ตอนที่ 8:
การมาเยือน
☆ ฟันนี่ทริค (เหลือเวลาอีก 13 ชั่วโมง 50 นาที)
นานเท่าที่เธอจำความได้ ฟันนี่ทริค หรือคาโยะ เนมุระนั้นอาศัยอยู่ในเงาของมอนเตอร์มาตลอด
มอนเตอร์ตัวนั้นคือเพื่อนสมัยเด็ก อุมิ ชิฮาบาระ คำว่ามอนเตอร์นั้นเหมาะกับเธอยิ่งกว่าคุณโนโซมิ ฮิเมโนะที่มีฉายาว่ามอนเตอร์ซะอีก อุมินั้นอาละวาดและทำลายทุกอย่างอยู่ตลอด เธอไม่สามารถต่อต้านหรือปฎิเสธได้เลย
เด็กๆนั้นมักจะจัดลำดับด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกาย และความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของอุมิ ชิฮาบาระนั้นไม่เปิดช่องให้ใครข้ามผ่านไปได้ ดังนั้นเรื่องความไม่พอใจต่างๆก็จะกลายเป็นการนินทาอย่างลับๆและเอามันมาลงที่คาโยะแทน พวกเด็กๆบอกว่าคาโยะนั้นใช้อุมิเพื่อให้ตัวเองดูเจ๋ง ราวกับจิ้งจอกที่ยืมพลังของเสือ* ผู้ที่ประจบสอพลอคนที่แข็งแกร่งกว่า คนที่ไม่สามารถทำอะไรเองได้แต่ก็สามารถลองทำได้เพราะอุมิเป็นต้น เห็นได้ชัดว่ามีคนที่นินทาอุมิอยู่ แต่ก็มีหลายคนพูดแบบนี้กับคาโยะเช่นกัน
*นิทานพื้นบ้านของจีน กล่าวถึงจิ้งจอกที่เผชิญหน้ากับเสือที่จะกินตัวเอง แต่จิ้งจอกก็บอกกับเสือไปว่า อย่าคิดว่าตัวเองเป็นราชาสัตว์ป่าเพียงคนเดียว ความกล้าของเสือนั้นเทียบกับจิ้งจอกไม่ได้หรอก มาลองเดินไปด้วยกันดูสิ เดินมองตามหลังมา หากมีใครเข้ามาโดยไม่กลัว ก็กินจิ้งจอกได้เลย เสือจึงทำตามที่จิ้งจอกบอก แต่เมื่อมีคนเห็นเสือ ทุกคนก็กลัวแล้วก็วิ่งหนีกันไปหมด จนสุดท้ายเสือก็วิ่งหนีไปอีกโดยที่ไม่รู้ตัวว่าโดนจิ้งจอกหลอกใช้
https://www.worldoftales.com/Asian_folktales/Chinese_Folktale_26.html
แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น คาโยะไม่เคยรู้สึกเลยว่าการอยู่กับอุมิมันจะได้อะไรดีๆกลับมา หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากไปไหนมาไหนด้วยกัน เธอติดอยู่ในความจริงที่ว่าไม่สามารถทำอะไรเพื่อต่อต้านได้ หากจะต่อต้านล่ะก็เธอก็ต้องเจอกับความรุนแรง และคาโยะจะไม่เสี่ยงทำอะไรแบบนั้น เธอไม่อยากจินตนาถึงการโดนต่อยหรือโดนเตะจากบางคนที่แข็งแกร่งจนทำลายเสาที่เอาไว้ปีนในสนามเด็กเล่นด้วยการเตะเพราะความโกรธ และแกว่งตัวอย่างต่อเนื่องบนบาร์โหนได้นานห้านาทีติดต่อกันด้วย
หากฉันแข็งแกร่งล่ะก็ บางทีมันจะแตกต่างออกไปก็ได้
คาโยะคิดแบบนั้น ดังนั้นเธอจึงขอร้องพ่อแม่ว่าให้เธอไปเรียนคาราเต้เถอะ เธอสาบานด้วยว่าจะพยายามให้มาก
อาจารย์สอนคาราเต้ของคาโยะนั้นสอนเธอว่า “ความแข็งแกร่งของร่างกายน่ะมันไม่พอที่จะทำให้เป็นคนที่แข็งแกร่งหรอก สิ่งที่สำคัญคือความแข็งแกร่งของจิตใจต่างหาก” คาโยะประทับใจมาก เพราะมันเหมือนสถานการณ์ของเธอตอนนี้จนร้องไห้ออกมา ใช่แล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายน่ะมันไม่ได้ทำให้แข็งแกร่ง หากเธอใจเย็นและมีหัวใจที่แข็งแกร่งล่ะก็ เธอก็คงไม่ต้องรู้สึกทรมาณเพราะอุมิ เธอไม่อยากอยู่ใกล้คนอย่างอุมิที่ทำตัวป่าเถื่อนเอาแต่ใช้ความรุนแรง คนที่เธอควรจะติดตามไปก็คืออาจารย์สอนคาราเต้มากกว่า
เมื่อคิดย้อนกลับไป เขาอาจจะเป็นรักแรกของคาโยะก็ได้ ชายอายุสี่สิบปี กับคาโยะที่ยังคงเป็นนักเรียนประถม แต่กระนั้นหัวใจของคาโยะก็ลุกโชนไปด้วยความหลงไหล นี่อาจจะเป็นบางคนที่เธอสามารถติดตามไปได้ เป็นคนที่ต่างจากอุมิ นี่คือคนที่เธออยากจะอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด
และอุมิก็บดขยี้ความรู้สึกของคาโยะจนหมดสิ้น วันหนึ่งคาโยะปฎิเสธอุมิไปว่าไปเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียนไม่ได้เพราะเธอต้องไปเรียนคาราเต้ มันทำให้อุมิมองมาที่เธอด้วยความไม่พอใจ วันนั้นอุมิจึงไปที่โรงฝึกคาราเต้ จัดการอาจารย์และพี่เลี้ยงของเธอ แถมยังเอาป้ายของโรงฝึกออกตอนกลับไปอย่างมีชัยชนะอีก แม้แต่คนที่ป่าเถื่อนจริงๆก็ไม่ได้ทำแบบนี้กันใช่ไหม? วันต่อมาที่ประตูของโรงฝึกนั้นก็มีป้าย “ขาย” ติดอยู่ที่ประตู และความสิ้นหวังของคาโยะก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
คาโยะตัดสินใจว่าเธอต้องหนีจากอุมิให้ได้ มันจึงทำให้เธอนั้นเรียนหนักมากขึ้น หากเธอเข้าโรงเรียนมัธยมของรัฐล่ะก็ อุมิต้องตามเธอไปทั้งชาติจนกระทั่งวันจบการศึกษาแน่ แต่ถ้าเธอเข้าโรงเรียนอื่นได้ล่ะก็ ตัวเธอก็จะเป็นอิสระจากความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ ชีวิตใหม่ของเธอต้องสร้างที่โรงเรียนใหม่ มิตรภาพของเธอกับอุมิมันต้องจางหายไป
คาโยะทุ่มเทเวลาและความตั้งใจของเธอทั้งหมดไปที่การเรียน เธอบอกแค่พ่อแม่กับอาจารย์ว่าเธอจะสอบเข้าโรงเรียนเอกชน พยายามจะไม่ให้นักเรียนคนอื่นเห็นตอนที่สัมภาษณ์และฝึกทำข้อสอบ พร้อมกับถูกบังคับให้ต้องไป ‘ผจญภัย’ กับอุมิ เธอลดเวลานอนของตัวเองลงและเอาเวลานั้นมาเรียนเพื่อสอบเข้า เธอมีความจำดีอยู่แล้ว แถมยังมีแรงกระตุ้นที่อยากจะหนีจากอุมิอย่างรุนแรงอีก เธอจึงกระตุ้นตัวเองแบบนั้นโดยไม่เสียใจอะไร
คาโยะทำทุกอย่างที่ทำได้ก่อนที่จะไปเผชิญหน้ากับข้อสอบ เธอระมัดระวังเรื่องสุขภาพมาก ป้องกันไม่ให้ตัวเองป่วยด้วยการกินอาหารดีๆและไปฉีดวัคซีน มันมีนักเรียนจำนวนหนึ่งจากโรงเรียนของเธอที่มาสอบอยู่ที่โรงเรียนมัธยมนามิยามะ เพราะเธอไม่ได้บอกใครว่าจะมาสอบ คนพวกนั้นจึงแปลกใจที่เห็นคาโยะอยู่ที่นี่ด้วย แต่ยิ่งกว่านั้น พวกเธอก็แปลกใจที่เห็นอุมิอยู่ที่นี่เช่นกัน คาโยะเองก็แปลกใจ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ?
ตอนที่เธอวิ่งเข้าไปในสถานที่สอบ เธอก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับเป็นเรื่อนตลกร้าย ไม่มีใครบอกอุมิว่าเธอจะไปอยู่ที่นั่น แล้วอุมิรู้เรื่องการสอบของคาโยะได้ยังไง ทำไมเธอถึงทำท่าราวกับว่าทั้งสองคนมาสอบด้วยกันล่ะ?
