อาคาเนะและครอบครัวเมจิคัลเกิร์ลอันแสนสุข
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อนเมจิคัลเกิร์ลไรซิ่งโปรเจค restart จะเริ่มขึ้น
เป็นเวลานาน
วันที่ครอบครัวพร้อมหน้ากันนี่มันเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
แม้ว่ามันจะยุ่งเหยิง แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกันแต่อย่างใด ตอนเวลาอาหารเย็น บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยหม้อร้อนๆ แต่ในตอนนี้มันเย็นชืดหมดแล้ว บางคนเอามือเท้าแก้มเพราะรู้สึกเบื่อ บางคนดูเหมือนกอดอกอย่างไม่พอใจ ในขณะที่ตัวเธอและคนอื่นนั้นพูดคุยซึ่งกันและกันเพราะเจอปัญหาที่ไขไม่ออก
เป็นเพราะพวกเธอไม่ได้ประนีประนอมกัน พวกเธอจึงหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้ พวกเธอเข้าใจเรื่องนั้น แต่สุดท้ายแล้ว พวกเธอ ก็ยัง ประนีประนอมกันไม่ได้อยู่ดี
ลูกสาวคนโตของครอบครัวฟูวะ, อาโออิ อายุ 31 ปี ทำงานเป็นเสมียนอยู่ในสำนักงานกฎหมายที่เมืองข้างเคียง มีความสามารถในการทำงานที่ยอดเยี่ยม จนมีข่าวลือว่าถ้าไม่มี อาโออิ ฟูวะอยู่สำนักงานเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
ลูกสาวคนที่ 2 ของครอบครัวฟูวะ, อาซากิ อายุ 25 ปี เป็นผู้ช่วยแม่บ้าน เธอทำสิ่งต่างๆมากกว่าใคร ทำสิ่งยากๆด้วยความสุขเป็นงานอดิเรกของเธอ แต่ไม่นานมานี้ เธอเริ่มอ่านกฎหมายของญี่ปุ่นด้วย
ลูกสาวคนที่ 3 ของครอบครัวฟูวะ, อาคาเนะ อายุ 17 ปี เรียนหนังสืออยู่ในมัธยมปลายแถวละแวกบ้าน เธอเป็นหัวหน้าชมรมเค็นโด้ที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศ เพราะเธอนั้นไม่อยากทำให้โรงเรียนจัดอยู่ในระดับห่วยๆ ตัวเธอจึงยืนอยู่ในอันดับหนึ่งของตำแหน่ง “คนที่ไม่อยากทำให้โมโห” เป็นเวลาสองปีด้วยกัน
ลูกสาวคนที่ 4 ของครอบครัวฟูวะ, ไอ อายุ 13 ปี เรียนหนังสืออยู่ในมัธยมต้นแถวละแวกบ้าน เธอมีใบหน้าที่และท่าทางที่น่ารัก เป็นที่รู้จักกันในชื่อมาสค็อตแสนน่ารักของเพื่อนบ้าน
หัวหน้าครอบครัวของตระกูลฟูวะ, อายาโกะ อายุ 52 ปี เธอได้รับช่วงต่อบริษัทก่อสร้างจากสามีผู้ล่วงลับของเธอ พวกกรรมการบริษัทนั้นกลัวความเฉลียวฉลาดของเธอมาก และเมื่ออายาโกะเข้าทำการประมูลด้วยนั้น บรรยากาศจะเปลี่ยนไปทุกครั้ง
อาคาเนะหันไปมองรอบๆ มองดูที่ด้านหน้าของโต๊ะ อาโออิ, อาซากิ, ไอ และอายาโกะ นั้นมองไปคนละทิศละทาง ไม่มีใครสบตาเธอเลย ไม่มีเลย
อาคาเนะยืนขึ้น และทุบลงไปที่โต๊ะอย่างแรง
“มองมาข้างหน้า! ฟังเรื่องที่ชั้นจะพูดด้วย!”
หากพวกเธอจิตใจอ่อนแอ พวกเธอก็จะหันมาฟังอาคาเนะทันที แต่ทั้งสี่คนไม่มีใครฟังเธอเลย อาซากิน้ันพึมพำออกมาว่า “ฉันฟังอยู่” อย่างเบาๆ
“มีอะไรอาซากิ? ถ้ามีอะไรจะพูด ก็พูดออกมาดังๆ!”
“เธอคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันถูกใช่ไหม อาคาเนะ? แม้จะเป็นอย่างนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราต้องเชื่อฟังเธอหรอกนะ”
อาคาเนะมองอาซากิ คนที่ยังสวมชุดวอร์มมัธยมปลายที่ดูสกปรกของตัวเองอยู่
“จะเชื่อฟังรึเปล่ามันไม่สำคัญ ที่สำคัญน่ะคือห้ามทำสิ่งที่มันไม่ถูกต้องต่างหาก!”
ในตอนที่เธอมองไปรอบๆ ไม่มีใครเลยที่หันกลับมามองเธอ แม้กระทั่งไอ คนที่อยู่ชั้นมัธยมต้น ยังเอาเท้ามาพาดไว้บนโต๊ะ ทำท่าทางไม่เคารพมากขนาดนั้น อาคาเนะจึงเอามือของเธอทุบลงไปที่โต๊ะอีกครั้ง
“อย่าใช้พลังของเมจิคัลเกิร์ลเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง!”
ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นเมื่อ 5 เดือนก่อน ในช่วงเวลาใกล้สิ้นปี…ย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่อาคาเนะได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล
______________________________________________________________________
อาคาเนะ ฟูวะ นั้นคนทั่วไปรู้จักกันดีกว่าเป็นคนที่จริงจัง แม้กระทั่งสมาชิกในชมรมเค็นโด้ของเธอยังคิดแบบนั้นเช่นกัน และมันเองก็มีประโยชน์สำหรับเธอ เธอจึงไม่แก้ให้มันถูกต้องเหมือนกัน
ในความจริงแล้ว เธอไม่รู้ว่าความจริงจังนั้นมันเริ่มมาจากตรงไหน บางทีอาจจะเป็นเพราะชีวิตของเธอจะไม่เป็นไปตามที่ต้องการหากเธอไม่ทำตัวแบบนี้ก็ได้ เธอจึงแสร้งทำเป็นจริงจังอยู่ทุกๆวัน
คนอื่นในครอบครัวฟูวะนอกจากอาคาเนะแล้วล้วนค่อนข้างขี้เกียจ อาซากินั้นเห็นได้ชัดว่าขี้เกียจมาก ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากงานอดิเรกของตัวเองเลย แต่อาโออิและอายาโกะแม่ของเธอนั้น จะทำตัวดูดีเมื่อออกไปนอกบ้าน และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็จะถอดหน้ากากของตัวเองทิ้ง แล้วก็กลายเป็นคนที่ ‘ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ’ แม้กระทั่งไอ คนที่อาคาเนะรู้สึกว่ามีแนวโน้มแบบนั้นด้วย หากอาคาเนะเผลอ ไอก็จะอ่านมังงะตอนที่กินข้าวเย็นอยู่ด้วย
มันเป็นแบบนี้มาตลอด แม้กระทั่งตอนที่พ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน เมื่อเขาจากไปแล้ว มันต้องมีบางคนที่รับหน้าที่จริงจังในบ้านหลังนี้ และอาคาเนะก็รับบทบาทนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เธอไม่ได้อยากทำ เธอทำมันเพราะเธอต้องทำ ไม่มีใครคนอื่นในครอบครัวที่คิดอยากจะทำเลย
ก็ ไม่มีอะไรที่ชั้นทำไม่ได้หรอก อาคาเนะเฝ้าบอกกับตัวเองแบบนี้ แม้มันจะเป็นงานที่ลำบากที่ต้องเข้มงวดกับคนในครอบครัว แต่มันก็คุ้มค่าพอที่จะทำ เธอนั้นเหนื่อยจากกิจกรรมชมรม และต้องมารับภาระทางบ้านอีก แต่ต้องขอบคุณเงินจากแม่และอาโออิที่หามา จึงทำให้เธอมุ่งเน้นไปกับกิจกรรมชมรมได้
เมื่อปลายปีที่แล้ว อาคาเนะนั้นได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล
นักดนตรีแห่งพงไพร แครนเบอร์รี่ เข้ามาสังเกตการณ์การแข่งระดับประเทศเพื่อค้นหาผู้มีความสามารถ และเห็นได้ชัดว่าทักษะการใช้ดาบของอาคาเนะ กับพลังเวทที่ซ่อนอยู่ในตัวนั้นไปเข้าตาเธอ
จริงๆแล้ว เธอไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง ในทีแรกเธอไม่เข้าใจแนวคิดของเมจิคัลเกิร์ลด้วยซ้ำ
“แล้วนี่ชั้นกลายเป็นอะไรที่เหมือนกับจอมเวทงั้นเหรอ?”
“มันแตกต่างกันนิดหน่อยน่ะ”
ความสามารถทางกายภาพของเธอก้าวผ่านขีดจำกัดของมนุษย์ เธอมีพลังเวทที่ไม่สนกฏของฟิสิกส์ ทั้งหมดนั้นมันทำลายสามัญสำนึกของอาคาเนะ เธอรู้ว่าตัวเองมีสิ่งที่เรียกว่าท่าไม้ตายอะไรแบบนั้นด้วย แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนั้นถึงเรียกเธอว่า เมจิคัลเกิร์ล อยู่ดี
เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลเพราะเธอเป็นเด็กสาวที่ใช้เวทมนตร์ได้อย่างนั้นเหรอ? ทำไมถึงเป็นเด็กสาวล่ะ? จำเป็นต้องเป็นเด็กสาวด้วยรึเปล่า?
“ในตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนั้นมากหรอก ซักวันเธอก็จะรู้ด้วยตัวเอง”
แครนเบอร์รี่ยิ้ม เหมือนว่าจะหัวเราะกับความจริงจังของอาคาเนะ
“แค่คิดว่าตัวเองเหมือนกับฮีโร่ที่ช่วยเหลือผู้คนจากในเงามืดสิ” แครนเบอร์รี่พูด
“ใช่ ใช่ เป็นฮีโร่ที่ทรงพลังและเจ๋งสุดๆล่ะ ปอน!”
