอยู่กับโทโกะเพื่อมีชีวิตที่สนุกสนานมากกว่า มันไม่ใช่ว่าพี่สาวของคาโอริจะชอบหน้าเธอเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายก็ดีใจด้วย
คาโอริได้รับโอกาสในการกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลและหนีออกมาจากชีวิตอันโสมม หากเรื่องชั่วร้ายของเธอถูกดินแดนเวทมนตร์จับได้ เธอก็ต้องสูญเสียชีวิตที่เธอสร้างขึ้นมา มันคือเรื่องเพียงอย่างเดียวที่เธออยากจะหลีกเลี่ยงให้ได้ เธอไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนก่อนหน้านี้ ข้อเสนอของโทโกะจึงมีเหตุผลมาก
เธอไม่ได้อ่อนไหวมากพอที่จะคิดว่า จะทำให้เพื่อนที่โรงเรียนกลายเป็นเบี้ยใช้แล้วทิ้งน่ะมันทำไม่ได้หรอก! ทุกสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเธอก็คือเมจิคัลผู้เย็นชาที่พูดว่า ครั้งแรกที่เราฆ่าใครบางคน บางทีตัวของเราก็อาจจะสั่นบ้างเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วเรื่องนั้นเราก็จำไม่ได้ การเสียสละคนอื่นที่ประโยชน์ของตัวเองมันคือปรัชญาของโทโกะ และคาโอริก็คิดว่ามันถูกต้อง
เธอยังคงนอนอยู่บนเตียงของตัวเองและถามโทโกะที่อยู่ตรงหมอนว่า “แล้วอยากให้ทำอะไรล่ะ?”
“ไม่เอาน่า มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรหรอก”
โทโกะนับพร้อมกับพับนิ้วทีละนิ้ว “เราเจอคนห้าคนในโรงเรียนที่มีศักยภาพ แต่มันก็มีคำถามว่าคนพวกนั้นมันจะกระตือรือร้นซักแค่ไหนกันเมื่อเรามอบข้อเสนอให้อยู่อีก แต่คนโง่มันก็ยังโง่อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ ดังนั้นมันจึงมีคนโง่หนึ่งคนที่จะช่วยอย่างยินดี และคนบ้าที่ถูกเธอลากไปทั่วก็ต้องมาเข้าร่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่มองว่าเมจิคัลเกิร์ลคือเรื่องที่เป็นประโยชน์กับตัวเองดังนั้นจึงเอาเธอมาใช้งานได้ และถ้าพวกนักเรียนที่เป็นโล่ไปถามอาจารย์ล่ะก็ แบบนั้นก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน แล้วทีนี้ก็คนสุดท้าย”
“คนสุดท้ายนี่คือ?”
“เธอเป็นคนประเภทแบบว่า ถ้าไปชวนเธอด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า ‘มาเป็นเมจิคัลเกิร์ลกันเถอะ!’ บางทีเธออาจจะวิ่งหนีไปเลยก็ได้”
“คนแบบนั้นมันจะมีศักยภาพตั้งแต่แรกด้วยเหรอ?”
“โดยปกติแล้วมันก็ใช่ แต่มันก็มีข้อยกเว้นสำหรับทุกอย่างอยู่”
โทโกะเปลี่ยนท่าของตัวเองเป็นท่าคุกเข่าอย่างเป็นทางการแล้วหันหน้าเข้าหาคาโอริ จากนั้นก็เอามือประสานเข้าหากัน
“แล้วก็นะ —ตอนนี้คือเวลาของภารกิจฉุกเฉิน! ไปเป็นเพื่อนกับเด็กคนนั้นที!”
“ห๊ะ?”
โทโกะที่ทำให้คาโอริกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลเรนโปวนั้นยังสอนเธอในอีกหลายเรื่องๆ โทโกะใส่ทุกอย่างเข้ามาในตัวของเธอ แม้กระทั่งทักษะที่เธอไม่รู้ว่ามันจำเป็นต้องใช้รึเปล่า อย่างเช่นเรื่องการต่อสู้ การใช้ชีวิต ภาษาต่างประเทศ แม้กระทั่งมารยาทบนโต๊ะอาหาร
แต่การ “ไปเป็นเพื่อนกับใครซักคน” แบบนี้มันไม่เคยมีมาก่อน
“รู้ไหมว่าเราไม่ต้องการเพื่อนหรอกนะ”
“เป็นพวกสันโดษรึไง โทโกะ?”
“เราภูมิใจสุดๆเลยนะที่เป็นอิสระ เราคือแฟร์รี่ผู้เป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีหรอก”
“แต่เธอไม่ได้ถูกเชิญไปงานเลี้ยงรุ่นหรอกเหรอ?”
“เราก็พยายามทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดนะ แต่เราก็ถูกใส่ร้ายว่า ‘ถ้าเจอแคนดิเดทเมจิคัลเกิร์ลดีๆล่ะก็ อย่าให้โทโกะเห็นเชียวล่ะ’ ไม่ก็ ‘ถึงจะมีข้อเสนอที่ฟังแล้วดูดีแต่ก็อย่าไปฟังโทโกะ’ หรือ ‘อย่าให้โทโกะเข้ามาใกล้ในรัศมีสิบเมตร’ เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องวันเก่าๆแบบนั้นมาทำให้รู้สึกแย่หรอกนะ!”
คาโอริไม่ค่อยเข้าใจว่าโทโกะถึงดูพอใจในตัวเองแบบนั้น นี่เธอหมายความว่าตัวเองไม่ได้โดเดี่ยว แต่กลับภูมิใจว่าเป็นคนนอกคอกผู้รักอิสระงั้นเหรอ?