คาโยะส่ายหัวอย่างแรงเพื่อพยายามตั้งสติ
คะแนนของอุมินั้นอยู่ในระดับกลาง เธอไม่ได้พยายามในการเรียนมากมายนัก แต่ถ้าเธอรู้ว่าคาโยะจะไปสอบเข้าที่ไหนล่ะก็ แบบนั้นเธอต้องพยายามลองสอบเข้าเช่นกัน แต่มันไม่มีทางที่จะได้ผลลัพธ์ที่เธอต้องการแน่ เพราะโรงเรียนมัธยมนามิยามะนั้นเป็นโรงเรียนที่มุ้งเน้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ติดอันดับท็อปสามของเขต อุมินั้นไม่ได้ไปทั้งโรงเรียนกวดวิชาหรือเรียนเพื่อมาสอบเข้าเลยด้วย เธอเอาแต่ใช้เวลาเที่ยวเล่นไปทั่วดังนั้นเธอต้องสอบไม่ผ่านแน่ และคาโยะก็จะเป็นคนเดียวที่สอบผ่าน ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะไม่มีปัญหา
สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็สอบผ่าน อุมิโม้ว่าเธอติวอยู่สามวันไม่หลับไม่นอน แต่เธอสอบผ่านได้เพราะทำแบบนั้นจริงๆเหรอ? เมื่อคาโยะเริ่มชีวิตของเธอที่โรงเรียนใหม่ เธอก็ได้ยินข่าวลือว่าครอบครัวชิฮาบาระนั้นเป็นหนึ่งในเจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ทำการบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้แก่โรงเรียน
คาโยะหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เธอยังรู้สึกอีกว่าถ้าทำแบบนั้น อุมิก็ยังคงตามเธอต่อไป เธอไม่รู้ว่าทำไมอุมิถึงสนใจตัวเธอนักหนา ใช่ว่าเธอสนุกสนานกับเรื่องรุนแรง แถมก็ไม่ได้กล้าหาญอีก ร่างกายของเธอเองก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้บิดข้อมือของผู้ใหญ่ได้ด้วยมือเดียวจนกระทั่งกระดูกแตกแบบที่อุมิทำได้ด้วย
ไม่ว่าคาโยะจะดิ้นรนยังไง เธอก็หนีไปไม่ได้ ดังนั้นคาโยะจึงยอมแพ้และยอมรับชะตากรรมตัวเอง
ทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่อุมิต้องการ เธอขัดขวางอุมิไม่ได้ แม้กระทั่งตอนที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะมีอยู่จริง แต่มันก็เกิดขึ้นเพราะอุมิอยากจะเป็น ไม่ว่าคาโยะจะพยายามปฎิเสธความคิดนั้นมากแค่ไหน ไม่ว่าเธอจะยืนกรานยังไงว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มีทางเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่มีใครฟังเธอเลย เมื่ออุมิบอกทุกคนว่าควรจะร่วมมือกันแล้วกำจัดแม่มดผู้ชั่วร้าย ทุกคนก็ทำตามเธอ อุมินั้นจัดการได้ทั้งหัวหน้าห้อง อาจารย์ แล้วก็แฟร์รี่ที่มอบพลังให้พวกเธอ สำหรับเธอแล้วจะเป็นใครมันก็ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจหรือคนที่มีบุญคุญกับเธอ ถ้าอุมิไม่ชอบพวกนั้น เธอก็จะจัดการทิ้งแล้วเดินต่อไป
คาโยะคิดว่ามันอาจจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่มันก็ไม่ใช่เลย
แม้กระทั่งในหมู่ของเมจิคัลเกิร์ล อุมิหรือกัปตันเกรซก็แข็งแกร่งกว่าเธอ
ยิ่งกว่านั้นเธอแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าเมจิคัลเกิร์ลคนอื่นอีกด้วย และฟันนี่ทริคที่เป็นร่างเมจิคัลเกิร์ลของคาโยะเองก็ไม่ได้อ่อนแอ เธออาจจะแข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากกัปตันเกรซ แต่ตราบใดที่กัปตันเกรซยังอยู่ที่นี่ เธอก็จะไม่มีวันได้เป็นที่หนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงกัปตันเกรซที่กวัดแกว่งอาวุธที่ได้มาตามสิ่งที่อยู่ในใจ การใช้เรือโจรสลัดเวทมนตร์ และอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในนั้นเลยด้วย
แม้จะเป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่ประสบการณ์การต่อสู้และจิตวิญญาณนักสู้ของอุมิที่ถูกบ่มเพาะมานานหลายปีจากเรื่องรุนแรงต่างๆมันก็มีประโยชน์มากต่อกัปตันเกรซ เธอยืนอยู่ในแนวหน้าเพื่อสู้กับศัตรูเสมอ เผชิญหน้ากับหูกระต่ายที่น่าสะพรึงกลัวโดยไม่ขี้ขลาด ไล่ตามหูกระต่ายที่หนีไปโดยไม่สนใจเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลตัวเอง ในตอนที่มองดูเธอวิ่งออกไปนั้น คาโยะก็รู้แล้วว่าตัวเองทำอะไรกับสิ่งมีชีวิตตัวนั้นไม่ได้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าการได้รับเวทมนตร์มาจะทำให้ตัวตนตามธรรมชาติเปลี่ยนไป ความจริงเธอรู้สึกว่าพลังนั้นยิ่งทำให้ตัวตนออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้นไปอีก
ต่อมากัปตันเกรซก็สู้กับทรงกลมลึกลับสีดำและเอาชนะได้ เธอโดนโจมตีจนเลือดไหลออกมาจากทั้งแขนและขา หากไม่มีฟันนี่ทริคช่วยแล้วมันคงอันตรายกว่านี้แน่ สิ่งนี้มันไม่สามารถเรียกได้ว่าชัยชนะที่ได้มาแบบง่ายๆ กัปตันเกรซดูเหมือนว่าจะสนุกสนาน ไม่ได้ดูเหน็ดเหนื่อยอะไรแถมยังมุ่งหน้าไปหาการต่อสู้ครั้งต่อไปทันที ฟันนี่ทริคมั่นใจว่ากัปตันเกรซคงไม่หยุดเคลื่อนไหวจนกว่าจะตายแน่ๆ
มันเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเมจิคัลเกิร์ล? หรือเพราะพลังฟื้นตัวที่เหนือกว่าปกติ? หรือเป็นเพราะตัวตนแต่กำเนิดของอุมิกันนะ? กัปตันเกรซนั้นมองไม่เห็นอาการบาดเจ็บของตัวเอง ทำราวกับว่าบาดแผลตัวเองเป็นแค่รอยขีดข่วนในตอนที่ค้นหาศัตรู
ฟันนี่ทริคทำความเข้าใจไม่ได้เลย เธอไม่เข้าใจศัตรูที่พูดภาษาต่างประเทศ เธอไม่เข้าใจเมื่ออุมิถูกสิ่งสีดำกัดกร่อนจนหัวของเธอหายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ล้มลง เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกอย่างมันถึงจบลงแบบนี้
ฟันนี่ทริคถูกมัดแล้วพามาที่ไหนซักที่ด้วยความงุงงง ที่ๆพวกของเมจิคัลเกิร์ลที่ฆ่าอุมิบอกเธอว่า “ความตายของโจรสลัดทำให้เธอมีความสุข”
ในเวลาที่รวดเร็วกว่าการกระพริบตา สมองของเธอที่คิดอะไรไม่ออกนั้นร้อนราวกับถูกเผาไหม้ขึ้นมาทันที เธอรู้สึกทรมาณด้วยความร้อนที่มากพอจะย่างสมองจนสุกได้ เธอกรีดร้องและปฎิเสธเรื่องเหล่านั้น
เธอไม่ได้รู้สึกดีใจเรื่องนั้นเลย เธอไม่ได้มีความสุขกับมันด้วย ตัวของเธอนั้นแข็งทื่อ เธอยอมรับความจริงเรื่องของ อุมิ ชิฮาบาระ เด็กสาวที่เธอปรารถนาให้ไปพ้นหูพ้นตาเธอมาโดยตลอด กลับมาตายง่ายๆตรงหน้าของเธอในขณะที่เธอกำลังกุมมือของอุมิอยู่ไม่ได้
อุมิจะมาตายที่นี่ไม่ได้ มอนเตอร์ตัวนั้นจะมาตายในที่แบบนี้ได้ยังไง?
คาโยะกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา จากนั้นนักดาบก็เขวี้ยงจานเข้ามาที่เธอ เพื่อให้เธอหุบปากอยู่เงียบๆ
ภายในจิตใจของเธอมันกำลังคุ้มคลั่ง ในตอนนั้นทุกอย่างก็มาบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียว เธอจะไม่ยกโทษให้เมจิคัลเกิร์ลพวกนี้ เธอต้องให้พวกมันชดใช้อย่างสาสม พวกมันทำลายชีวิตของคาโยะทั้งชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอุมิก็จะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ เธอคิดมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าอุมินั้นน่าโมโห น่ารำคาญจนเธอหวังให้อุมิหายไปซักที อุมิลากเธอเข้ามาในภาวะวิกฤติ พาเธอเข้ามาสู่อันตราย แต่เธอก็ยังคงยิ้มอย่างกล้าหาญแล้วพูดว่า “สนุกดีใช่ไหมล่ะ?” การไปไหนมาไหนกับอุมิทำให้ผู้คนคิดว่าคาโยะนั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคนรับใช้ของอุมิ ปฎิบัติกับเธอราวกับเป็นส่วนเกิน บางคนก็พูดลับหลังเธอในเรื่องไม่ดี และอุมิจะทำให้คนพวกนั้นหุบปากลงไปด้วยความรุนแรง จนไม่มีใครที่พูดเรื่องแย่ๆเกี่ยวกับเธออีกเลย แต่มันก็ทำให้นอกจากอุมิแล้วก็ไม่มีใครไปไหนมาไหนด้วยกันกับคาโยะด้วยเช่นกัน ทุกๆวันเธอเฝ้าคิดว่า หากอุมิหายไปบางทีเธออาจจะมีเพื่อนมากมายเลยก็ได้
อุมินั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่คิดว่าหากเธอมีความสนุก เธอจะทำอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นการเอาแต่ใจและใช้ความรุนแรง คาโยะเกลียดเธอและหวังว่าให้เธอไปให้พ้นๆ แต่ที่ไหนซักที่ในหัวใจ เธอก็เคารพอุมิอยู่จริงๆ
ฟันนี่ทริคกัดฟันแน่น ตอนนี้อุมิตายแล้ว และคนพวกนี้คือคนที่ฆ่าเธอ
เมจิคัลเกิร์ลที่สวมชุดมีรอยเย็บกำลังกินแฮมอย่างเอร็ดอร่อย
นักดาบกำลังพูดกับนักทำนายด้วยภาษาต่างประเทศ เว็ดดิ้นคอยรับใช้อยู่ด้านข้างนักดาบ
เหมือนว่านักทำนายนั้นพยายามตำหนินักดาบ
ดังนั้นคนที่ทำให้น้ำมันเดือดอยู่ในห้องครัวก็คือมือกีตาร์
ไม่มีใครมองมาที่ฟันนี่ทริค สายตานั้นไม่ได้จับจ้องมาที่เธอแต่เป็นหูกระต่ายที่ถูกจับมัดอยู่ที่พื้นเหมือนกัน นักดาบกับนักทำนายเข้าหาหูกระต่ายด้วยท่าทีราวกับเป็นคู่ต่อสู้ที่ควรระมัดระวัง เมื่อเทียบกับฟันนี่ทริคแล้ว เธอดูไม่สำคัญเลย พวกมันคิดว่าสามารถปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียวได้
อุมิบอกเธอเสมอว่า “หากพวกมันประเมินค่าตัวชั้นไว้ต่ำ มันก็คือเรื่องที่ดี พวกคนโง่ที่ทำเป็นไม่สนใจแบบนี้น่ะ เป็นพวกที่ต่อยมันเข้าที่หน้าอย่างจังได้ง่ายๆเลย”
ฟันนี่ทริคได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของตัวเอง หากพวกนั้นคิดว่าเธอไม่มีอันตราย แบบนั้นมันก็ทำให้งานของเธอง่ายขึ้น
รูปร่างของเมจิคัลเกิร์ลแต่ละคนนั้นมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับความสามารถและตัวตนของคนๆนั้น มันไม่มีข้อยกเว้นในหมู่ของเด็กสาวที่ฟันนี่ทริคเห็นมาจนถึงตอนนี้ กระต่ายนั้นฉลาดและรวดเร็ว นักดาบกับโจรสลัดนั้นเก่งเรื่องการต่อสู้ที่ใช้ดาบ ตะเกียงจินนี่สามารถบินอยู่ในอากาศได้
แล้วนักมายากลทำอะไรได้กันล่ะ?