ฟาฟพูดแบบนั้น ราวกับว่าพยายามทำให้เธอตื่นเต้น แต่คำพูดนั้นก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป
อาคาเนะนึกถึงการแข่งขันส่วนบุคคลรอบสุดท้ายในระดับประเทศ หากเธอมีพลังพอที่จะยืนหยัดอยู่ได้ หากการโจมตีของเธอแหลมคมกว่านี้ หากเท้าของเธอเคลื่อนไหวเร็วกว่านี้
อาคาเนะอาจจะได้ชัยชนะมาอยู่ในมือก็ได้
เมื่อแครนเบอร์รี่ชวนเธอมาเป็นเมจิคัลเกิร์ล อาคาเนะจึงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
แต่เมื่อกลายมาเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว เธอก็ไม่ได้คิดจะใช้พลังของตัวเองในการแข่งขัน เธอเข้าใจว่าพลังนั้นมันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ปกติ หากอาคาเนะที่เป็นมนุษย์ธรรมดาสู้กับเมจิคัลเกิร์ลอาคาเนะ ไม่ว่าจะสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง หรือหนึ่งล้านต่อหนึ่ง ก็เอาชนะไม่ได้อยู่ดี
การใช้พลังไปสู้กับมนุษย์ธรรมดานั้นมันก็เป็นอะไรที่ขี้ขลาดสิ้นดี
สุดท้ายแล้ว อาคาเนะก็ทำตามคำแนะนำที่แครนเบอร์รี่บอก คือการตรวจตราภายในเมือง ระวังไม่ให้อยู่ในสายตาของคนอื่น มันเป็นแก้ปัญหาอะไรเล็กๆน้อยๆเหมือนกับที่ตัวอาคาเนะนั้นทำที่บ้าน เธอจึงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่มันก็สนุกดี
เธอนั้นกังวลว่าตัวเองต้องสวมชุดที่ดูน่าอายเหมือนกับแครนเบอร์รี่ แต่ความกังวลของเธอนั้นก็หายไปเมื่อพบว่าชุดของตัวเองนั้นเป็นซามูไร แม้มันจะดูโดดเด่นไปบ้าง แต่ก็ถือว่ายอมรับได้ ยิ่งกว่านั้นตัวของเธอดูสวยมาก
เมื่ออาคาเนะนั้นทำหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ล เธอเองก็ขัดเกลาเวทมนตร์และทักษะการต่อสู้ด้วยดาบเช่นกัน เวทมนตร์ของอาคาเนะคือ สามารถตัดทุกสิ่งที่ตาเห็นได้ มันเป็นเวทมนตร์ที่อันตราย แต่เธอก็สามารถใช้มันอย่างสันติได้ ตัวอย่างเช่น หยุดยั้งศัตรูที่เล็งปืนมาที่เธอโดยไม่สนระยะทาง
การใช้เวทมนตร์ของเธอนั้นจำเป็นต้องใช้ดาบ หากเธอเพิ่มความเร็วในการเหวี่ยง เวทมนตร์ของเธอก็จะรุนแรงขึ้นด้วยเช่นกัน
อาคาเนะมีเหตุผลของตัวเองที่อยากให้เวทมนตร์นั้นแข็งแกร่งขึ้น
แครนเบอร์รี่บอกเธอว่า เมื่อจำนวนของเมจิคัลเกิร์ลเพิ่มขึ้นถึงจุดจุดหนึ่ง การทดสอบก็จะเริ่มต้นขึ้น คนที่ผ่านมันได้เท่านั้นจึงจะได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างเป็นทางการ
อาคาเนะไม่อยากสูญเสียพลังที่เพิ่งได้รับมาของเธอไป แต่เธอเองก็ชอบชนะการแข่งขันด้วย เห็นได้ชัดจากเค็นโด้ ไม่ว่าจะอยู่ในชั่วโมงพลศึกษาหรือการแข่งขันระดับประเทศ เธอก็ผลักดันเพื่อนร่วมชั้นให้เล็งที่ชัยชนะอยู่เสมอ เธอรู้ว่ามันอาจจะดูน่ารำคาญ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เข้าแข่งขัน เธอก็กลายเป็นคนเลือดร้อนทันที
ไม่ต้องพูดถึงเลย นี่จะเป็นการแข่งขันกันระหว่างเมจิคัลเกิร์ลผู้มีพลังอยู่เหนือสามัญสำนึก แค่จินตนาการถึงมันก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวแล้ว การทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเจอกับคู่แข่งที่ไม่เคยเห็นมันเป็นมารยาทที่ต้องกระทำ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งอย่างเดียวมันไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างเป็นทางการได้ เธอจำเป็นต้องแข็งแกร่ง และ เป็นเมจิคัลเกิร์ลที่ใช้การได้ นั่นคือสิ่งที่เธอคิด ที่โรงเรียน ที่ชมรม หรือที่บ้าน เธอก็ยังทำหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลและฝึกฝนพลังของตัวเองควบคู่กันไป