“ดังนั้นเรนโปวก็ต้องพยายามสุดๆเพื่อเป็นเพื่อนกับเธอด้วยล่ะ ในระหว่างนั้นเราจะไปจับตามองเด็กคนอื่น”
“เราไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นะ…”
คาโอริไม่เคยถูกสอนให้มีเพื่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะทำไม่ได้ ด้วยคะแนนที่สอบผ่านในทุกวิชามันจึงทำให้เธอมีจุดยืนในลำดับชั้นของชั้นเรียน เธอทำให้ตัวเองอยู่ในจุดที่ไม่ทำให้ตัวเองหรือใครไม่พอใจ แม้จะหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าของความอิจฉาริษยา ถูกกลั่นแกล้งหรือหัวเราะเยาะ แต่กระนั้นเธอก็ยังคงไม่หายไปจากสายตาอย่างสมบูรณ์ เมื่อเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในสังคม คาโอริมั่นใจว่าสามารถจัดได้ดีกว่าโทโกะที่เป็นอาจารย์ของเธอ
“เอ่อ เธอชื่อทัตสึโกะ ซากากิ…ใช่ไหม?” คาโอริพูด “เธออยู่ปีหนึ่งใช่ไหม? ห้องไหนล่ะ?”
โทโกะมองหน้าเธอด้วยท่าทีแปลกๆ “ที่เราให้เธอทำเรื่องนี้ก็เพราะว่าพวกเธออยู่ห้องเดียวกัน…”
“หือ? จริงดิ?”
เธอจริงจังด้วย
เมื่อคาโอริมองไปที่รายชื่อในชั้นเรียน ชื่อของทัตสึโกะ ซากากิก็อยู่ตรงนั้น คาโอริไม่ใช่คนที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ที่บ้านและไม่เคยมาโรงเรียน —เธอคือคนที่เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอและเข้าร่วมในหลายๆกิจกรรม
คาโอริไม่ได้พยายามที่จะทำตัวสบายๆตอนอยู่ที่โรงเรียน เธอเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ทางสังคมภายในห้องเรียนดี และเธอก็มีเพื่อนด้วยการรู้ว่าใครรู้สึกยังไงกับใคร ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลย ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงในชั้นเรียนที่เธอจะไม่รู้จักชื่อ… เธอก็คิดเช่นนี้
ทัตสึโกะนั้นอยู่คนเดียวเสมอในช่วงพักกลางวัน ในช่วงมัธยมต้นนั้นการมีเพื่อนมันก็คือการทำให้ชีวิตสนุกสนาน หากอยู่ตัวคนเดียวมันก็จะกลายเป็นการทำตัวโดดเด่นกว่าคนอื่น และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เรื่องจะบานปลายไปถึงขั้นถูกหลบหน้า ถูกล้อ ถูกหยอก และถูกกลั่นแกล้ง
ทัตสึโกะนั้นตัวคนเดียวแต่เธอก็ไม่ได้โดดเด่นกว่าคนอื่นเลย ต่อให้เป็นเป็นคนอย่างโทโกะที่โดยทั่วไปแล้วจะถูกเกลียด หรือคนที่ชอบเล่นสวมบทเป็นผู้โดดเดี่ยว หรือคนที่มีทักษะการสื่อสารที่ไม่ดีก็ตาม การที่อยู่คนเดียวก็จะทำให้ตัวเองโดดเด่น ทำให้ตัวเองไม่มีจุดยืน การนึกถึงเรื่องจุดยืนของเธอแล้ว มันจึงไม่มีทางเลยที่คาโอริจะไม่รู้อะไรเช่นนั้น
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เด็กสาวก็ไม่ยอมให้ใครสังเกตเห็น ไม่ว่าเธอจะโดดเด่นหรือไม่ก็ตาม —เธอก็ลบตัวตนของตัวเองออกไปจนหมด
รูปร่างของเธอนั้นดูธรรมดา เส้นผมก็ไม่ได้ถูกดูแลดีพอ และยางรัดผมที่เธอใช้ก็ดูธรรมดาจนเกินไป ร่างกายก็ไม่มีส่วนโค้งเว้า ใบหน้าเองก็ไม่มีรอยยิ้ม เพราะแบบนั้นเธอจึงขาดเสน่ห์ของเด็กสาวมัธยมต้นไป
เธอไม่ได้เก่งหรือไม่เก่งเรื่องวิชาการเช่นกัน เธอไม่ได้เป็นผู้นำหรือผู้ตามในชั้นเรียนพลศึกษาและดนตรีด้วย เธอเป็นคนที่อยู่ในจุดกึ่งกลางของกลุ่ม
เธอจงใจที่จะพยายามปกปิดความสามารถของตัวเองเหมือนกับคาโอริรึเปล่านะ? มันเป็นเรื่องผิดปกติมากที่คาโอริที่ไม่สังเกตเห็นชื่อของคนที่อยู่ในชั้นเรียนเดียวกับตัวเอง
ในตอนที่เรียนอยู่และตอนพักกลางวัน คาโอริก็พบว่าสายตาของตัวเองมองดูการเคลื่อนไหวของทัตสึโกะอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันคงแปลกหากเธอจะจ้องมองมากขนาดนั้น แต่เมื่อพยายามทำตัวให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทัตสึโกะก็จะหายไปจากสายตาของคาโอริอย่างรวดเร็ว เธอเป็นคนที่รับมือได้ยากซะจริง