ฟันนี่ทริคตรวจดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่มีใครสนใจตัวเธอ จากนั้นเธอก็งอตัว เอาหัวลอดผ่านแขนที่ถูกมัด จากนั้นงอตัวเหมือนกุ้งที่กลับด้าน แล้วจับข้อมือกับข้อเท้าตัวเองที่ด้านหลัง และก็งอกลับไปในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อจับข้อมือกับข้อเท้าจากด้านหน้า เธอลองขยับข้อมือตัวเองและพบว่า เชือกนั้นเคยมัดอยู่แน่นก็จริงแต่ตอนนี้มันก็หย่อนอยู่เล็กน้อย เพียงพอที่สามารถทำให้เธอขยับข้อมือได้
เธอรีบกลับสู่ท่าเดิมที่นอนอยู่อย่างไร้กำลังบนพื้นอย่างรวดเร็ว เด็กสาวที่สวมชุดมีรอยเย็บนั้นยังคงกินอาหารของเธอ นักดาบกับนักทำนายนั้นกำลังคุยกันอยู่อย่างจริงจัง มือกีตาร์ยังคงไม่กลับเข้ามาในห้อง ส่วนเว็ดดิ้นนั้นก็เหม่อ ไม่มีใครมองมาที่ฟันนี่ทริค
มันเป็นเรื่องปกติที่นักมายากลสามารถหนีจากเชือกที่พันธนาการอยู่ได้ ข้อต่อของฟันนี่ทริคนั้นยืดหยุ่นและสามารถขยับได้อย่างอิสระ แต่แม้ว่าเธอจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ เธอก็จะไปไหนไม่ได้ คงจะถูกจับตัวอย่างรวดเร็ว เธอต้องเลือกช่วงเวลาให้ถูกต้อง และโจมตีไปที่ศัตรูอย่างรุนแรง
ครั้งหนึ่งเธอจำได้ว่าอุมิเคยพูดกับเธอว่า “เมื่อตกอยู่ในปัญหา มันก็จะมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่รอคอยอยู่” แล้วฟันนี่ทริคก็ขยับตัวไปมาอย่างแผ่วเบา
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า (เหลือเวลาอีก 13 ชั่วโมง 30 นาที)
การได้ข้อมูลส่วนบุคคลมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากไม่สนใจเรื่องกฎหมาย ไม่ได้คิดมากเรื่องการร่างแผนการคร่าวๆแล้วเติมเต็มมันด้วยความรุนแรง มันก็จะออกมาง่ายอย่างน่าตกใจเลยล่ะ
ก่อนอื่น เฟรเดริก้าก็ให้เว็ดดิ้นนำทางไปยังโรงเรียนมัธยมนามิยามะ จากนั้นก็บุกรุกเข้าไปด้านใน เธอให้เว็ดดิ้นกับพูคินรออยู่ด้านในรถที่จอดอยู่ด้านหน้าประตูโรงเรียน และให้ท็อตป๊อปจับตาดูเอาไว้ในตอนที่โซเนียกับเฟรเดริก้าเข้าไปด้านใน โซเนียสลายตัวล็อคตรงทางเข้าสำหรับเจ้าหน้าที่แล้วใช้ภาพร่างหยาบๆเป็นสิ่งนำทาง เฟรเดริก้าค้นตู้ล็อคเกอร์และห้องพักอาจารย์ แม้จะไม่มีอาจารย์เข้าเวรตอนกลางคืน แต่ที่โรงเรียนนี้มันต้องทำสัญญากับบริษัทรักษาความปลอดภัยเอาไว้แน่ ดังนั้นบางทีอาจจะรู้แล้วว่าพวกเธอบุกเข้ามา เฟรเดริก้าสามารถรับมือกับผู้รักษาความปลอดภัยสิบถึงยี่สิบคนด้วยตัวเองได้ แต่ทำเรื่องวุ่นวายให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
เดิมทีโซเนียนั้นเป็นโจรที่คอยปล้นคนที่สัญจรไปมา ดังนั้นเธอจึงคุ้นเคยกับสิ่งที่มีค่าและคว้ามันมาอย่างรวดเร็ว เฟรเดริก้าเองก็มีประสบการณ์ในการเป็นหัวขโมยเพื่อรวบรวมเส้นผมมาก่อน โซเนียนั้นคว้าเอกสารทั้งหมดที่เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องเอาไว้ ในขณะที่เฟรเดริก้ารวบรวมเส้นผมที่ตกอยู่ตามพื้น ผู้เชี่ยวชาญสองคนทำงานของตัวเองเสร็จภายในห้านาที จากนั้นกลับไปยังรถที่จอดรออยู่ที่ประตูหน้าแล้วก็ออกไป
อาจารย์ประจำชั้นห้อง 2-A โนโซมิ ฮิเมโนะ หรืออีกชื่อหนึ่งคือคุรุคุรุ ฮิเมะ พวกเธอจะเล็งเป้าไปที่เธอนี้ก่อน เพราะมันง่ายกว่ากว่าการค้นหาตัวนักเรียน หากเฟรเดริก้ามีเส้นผมของเธอล่ะก็เรื่องมันก็จะง่ายมาก แต่เส้นผมของโนโซมิ ฮิเมโนะนั้นไม่ได้อยู่ในหมู่เส้นผมที่เฟรเดริก้ารวบรวมมาจากที่โรงเรียน เพราะเมื่อเฟรเดริก้ายืนยันเจ้าของเส้นผมก็พบว่าทั้งหมดมันมาจากผู้ชาย แต่เธอก็ห่อมันเผื่อเอาไว้ด้วยกระดาษไคชิ*
*กระดาษญี่ปุ่นเอาไว้รองขนมหวาน
ที่อยู่ของโนโซมิ ฮิเมโนะนั้นไม่ได้ถูกเขียนอยู่ในเอกสารใดๆที่โซเนียรวบรวมมาได้ แต่กระนั้นมันก็ยังมีหน้ารายชื่อติดต่ออยู่ กระดาษแผ่นนี้มีชื่อคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอาจารย์แล้วก็เบอร์ติดต่อเขียนเอาไว้ ดูๆแล้วพวกนั้นไม่ได้รักษาข้อมูลส่วนบุคคลของอาจารย์ไว้อย่างดีเหมือนกับเหล่านักเรียนเลย
นี่คือวิธีการที่เฟรเดริก้าได้เบอร์ติดต่อของโนโซมิ ฮิเมโนะมา จากนั้นเธอก็ตรวจสอบตัวเลขนั้นกับสมุดโทรศัพท์เพื่อหาที่อยู่ของเธอ โชคดีที่เบอร์บ้านของคุณฮิเมโนะถูกเขียนเอาไว้ด้วย
เฟรเดริก้าบอกที่อยู่กับเว็ดดิ้นและให้เธอนำทางให้ เมื่อตรวจสอบกับแผนที่ของเมืองที่ได้มาจากโรงเรียนแล้ว พวกเธอก็มาถึงบ้านของโนโซมิ ฮิเมโนะ พวกเธอเลือกให้โซเนียบุกเข้าไปอย่างเคย จากนั้นพวกเธอก็ฆ่าชายแก่ที่อยู่ที่นั่นก่อนที่จะทันได้ส่งเสียงอะไรออกมา สิ่งที่พวกเธอต้องทำในตอนนี้คือการค้นหารอบๆบ้าน
ตามที่เว็ดดิ้นบอก โนโซมิ ฮิเมโนะนั้นอายุยังอยู่ในวัยยี่สิบ ผู้ชายที่พูคินฆ่าไปนั้นแก่เกินที่จะเป็นสามีของเธอ เขาคงเป็นพ่อของเธอแน่ๆ ภายในบ้านหลังนั้นมีเส้นผมอยู่สองแบบ มันเป็นเส้นผมของผู้ชายและหญิงสาว มันคงมีแค่สองคนอาศัยอยู่ที่นั่น
เฟรเดริก้าออกจากบ้านหลังนั้น เธอเอาแค่เส้นผมของผู้หญิงใส่ไว้ในกระดาษ ด้วยเส้นผมนี้ เธอก็สามารถหาตัวฮิเมโนะได้ทันที
☆ ริปเปิล (เหลือเวลาอีก 13 ชั่วโมง 11 นาที)
“นี่อะไร…?”
“นี่น่ะเหรอ? ถ้าจะใช้เธอต้องใช้มันแบบนี้”
มานาหันหลังให้ริปเปิลและหันหน้าเข้าหากำแพง เธอชูแท่งไม้สีดำในมือขวาขึ้นมา จากนั้นก็พูดพึมพำคาถาไม่กี่คำแล้วก็ทำเครื่องหมายด้วยมือซ้าย แล้วแท่งนั้นก็ยิงเปลวไฟเล็กๆออกมาเหมือนกับกระสุน ขนาดของมันพอๆกันนิ้วโป้ง เมื่อโดนเข้ากับอ่างล้างจานแล้วมันก็ทิ้งรอยไหม้สีดำเอาไว้ ทั้งพลังและความเร็วดูไม่ใช่สิ่งที่จะขนาดหวังได้เลย
ริปเปิลมองดูไม้เท้านั่นพร้อมกับคิดอยู่ในใจ จากนั้นมานาก็หันกลับมาหาเธอพร้อมกับทำหน้าไม่พอใจ
“นี่เธอคิดว่า หือ แค่นี้น่ะนะ? อยู่ใช่ไหม? ชั้นน่ะลดพลังลงเพื่อใช้ภายในบ้าน ถ้าใช้พลังสูงสุดล่ะก็มันมากพอที่จะเผาเมจิคัลเกิร์ลได้เลย”
“…เปล่า”
ริปเปิลสงสัยว่ามานานั้นอ่านใจเธอรึเปล่า แต่เหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น ริปเปิลนั้นไม่ได้แสดงท่าทีว่าคิดอะไรอยู่ออกมา และมานาเองก็คงรู้ว่าอาวุธนี้มันไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรมากมาย เธอคงคาดเดาการตอบสนองแบบนั้นออกมา
เพื่อนของริปเปิล เมจิคัลเกิร์ล สโนไวท์ นั้นสามารถอ่านใจได้ เมื่อเธอหวนนึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ริปเปิลก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อสังเกตเห็นว่ามานาจ้องมองมาที่เธอ เธอก็กลับไปทำท่าทางไร้อารมณ์เหมือนเดิม
“…ขอโทษ”
“ฮึ ช่างมันเถอะ มันก็เป็นอาวุธห่วยๆนั่นแหละ พวกเธอที่เป็นเมจิคัลเกิร์ลน่ะสามารถขว้างได้แรงกว่าและเร็วกว่าด้วยมือเปล่าอยู่แล้ว แต่ว่า…”
มานาปรับแว่นของเธอแล้วจ้องมองมาที่ริปเปิล
“อย่าประมาทมันเชียวล่ะ”
“…อื้อ”
“เคารพมันด้วย”
“…อื้อ”
“เอาล่ะ ฟังนะ ชั้นจะอธิบายเรื่องต่อไปให้ฟัง”
มันกินเวลามากกว่าที่คิด เพราะมีทั้งความยุ่งเหยิงของข้อมูล การตะโกนคัดค้าน การพยายามทำใจให้สงบ และการออนวอน ที่เกิดตอนที่พวกเธอประชุมหารือเรื่องที่จะทำในอนาคต หลังจากนั้นพวกเธอลดความเร็วลงให้เท่ากับความเร็วของมานาที่เร็วพอๆกับมนุษย์ตอนที่ย้ายไปยังสถานที่ใหม่ ซึ่งมันทำให้ใช้เวลาพอสมควร ในขณะเดียวกันเวลามันก็ผ่านไปเรื่อยๆ และเวลาที่บาเรียจะหายไปปรากฏขึ้นมารางๆ ริปเปิลดูเวลาบนเมจิคัลโฟนของเธอ ในตอนนี้มันคืออย่างเดียวที่เมจิคัลโฟนทำได้
ริปเปิล มานา 7753 แล้วก็คุรุคุรุ ฮิเมะออกไปจากดาดฟ้าที่เป็นจุดนัดพบฉุกเฉินและไปซ่อนตัวที่บ้านร้างที่ตั้งห่างจากออกไปด้วยการเดินสิบนาที มันเป็นบ้านพักตากอากาศเก่าๆขนาด 165 ตารางเมตรที่ไม่มีสวน มีโรงรถอยู่ก็จริงแต่ก็ขึ้นสนิมหมดแล้ว และมันต้องใช้แรงในระดับของเมจิคัลเกิร์ลในการยกประตูขึ้นลง
ด้านในนั้นเต็มไปด้วยแผ่นพลาสติกสีน้ำเงิน ถ้วยราเม็งเปล่า ขวดโซจูที่กลิ้งอยู่ที่พื้น และขยะอื่นๆ แถมยังมีกลิ้นเปรี้ยวโชยอยู่รอบบริเวณ เสื่อทาทามิเองก็สภาพแย่มาก หากนั่งลงไปล่ะก็เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องจมลงไปแน่ๆ
เหมือนว่ามีบางคนอาศัยอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่รู้ถูกต้องตามกฏหมายรึเปล่า พวกเธอพบร่องรอยที่บ่งบอกว่ามีคนอาศัยอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ได้มีใครอยู่รอบๆ
“อาจจะเป็นแค่พวกที่บุกรุกเข้ามาก็ได้” มานาพูด
“พวกเรามีกันเยอะคงไม่โผล่หน้าออกมาหรอก หากพวกนั้นเข้ามาบ่นล่ะก็ พวกเราก็แค่ต้องไล่ออกไปแค่นั้น”
“…อื้อ”
7753 บอกว่าเวทมนตร์ของพูคินนั้นคือการควบคุมจิตใจ ริปเปิลนั้นทั้งประหลาดใจและประทับใจเรื่องข้อมูลที่ 7753 แจ้งให้ทราบ เธอนั้นมีความสามารถแน่ๆ อาจเป็นไปได้มากว่าแกล้งทำเป็นขี้ขลาด แล้วสังเกตพฤติกรรมของพวกเธอในยามคับขันด้วย ริปเปิลคิดว่าตัวเองคงต้องระวังมากกว่านี้หน่อยแล้ว
หากฮานะหรือมาโอแพมตกอยู่ใต้เวทมนตร์ควบคุมจิตใจของพูคินล่ะก็ เรื่องจุดนัดพบฉุกเฉินก็จะรั่วไหลไปยังศัตรูแน่ พวกเธอจะยืนอยู่เฉยๆรอให้ศัตรูมาโจมตีไม่ได้ ดังนั้นมันจำเป็นต้องย้ายฐานที่มั่น
มานานั้นมอบกล้องดูดาวที่เธอเอาออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์ให้ 7753 เพื่อมองดูผ่านช่องว่างระหว่างผ้าม่านไปยังดาดฟ้าของสิ่งก่อสร้างที่เคยเป็นจุดนัดพบฉุกเฉิน หากฮานะหรือมาโอแพมมา หรือไม่ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นแล้วศัตรูมาล่ะก็ 7753 จะแจ้งพวกเธอทันที
คุรุคุรุ ฮิเมะคลายการแปลงร่างกลับไปเป็นมนุษย์ เธอหันหน้าออกจากกลุ่มเพื่อใช้สมาร์ทโฟนของตัวเอง ตัวจริงของคุรุคุรุ ฮิเมะนั้นเป็นไปตามที่ 7753 บอกเอาไว้ผ่านแว่นกันลม
มานาอธิบายเรื่องสิ่งของทั้งหมดที่เธอมีให้ริปเปิลฟัง เวทมนตร์ของริปเปิลนั้นคือการขว้างสิ่งของที่มีอัตราการเข้าเป้า 100% ในตอนนี้เธอมีคุไนกับชูริเคนที่เป็นเครื่องประดับของชุดอยู่ หากมีอาวุธเวทมนตร์อย่างอื่นให้ใช้ด้วย มันก็จะทำให้ตัวเธอทรงพลังและมีประโยชน์มากขึ้น ดังนั้นริปเปิลจึงถามมานาไปว่ามีอะไรที่เหมาะกับการใช้ขว้างได้บ้าง ถ้ามีล่ะก็ริปเปิลอยากให้มานาเอามาให้เธอใช้
มานาดูเหมือนว่าไม่เต็มใจ แต่ในตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน แถมเธอยังเห็นสีหน้าที่เร่งรีบของริปเปิลอีกด้วย
“นี่คือไม้เท้าแห่งไฟ สามารถใช้ท่าทางและคาถาเพื่อยิงลูกไฟออกมาได้”
ไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์ตรงไหนเลย
“ชั้นยังมีกล้องดูดาวเวทมนตร์ที่สามารถมองผ่านวัตถุด้วยนะ หมวกเวทมนตร์ที่เพิ่มพลังเวทก็มี ผ้าคลุมเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งกว่าชุดเกราะ ถุงน่องเวทมนตร์ที่ไม่มีวันขาด แล้วก็ชุดนักเรียนเวทมนตร์ด้วย”
นอกจากกล้องดูดาว ถุงน่อง แล้วก็ชุดนักเรียนแล้ว หมวกกับผ้าคลุมเหมือนว่าจะดูแข็งแกร่ง ทั้งสองอย่างนั้นมีสีดำ หมวกนั้นเป็นทรงสามเหลี่ยมที่เรียกกันว่าหมวกแม่มดและมีของประดับรูปดวงอาทิตย์อยู่ คู่หูคนก่อนของริปเปิลก็สวมอะไรคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน
“โอ๊ะ หมวกกับผ้าคลุมมันมีไว้สำหรับจอมเวทนะ” มานาอธิบาย “ถ้าเมจิคัลเกิร์ลสวมมันก็เหมือนกับการสวมชุดธรรมดานั่นแหละ”
แบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยน่ะสิ แล้วจะเอามาให้ริปเปิลดูทำไมเนี่ย?