แม้ว่าการฝึกฝนของเธอนั้นจะคือการทำเดียวกันกับที่ทำในชมรม การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ, ความรวดเร็วในการคิด, ความอดทน, ประสาทสัมผัสทั้ง 5 และดาบจริงนั้น น้ำหนักมันต่างกับดาบไม้หรือดาบไม้ไผ่ แต่เธอก็คุ้นเคยกับมันทุกอย่าง
แต่ในวันหนึ่ง วันคืนแห่งความสำเร็จของเธอก็สิ้นสุดลงในทันใด
คืนนั้นอาคาเนะทำหน้าที่ของเมจิคัลเกิร์ลเสร็จแล้ว เธอไม่ใช่แค่เคลื่อนไหวในความมืดอย่างไม่ให้ใครรู้ตัว แต่นั่นก็คือการทำให้คนในครอบครัวไม่รู้ว่าเธอแอบออกจากบ้านด้วย เธอออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ และกลับมาอย่างลับๆเมื่องานของเธอเสร็จสิ้นแล้ว ด้วยพลังของเมจิคัลเกิร์ลเธอจึงสามารถเข้าออกห้องของเธอที่อยู่บนชั้นสองได้อย่างสบายๆ
ในวันนั้น ตอนที่อาคาเนะกลับเข้าบ้านจากทางหน้าต่างตามปกติ เมื่อเธอคลายการแปลงร่าง เธอก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เวลาของตอนนั้นคือตี 3 ดังนั้นครอบครัวของเธอจึงควรจะหลับอยู่
เธอตั้งใจฟังเสียงนั้น มันเป็นเสียงของคนคุยกัน เป็นเสียงของหญิงสาว…เสียงของเด็กสาว ไม่ใช่เสียงที่มาจากทีวีหรือวิทยุ มันเป็นเสียงที่เธอไม่คุ้นเคย ไม่ใช่เสียงของคนในครอบครัวด้วย
คำว่าขโมยผุดขึ้นมาในหัวของอาคาเนะทันที
เสียงมันมาจากห้องครัว เหมือนว่าจะซุบซิบกันอยู่ แต่มันหลอกสัมผัสการได้ยินของเมจิคัลเกิร์ลไม่ได้หรอก การขยับเท้าที่ฝึกฝนมาจากการเล่นเค็นโด้ ทำให้เธอเดินลงบันไดทีละขั้นทีละขั้นอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อใกล้ถึงห้องครัว เสียงนั้นก็ดังขึ้น
มีบางคนกำลังคุยกับคนอื่นอยู่…สองคน? สามคน? สี่คน?
“ต่อไปก็ งานเทศกาลดอกไม้…”
“ไม่ต้องพูดออกมาหรอก…”
“แครนเบอร์รี่…”
…แครนเบอร์รี่?
“โอเค…แล้วอาคาเนะล่ะ…?”
มีแสงสีส้มลอดออกมาจากห้องครัว เพียงแค่ 3 ก้าวก่อนจะถึงประตู เธอก็เปิดประตูภายในทีเดียว ทั้งสี่คนจ้องหน้ากันและกันอยู่บนโต๊ะ ทุกคนดูตกใจเมื่อมองมาที่เธอ อาคาเนะจำใบหน้าพวกเธอไม่ได้เลย แต่เธอก็เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
อาคาเนะนั้นไม่ได้ซ่อนความรู้สึกหงุดหงิดของตัวเอง เธอจ้องไปที่ทั้งสี่คนนั้น
“ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
______________________________________________________________________
“แม่ไม่ได้พยายามจะซ่อนอะไรเลยนะ”
“ใช่ ใช่ พวกเราไม่ได้พยายามจะซ่อนนะ แค่ไม่โอกาสจะพูดเท่านั้นเอง”
“พวกเราไม่เคยวางแผนที่จะปิดบังเรื่องนี้กับเธอเลยนะ อาคานะ”
“อาซากิ อย่าพูดแบบนั้น”
“โอเค ทุกคนเงียบหน่อย!”
อาคาเนะมองไปที่ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่อย่างเงียบกริบ ทั้งหมดนั้นสวมชุดที่ดูสละสลวย ใบหน้าเองก็งดงาม มีสัดส่วนที่ได้รูป ทุกคนคือเมจิคัลเกิร์ล และทุกคนพูดราวกับว่าเป็นคนในครอบครัวของเธอ เธอรู้สึกว่าภายในหัวตัวเองกำลังจะหมุนติ้ว บางทีอาจจะหมุนไปแล้วก็ได้ อาคาเนะคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้วรึเปล่านะ? รึจะเป็นครอบครัวของเธอกันแน่? หรือว่าเป็นทั้งสองอย่างเลย?
“ก่อนอื่นช่วยคลายการแปลงร่างก่อนได้ไหม? ทุกคนเป็นแบบนี้ ชั้นไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”
ทุกคนรวมถึงอาคาเนะคลายการแปลงร่าง ในตอนนี้ ที่สุดแล้วโต๊ะกินข้าวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“หือ? แม่!? คนที่กระโปรงสั้นที่สุดนั่นแม่งั้นเหรอ!?”
“อะไรล่ะ? ไม่เห็นเป็นอะไรซักหน่อย! เห็นไหมแม่ดูเด็กจะตาย!”