ทัตสึโกะไปห้องน้ำคนเดียว กินข้าวกล่องมื้อเที่ยงคนเดียว เมื่อนักเรียนย้ายห้องเรียน เธอก็อยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง เหมือนว่าเธอจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดบ่อยๆตอนพักเที่ยง เธออยู่คนเดียวตลอด และไม่มีใครเห็นว่ามันน่าสงสัยเลย
เธอไม่ได้เข้าชมรมไหน เมื่อเลิกเรียนและทำเวรความสะอาดเสร็จแล้ว เธอก็ตรงกลับไปที่บ้าน คาโอริพยายามมองดูไปรอบๆเพราะส่งสัยว่าเธอจะสนิทกับใครในชั้นเรียนรึเปล่า แต่มันก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่คนที่นั่งข้างๆเธอคงต้องมีเวลาคุยกับเธอมากกว่าคนอื่น คาโอริคิดเช่นนี้อยู่ในใจและเมื่อถามแบบอ้อมๆออกไปว่าคิดยังไงกับทัตสึโกะ ความพยายามของเธอก็เหมือนกับไม่มีประโยชน์ เพราะทุกอย่างที่เธอได้มาก็คือ “เอ่อ ก็คิดว่าเธอปกตินะ” ไม่ เธอไม่ได้ปกติเลย เธอยืนยันกับตัวเองอีกครั้งว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรจากคำถามของตัวเองเลย คนที่เป็นคู่ยืดกล้ามเนื้อของทัตสึโกะในคาบพละศึกษาก็ถูกมอบหมายให้ทำเพียงเพราะว่าชื่อนั้นอยู่ติดกันยังบอกอีกว่า “อื้อ เธอก็ปกติดีนะ” เด็กนักเรียนที่ทำเวรความสะอาดด้วยกันกับทัตสึโกะก็ยังพูดว่า “อื้อ เป็นแค่คนปกติน่ะ”
เธอรู้สึกไม่ปกติเลย ดูไม่เหมือนกับว่าไม่มีแม้แค่คนเดียวที่รู้จักทัตสึโกะเป็นการส่วนตัวเลย
เมื่อคาโอริกลับมาจากโรงเรียน เธอก็ระบายอารมณ์ใส่โทโกะทันที “เด็กคนนั้นมันอะไรน่ะ? มีบาเรียเวทมนตร์อยู่รึไง?”
“อ่า เราบอกได้เลยว่าไม่ใช่เวทมนตร์หรอก”
“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ? ปกติเธอเป็นแบบนั้นรึไง?”
“อื้อ เราคิดว่านะ… เด็กสาวหลายๆคนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลเองก็เป็นคนที่พิลึกด้วย”
“นั่นไม่มากไปหน่อยรึไง?”
“เราเคารพเธอนะ ไม่ได้ดูถูกเธอซะหน่อย”
รายชื่อแคนดิเดทเมจิคัลเกิร์ลที่โทโกะเจอมีดังต่อไปนี้
อุมิ ชิฮาบาระ เด็กสาวคนนี้แปลก แปลกเอาซะมากๆ คาโอริเคยเห็นเธออยู่ตรงสนามกีฬา วิ่ง เตะ แล้วก็ต่อย —นั่นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นไปแล้ว
คาโยะ เนมุระ ความจริงที่เธออยู่กับอุมิได้นี่ก็แปลกพอกัน
โนโซมิ ฮิเมโนะ ในตอนพิธีเปิดการศึกษา คาโอริรู้สึกสับสนว่าทำไมนักเรียนถึงไปยืนอยู่กับอาจารย์ได้ แต่ในภายหลังเธอก็ตกใจที่รู้ว่าโนโซมิ ฮิเมโนะคืออาจารย์จริงๆ เธอเหมือนเป็นเมจิคัลเกิร์ลแม้กระทั่งก่อนการแปลงร่างรึไงนะ? พิลึกชะมัด
มิเนะ มุสุบิยะ เธอคือคนที่คาโอริไม่รู้จักเลย ตามที่โทโกะสืบมา เธอนั้นเป็นหัวหน้าห้องมาตลอดตั้งแต่ชั้นประถม เพราะแบบนั้นบางทีเธออาจจะเป็นคนแปลกๆ
แล้วก็ทัตสึโกะ ซากากิ คาโอริคิดว่าตัวเองเอาใจใส่ชีวิตภายในรั่วโรงเรียนมากกว่าใคร ดังนั้นมันจึงแปลกที่ไม่รู้ถึงตัวตนของเธอเลย คนบางคนที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดอย่างทัตสึโกะนั้นต้องโดดเด่น แต่มันเหมือนกับว่าเธอคือข้อยกเว้นข้อเดียวของกฎนั้น คาโอริมองไม่เห็นรึเปล่านะ? ซึ่งนั่นก็ไม่น่าจะใช่
โทโกะยักไหล่ให้คาโอริคนที่บ่นอยู่บนเตียงของตัวเอง ท่าทางทุกท่าของโทโกะนี่มันดูน่ารำคาญมาก เพราะแบบนี้สินะถึงได้ไม่มีเพื่อน
“มันไม่สำคัญหรอกนะว่าเธอพิลึกยังไง แค่ไปเป็นเพื่อนกับเธอซะ!”
“เราไม่รู้สึกว่าเธอคือคนที่จะเป็นเพื่อนด้วยได้เลยแหะ”
“ก็นะ เราน่ะยุ่งกับของตัวเองแบบสุดๆ เราเลยช่วยอะไรไม่ได้หรอก โทษที”
“ไปตายซะ ไอ้แฟร์รี่งี่เง่าเอ๊ย!”