“นี่คือกระเป๋าเวทมนตร์ที่จะใส่อะไรลงไปมากเท่าไหร่ก็ได้ และสามารถเอาของออกมาใช้ตอนไหนก็ได้ที่ต้องการ ตราบใดที่สิ่งของนั้นมันเป็นขนาดที่ตัวเองสามารถถือได้”
ครั้งหนึ่งริปเปิลเองก็เคยมีกระเป๋าแบบนั้น มันใช้ในการต่อสู้ตรงๆไม่ได้ แต่มันก็มีประโยชน์ถ้าเอาไว้ใส่พวกอาวุธสำหรับขว้าง
“ส่วนนี่คือเชือกเวทมนตร์ชนิดทนทาน มันฉีกขาดได้ยาก แม้จะใช้แรงของเมจิคัลเกิร์ล”
ริปเปิลลองทดสอบด้วยการดึงและพบว่ามันทนทานมาก อย่างน้อยที่สุดริปเปิลก็ใช้พลังของเธอฉีกมันให้ขาดไม่ได้ เชือกมันยาวประมาณสิบห้าเมตร ซึ่งยาวไม่พอที่จะสานเป็นตาข่าย แต่ถ้าเธอพยายามล่ะก็น่าจะเอาไปทำเครื่องมือจับขาของใครซักคนได้
“แล้วก็เจ้านี่”
มานาโยนทรงกลมที่มีขนาดห้าเซ็นติเมตรออกมา มันมีโลหะที่ดูเหมือนเป็นคันโยกอยู่ด้วย ริปเปิลเคยเห็นวัตถุที่คล้ายกันมาก่อน จริงๆแล้วไม่ใช่แค่เห็นแต่เคยถูกขว้างใส่มาก่อนด้วย
“…ระเบิด?”
“ไม่ แค่ระเบิดควัน ถ้าจะใช้อาวุธร้ายแรงอย่างระเบิดชั้นจำเป็นต้องมีคำอนุญาตจากต้นสังกัดก่อน ในฐานะหัวหน้าหน่วย ชั้นได้รับอนุญาตให้เอามาแค่ระเบิดควัน”
ในการที่ริปเปิลจะใช้เวทมนตร์ตัวเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น เธอจำเป็นต้องมองเห็นที่ที่เธอขว้างออกไป หากขว้างตามปกติเธอสามารถขว้างได้แม่นยำพอตัว แต่มันก็เป็นแค่ ‘แม่นยำพอตัว’ เท่านั้น เวทมนตร์ของเธอเข้ากันได้ไม่ดีกับระเบิดควันเพราะมันทำให้เธอมองเห็นอะไรไม่ชัด
มานาเห็นริปเปิลจ้องมองระเบิดควันบนฝ่ามือของตัวเองแบบนั้นจึงทำหน้าไม่พอใจ
“นี่เธอคิดว่าระเบิดควันมันใช้การไม่ได้ใช่ไหม?”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น…”
“เธอนี่เป็นแบบนี้ตลอดเลยนะ เอาแต่ประเมินค่าอาวุธพวกนี้ต่ำ ไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรเลย ไม่แม้กระทั่งจะพยายามทำอะไรกับสิ่งที่มีอยู่ เอาแต่แสดงความไม่พอใจ”
“ไม่ใช่…”
“มันไม่ได้แค่พ่นควันออกมา แต่ยังมีแรงระเบิดเล็กๆอีกด้วย หากกำไว้ในมือล่ะก็มันแรงพอที่จะทำให้นิ้วหลุดได้เลย”
จากที่ริปเปิลรู้ มันไม่มีศัตรูคนไหนที่จะใจดีหยิบลูกบอลที่หน้าตาเหมือนระเบิดขึ้นมาหรอก บางทีเธอคงต้องจับเวลาระเบิดแล้วโยนมันไปหาศัตรู… แต่เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะจับเวลาระเบิดกับสิ่งที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก หากพลาดล่ะก็ แบบนั้นนิ้วของริปเปิลก็จะหายไปแทน
“แล้วก็นี่”
มานาดึงไซริงค์สิบหลอดขึ้นมาด้วยนิ้ว ด้านในหลอดนั้นบรรจุของเหลวสีเขียวเข้ม แล้วก็เอาขวดแก้วที่มีเม็ดกลมสีขาวออกมาด้วย
“เม็ดพวกนี้จะช่วยลดความเจ็บปวดของร่างกายและทำให้จิตใจมั่นคง ส่วนของในหลอดนั้นต้องใช้คู่กับไซริงค์ ใช้มันเพื่อเพิ่มความสามารถทางกายภาพแบบชั่วคราวได้ แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็จะมีผลข้างเคียงเช่นกัน ไม่ว่าอันไหนเมจิคัลเกิร์ลก็ใช้ไม่ได้ เพราะมันเป็นยาที่ใช้เพื่อให้มีพลังทางกายภาพและจิตใจที่แข็งแกร่งแบบเมจิคัลเกิร์ล”
ไซริงค์พวกนี้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อใช้ขว้างหรือแทง เมื่อคิดถึงเรื่องความทนทานด้วยแล้วมันจึงยากที่จะใช้ในการต่อสู้
“อ๊ะ แล้วก็รถ ในรถที่พวกเราใช้กันมันมีเวทมนตร์อยู่ด้วย”
ริปเปิลขว้างรถไม่ได้หรอก
“มีอันไหนที่เธอใช้ได้บ้างไหม?”
“ชั้นขอเชือกแล้วกัน”
“แล้วระเบิดควันล่ะ ไม่เอาเหรอ?”
“…อันนั้นหนึ่งลูกด้วย”
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร มานานั้นเหมือนว่าพอใจในตอนที่มองดูริปเปิลเอาระเบิดควันใส่ไว้ในแขนเสื้อ
ริปเปิลรู้สึกไม่สบายใจ เห็นได้ชัดเลยว่ามานาอวดสิ่งของพวกนี้เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องกังวลเรื่องฮานะ
มานานั้นเป็นคนหัวรั้นและเอาตัวเองเป็นสำคัญ เธอไม่เคยยกโทษให้ใครที่ดูหมิ่นเธอ ความพ่ายแพ้กับความตายสำหรับเธอแล้วมันมีค่าเท่ากัน ความภาคภูมิใจเองก็ทำให้เธอมีจริยธรรมในอาชีพ เธอนั้นเกลียดการถูกดูหมิ่นและเกลียดคนอื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เธอนั้นก็ถูกบังคับให้ทำงานร่วมกับคนอื่นเพื่อที่จะเอาตัวรอดได้ แถมเธอยังอารมณ์เสียหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วตัวเองอดกลั้นไว้ไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเธอจะระเบิดมันออกมาอย่างไม่คิด แม้ในภายหลังเธอจะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำและพยายามแสดงความมีน้ำใจกับเหยื่อทางอารมณ์ของตัวเอง เธอนั้นให้เหตุผลกับตัวเองว่า “ดูหมิ่นมาก็ดูหมิ่นกลับมันผิดตรงไหนล่ะ?”