“อายุขนาดนั้น แต่แต่งตัวแบบนี้เนี่ย…”
“ฉันอายุแค่ 20 ใส่แบบนี้คงไม่เป็นไรสินะ?” อาซากิอุทาน
“ไม่ อาซากิก็ใส่ไม่ได้เหมือนกัน แต่ฉันอยู่มัธยมต้นดังนั้นจึงใส่ได้ไงล่ะ!” ไอตอบ
“ก็นะ ฉันอายุ 30 ในทางเทคนิคแล้วยังเป็นเด็กสาวอยู่เลย” อาโออิพูดความเห็นออกมา
“50 ปีก็ยังเด็กเหมือนกันนะ!” แม่ของเธอเสริม
ภายในหัวของพวกเธอคงไม่หมุนติ้วมากเท่าที่อาคาเนะคิดสินะ
ไม่ใช่แค่อาคาเนะเท่านั้นที่กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล แต่ครอบครัวฟูวะทั้ง อาโออิ, อาซากิ, ไอ แม้กระทั่งแม่ของเธออายาโกะ ทุกคนกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ล เมื่ออาคาเนะแปลงร่าง เธอนั้นเกือบจะดูเหมือนเป็นคนละคน แต่เมื่อทั้งครอบครัวของเธอนั้นกลายเป็นเด็กสาวที่งดงาม …แล้วก็พูดว่า “ฉันยังดูเด็กไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็เถอะ” โลกนี้มันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
เห็นได้ชัดเจนว่า พวกเธอนั้นถูกแครนเบอรืรี่จับตามองไม่นานหลังจากที่อาคาเนะกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลแล้ว แถมพวกเธอยังพูดว่าอาคาเนะนั้นเข้าตาของแครนเบอร์รี่ในฐานะผู้เข้าร่วมที่ดูมีแวว และกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลตามคำสั่งของเธอ แครนเบอร์รี่นั้นยังมาตรวจสอบครอบครัวของอาคาเนะอีกด้วย และพบว่าทั้งหมดนั้นมีศักยภาพที่จะเป็นเมจิคัลเกิร์ล
“คุณนักดนตรีเองก็เหมือนว่าจะตกใจเหมือนกันนะ เธอบอกว่าปกติแล้วศักยภาพของเวทมนตร์นั้นจะได้รับสืบทอดกันมา แต่มันหายากที่จะมีกันทั้งครอบครัวแบบนี้!”
“สืบทอด? งั้นก็หมายความว่าแม่มีมาตั้งแต่แรกแล้วน่ะสิ!”
“คุณยายเองก็คงมีเหมือนกัน บางทีคุณทวดอาจจะมีด้วยก็ได้!”
ทั้งสี่คนบอกอาคาเนะเรื่องงานที่ทำในฐานะเมจิคัลเกิร์ลต่อไป
“แต่แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลยใช่ไหมล่ะ? ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวด้วย” อาโออิพูด
“อาคาเนะจะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวงั้นเหรอ!? ไม่แฟร์เลยอ่ะ!?” ไอบ่นออกมา
“อาคาเนะเป็นแบบนี้ตลอดแหละ” อาโออิพูด
ในตอนนี้อาคาเนะอยากเอามือกุมหัวตัวเองจริงๆ เพราะอาการปวดหัวของจริงมาเยือนแล้ว
แม่ของเธอ อายาโกะนั้นบอกว่า มีชายหนุ่มเข้ามาจีบเธอที่ตอนเดินอยู่บนถนนตอนกลางคืน
“ใจเย็น แม่ไม่ได้ข้ามเส้นอะไรหรอกนะ”
อาโออิลูกสาวคนโต ร้องเพลงและเต้นรำด้วยกันกับนักดนตรีข้างถนน
“ความฝันตอนที่ฉันเป็นเด็กคือการเป็นไอดอลล่ะ รู้ไหม?”
อาซากิลูกสาวคนที่ 2 นั้นเรียนอยู่ที่บ้านตลอดทั้งวัน
“ไม่ต้องนอนอีกต่อไปแล้ว นี่สุดยอดเลย”
ไอ ลูกสาวคนสุดท้อง ขึ้นไปบนภูเขา แล้วปล่อยลำแสงความรุนแรงสูง และทำลายหินไปจำนวนมาก
“บีมนี่สุดยอดเลย! ฉันได้ยินคนพูดกันว่าคนที่ยิงลำแสงออกจากร่างกายได้น่ะ ไม่ใช่คนเลวหรอก! อาคาเนะอ่ะก็จำไว้ด้วย โอเคนะ? แหม บีมนี่มันสุดยอดจริงๆ!”
หัวของอาคาเนะรู้สึกปวด แม่ของเธอกับอาโออินั้นใช้พลังของตัวเองไม่ถูกวิธี อาซากินั้นไม่ได้เอาไปสร้างปัญหากับคนอื่น แต่เธอใช้มันเพื่อตัวเอง ส่วนไอนั้นใช้พลังในภูเขาเพื่อปลดปล่อยความเครียด ทุกคนนี่ไม่ไหวเลย
“ทำไมทุกคนเอาไปทำแบบนั้น? แครนเบอร์รี่ไม่ได้บอกรึไง? ว่าเมจิคัลเกิร์ลน่ะต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อคนอื่น!”