โทโกะอาจจะยุ่งจริงๆก็ได้ เธอมีรอยคล้ำสีดำใต้ตา แถมท่าทางของเธอก็ดูทื่อๆอีก แต่กระนั้น คาโอริก็อยากได้ความช่วยเหลือจากเธอแม้จะเป็นเพียงแค่เล็กน้อย มันมีสิ่งที่มีแต่แฟร์รี่เท่านั้นทำได้อยู่ อย่างการลอบเข้าไปในบ้านของทัตสึโกะแล้วติดตั้งเครื่องดักฟังหรือซ่อนกล้องเอาไว้
เมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว คาโอริจึงจำเป็นต้องจัดการภารกิจนี้ด้วยตัวเอง ทัตสึโกะมีจุดอ่อนเป็นศูนย์ เธอไม่ได้มีความรู้สึกแย่ๆในตอนที่อยู่คนเดียว ความจริงแล้ว มันรับรู้ความรู้สึกโดดเดี่ยวจากเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ —เธอใช้ชีวิตของตัวไปอย่างไม่ได้ลังเลหรือพลั้งพลาด ซึ่งมันทำให้แย่ลงไปอีก
ไม่ใช่ว่ามีจุดอ่อนอยู่ที่ไหนซักที่หรอกเหรอ? ไม่มีจุดอ่อนดีๆที่พอจะให้คาโอริจับเอาไว้เลยรึไง? คู่ต่อสู้ของเธอไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ล แม้ว่าจะมีศักยภาพด้านเวทมนตร์แต่เธอเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมต้น คาโอริจะลังเลกับคนแบบนี้ไม่ได้
เธอรู้ถึงเรื่องนี้ แต่มันก็ยากที่จะหาจังหวะคุยกับทัตสึโกะ ทุกครั้งที่จะเข้าไปคุยด้วย เธอก็พลาดโอกาสในวินาทีสุดท้าย ทัตสึโกะนั้นใจเย็นและควบคุมตัวเองได้ และไม่เปิดช่องว่างเพื่อให้ได้เปรียบอีกด้วย —แถมเกือบทุกครั้งที่คาโอริพยายามจับตัวของเธอเอาไว้ ทัตสึโกะก็จะรอดไปได้ทุกครั้ง
คาโอริยังคงมองดูเธอ
จากการจับตามองอยู่ตลอด เธอก็รู้อะไรอย่างหนึ่ง ทัตสึโกะนั้นชอบทามาโกะยากิ ทัตสึโกะกินข้าวกล่องของตัวเองอย่างสงบนิ่ง แต่เธอก็จะเหลือทามาโกะยากิเอาไว้เป็นอย่างสุดท้ายเสมอ มันมีคนสองประเภทบนโลกใบนี้ คือคนที่เหลือของโปรดไว้เป็นอย่างสุดท้ายกับคนที่เหลือของที่ชอบน้อยที่สุดไว้เป็นอย่างสุดท้าย คาโอริคิดว่าทัตสึโกะน่าจะเป็นคนประเภทแรก เหตุผลที่สองก็คือ เธอใช้ตะเกืยบจิ้มทามาโกะยากิอย่างไร้อารมณ์ —และเมื่อกล้ามเนื้อรอบๆปากของเธอขยับ แม้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่มันก็คือรอยยิ้มใช่ไหม? เธอดีใจกับการได้กินของโปรดอย่างลับๆโดยไม่ให้ใครรู้
ทัตสึโกะชอบทามาโกะยากิ หากคาโอริหลอกล่อเธอด้วยของโปรดตอนพักเที่ยงได้ล่ะก็ มันก็จะเป็นโอกาสของเธอแล้ว
คาโอริตัดสินใจทำทามาโกะยากิมากินเป็นมื้อเที่ยงในวันถัดมา ประสบการณ์การทำอาหารของเธอมีเพียงการทำอาหารในชั่วโมงคหกรรม แต่หลังจากค้นข้อมูลทางออนไลน์เล็กน้อย เธอก็พบกับสูตรอาหารที่ดูดีและจดมันเอาไว้
ก่อนอื่นเธอต้องทำน้ำซุปดาชิ เธอแช่สาหร่ายไว้ในน้ำทั้งคืน และหลังจากนั้นก็แช่ปลาแห้งลงในหม้อเป็นเวลาสามสิบนาทีแล้วก็เอาไปวางไว้บนเตา และก่อนที่จะต้มนั้นเธอก็เอาสาหร่ายออกแล้วใส่ปลาแผ่นลงไป เห็นได้ชัดการเตรียมน้ำซุปดาชินั้นสำคัญมาก มิเช่นนั้นทามาโกะยากิจะไม่อร่อยเอาได้
“ทำไมไอ้ไข่เจียว*โง่ๆมันต้องเปลืองแรงขนาดนี้ด้วยนะ?” คาโอริบ่น
*ทามาโกะยากิกับไข่เจียวนั้นคล้ายกันมาก แต่จะต่างกันตรงที่ทามาโกะยากิจะใส่น้ำซุปดาชิและน้ำตาลลงไป ด้วย
และมันก็ยังมีปัญหาเรื่องอัตราส่วนของดาชิกับไข่อีก ถ้าใส่ดาชิมากรสชาติก็จะยิ่งอร่อย แต่ถ้าใส่มากเกินไปไข่ก็จะไม่ได้รูปร่าง ทามาโกะยากิที่ยอดเยี่ยมต้องมีอัตราส่วนของทั้งสองอย่างสมบูรณ์แบบ
มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ผลลัพธ์มันกลับออกมาใกล้เคียงกับเรชั่นของทหารที่มีรสสัมผัสเหมือนทรายและรสชาติเหมือนกับโคลน เมื่อโทโกะลองชิม โทโกะสบถใส่เธอ และภายในปากของคาโอริก็เหมือนกับถูกเผาไหม้
ลืมไอ้ไข่เจียวนั่นไปซะ แผนต่อมาของคาโอริคือการใช้ร่ม
ถ้าหากทัตสึโกะมาโรงเรียนพร้อมกับร่มในวันฝนตก แต่ตอนกลับบ้านร่มของเธอกลับหายไปล่ะ? ถ้ามีบางคนเอาร่มของเธอไป แล้วที่ข้างนอกนั่นฝนยังคงตกอยู่ พอเธอไม่มีร่มแล้วแบบนั้นก็คงต้องมีปัญหาแน่ๆ จากนั้นก็จะมีเพื่อนร่วมชั้นเข้ามาในจังหวะที่เธอต้องการความช่วยเหลือพร้อมกับพูดว่า “มีอะไรเหรอ ซากากิ? หือ? มีคนขโมยร่มของเธอไปเหรอเนี่ย? ไม่นะ! เอ้านี่ เข้ามาในร่มของเราแล้วเดินกลับบ้านพร้อมกันเถอะ” ถ้าเป็นแบบนี้มันก็จะละลายน้ำแข็งอันเย็นเฉียบภายในหัวใจของเธอได้ใช่ไหมนะ?