เมื่อหลายปีก่อนริปเปิลเองก็เป็นแบบเดียวกันกับเธอ เธอรู้สึกว่าเหมือนกับกำลังมองดูตัวเธอเองเมื่อหลายปีก่อน แถมมันก็ทำให้เธอรู้สึกทนแทบไม่ได้ด้วย แต่การที่ได้เห็นมานาแสดงความรู้สึกของตัวเองต่อฮานะออกมา ก็ทำให้เธอคิดว่ามานานั้นซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองยิ่งกว่าริปเปิลซะอีก เพราะแบบนั้นมันทำให้ริปเปิลอยากให้ฮานะกลับมาอย่างปลอดภัย 7753 เองก็พูดถึงเรื่องนักโทษที่หลบหนีออกมาว่าเป็นศัตรูที่อันตรายมาก แถมหนึ่งในหมู่ของพวกนั้นมีเมจิคัลเกิร์ลที่ริปเปิลเคยสู้ด้วยมาก่อน
ไพตี้ เฟรเดริก้า
หากคาลามิตี้ แมรี่ ที่สังหารคนธรรมดาที่ผ่านไปมาคือคนเลว
หากนักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ ที่บังคับผู้คนเข้าไปสู่การทดสอบที่อันตราย และให้สู้ภายใต้หน้ากากของการทดสอบธรรมดาโดยที่ไม่ปล่อยให้แย้งได้คือภัยพิบัติ
แบบนั้นไพตี้ เฟรเดริก้าคือคนที่เลวร้ายที่สุด เธอคือคนที่ริปเปิลไม่อยากเจออีกแล้ว ริปเปิลนั้นรู้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับเมจิคัลเกิร์ลของดินแดนเวทมนตร์มันเต็มไปด้วยช่องโหว่ อย่างน้อยพวกเขาก็พยายามมากในการรักษาความปลอดภัยของคุกไว้อย่างแน่นหนา แต่ถ้าจะปล่อยขยะอย่างเธอขึ้นมาบนพื้นโลกอีกครั้ง แบบนั้นคุกมันก็ไม่มีความจำเป็นตั้งแต่แรก โทษตายมันดีกว่าสำหรับเธอ
ริปเปิลภาวนาว่าฮานะจะปลอดภัย และไม่ถูกไพตี้จับตัวหรือฆ่าทิ้ง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็ภาวนาให้มาโอแพมปลอดภัยเช่นกัน
ริปเปิลชะงักไปครู่หนึ่งเพราะผู้คนพูดกันว่ามาโอแพมนั้นแข็งแกร่ง เธอคิดเช่นนั้นแล้วก็หัวเราะความคิดตัวเองที่หาข้อแก้ตัวให้คนอื่น เห็นชัดว่ามาโอแพมนั้นเป็นพี่เลี้ยงของแครนเบอร์รี่ ริปเปิลไม่เคยเจอหน้าแครนเบอร์รี่ตรงๆก็จริง แต่ริปเปิลก็ไม่ชอบเธอ เป็นเพราะแครนเบอร์รี่ถึงได้มีคนจำนวนมากต้องมาตาย ริปเปิลที่รอดมาได้ก็สูญเสียดวงตากับแขนไป แม้ร่างกายของริปเปิลจะบาดเจ็บ แต่สโนไวท์นั้นทุกข์ทรมาณยิ่งกว่าตัวเธอที่สูญเสียร่างกายไปอีก
ริปเปิลคิดว่ามันอาจจะไม่ถูกจะโยนความผิดทั้งหมดให้มาโอแพมเพียงเพราะเธอเป็นพี่เลี้ยงของแครนเบอร์รี่ แต่เธอเองก็คิดเช่นกันว่าหากมาโอแพมสอนแครนเบอร์รี่มาดีกว่านี้ซักนิด สิ่งต่างๆมันคงเปลี่ยนไปแน่ ริปเปิลเองก็อยากให้มาโอแพมบอกเธอว่าแครนเบอร์รี่นั้นเป็นคนยังไง แต่ถึงจะถามออกไปมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้
ริปเปิลใช้นิ้วของเธอจับไปตามพื้นที่สกปรก แล้วก็ดึงเสื่อทาทามิเน่าๆออกมา แต่ก็หลุดเพียงแค่กระจุกหนึ่ง จึงเป่ามันให้หลุดออกจากนิ้ว เธอรู้สึกว่าคิดแบบนั้นมันไม่ดีเลย เธอจึงภาวนาให้ฮานะกับมาโอแพมปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง
☆คุรุคุรุ ฮิเมะ (เหลือเวลาอีก 12 ชั่วโมง 10 นาที)
คุรุคุรุ ฮิเมะตระหนักได้ถึงบางอย่าง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอใช้เมจิคัลโฟนของตัวเองไม่ได้ ริปเปิลกับคนอื่นก็บอกว่าใช้ไม่ได้เช่นกัน แล้วถ้าใช้มือถือธรรมดาล่ะ? เธอจึงคลายการแปลงร่างกลับไปเป็นโนโซมิ ฮิเมโนะ แล้วดึงเอาสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท เธอโทรหาบริการเทียบเวลาเพื่อทดสอบและพบว่ามันบอกเวลาเธอกลับมา
หากเธอใช้มือถือได้ แบบนั้นแสดงว่ามือถือสองเครื่องจะติดต่อหากันได้
เหมือนว่าริปเปิลกับพวกจะไม่ได้เตรียมเอาอะไรมาติดต่อหาคนอื่นนอกจากเมจิคัลโฟน แต่มันไม่ใช่กับพวกโนโซมิที่ไม่เคยรู้จักคำว่า “เมจิคัลเกิร์ล” จนกระทั่งเมื่อสิบชั่วโมงก่อน กฎของโรงเรียนนั้นห้ามนักเรียนเอาสมาร์ทโฟนมาที่โรงเรียนก็จริง แต่นักเรียนหลายคนก็แอบเอามันมาอยู่ดี กระทั่งอาจารย์เองก็รู้เรื่องความลับที่รู้กันทั่วนี้ ดังนั้นหากพวกเธอมีมือถือล่ะก็จะสามารถติดต่อหากันได้…
โนโซมิมีหลายอย่างที่อยากบอกพวกเธอ
เธอปลอดภัยดี
โทโกะนั้นน่าสงสัย
คนที่พวกเธอคิดว่าเป็นศัตรูแล้วสู้ด้วยนั้นดูไม่เหมือนจะเป็นคนเลวเลย ตอนที่ริปเปิลจับปกคอเสื้อของเธอ คุรุคุรุ ฮิเมะนั้นตัวแข็งทื่อและสงสัยว่ามันจะเกิดอะไรกับเธอกันนะ แต่เมื่อพวกเธอคุยกันแล้ว เธอก็พบว่าริปเปิลไม่ใช่คนเลวอะไรเลย ความจริงเหมือนว่าเธอนั้นจะอยู่ฝั่งที่พยายามจับกุมคนร้ายซะอีก มานานั้นโกรธอยู่เสมอ 7753 เองก็ขวัญอ่อน ริปเปิลเองก็ดูไม่เป็นมิตร แต่พวกเธอนั้นดูน่าเชื่อถือมากกว่าแฟร์รี่ที่พยายามจับนักเรียนของเธอเป็นตัวประกันซะอีก
เธอต้องการจะบอกคนอื่นๆว่ามันมีอาชญากรร้ายแรงแหกคุกออกมาแล้วแผงตัวอยู่ในเมืองนี้ด้วย แล้วยังอยากบอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนด้วย เธออยากจะไปรวมตัวกับทุกคนก่อนเป็นอย่างแรก
มีอีกหลายสิ่งที่เธออยากรู้จากพวกนักเรียนเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดเธออยากรู้ว่าทุกคนปลอดภัยดีรึเปล่า
เธอสามารถใช้มือถือตัวเองโทรไปหาได้ แต่ปัญหาก็คือเธอไม่รู้เบอร์โทรของใครเลย โนโซมิคิดว่าเธอนั้นจะรู้เบอร์โทรคนอื่นได้ยังไง และความคิดที่จะถามเพื่อนของเพื่อนของผุดขึ้นมา เด็กๆนั้นต้องมีเพื่อน และเพื่อนนั้นก็ควรรู้เบอร์โทรของเพื่อนด้วยกัน
เธอจำเป็นต้องดูรายชื่อนักเรียนห้อง 2-A ที่อยู่ที่บ้านของเธอ และต้องติดต่อนักเรียนห้อง A ว่ามีใครรู้เบอร์มือถือของมิเนะ มุสุบิยะห้อง D คาโยะ เนมุระกับอุมิ ชิฮาบาระห้อง C หรือทัตสึโกะ ซากากิและคาโอริ นิโนะสึกิที่เป็นเด็กปีหนึ่งบ้าง โดยปกติแล้วการโทรหานักเรียนในช่วงเวลานี้มันไม่ใช่อะไรที่ดี แต่จะไม่ทำมันก็ไม่ได้ ชีวิตนักเรียนของเธอและตัวเธอเองกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
โนโซมิโทรไปที่บ้าน บนท้องฟ้านั้นเริ่มสว่างขึ้นแล้ว
นิ้วของเธอสั่นจนกดเบอร์โทรไม่ถูก เธอเอามือนั้นแนบไปที่หน้าอก จากน้้นก็วางมือถือลงบนเสื่อทาทามิ เธอใช้มือซ้ายของตัวเองจับมือขวาเอาไว้เพื่อให้หยุดสั่น กดตัวเลขแต่ละตัวลงไปอย่างระมัดระวังแล้วโทรออก
มานากับริปเปิลนั้นมองมาที่เธอ 7753 เองก็วางกล้องดูดาวลงแล้วหันมามองเช่นกัน แต่มานาก็จ้องกลับไป จน 7753 รีบกลับไปทำงานของเธอต่อ โนโซมินับเสียงการโทร และหลังจากที่มันดังขึ้นมาสิบห้าครั้งมันก็เชื่อมต่อไปยังบริการฝากข้อความ เธอจึงตัดสายไปแล้วโทรใหม่อีกครั้งแต่มันก็เชื่อมต่อไปยังบริการฝากข้อความเหมือนครั้งที่แล้ว
พ่อของเธออยู่บ้านแต่กลับไม่รับสาย อาจจะหลับอยู่ก็ได้แต่ว่าพ่อไม่ใช่คนที่หลับลึก ตอนเกิดแผ่นดินไหวระดับสองพ่อยังเคยตื่นขึ้นมา และมาเคาะประตูห้องโนโซมิคนที่หลับอย่างรวดเร็วหลายครั้ง ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นตอนกลางคืนพ่อก็จะเป็นห่วงโนโซมิคนที่หลับสนิทอยู่เสมอ พ่อของเธอไม่ได้อ่อนไหวแค่เรื่องการสั่นสะเทือน แต่เรื่องเสียงก็เช่นกัน พ่อเป็นคนตื่นมาเมื่อมีเรื่องแจ้งเตือนฉุกเฉินตอนกลางคืนแต่โนโซมิไม่เคยตื่นเพราะเรื่องนั้นเลย
นี่เธอโทรไปผิดเบอร์รึเปล่านะ? ตอนนี้จิตใจของโนโซมิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว การที่เธอจะกดเลขสิบหลักกับรหัสพื้นที่พลาดง่ายๆจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เดี๋ยวสิ เธอไม่จำเป็นต้องกดเบอร์เลยนี่นาเพราะมันบันทึกไว้ในมือถือของเธอแล้ว เธอโทรไปที่บ้านแบบนี้เสมอ แล้วทำไมเธอถึงต้องกดเบอร์ทั้งๆที่ไม่จำเป็นด้วยล่ะ?
หน้าอกของเธอเจ็บปวดราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาจากด้านใน ไม่ว่าโนโซมิพยายามจะฝืนทนมันยังไงก็ไม่หายไป แถมยังมีความรู้สึกคลื่นไส้อยู่ภายในตัว โนโซมิปล่อยมือจากมือถือแล้วก็แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล หัวใจของเธอผ่อนคลาย ความเจ็บปวดภายในอกของเธอก็ดีขึ้น เหมือนว่าโทโกะจะไม่ได้โกหกเรื่องที่ว่าเมื่อแปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้วจะทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น
จากรายชื่อติดต่อบนมือถือ คุรุคุรุ ฮิเมะเลือก ‘บ้าน’ แล้วก็โทรออกไป เสียงโทรนั้นดังขึ้นสิบห้าครั้งก่อนที่จะกลายเป็นบริการฝากข้อความ เธอกอดมือถือตัวเองไว้ที่อก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเธอถึงไม่รับสาย ความกังวลเริ่มเกิดขึ้นภายในตัวของเธอ
จู่ๆเธอก็รู้สึกตกใจ มันมีบางอย่างมากระแทกกับหน้าอกของเธอจนเธอล้มไปด้านหลัง ริปเปิลนั้นกดตัวเธอลง คุรุคุรุ ฮิเมะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น และก่อนที่เธอจะปล่อยริบบิ้น ริปเปิลก็หมุนตัวแล้วขว้างคุไนออกมา มือที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นหายไปก่อนที่คุไนจะไปโดน เมื่อคุไนไม่มีเป้าหมายแล้วมันจึงพุ่งไปติดอยู่ที่เพดาน และทำให้ฝุ่นร่วงลงมา
“นั่นเป็นเวทมนตร์ของไพตี้ เฟรเดริก้า! เธอได้เส้นผมจากหนึ่งในพวกเราไปแล้ว!”
ริปเปิลตะโกน จากนั้นเสียงสั่นๆของ 7753 ก็ตามหลังมา
“มีรถสีแดงกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่พวกเราแล้ว!”