“แต่มันมีเพียงคนเดียวในหมู่พวกเราที่จะได้กลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลจริงๆ ใช่ไหมล่ะ?” ไอพูด
“แถมเมื่อมีคนผ่านการทดสอบแล้ว คนที่เหลือก็ถูกลบความทรงจำด้วย ใช่ไหมล่ะ?” อาซากิพูดเสริม
“เพราะแบบนั้นแหละ ทำไมถึงไม่หาความสนุกก่อนที่พวกเราจะถูกลบความทรงจำกันล่ะ?” แม่ของเธอพูดต่อ
“นั่นสิน้า~” อาโออิเห็นด้วย
เมื่อทุกคนคิดแบบนี้ มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ต่อให้อาคาเนะตะโกนออกไปก็ไม่มีใครรับฟัง ทุกคนอยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ วันที่ครอบครัวพร้อมหน้ากันอย่างฉุกเฉินจึงจบลงอย่างไร้คำตอบ
______________________________________________________________________
อาคาเนะเข้าใจเรื่องความสมดุลของพลังภายในครอบครัว เมื่อเธออยากให้ใครซักคนฟังเธอ เธอก็แค่ไปหาคนในครอบครัวอีกคนนึ่ง ซึ่งมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และโน้มน้าวคนๆนั้นหรือพูดคุยเจรจากันให้มาช่วยเธอ แต่ในตอนนี้มันกลายเป็น 4 ต่อ 1 ไม่ว่าเธอจะพยายามโน้มน้าวมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครตอบสนองเรื่องเมจิคัลเกิร์ลที่เธอพูดว่าควรเป็นอย่างไรอยู่ดี
นี่เธอคิดว่าควรจะขู่โดยการบอกว่าจะบอยคอตการทำงานบ้านดีรึเปล่านะ? เธอมีความรู้สึกว่า ถ้าเป็นเรื่องเมจิคัลเกิร์ลกับงานบ้านพวกเธอนั้นคงเลือกเมจิคัลเกิร์ลแน่ๆ และจากการที่ครอบครัวของเธออยากทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ อาคาเนะก็คิดว่าหากอยากทำงานบ้านมันก็คงจะดี ตอนนี้เธอคงเป็นคนเดียวที่ต้องทนทุกข์และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หากเธอรายงานกลับไปยังแครนเบอร์รี่จะเป็นยังไงนะ? แต่การทำแบบนั้นก็เหมือนกับว่าร้ายคนในครอบครัว แถมยังทำให้เธอรู้สึกผิด แถมอาคาเนะก็ไม่อยากทิ้งพวกเธอไว้ลำพังด้วย
อย่างน้อยถ้าเธอผ่านการทดสอบและกลายเป็นเมจิคัลเกิร์ลอย่างเป็นทางการ อาคาเนะก็จะสามารถหยุดพวกเธอจากการใช้พลังของเมจิคัลเกิร์ลเพื่อความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวได้ แต่อาคาเนะก็ไม่รู้ว่าการทดสอบนั้นจะเริ่มขึ้นตอนไหน อาคาเนะจะยืนอยู่เฉยๆและไม่ทำอะไรเลยก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้นไม่ได้
พวกเธอแสร้งทำตัวเป็นเมจิคัลเกิร์ล… แต่อาคาเนะเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของเมจิคัลเกิร์ลมากมายอะไร แบบนี้เธอเองก็เป็นเหมือนกันรึเปล่านะ? นี่เธอวางตัวเองอยู่เหนือกว่าทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่รู้งั้นเหรอ?
เธอเป็นห่วงครอบครัวจนเวลาผ่านไปห้าวันแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอจริงจัง อาจจะแค่ลังเลอยู่ก็ได้ เพราะเธอไม่ได้ข้อสรุปอะไร เพียงแค่หวังว่าการทดสอบจะเริ่มขึ้นเร็ว-
“กัปตัน!”
เมื่อได้ยินเสียงดังตะโกนขึ้นมา เธอก็หันกลับไปมองในตามสัญชาติญาณในทันที มีสมาชิกชมรมปีหนึ่งกำลังมองมาที่อาคาเนะ
“เป็นอะไรรึเปล่า? ดูเหม่อจังเลย”
“ไม่…ไม่มีอะไร”
ในโรงฝึกนั้นเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงของดาบไม้ไผ่กระทบกัน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แต่ก็ยังมีคนมาเยอะ มันเป็นเพราะความเป็นผู้นำของอาคาเนะ? หรือแค่กลัวเธอเท่านั้นกันนะ?
สมาชิกในชมรมของเธอนั้นตั้งใจฝึกฝน เพราะแบบนั้นเธอจึงรู้สึกละอายที่เอาแต่คิดเรื่องปัญหาของตัวเอง เธอรีบหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเช็ดใบหน้าของตัวเองเพื่อปิดบังแก้มที่กลายเป็นสีแดง
“ว่าแล้วเชียว กำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่สินะเนี่ย กังวลเรื่องงานเทศกาลดอกไม้เหรอ? ก็นะ มันเป็นวันที่อากาศดีแถมมีแดดออกนี่นา”
“โอ๊ะ งานเทศกาลดอกไม้? วันนี้งั้นเหรอ?”