โชคดีที่ตอนนี้คือฤดูฝน ภายในไม่กี่วันหลังจากที่คิดแผนนี้ขึ้น ฝนมันก็คงจะตกแน่ๆ และมีฉากของนักเรียนที่เดินมาโรงเรียนเป็นแถวพร้อมกับร่มหลากสีตามมาแน่ๆ ต่างคนต่างรู้สึกเศร้าใจเมื่อฝนตก แต่มีเพียงคนเดียวที่หัวเราะออกมาคือคาโอริ
เธอต้องแน่ใจว่าต้องมาโรงเรียนในเวลาเดียวกันกับทัตสึโกะ จากนั้นก็จะเดินเอื่อยๆอยู่ที่รอบๆทางเข้า ใช้เวลาสวมรองเท้านานๆแล้วก็สลัดน้ำออกจากร่มให้เหมาะสม เมื่อเธอเห็นทัตสึโกะกำลังมา เธอก็มุ่งหน้าไปที่ห้องเรียน เธอต้องสังเกตว่าทัตสึโกะเอาร่มของเธอเสียบไว้ที่ตรงไหนของที่วางร่มแล้วจดโน๊ตเอาไว้ ในตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว
ในตอนที่กำลังเรียนอยู่นั้น คาโอริก็ยกมือขวาของเธอขึ้นมาแล้วบอกว่าตัวเองรู้สึกไม่ดี เมื่อคนอื่นรู้สึกเป็นห่วงเธอ เธอก็ออกจากห้องเรียนไป เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาจากด้านหลังแล้วเธอก็แปลงร่างเป็นเรนโปว จากนั้นเธอก็วิ่งไปที่ทางเข้าและดันร่มของทัตสึโกะเข้าไปในชั้นวางรองเท้าจนมันส่งเสียงดังออกมา ต่อจากนั้นเธอก็วิ่งไปที่ห้องพยาบาล คลายกลายแปลงร่างแล้วนอนอยู่บนเตียงสามสิบนาที
เมื่อเวลามาถึงตอนโรงเรียนเลิก แผนการบางส่วนของเธอก็สำเร็จไปแล้ว คาโอริก็ตามหลังทัตสึโกะคนที่เก็บของอย่างรวดเร็วแล้วก็ออกจากห้องมาอย่างลับๆ เมื่อทัตสึโกะแสดงท่าทางลังเลออกมา คาโอริก็จะเข้าไปหาเธอ เธอจำลองเรื่องนี้มาแล้วในใจแบบนับครั้งไม่ถ้วนบนเตียงตอนอยู่ในห้องพยาบาล เรื่องนี้มันต้องผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหา และด้วยเหตุผลบางอย่าง หัวใจของคาโอริก็เต้นรัวเหมือนกับตอนที่เธอกำลังทำงานอยู่ —บางทีมันอาจจะแรงกว่านั้นเสียอีก
ทัตสึโกะเปลี่ยนรองเท้าของเธอที่ชั้นวางรองเท้าจากนั้นก็หันหน้าเข้าหาที่วางร่ม เธอมองดูหนึ่งครั้ง สองครั้ง แล้วก็มองดูเป็นครั้งที่สามเพื่อยืนยันว่าร่มของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ใช่แล้ว นี่แหละ คาโอริคิด แต่ก่อนที่จะยื่นมือเข้าไปหา ทัตสึโกะก็เริ่มวิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนแล้ว
นี่ทัตสึโกะคิดว่าการออกไปข้างนอกท่ามกลางสายฝนจนตัวเปียกโชกดีกว่าจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นงั้นเหรอ? ไม่สิ ไม่ใช่แบบนั้น เมื่อตามหลังทัตสึโกะไป ดวงตาของคาโอริก็เบิกกว้าง
การก้าวเท้าของเธอมันยากที่จะเรียกว่าการก้าวอย่างเบาๆ และการเคลื่อนไหวของเธอก็ยากที่จะเรียกว่าเฉื่อยชาก็เช่นกัน แต่เป้าหมายของเธอนั้นชัดเจน เธอไม่มีการลังเลเรื่องทิศทางที่เคลื่อนไหวเลย เธอเดินออกไปราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกัน ไถลตัวผ่านเด็กๆที่ถือร่มอยู่อย่างลื่นไหล แถมยังป้องกันความผิดปกติที่เธอเป็นคนเดียวที่เปียกฝนเอาไว้ไม่ให้โดดเด่นเอาไว้ด้วย เมื่อออกจากรั้วโรงเรียน เธอก็มุ่งหน้าไปที่ด้านล่างชายคาบ้านในทันที จากนั้นก็เดินจากชายคาบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง เธอสร้างเส้นทางที่ปลอดภัยขึ้นมาด้วยความพยายามอย่างที่สุด เธอเดินต่อไปเรื่อยๆในที่ที่จะไม่ทำให้ตัวของเธอเปียก เด็กสาวคนนี้ใช้ได้ คาโอริส่งเสียงออกมาในตอนที่ยังคงสะกดรอยตามเธอไป
ทัตสึโกะ ซากากิยอดเยี่ยมกว่าที่คาโอริคิดเอาไว้เสียอีก
“โรงยิมเปิดแล้ว ดังนั้นมาเล่นดอดจ์บอลในช่วงโฮมรูมกันเถอะ”
อาจารย์ชั่วโมงโฮมรูมพูดขึ้นมาแบบนี้ มันจึงทำให้ทั้งห้องเรียนเต็มไปด้วยความสนุกสนานและดีใจ เด็กๆทำไฮไฟว์กันและกันแล้วก็เข้าสวมกอด พวกเธอแสดงความสุขที่มีออกมาสิ้นเปลือง