☆ ไพตี้ เฟรเดริก้า (เหลือเวลาอีก 11 ชั่วโมง 50 นาที)
เธอลืมไปแล้วว่าริปเปิลอยู่ที่นี่ด้วย
ริปเปิลรู้เรื่องเวทมนตร์ทุกอย่างของเฟรเดริก้า เพราะเฟรเดริก้าเคยสู้กับเธอมาก่อน แม้จะไม่มีอะไรอยู่รอบตัวแต่ริปเปิลนั้นก็จะระมัดระวังตัวอยู่เสมอ แม้จะเป็นพื้นที่ในร่มก็ตาม เธอตอบสนองออกมาทันทีเมื่อมีมือปรากฏออกมาจากอากาศที่เบาบาง
มันเป็นเพราะเส้นผมของคุรุคุรุ ฮิเมะที่งดงาม จึงทำให้เฟรเดริก้าที่มองจากด้านหลังนั้นอยากสัมผัสจนยื่นมือออกมา ผมของเธอม้วนขึ้นอย่างน่ารักเหมือนกับคำว่าคุรุคุรุที่เป็นชื่อของเธอ แม้จะอยู่ในบ้านเก่าๆที่ถูกทิ้งร้าง มันก็ยังคงงดงามจนกระตุ้นความอยากของเฟรเดริก้า
แต่กระนั้นเธอก็หักห้ามความต้องการเอาไว้ได้ เฟรเดริก้ายืนยันจำนวนคนที่อยู่ภายในห้องทั้งหมด เธอเห็น 7753 จากฝ่ายทรัพยากรบุคคลอย่างที่ฮานะพูดเอาไว้ มานาเองก็เช่นกัน และเมื่อเธอมองไปที่ริปเปิล ใบหน้าของเธอก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แม้รูปร่างภายนอกของเมจิคัลเกิร์ลจะไม่ได้บ่งบอกถึงอายุ แต่ตัวริปเปิลก็ดูแข็งแกร่งขึ้น ครั้งสุดท้ายที่เฟรเดริก้าเห็นเธอนั้นดูไร้เดียงสา แต่ในตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นมันหายไปแล้ว เฟรเดริก้ามองไม่เห็นความหยิ่งหรือความหัวรั้นโง่ๆในตัวเธอเลย เธอกลายเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆได้ แม้แต่ตอนนี้ที่เธอหนีจากศัตรูมาซ่อนตัวในบ้านเก่าๆกับพวกพ้อง เธอก็ไม่ได้ดูมีความรู้สึกอะไร เธอเคลื่อนไหวอย่างสง่างามและนิ่มนวลมาก
เฟรเดริก้ายับยั้งใจกับสิ่งที่เย้ายวนเธอเป็นครั้งที่สองเอาไว้ได้ เมื่อบอกเว็ดดิ้นว่าเธอมองเห็นสิ่งก่อสร้างสูงๆจากภายนอกหน้าต่าง เว็ดดิ้นก็ตอบกลับเรื่องพื้นที่ที่น่าจะมีอาคารแบบนั้นอยู่กลับมา และก็เร่งไปยังทิศทางนั้นด้วยรถของพวกเธอ
แต่ครั้งที่สามนั้น เฟรเดริก้ายังใจตัวเองเอาไว้ไม่ได้ เธอพยายามตรวจสอบตำแหน่งของสิ่งก่อสร้างจากป้ายสัญญาณจราจร และป้ายร้านขนมญี่ปุ่นที่มองเห็นได้จากนอกหน้าต่างของสิ่งก่อสร้างที่พวกเธอนั้นซ่อนตัวอยู่ และก่อนที่พวกเธอจะไปถึงนั้น เฟรเดริก้าก็ยื่นมือเข้าไปและริปเปิลก็ตอบโต้กลับมาทันที เฟรเดริก้าชักมือกลับทันก่อนที่จะโดนเสียบ หากข้อมือของเธอโดนเสียบจากการควบคุมในระยะห่างแบบนี้ล่ะก็จะไม่สามารถดึงแขนกลับออกมาได้ และมันจะทำให้เธอพิการอย่างโหดร้ายทารุณแน่ ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ข้อมือที่บาดเจ็บ แต่มันทำให้ข้อเท้าของเธอเป็นแผลฉกรรจ์ด้วย จริงๆแล้วเธอไม่ควรจะเอานิ้วไม่สัมผัสอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำเพราะมันจะทำให้เธอถูกจัดการเอาง่ายๆ
ฉันจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ตัดสินใจว่านี่คือสิ่งที่ควรความจริงออกไป
“ขออภัยค่ะ ฉันพยายามโจมตีแล้วแต่ก็พลาดจนได้”
“โฮะโฮ่ เหมือนว่าศัตรูคนนี้จะประมาทไม่ได้เลยนะ” พูคินพูด
“นั่น”
เว็ดดิ้นชี้ไปด้านหน้า มันมีรถขนาดเล็กพุ่งทะลุออกมาจากโรงจอดรถ หน้าต่างนั้นเป็นสีเทา เฟรเดริก้าจึงมองไม่เห็นภายในตัวรถ มันไม่ใช่ฟิล์มสีควันแต่เหมือนว่าในตัวรถนั้นถูกเติมเต็มด้วยอะไรบางอย่างมากกว่า รถคันนั้นเข้าโค้งดริฟท์อย่างเฉียบคมแล้วก็พุ่งตรงไปตามถนน
เฟรเดริก้ามองเข้าไปในคริสตัลบอล สิ่งที่เธอมองเห็นทั้งหมดถูกปิดกั้นไว้ด้วยสีเทา ดูเหมือนว่ามันจะเป็นม่านควันบางอย่าง ริปเปิลอาจจะสั่งให้ปิดกั้นการมองเห็นของเฟรเดริก้าไว้ก็ได้ แต่ภายในม่านควันแบบนี้พวกเธอเองก็มีปัญหาเช่นกัน เฟรเดริก้าคิดเช่นนั้นพร้อมกับหัวเราะคิกคัก คริสตัลบอลของเธอรับรู้เรื่องเสียงไม่ได้ก็จริง แต่พวกนั้นคงกำลังเสียงไอและสำลักกันอยู่ ริปเปิลเองก็คงฝืนมันไว้เหมือนกัน
“เอาล่ะ พวกเราจะไล่ล่ากันหน่อยไหมคะ?”
เมื่อพูคินได้ยินเฟรเดริก้าพูดเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา
“ไล่ล่าโดยใช้รถงั้นรึ ไม่เลว! ข้าอยากจะลองซักครั้งมานานแล้ว!”
เฟรเดริก้าไม่ได้คิดว่าพวกเธอจะต้องมาไล่ล่ารถคันนี้ แต่เธอก็คิดเช่นกันว่าปล่อยให้พูคินทำตามที่ต้องการจะดีกว่า แถมก่อนหน้านี้เฟรเดริก้าเพิ่งทำพลาดไปด้วย การเถียงกันในจุดนี้จะทำให้พูคินอารมณ์ไม่ดีซะเปล่าๆ
“เธอขับรถไล่ล่าได้ไหม?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เรื่องแบบนี้ท็อตเก่งจะตายรู้ไหม”
การไล่ล่าโดยใช้รถนั้นเหมือนจะดีก็จริง แต่เฟรเดริก้าก็คิดว่าอาจจะมีปัญหาตามมาได้ หากริปเปิลโจมตีขว้างอาวุธโจมตีล้อรถ แบบนั้นก็หลบได้ยาก
“หากมันจำเป็นล่ะก็พวกเราก็ต้องทิ้งรถคันนี้ค่ะ เพราะรถมันไม่ได้ทนทานอะไร แถมยังสามารถถูกทำลายจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้อีกด้วย”
“แบบนั้นก็ช่างมัน”
“อื้อ!”
“รับทราบ!”
ควันสีเทาออกมาจากช่องของหน้าต่างรถ ด้านในนั้นไม่มีควันอยู่แล้ว แต่มองจากกระจกด้านข้างก็ยังคงมองไม่เห็นด้านในอยู่ดี ริปเปิลกับคนอื่นคงพยายามปิดกั้นไม่ให้เฟรเดริก้ามองเห็นอยู่แน่
ทางฝั่งเฟรเดริก้าเองก็พยายามเช่นกัน เธอใช้นิ้วกลางขวาแตะที่หน้าผากและคิดว่ามันมีอย่างอื่นอีกไหมนะ? ทำตามความต้องการของพูคินมันก็ดีอยู่ แต่มันก็มีอีกหลายอย่างที่เฟรเดริก้าต้องเอามาคิดด้วย
เธอไม่ต้องกังวลเรื่องทักษะการขับรถของท็อตป๊อปเลย แม้จะขับเร็วมากไปหน่อยแต่เธอก็ขับได้ดี แล้วเรื่องประสิทธิภาพของรถล่ะ? แม้จะเป็นรถเก่า แต่ถ้าเทียบกับรถของอีกฝ่ายแล้วฟิวรี่คันนี้ก็เร็วกว่า กระนั้นในรถเองก็มีคนอยู่เยอะ
ท็อตป๊อปที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ เฟรเดริก้านั่งอยู่ด้านข้างคนขับ พูคินนั่งอยู่ตรงกลางเบาะหลัง เว็ดดิ้นที่เอนตัวพิงเธออยู่
แล้วก็โซเนียที่นั่งและจับตัวฮานะ คนที่ถูกพันธนาการทั้งหูและตาเอาไว้อย่างสมบูรณ์ หากฮานะรู้ตำแหน่งของเป้าหมายของเธอ แบบนั้นเธอก็จะใช้เวทมนตร์ใส่ได้ พวกเธอจึงต้องปิดตาเธอด้วยผ้าปิดตาเวทมนตร์เพื่อไม่ให้แสงลอดผ่านเข้าไปได้ กับการใช้ที่ปิดหูเวทมนตร์เพื่อให้เธอไม่ได้ยินเสียงใดๆ การทำทั้งสองอย่างนั้นทำให้พวกเธอลากฮานะไปไหนมาไหนได้ และเฟรเดริก้าก็อธิบายให้โซเนียฟังอย่างชัดเจนว่า หากฮานะทำอะไรแปลกๆล่ะก็ให้ฆ่าทิ้งทันที เธอมั่นใจว่าฮานะเองก็ได้ยินเรื่องที่เธอพูด เวทมนตร์ของฮานะนั้นสามารถทำให้อีกฝ่ายหมดสภาพได้แต่ก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต เพราะแบบนั้นเฟรเดริก้าจึงบอกฮานะไปว่า ถ้าแก้ไขสถานการณ์ของตัวเองไม่ได้แล้วใช้เวทมนตร์กับโซเนียล่ะก็ ตัวเธอจะได้ตายอย่างไร้ค่าแน่
ฮานะนั้นเป็นตัวประกันที่มีค่ามากพอที่จะใช้สู้กับหน่วยสืบสวน พวกเธอนั้นมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นราวกับเป็นครอบครัว ซึ่งมันหมายความว่าต้องห่วงใยพวกเดียวกัน
ฟันนี่ทริคนั้นนอนอยู่ที่พื้นรถตรงเบาะหลัง เธอถูกมัดมือไขว้หลังแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ทำให้เห็นถึงการปฎิบัติที่แตกต่างระหว่างมือใหม่กับมืออาชีพอย่างชัดเจน
การที่มีเมจิคัลเกิร์ลเจ็ดคนอยู่ในรถหนึ่งคันแบบนี้ แม้ว่าจะเป็นรถคันใหญ่ แต่ถ้ามีผู้โดยสารมากแบบนี้มันก็คับแคบ กลิ่นหอมอ่อนๆของลมหายใจแต่ละคนนั้นลอยฟุ้งอยู่ในอากาศภายในรถ เฟรเดริก้าหายใจเข้าลึกๆผ่านทางจมูก เติมเต็มปอดของเธอด้วยกลิ่นอันหอมหวานพร้อมกับความสุข แล้วก็หายใจออกมาอย่างช้าๆ
ระยะห่างระหว่างรถนั้นลดลงเรื่อยๆ ถ้าพวกเธอไม่ได้ตัดสินใจว่าจะประหยัดเชื้อเพลิงไว้ล่ะก็คงไล่ตามทันไปแล้ว อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เข้าไปในตรอกซอกซอย แต่เลือกจะเข้าไปที่ถนนใหญ่แทน
เดี๋ยวสิ จงใจเลือกถนนใหญ่งั้นเหรอ?
ถ้าจะหนีล่ะก็ มันก็น่าจะมีทางที่ดีกว่านี้นี่? ในตอนที่เฟรเดริก้าคิดแบบนั้นอยู่ รถขนาดเล็กก็เร่งความเร็วไปตรงกลางทางหลวงสี่เลนด้วยความเร็วเกินหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วก็ชนกับบางอย่างในทันที
ร่างกายของเธอขยับก่อนที่จะได้คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น พูคิน โซเนีย และเฟรเดริก้า ทั้งสามคนเตะประตูและทำลายหน้าต่างกระโดดออกมาพร้อมกันทันที ส่วนท็อตป๊อปขยับตัวช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องจับพวงมาลัยอยู่ตรงที่นั่งคนขับจนถึงนาทีสุดท้าย
รถฟิวรี่ของพวกเธอนั้นหักหลบรถขนาดเล็กแล้วพุ่งเข้าไปในไหล่ถนน ชนเข้ากับเสาโทรศัพท์จนหักลงมาครึ่งหนึ่งแล้วก็ชนเข้ากับตู้ขายของอัติโนมัติ ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงเสาประตูขนาดใหญ่ รถของอเมริกันนี่สร้างมาได้ทนทานจริงๆ ชนไปขนาดนี้ยังรักษารูปร่างเดิมได้อยู่เลย
นอกจากท็อตป๊อปแล้ว ทุกคนที่ออกมาจากด้านข้างตัวรถนั้นปลอดภัยดี เพราะท็อตป๊อปหมุนตัวรถก่อนที่จะกระโจนออกมา ตัวของเธอจึงถูกโยนตรงไปหารถขนาดเล็ก เธอเอากีตาร์ของเธอมาแนบไว้ระหว่างตัวเธอกับรถ จากนั้นก็กระแทกเข้ากับบางสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างรุนแรงแล้วก็สะท้อนกลับ นั่นคือตอนที่เฟรเดริก้าจำได้ว่ามันคือบาเรีย
เฟรเดริก้าเอาคริสตัลบอลใส่เข้าไปในกระโปรงแล้วก็เข้าไปหาท็อตป๊อป เธอจับท็อตป๊อปจากด้านข้างแล้วยกตัวขึ้น ดูไม่เหมือนว่าเธอจะบาดเจ็บอะไร
“เป็นอะไรไหม?”