“เหมือนว่าชมรมกรีฑาจะไปที่นั่นกันน่ะ โชคดีจริงๆที่ไม่มีใครในชมรมเค็นโด้เป็นแบบนั้น”
อาคาเนะพยักหน้าให้กับเด็กปีหนึ่งที่พูดด้วยความภูมิใจ และเอาผ้าขนหนูพาดไว้บนไหล่
ทุกๆปีเมื่อมาถึงฤดูกาล งานเทศกาลดอกไม้จะถูกจัดขึ้นใกล้ๆกับวัด ตามประเพณีโบราณที่กล่าวไว้ว่า มีแม่ชีรูปหนึ่งที่ลงมาจากภูเขาที่แสนอันตรายเพื่อมามอบเครื่องรางแห่งความกตัญญู และมันก็กลายเป็นเทศกาลที่ผู้หญิงจะเดินทางจากภูเขาเพื่อมาวางเครื่องรางที่ห้องโถงใหญ่แห่งนี้
คนที่จะเข้าร่วมงานนั้นจ่ายค่าเข้าร่วมแล้วก็จะได้รับเครื่องรางบางอย่างมา ซึ่งต้องเอาไปวางไว้ที่ห้องโถงใหญ่ แต่เพราะมีข่าวลือว่า คนแรกที่เอาเครื่องรางไปวางได้ความปรารถนาของคนๆนั้นก็จะสมหวัง มันจึงกลายเป็นการแข่งขันของเด็กผู้หญิงล้วนๆ มีผู้มาเข้าร่วมงานจากทั่วทุกสารทิศ และตำรวจท้องที่เองก็มารักษาความปลอดภัยภายในงานให้ด้วย
จริงสิ ตอนนี้เมื่อเธอลองมาคิดดูแล้ว วันนี้ไม่ได้เสียงของพวกชมรมกรีฑาจากในสนามเลย ดูจากคนอื่นแล้ว เหมือนว่าพวกชมรมกรีฑาจะไปรวมตัวกันที่ไหนซักที่
แล้วก็ เธอได้ยินคำว่า ‘งานเทศกาลดอกไม้’ จากที่ไหนมาก่อนด้วย จริงสิ…
“อ๊ะ!”
เธอยืนขึ้นในทันที
ใช่แล้ว ย้อนกลับไปที่ห้องครัวตอนนั้น ครอบครัวของเธอพูดถึงเรื่องนี้ พูดถึงเรื่องอะไรบางอย่างของงานเทศกาลดอกไม้
อาคาเนะจะไม่ใช้พลังเมจิคัลเกิร์ลของตัวเองกับคนธรรมดาก็จริง แต่ถ้าเป็นสี่คนนั้นล่ะ?
“ถ้าพวกเราเป็นเมจิคัลเกิร์ล ก็คงเข้าเป็นที่หนึ่งในงานเทศกาลดอกไม้ได้ง่ายๆ ใช่ไหมล่ะ?” เธอคิดว่าอาโออิเป็นคนพูด
“อ๊ะ จริงด้วย!” อาซากิเองก็เห็นด้วย
“ไอเองก็จะทำด้วยคน!”
แล้วแม่ของเธอก็พูดว่า “แม่เองก็คิดว่า ถ้าชนะในงานเทศกาลดอกไม้ซักครั้งก็คงจะดีนะ”
อาคาเนะรู้สึกว่าพวกเธออาจจะเข้าร่วมงานเทศกาลดอกไม้ก็ได้
คำพูดต่างๆของคนที่เข้าร่วมงานเทศกาลดอกไม้ ผุดขึ้นมาในหัวของอาคาเนะ
“ฉันอยากเข้าเป็นที่หนึ่งเพราะอยากรักษาแม่ที่ป่วย”
“ฝึกมาทั้งปีเพื่อวันนี้แหละ ต้องเข้าที่หนึ่งให้ได้!”
“ฉันนี่มาจากโตเกียวเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกเลย แต่ฉันก็จะพยายามเพื่อให้ชนะให้ได้!”
แต่มันมีเมจิคัลเกิร์ลที่พร้อมจะเหยียบย่ำความคิดของคนเหล่านี้อยู่ ใครน่ะเหรอ? ก็ครอบครัวของอาคาเนะยังไงเล่า!
พวกเธอต้องหยุดการกระทำแบบนั้น และมีเพียงอาคาเนะเท่านั้นที่จะหยุดได้ นาฬิกาที่โรงฝึกนั้นบอกว่าอีก 5 นาทีจะ 11 โมง และงานเทศกาลดอกไม้นั้นก็เริ่มเวลา 11 โมง แม้เธอจะวิ่งไปจากที่นี่ก็คงไม่ทันการ
แต่ว่า!
“ขอออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์หน่อย ช่วยดูให้ที โอเคนะ?”