คาโอริไม่พลาดในทุกเรื่อง แม้ว่าทัตสึโกะจะปรบมือไปพร้อมกับคนอื่นๆ แต่มันก็มีเงาดำอยู่ในสีหน้าของเธอเล็กน้อย ทุกๆคนนอกจากคาโอริที่มองดูทัตสึโกะอยู่อย่างต่อเนื่องต้องมองข้ามมันไปแน่นอน
เหมือนว่าทัตสึโกะจะไม่ชอบดอดจ์บอล บางทีกีฬาที่ต้องใช้สัมผัสทางร่างกายสูงมันคงไม่เข้ากับเธอ เธอคงจะขาดทักษะในการเล่นไป
คาโอริบีบกำปั้นของเธอ —แต่มันไม่ใช่เหตุผลเดียวกับเพื่อนร่วมชั้น นี่มันคือโอกาสของเธอ
หากเธอช่วยทัตสึโกะในเรื่องนี้ได้ —ตัวอย่างเช่น ป้องกันบอลที่ขว้างมาหา หรือผ่านบอลให้ทัตสึโกะเพื่อให้เธอตีบอลเข้าหาอีกฝ่ายได้— มันก็จะเพิ่มค่าความชอบของเธอ แล้วหลังจากเกมจบลง พวกเธอก็อาจพูดชมกันและกันว่า “สนุกจังเลย ว่าไหม?” ไม่ก็ “พวกเราทำได้แล้ว!” แล้วเมื่อถึงจุดนั้น พวกเธอก็อาจคิดว่าพวกเธอเป็นเพื่อนกันได้
โชคดีที่คาโอริและทัตสึโกะอยู่ทีมเดียวกัน
โดยปกติแล้ว คาโอริจะไม่ค่อยเต็มใจเล่นในชั่วโมงพละ แต่โดยทั่วไปแล้วเธอเก่งเรื่องกีฬา ไม่ว่าทัตสึโกะจะเงอะงะขนาดไหน คาโอริก็ควรจะช่วยเธอได้
แต่เธอก็ไม่มีโอกาสเลย บอลนั้นพุ่งผ่านผู้เล่นคนอื่น และคนที่โดนบอลก็ยิ้มออกมาด้วยความเขินอายก่อนที่จะออกไปยังข้างสนาม แต่คนที่คาโอริอยากจะช่วยนั้นเอาแต่หลบอย่างเดียว ทัตสึโกะไม่เคยพยายามโจมตีหรือรับลูกเลย —และยิ่งกว่าการหลบแล้ว เธอก็มองไปยังจุดที่เธอจะไม่โดนบอลแล้วก็เคลื่อนไหวไปยังจุดนั้นเรื่อยๆ
แต่เธอก็เป็นแบบนั้นไปไม่ได้ตลอดหรอก
เนื่องจากว่านี่เป็นดอดจ์บอลที่มีคนทั้งชั้นเรียนเข้าเล่น เมื่อออกไปแล้วมันก็จบเท่านั้น ไม่มีใครจะกระโดดกลับเข้ามาในเกมได้หากถูกบอลไปแล้ว จำนวนคนที่อยู่ภายในก็ลดลงไปเรื่อยๆ คนที่หลบอย่างเดียวนั้นมันไม่สามารถอยู่ไปตลอดได้ เมื่อเวลาผ่านไปไม่ช้าก็เร็ว วิกฤติมันต้องเข้ามาหาทัตสึโกะแน่ —และคนที่จะพุ่งเข้าไปช่วยเธอจากวิกฤตนั้นได้ก็คือคาโอริ
เพราะว่าเธอกำลังจมอยู่ในจินตนาการนี้ มันจึงทำให้เท้าของเธอจึงพันกันชั่วขณะ เธอตอบสนองกับบอลที่เข้ามาจากด้านหลังช้าไปเล็กน้อย และในตอนที่มันกำลังจะพุ่งเข้ามาชนเธอ เธอก็ทิ้งลงไปเพื่อหลบ และในตอนที่เธอลุกขึ้นยืน คนอื่นๆก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาว่า “ยอดเลย ยอดเลย” จากนั้นเธอก็พบว่าทัตสึโกะหายไปจากสนามและออกไปยืนอยู่ข้างสนามอย่างเงียบๆ
คาโอริสับสน ทำไมทัตสึโกะถึงไปอยู่ข้างสนามได้ล่ะ? ก่อนที่คาโอริจะล้มตัวลง พวกเธอสองคนยังอยู่ในสนามอยู่เลย ดังนั้นเธอคงไม่ได้โดนบอลแน่ๆ ตอนนี้ในฝั่งของคาโอริเหลือคนเพียงไม่กี่คน และฝั่งศัตรูกำลังโจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง
ในขณะที่หลบการโจมตีอย่างรุนแรงจากศัตรูได้นั้น คาโอริก็คิดถึงเรื่องสถานการณ์ ไม่ว่าเธอจะคิดมากเท่าไหร่ ทัตสึโกะก็คงต้องออกจากสนามไปแบบเงียบๆในตอนที่ทุกคนในชั้นเรียนพุ่งความสนใจมาที่คาโอริ
สำหรับทัตสึโกะแล้ว ภายในสนามมันคงเป็นสถานที่อันเจ็บปวดที่ต้องมายืนอยู่ —มันเป็นสถานที่ที่เธอจะโดดเด่น ในตอนที่เธอถูกบังคับให้ออกกำลังกาย ถ้าเธอโดนบอลมันก็จะเจ็บ ดังนั้นเธอถึงอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยปกติแล้ว การที่จะออกไปข้างสนามได้นั้นมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเจ็บตัว แต่ก็ต้องขอบคุณคาโอริ ทัตสึโกะจึงได้สถานที่ที่ตัวเองสามารถอยู่อย่างสงบไปแบบฟรีๆ ดังนั้นคาโอริได้ช่วยทัตสึโกะไปแล้วจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะกลายเป็นแบบนี้
เมื่อคาโอริรู้สึกว่าเกมดอดจ์บอลนี้มันไม่มีความหมายอีกแล้ว เธอจึงเล่นต่อไปด้วยการหลบบอลจนกว่าเสียงระฆังจะดัง เรื่องนี้มันไม่มีประโยชน์เอาซะเลย