“ก็โอเค…ล่ะมั้ง”
ตัวของท็อตป๊อปนั้นอนเอนไปมา แต่เธอสามารถยืนได้เองโดยไม่ต้องมีคนช่วยได้ เธอปัดฝุ่นที่เปื้อนกีตาร์อยู่ออกไป ถอนหายใจออกมาแล้วบ่นว่า “แย่ชะมัดเลย”
โซเนียโยนฮานะลงไปที่ถนนแล้วเข้าไปหาซากรถขนาดเล็ก เธอวางมือลงบนตัวรถ กัดกร่อนมันจนกระทั่งกลายเป็นสีดำแล้วดึงออกมา สิ่งที่ออกมานั้นคือควัน และด้านในรถที่ว่างเปล่า
“…รีโมทคอนโทรลงั้นเหรอ?” เฟรเดริก้าพึมพำ
“อาจารย์ พวกมันหลอกเรามาที่นี่ใช่ไหม?”
พูคินเดินมาทางนี้ ข้างตัวเธอก็คือเว็ดดิ้น เหมือนว่าตอนที่ออกมาจากรถ พูคินจับคอเสื้อของเด็กสาวเพื่อหนีออกมาด้วยกัน
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
เฟรเดริก้ามองท่าทางของพูคินก็บอกได้ว่าเธอนั้นอารมณ์ไม่ดี สาเหตุที่สถานการณ์มันเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเลือกของเธอที่เลือกไล่ล่ารถเพื่อเอาใจพูคิน แต่ถ้าเฟรเดริก้าเลือกที่จะพูดแบบนั้น อารมณ์ของพูคินที่แย่อยู่แล้วก็จะแย่ลงไปอีก ดังนั้นเฟรเดริก้าจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงขอโทษมากเท่าที่ทำได้
“ขออภัยค่ะ เหมือนว่าพวกเราจะถูกหลอกเข้าแล้ว”
บาเรียนี้ป้องกันไม่ให้อะไรก็ตามที่มีเวทมนตร์ผ่านไปไม่ได้ รถที่จู่ๆดูเหมือนชนกับความว่างเปล่าจริงๆแล้วมันชนเข้ากับบาเรีย แสดงว่ารถคันนี้เองก็เป็นวัตถุเวทมนตร์เช่นกัน พวกศัตรูนั้นใช้รีโมทคอนโทรลควบคุมรถให้วิ่งเข้าหาบาเรียและหนีไปในตอนที่เฟรเดริก้ากับพวกกำลังไล่ตามรถ แถมยังทำให้เวทมนตร์ของเฟรเดริก้ามองไม่เห็นด้วยการใช้ระเบิดควันสองลูก หนึ่งลูกในห้องแล้วก็หนึ่งลูกในรถ ฉลาดจริงๆ เฟรเดริก้าคิดแบบนั้นแล้วรู้สึกประทับใจ
“แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ?” แน่นอนว่าอารมณ์ของพูคินนั้นคงไม่ดีอยู่แล้ว
“ไม่มีปัญหาค่ะ ตราบใดที่พวกเรายังมีเส้นผมของโนโซมิ ฮิเมโนะ พวกเราก็จะรู้ที่อยู่ของพวกนั้นได้”
ลูกเล่นแบบนี้เป็นเพียงแค่การซื้อเวลาเท่านั้น พวกของเธอทุกคนเป็นเมจิคัลเกิร์ล ในขณะที่อีกฝ่ายมีมานาที่ไม่ใช่เมจิคัลเกิร์ลอยู่ด้วย หากพวกเธอออกไล่ล่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามแค่ไหน ฝ่ายของเฟรเดริก้านั้นก็จะชนะทั้งความอดทนและความเร็ว
ในตอนที่เฟรเดริก้าดึงคริสตัลบอลออกมาอีกครั้ง เธอก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เธอเอานิ้วสอดเข้าไปในกระโปรงเพื่อหาคริสตัลบอลที่ควรจะอยู่ตรงเข็มขัด ตอนนั้นเองความรู้สึกแปลกๆของเธอก็เพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ออกมาจากในกระโปรงมันไม่ใช่คริสตัลบอลแต่กลับเป็นก้อนหินขนาดเท่ากำปั้น
เฟรเดริก้าเดินเข้าไปหารถฟิวรี่ที่กำลังควันขโมง ประตูทั้งสี่บานนั้นถูกเปิดออก แน่นอนว่าทุกคนน้้นหนีออกมาแล้ว เฟรเดริก้ามองเข้าไปดูในตัวรถ
อะไรเนี่ย…?
มีเชือกวางอยู่ด้านใน มันไม่ได้ถูกตัดหรือขาดออกจากกัน ปมเชือกเองก็ยังอยู่เหมือนเดิม
แต่ฟันนี่ทริค คนที่ควรจะถูกมัดอยู่ที่นี่กลับหายไปแล้ว
คริสตัลบอลที่ควรจะอยู่ในกระโปรงของเธอก็หายไปด้วย บางทีฟันนี่ทริคอาจใช้เวทมนตร์ของเธอเพื่อสับเปลี่ยนสิ่งของสองอย่างสินะ
“มีอะไร!? เฟรเดริก้า!” พูคินเริ่มตะโกนออกมา
☆ โพสตาร์รี่ (เหลือเวลาอีก 11 ชั่วโมง 38 นาที)
ทัตสึโกะ ซากากินั้นเป็นคนขี้ขลาดจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เธอกลัวที่จะคุยกับคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัวของเธอเอง และมันยิ่งกว่านั้นเมื่อเธอคิดว่าทำยังไงจะไม่ให้คนอื่นเกลียดเธอ ในตอนนั้นเธอจะพูดติดๆขัดๆ ลิ้นเองก็พันกัน เสียงของเธอก็เบามากจนยากจะได้ยิน จากนั้นเธอก็จะเริ่มพูดติดอ่างด้วย ไม่ว่าใครที่คุยกับเธอก็จะตอบสนองด้วยความผิดหวัง โกรธ หรือเยาะเย้ยเธอก่อนที่จะทิ้งเธอไป
เธอเป็นแบบนั้นมาตลอดก่อนที่จะจำความได้ เมื่อเด็กคนอื่นรวมตัวกันเพื่อเล่นไล่จับ เธอเอาแต่มองดูและไม่พยายามที่จะเข้าไปหา เมื่อเด็กคนอื่นเข้ามาจับมือเธอเพื่อจะชวนให้ไปเล่นด้วยกัน ทุกคนก็จะเห็นความไม่สบายใจของเธอ ความขี้อายและในที่สุดก็ค่อยๆหยุดชวนเธอไป
ทางโรงเรียนอนุบาลนั้นติดต่อมาหาพ่อแม่ของทัตสึโกะทุกวันด้วยความกังวล แต่ทัตสึโกะเองก็ไม่ได้รังเกียจโรงเรียนอนุบาล เธอนั้นสามารถพูดคุยกับพ่อแม่ได้ตามปกติและเหมือนว่าสนุกตอนที่คุยเรื่องประจำวันของเธอ ดังนั้นพ่อแม่จึงสรุปว่าเธอนั้นไม่ได้เกลียดโรงเรียนแบบนั้นคงไม่เป็นอะไร พ่อแม่ของทัตสึโกะตัดสินจากประสบการณ์ของตัวเองว่าแม้ในตอนนี้เธอจะอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหาเพื่อนไม่ได้เลยตลอดกาล
พ่อแม่ของทัตสึโกะน่ะไม่ได้รู้เรื่องเลย มันมีคนในสังคมที่หาเพื่อนไม่ได้เหมือนกันนะ
ในตอนที่อยู่อนุบาล ตัวของทัตสึโกะนั้นยังคงถูกสังเกตเห็นได้ แต่ในตอนโรงเรียนประถมที่มันเป็นสังคมแบบเล็กๆ ทัตสึโกะนั้นเหมือนกับคนที่ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
ทัตสึโกะนั้นจะพูดติดอ่างเมื่อมีคนมาคุยกับเธอ และในไม่นานเธอก็กลายเป็นตัวตลกของเพื่อนร่วมชั้น พวกนั้นหัวเราะเยาะเธอ ติดป้ายบางอย่างบนหลังเธอ และปายางลบใส่เธอในชั้นเรียน กลั่นแกล้งเธอทุกๆวัน
ยิ่งเลื่อนชั้นการกลั่นแกล้งก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งถูกเตะตอนที่สะพายกระเป๋าจากด้านหลัง เอาเครื่องเขียนและกระเป๋าของเธอไปซ่อน มันกลายเป็นการกลั่นแกล้งที่อาจารย์เองก็ไม่รู้ ไม่มีใครช่วยทัตสึโกะ คนที่ทุกคนเห็นว่าต่ำยิ่งกว่ามนุษย์เลย
เธอย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชน และใช้เวลาช่วงเดือนเมษายนที่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของภาคเรียนใหม่ด้วยตัวเอง เธอไม่เคยพูดกับใคร ทุกสิ่งที่เธอทำคืออ่านหนังสือไม่ก็มังงะ ความสัมพันธ์ต่างๆในชั้นเรียนก็ถูกสร้างขึ้นแล้ว และอย่างที่คิด มันก็ลงเอยด้วยการที่อยู่ตัวคนเดียว
เธอได้ยินว่าการกลั่นแกล้งของในโรงเรียนมัธยมนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่าในโรงเรียนประถม ดังนั้นเพื่อการป้องกันตัวเองเธอจึงเริ่มรวบรวมข้อมูล หลังจากที่ค้นหาแล้วค้นหาอีก ปรับปรุงผลลัพธ์ที่ตัวเองหาเรื่อยๆ ติดตามโซเชียลมีเดียของเพื่อนร่วมชั้น ตรวจสอบมันวันละสองครั้งทั้งเช้าและเย็น และยังตรวจสอบเพื่อนร่วมชั้นที่เขียนบล็อคหรือเว็บไซท์วันละครั้ง มองหาว่าจะมีแนวโน้มที่ “มาแกล้งทัตสึโกะกันเถอะ” อยู่รึเปล่า ไม่มีใครเลยที่บอกทัตสึโกะว่าเธอกำลังพยายามในเรื่องผิดๆอยู่
ทัตสึโกะนั้นไม่เคยอยู่ในหัวข้อการสนทนาของใครเลย ทุกๆวันเธอรู้สึกผิดหวังแต่ก็โล่งใจด้วย บางทีอาจจะเป็นเพราะโรงเรียนเอกชน นักเรียนกับอาจารย์จึงมีระดับที่สูงขึ้น ทุกคนดูเงียบๆ และไม่เห็นมีใครคุยกันว่าอยากจะแกล้งคนอื่นเลย แม้จะเป็นคนที่อยู่ชั้นปีเดียวกันกับเธอก็ตาม แต่กระนั้นเธอก็ยังคงตรวจดูในอินเตอร์เน็ตจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของเธอไป เธอยังคงทำแบบนั้นอยู่เรื่อยๆจนถึงเดือนมิถุนายน
ในเดือนนั้น ทัตสึโกะก็มีเพื่อนเป็นคนแรกในชีวิต
“นี่ เธอเคยอ่านมังงะเรื่องนี้มาก่อนใช่ไหม?”