คาโอริเฝ้าดูทัตสึโกะมากขึ้น เธอทิ้งความคิดที่ว่าจะมองดูแบบไม่น่าสงสัยและเป็นธรรมชาติที่สุดทิ้งไป การทำอะไรผิดธรรมชาตินิดหน่อยมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ทัตสึโกะเหมือนจะทำตัวตามปกติ ไม่ได้กระตือรือร้นอะไรเป็นพิเศษ แต่หลังจากที่มองดูเธอมาอย่างยาวนาน คาโอริก็คิดว่านี่มันไม่ใช่ ทัตสึโกะไม่ได้ทำอะไรตามปกติ —เธอรับรู้เรื่องนี้ได้ผ่านพลังแห่งการสังเกตของตัวเอง
วิธีที่เธอมองไปรอบตัว การที่ดวงตาของเธอขยับไปมา —เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่เป็นนิสัย การที่เธอให้ความสนใจกับเรื่องสภาพแวดล้อมรอบตัวมากที่สุดมันก็เพื่อไม่ให้ปัญหามาถึงตัว คาโอริเองก็เคยทำอะไรที่คล้ายๆกัน แต่เธอไม่รู้จริงๆว่าจะทำให้มีคนมองไม่เห็นตัวของเธอได้รึเปล่า
อย่าประมาท แล้วก็อย่ากลัวสิ แต่เธอกำลังกลัว เธอถูกครอบงำโดยคู่ต่อสู้ผู้ลึกลับที่กำลังจะกลืนกินเธอลงไป
คาโอริตัดสินในปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เธอต้องประจันหน้ากับทัตสึโกะแล้วเอาชนะเธอ ในช่วงพักสิบนาที ทัตสึโกะดึงเอาหนังสือที่มาหุ้มเอาไว้ออกมา ที่นั่งของเธอนั้นอยู่ด้านหลังห้องเรียนใกล้กับหน้าต่าง การแอบดูเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ถ้าคาโอริใช้วิธีการบังคับแบบรุนแรง เธอก็จะทำได้สำเร็จ
ในตอนที่กำลังคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานนั้น เธอก็ผลักเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆแบบเบาๆแล้วก็ปล่อยมือ ด้วยกฎของฟิสิกส์แล้ว เก้าอี้จึงล้มลงแล้วส่งเสียงดังออกมา สายตาของเหล่านักเรียนภายในชั้นจับจ้องไปที่เก้าอี้ ในตอนนี้คือจังหวะของเธอแล้ว
คาโอริทำท่าทีตกใจออกมา จากนั้นก็ถอยหลังสามก้าวอย่างรวดเร็วมาที่ด้านหลังของทัตสึโกะ เธอหันสายตาไปมองว่าอะไรอยู่ภายในหนังสือ จากนั้นก็หันกลับมาท่าเดิมในทันที
“โทษที โทษที” คาโอริพูดพร้อมกับจับเก้าอี้ ขณะที่ในตัวกำลังหัวเราะเบาๆ คาโอริรู้จักมังงะเรื่องนั้น มันเป็นโชเน็นมังงะชื่อดังที่เขียนมาจากวีดีโอเกม… จำได้ว่าพี่สาวของเธอมีมันอยู่ด้วย
เมื่อเธอกลับมาที่บ้านแล้วตรวจดู มันก็อยู่ในชั้นหนังสือของพี่สาวจริงๆ เธอคิดว่าอย่างน้อยก็ควรรู้ว่าด้านในนั้นมันเป็นยังไง เธอจึงดึงมังงะออกมาจากชั้นหนังสือแล้วก็เริ่มอ่าน เพราะมันมีเพียงแค่สามเล่มอยู่บนชั้นหนังสือ เธอจึงอ่านจบอย่างรวดเร็วแล้วก็อ่านมันใหม่อีกครั้ง เธอสงสัยว่าต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นกันนะ แต่พี่สาวของเธอก็ไม่ได้มีเรื่องนี้ทุกเล่มด้วย
เมื่อค้นหาทางออนไลน์ เธอก็ยืนยันได้ว่ามันเพิ่งออกมาแค่สามเล่ม ส่วนเล่มที่สี่มีกำหนดออกในเดือนหน้า คาโอริเองก็ยังอ่านคำวิจารณ์ของนักอ่านในตอนที่ค้นหาอีกด้วย พวกคำวิจารณ์บอกว่า “ช่วงนี้สนุกจัง” ไม่ก็ “ฉันชอบตัวละครตัวนี้จังเลย” และมีคำวิจารณ์หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอ นักวิจารณ์คนนั้นตั้งสมมติฐานว่า บางทีคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดก็คือเพื่อนในวัยเด็กของตัวละครหลัก
ตัวละครตัวนี้ปรากฎตัวออกมาตั้งแต่ตอนต้นเล่มแรก ตรงจุดนั้นก็ไม่ได้เห็นจะมีพฤติกรรมอะไรแปลกๆ แต่คนที่โพสเขียนออกมาด้วยความหลงไหลเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่มีหรือไม่มีในมังงะ และชี้ให้ดูว่าในฉากที่ถูกศัตรูจับได้ตอนลอบโจมตีนั้น ตัวละครทุกตัวล้วนแต่มีเหงื่อไหลยกเว้นเพื่อนสมัยเด็ก
เมื่อคาโอริอ่านฉากนั้นอีกครั้ง มันก็มีตัวละครหนึ่งที่ไม่มีเหงื่ออยู่จริงๆ นี่คือเค้าลางรึเปล่านะ?
มันทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเธอเพิ่มมากขึ้น เธออยากคุยเรื่องนี้กับใครซักคน แต่คาโอริก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเลยที่อ่านมังงะเรื่องนี้ ถ้าหากเธอจะพูดด้วยล่ะก็ —ใช่แล้ว ทัตสึโกะยังไงล่ะ บางทีสถานการณ์ในตอนนี้มันฉุกเฉินมากด้วยซ้ำ
หลังจากนั้น เธอก็ยังคงคิดเรื่องพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆของทัตสึโกะ และถ้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น คาโอริก็จะทำอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นเอง เธอรวบรวมข้อมูลของทัตสึโกะเข้าไปในฐานข้อมูลที่อยู่ในใจ
นี่มัน…อาจจะได้ผลก็ได้นะเนี่ย!
แม้จะอยู่ที่บ้าน เธอก็ยังคงจำลองสถานการณ์ในฐานข้อมูลทัตสึโกะ ห้องสมุดทัตสึโกะ และอัลบั้มภาพทัตสึโกะขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ และเมื่อนึกเรื่องที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ออกแล้ว เธอจึงเข้านอน
เรื่องราวนี้มันก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
โทโกะไม่ได้โกหกเรนโปว บางทีเธออาจจะไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้ตั้งแต่ที่ได้เป็นมาสค็อทมาก่อน การมองไปรอบๆเพื่อหาแคนดิเดทเมจิคัลเกิร์ลแล้วยังมีเรื่องของทัตสึโกะ ซากากิอีก เธอรู้สึกว่าแผนการนี้จะจบลงได้โดยไม่มีปัญหา
ในตอนนี้ ถ้าเรนโปวเป็นเพื่อนกับทัตสึโกะ ซากากิได้มันก็คงจะดี
“ฟู่ว”
เธอล้มตัวลงบนหมอน เธอเหนื่อย มาสค็อทนั้นจำเป็นต้องนอนไม่เหมือนกับเมจิคัลเกิร์ล ในที่สุดก็ได้พักซักที… เธอคิดแบบนี้ แต่เมื่อเริ่มเคลิ้มหลับนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเปิดประตู จากนั้นมันก็มีเสียงฝีเท้าตามมา แล้วเมื่อเธอลืมตา เธอประจันหน้าเข้ากับคาโอริที่น้ำตานอง
“นี่ โทโกะ! ฟังนะ! ยัยนั่นใจร้ายสุดๆเลย! เราพยายามจะพูดด้วยเป็นล้านรอบแล้ว แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเราพูดอยู่นั่นแหละ! ให้ตายสิ เธอคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ล้อเล่นกับความรู้สึกดีๆของเราแบบนี้เนี่ย?!”
คาโอริยังคงโอดครวญออกมาอย่างไม่รู้จบ แบบนี้คงไม่ได้นอนแหง โทโกะคิดแบบนี้พร้อมกับยอมแพ้ จากนั้นก็ยักไหล่ “โอ๊ ดีเลย… ดูเหมือนว่าตอนนี้อะไรๆก็เข้าที่เข้าทางแล้วสินะ ปล่อยที่เหลือให้เราจัดการเอง ด้วยฝีปากของโทโกะผู้นี้ แม้จะเป็นเด็กมัธยมปลายซักคนหรือสอง—”
“ไม่!”
“ไม่? ทำไมล่ะ?”
“เราจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนจบ! เธอน่าจะเข้าใจนี่!”
โทโกะกลืนคำตอบของตัวเองลงไป ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แล้วก็ถอนหายใจออกมา เมจิคัลเกิร์ลนี่เอาแต่ใจตัวเองอยู่ตลอดเลย
“ยังไงก็เถอะ ช่วยสอนเราทำทามาโกะยากิหน่อยสิ” คาโอริพูด
“ทามาโกะยากิ? …แต่เธอไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองไม่ใช่รึไง?”
“มันใกล้จะถึงทัศนศึกษาแล้ว เราก็เลยอยากทำไข่เจียวสุดอร่อยเป็นมื้อเที่ยงเพื่อทำให้เธอต้องมนต์สะกดของเราไง”
“คือเราว่าเรื่องนี้มันพิลึกเกินไปแล้วนะ”
“อะไรก็ได้! ช่วยสอนเราทีเถอะ! ทัศนศึกษามันคือโอกาสของเรานะ รู้ไหม! เราสาบานเลย —คราวนี้แหละ เราจะเป็นเพื่อนกับเธอให้ได้!”
MANGA DISCUSSION