เธอคิดว่าเสียงนั้นไม่ได้พูดกับเธอ ในห้องเรียนนั้นแทบจะไม่เคยเงียบแม้จะเป็นตอนพัก ลางวัน แต่ปกติแล้วมันก็ไม่มีใครคุยกับทัตสึโกะเลย
แม้จะยังไม่รู้ว่าใครพูดกับเธออยู่แต่เสียงมันก็อยู่ใกล้มาก ดังนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น เพราะนักเรียนที่อยู่ใกล้ๆนั้นคุยกันอยู่เธอจึงอ่านหนังสือได้ยาก โดยเฉพาะเป็นเด็กสาวด้วยแล้วมันจึงอ่านหนังสือยากขึ้นไปอีก
ตาของทัตสึโกะเบนออกจากหน้ากระดาษแล้วหันไปทางต้นเสียง เธอมองเห็นใบหน้าที่อยู่ใกล้มากกำลังมองมาที่เธอ ทัตสึโกะตกใจจนแทบจะตกจากเก้าอี้
“เราเองก็ชอบนะ”
ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้รู้ตัวรึเปล่าว่าทัตสึโกะนั้นตกใจมากจนต้องเกาะโต๊ะเอาไว้ แต่เธอก็ยิ้มออกมาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทัตสึโกะตื่นตระหนก จากนั้นมันก็ยิ่งทำให้เธอทำอะไรแปลกๆออกมา ตอนที่เธอตกใจอยู่นั้น เสียงระฆังที่บอกว่าช่วงเวลาพักจบแล้วก็ดังขึ้น แล้วเด็กสาวก็กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
ในตอนที่กำลังเรียนชั่วโมงคณิตศาสตร์นั้น ทัตสึโกะก็คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันนะ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่สนใจเพื่อนร่วมชั้น แต่มันเหมือนกับเป็นการระมัดระวังมากกว่าที่จะสนใจ แต่เธอก็ระมัดระวังในระดับที่ตรวจสอบข่าวลือในชั้น แล้วก็การซุบซิบในอินเตอร์เน็ตได้
คาโอริ นิโนะสึกิ เป็นชื่อที่แปลก เธอนั้นเป็นนักเรียนธรรมดาๆที่ไม่ได้โดดเด่นด้านกีฬา เพลง หรือคหกรรม หน้าตาของเธอก็ไม่ได้น่ารักเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วเธออยู่ในระดับค่าเฉลี่ย เธอไม่ได้มีอะไรผิดปกติแต่ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เป็นเหมือนคนที่ถูกเรียกว่า ‘เพื่อนร่วมชั้น D’ อะไรแบบนั้น
แน่นอนว่าเธอมีเพื่อนซึ่งไม่เหมือนกับทัตสึโกะ ดูเหมือนว่าเธอจะสนุกสนานตอนช่วงพักกลางวัน และเด็กสาวคนอื่นๆก็ชวนเธอไปห้องน้ำด้วยเสมอ ในชั่วโมงพละเธอเองก็ไม่เคยขาดเรียนตอนที่ต้องเลือกทีมกัน และไม่เคยจับคู่กับอาจารย์ในตอนยืดกล้ามเนื้อด้วย
…เพื่อน
บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งใน ‘โอกาสที่จะกลายเป็นเพื่อนกัน’ ก็ได้ ทุกคนที่ไม่ใช่ทัตสึโกะจะใช้โอกาสแบบนี้ในการ ‘มีเพื่อน’ แน่ๆ หากทัตสึโกะตอบสนองอะไรได้ดีกว่านี้ บางทีเธออาจจะมีเพื่อนก็ได้
…แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก ถึงจะมี มันคงน่ารำคาญแน่ๆเลย
ทัตสึโกะสรุปว่าเธอพอใจกับชีวิตของเธอที่เป็นแบบนี้ แล้วก็หันมาให้ความสนใจกับวิชาคณิตศาสตร์ต่อไป
แต่มันก็ไม่ได้จบลงเท่านั้น
หลังจากวันนั้น คาโอริก็เริ่มเข้ามาคุยกับทัตสึโกะ จากมุมมองของทัตสึโกะแล้ว สิ่งนี้มันเกินกว่าที่เธอจะรับมือได้ แทนที่จะเป็นการพูดคุย มันดูเหมือนว่าคาโอริกำลังกลั่นแกล้งเธอมากกว่า การกระทำนั้นเหมือนกับมีเด็กเกเรเข้ามาชนไหล่ของเธอ แต่เด็กเกเรนั้นบอกว่ามันเป็นความผิดเธอซะเอง
เธอพยายามบังคับให้ทัตสึโกะเข้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนของเธอ ‘ไม่เอานะ!’ ทัตสึโกะคิด ‘ปล่อยฉันอยู่คนเดียวเถอะ!’ ‘ฉันอยู่คนเดียวได้’ แต่ความคิดเหล่านี้ แน่นอนว่าเธอพูดมันออกมาดังๆไม่ได้
ทัตสึโกะคิดว่าพวกเธอคงต้องคุยกันเรื่องลิปสติกแท่งใหม่ ไม่ก็นางแบบเสื้อผ้าอะไรแบบนั้นแน่ๆ แต่มันกลับเป็นตรงกันข้ามกับที่เธอคิด คาโอริกับเพื่อนๆที่ร่าเริงของเธอนั้นคุยเรื่องอนิเมและมังงะกันอย่างสนุกสนาน
ก่อนหน้านี้ทัตสึโกะคิดว่าเพื่อนร่วมชั้นนั้นเป็นผู้คนแสนงดงามที่มาจากต่างโลก แต่เมื่อเธอลองพูดคุยดูแล้ว จริงๆพวกเธอก็เป็นแค่คนที่สวมถุงเท้าน่ารักๆที่มีลวดลายเล็กน้อย หรือแต่งคิ้วด้วยที่แหนบ ไม่ก็ทาลิปบาล์มผลไม้เพื่อให้ริมฝีปากเปล่งประกาย พยายามจะแต่งตัวตามแฟชั่นโดยที่ไม่ข้ามเส้นให้อาจารย์ที่น่ากลัวโกรธเอา
แม้ทัตสึโกะจะดูงุ่มง่าม แต่เธอนั้นก็ค่อยร่วมวงสนทนา และก่อนที่เธอจะรู้ตัว เธอก็พูดทักทายคนอื่นและถูกเรียกด้วยชื่อเล่นไปแล้ว
เธอไม่เคยคิดว่าในช่วงชีวิตของเธอจะทำแบบนี้ได้ แต่เมื่อเธอทำได้ครั้งหนึ่งแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องง่าย และเธอนั้นก็ขอบคุณคาโอริคนที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ขอบคุณมาจากก้นบึ้งหัวใจ
แม้แต่ในตอนนี้ ตอนที่พวกเธอตามมาโอแพมไป คาโอริยังก็คงอยู่เคียงข้างทัตสึโกะ บางทีการพูดว่าทัตสึโกะอยู่ด้วยกันกับคาโอริคงจะถูกกว่า คาโอรินั้นอยากเป็นเมจิคัลเกิร์ลเรนโปวต่อไป ส่วนทัตสึโกะนั้นไม่ได้อยากเป็นโพสตาร์รี่ การกลับไปสู่ชีวิตที่ปลอดภัยของเธอมันสำคัญกว่าการเป็นเมจิคัลเกิร์ล พวกเธอสองคนมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ก็ยังคงอยู่ด้วยกันเพราะว่าทัตสึโกะทิ้งคาโอริไปไม่ได้
เธออยากคุยเรื่องนี้กับเรนโปวจริงๆ แต่ทุกครั้งที่เธอพยายามพูด เธอก็ถูกมาโอแพมตบเข้าที่หน้า
ดูจากที่โทโกะซ่อนตัวไม่ออกมาแล้ว โพสตาร์รี่เข้าใจว่าเธอคงเป็นศัตรูของมาโอแพม แต่ถึงจะรู้เรื่องนี้ เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามาโอแพมนั้นเป็นแม่มดผู้ชั่วร้ายตามที่โทโกะบอกตรงไหนเลย มาโอแพมนั้นเป็นคนที่ปฎิบัติกับคนอื่นอย่างไม่เป็นมิตร วิธีการที่เธอปฎิบัติคนอื่นด้วยการตบจากนั้นก็ดุด่าตามมาอย่างน่ากลัว แถมบางครั้งสิ่งที่เธอพูดตามหลังออกมาก็โหดร้ายยิ่งกว่าการทำร้ายร่างกายซะอีก
ถึงจะเป็นแบบนั้น โพสตาร์รี่ก็คิดว่าบางทีมันก็ไม่เหมือนกับสิ่งที่ชั่วร้าย มันเหมือนกับการที่ไม่ชอบครูพละที่เร่าร้อนและจริงจริง แต่จริงๆก็ไม่ใช่คนเลวอะไรมากกว่า
มาโอแพมเองก็ดูไม่เหมือนว่าจะเป็นคนเลวเหมือนกัน เธอพูดราวกับว่าตัวเองนั้นถูกต้อง โพสตาร์รี่เองก็สงสัยในสิ่งที่เธอพูดเช่นกัน อย่างการต่อสู้ระหว่างเมจิคัลเกิร์ลที่รู้แล้วจะมีประโยชน์ต่อตัวเธอไม่ก็เรนโปว แต่เธอก็ยังคงรู้สึกว่ามาโอแพมนั้นพูดออกมาโดยคิดถึงพวกเธออยู่ในใจไม่มากก็น้อย
นอกจากนี้ โพสตาร์รี่ยังรู้สึกว่ามาโอแพมกำลังดูแลพวกเธออยู่ด้วยวิธีที่เธอไม่ค่อยเข้าใจ ก่อนหน้านี้มาโอแพมนั้นเดินเร็วมากทำให้โพสตาร์รี่ต้องพยายามมากเพื่อตามเธอให้ทัน แต่ในตอนนี้เธอนั้นลดความเร็วในการเดินลงแล้ว ในตอนแรกเสื้อโค้ทที่มาโอแพมทำขึ้นมันน่ากลัวจนเธอไม่กล้าใช้ แต่เมื่อโพสตาร์รี่สอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อ เธอก็รู้สึกว่าเมื่อสวมเสื้อโค้ทแล้วมันก็พอดีตัว รู้สึกอบอุ่น แถมยังทำให้รู้สึกปลอดภัยอีกด้วย
เมื่อมองจากทางด้านหลัง โพสตาร์รี่ก็ไม่รู้ว่ามาโอแพมนั้นคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นวิธีการเดินของเธอ โพสตาร์รี่ก็คิดว่ามันดูกล้าหาญ มีแต่คนที่มั่นใจในตัวเองและมีความรู้สึกผิดชอบที่ชัดเจนเท่านั้นที่จะเดินแบบนี้ได้ มาโอแพมเหมือนเป็นคนขั้วตรงข้ามกับโพสตาร์รี่ไม่มีผิด
โพสตาร์รี่มองไปยังเรนโปวที่อยู่ข้างๆเธอ และเห็นว่าเธอนั้นดูเบื่อ
ในใจของโพสตาร์รี่คิดว่าหากบอกมาโอแพมไปหมดทุกอย่างรวมถึงเรื่องโทโกะด้วยมันคงจะดีกว่า แต่เรนโปวไม่ให้อยากให้มันเป็นแบบนั้น สุดท้ายแล้วการพูดคุยของพวกเธอก็ไปไม่ถึงไหน แต่ทั้งสองคนยังคงเดินเคียงข้างกันอยู่โดยที่ไม่ได้ข้อสรุปอะไรออกมา
นี่ฉันจะทำยังไงดี? นี่ฉันควรทำอะไรนะ? โพสตาร์รี่กังวล และในตอนนั้นเองเท้าของมาโอแพมก็หยุด
“นี่มัน…”
มาโอแพมพึมพำออกมาในตอนที่จ้องมองออกไปไกลๆ
“…อุบัติเหตุทางรถยนต์?”
นี่มาโอแพมทำอะไรอยู่กันน่ะ? โพสตาร์รี่รู้สึกสับสนเพราะคำพูดที่เข้าใจยาก แต่ถ้าถามออกไปเธอแน่ใจว่าต้องโดนมาโอแพมตบอีกแน่ๆ ในเวลาเดียวกันนั้น ท่าทางของมาโอแพมก็เปลี่ยนเป็นความตกใจ
“มีเมจิคัลเกิร์ลอยู่ที่นี่!”
ทันใดนั้นเสื้อโค้ทของเธอก็เปลี่ยนไปทันที มันกลายเป็นสี่เหลี่ยมสีดำลอยขึ้นไปบนฟ้า เธอเอาแว่นกันแดดแล้วหมวกปานามาออก มันเผยให้เห็นเขาแหลมๆที่อยู่บนหัว
“หนึ่ง สอง สาม สี่… แล้วก็เกโคคุโจ… ไอ้พวกเวร”
โพสตาร์รี่ตกใจ ไม่ใช่เพราะว่าเขาที่อยู่บนหัว แต่เป็นชุดของมาโอแพมใต้เสื้อโค้ท มันเปิดเผยเนื้อหนังมาก ถ้าจะพูดว่าเปลือยครึ่งตัวก็ไม่ได้เกินจริงเลย มันเป็นเพียงแค่แถบผ้าเท่านั้น
“หนึ่งคนมีกีตาร์อยู่ที่หลัง นักดาบ เด็กสาวสวมชุดมีรอยเย็บ เมจิคัลเกิร์ลสไตล์นักทำนาย แล้วก็อีกคนหนึ่งที่สวมชุดเหมือนชุดแต่งงาน… คุ้นเคยกับคนไหนบ้างไหม?”
“เราคิดว่าคนที่สวมชุดแต่งงานอาจจะเป็นเพื่อนที่ชื่อเว็ดดิ้น” เรนโปวหันมานาโพสตาร์รี่เพื่อยืนยันสิ่งที่พูด “ใช่ไหม?” จากนั้นโพสตาร์รี่ก็พยักหน้า พวกของเธอมีโจรสลัด นักมายากล นักเต้นอาหรับ นักเต้นบัลเลต์ แล้วก็เด็กสาวในชุดแต่งงาน นินจากับหูกระต่ายเป็นศัตรู แต่เมจิคัลเกิร์ลที่มาโอแพมพูดมานั้นพวกเธอไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน
มาโอแพมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“มีคนที่พวกเธอไม่รู้จักด้วยงั้นเหรอ…น่าสนใจจริงๆ”
MANGA DISCUSSION