อาคาเนะทิ้งสมาชิกชมรมไว้ข้างหลังแล้ววิ่งออกไป ชุดและฮาคามะที่เธอใส่อยู่นี้มันทำให้ตัวเธอช้าลง ไม่นานหลังจากที่ออกมาจากโรงฝึก เธอก็แปลงร่างเป็นเมจิคัลเกิร์ล วิ่งขึ้นบันไดรวดเร็วเหมือนกับสายลม ฟันประตูที่ล็อคอยู่ในทีเดียว เธอต้องไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ที่มีสิ่งก่อสร้างสูงๆอยู่จนเธอมองไม่เห็นภูเขา
ในตอนนี้คือช่วงกลางวัน ดังนั้นมีโอกาสสูงที่จะถูกคนพบเห็น แครนเบอร์รี่บอกเธอว่าตัวตนของเมจิคัลเกิร์ลนั้นควรจะเป็นความลับ แม้ตอนนี้เธอไม่มีเวลามากังวลเรื่องนั้น เธอไม่อยากโดนพบเห็น จึงเร่งความเร็วขึ้นในระดับที่มนุษย์รับรู้ตัวเธอไม่ได้
อาคาเนะยกชายกระโปรงของฮาคามะขึ้นตอนที่เธอวิ่ง แล้วเธอก็กระโดด
คนอื่นนั้นเห็นว่าอาคาเนะเป็นคนจริงจัง แต่ในความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น ที่ชมรมนั้น เธอจ้องมองสมาชิกคนอื่นอย่างจริงจัง และเธอก็ทำแบบเดียวกันกับครอบครัวด้วย เพราะไม่มีใครทำอะไรจริงจังเลย ดังนั้นเธอจึงต้องเป็นคนที่ทำมัน
จริงๆแล้วเธอเป็นพวกเลือดร้อน ชอบการแข่งขัน หากเธอเกิดและเติบโตในที่ที่ต่างออกไป บางทีเธออาจเป็นนักพนันก็ได้
ใช่แล้ว เธอไม่ใช่คนที่จริงจังอะไรเลย แต่มันมีสิ่งนึงที่เธอยอมไม่ได้ นั่นคือความรับผิดชอบ อาคาเนะมีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องส่วนนี้ในชีวิตของตัวเอง เพราะเธอรักเค็นโด้ เธอจึงรับผิดชอบชมรมเค็นโด้ เธอนั้น…ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบเมจิคัลเกิร์ลรึเปล่า แต่อย่างไรเธอรักครอบครัวของเธอเอง แม้บางครั้งจะทะเลาะกันก็ตาม แต่อาคาเนะไม่ได้เกลียดพวกเธอ เธอรักครอบครัว ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบครอบครัวของเธอ
เธอวิ่งขึ้นไปบนกำแพงของสิ่งก่อสร้างเพื่อขึ้นไปที่ดาดฟ้า มันเป็นระยะ 4 กิโลเมตรจากโรงเรียน และเป็นระยะ 3 กิโลเมตรจากสิ่งก่อสร้างไปถึงภูเขา ด้วยสายตาของเมจิคัลเกิร์ลแล้ว เธอสามารถระบุตัวคนในระยะขนาดนี้ได้
ที่นั่นมีผู้คนอยู่มากมาย เหมือนว่าจะมีกล้องจากสถานีโทรทัศน์อยู่ด้วยเช่นกัน
เธอคาดเดาสิ่งที่พวกเธอจะทำ พวกเธอต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครเจอตัวก่อนการแข่งขันจะเริ่ม หากพวกเธอเริ่มต้นด้วยการเป็นที่โหล่และเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง ด้วยเพลังของเมจิคัลเกิร์ลมันจึงเป็นไปได้
ตำแหน่งของกล้องนั้นเองก็สำคัญเช่นกัน พวกเธอเองก็ต้องไปในทิศทางที่กล้องจับภาพไม่ได้
…เจอตัวแล้ว!
พวกเธออยู่ในเงาของต้นสนห่างจากผู้คน แม้จะมีกิ่งก้านของต้นสนบดบัง แต่อาคาเนะก็ยังจำชายกระโปรงที่ดูโดดเด่นที่เธอเห็นเมื่อวันก่อนได้ พวกเธอนั้นดูเหมือนคนแต่งชุดประหลาดๆที่มารวมกลุ่มกัน ราวกับเป็นพวกที่คอสเพลย์มาวิ่งเป็นประจำทุกปี พี่สาวของเธอก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
ด้านขวาคือแม่ของเธอ พี่สาวอีกคน และน้องสาวของเธอ อาคาเนะจับตามองตำแหน่งของพวกเธอแค่ไม่นาน
มือขวาของอาคาเนะดึงคาตานะขึ้นมาจากฝักออกมาช้าๆ มือซ้ายของเธอก็จับ วาคิซาชิ ออกมาเช่นกัน เธอไม่เคยใช้ดาบสองมือในการฝึกซ้อมมาก่อน หากมีใครในชมรมพยายามจะทำ เธอก็จะหยุดคนๆนั้นเช่นกัน
แต่อย่างไร เธอก็คือเมจิคัลเกิร์ล
ผมด้านหน้าของเธอนั้นไหลลงมา และเธอก็เป่ามันขึ้นไปให้พ้นจากหน้า ตามด้วยกวัดแกว่งวาคาซาชิในมือซ้ายเพื่อตัดกิ่งก้านของต้นสนที่บังอยู่ออกไป ก่อนที่จะมีใครรู้ตัวว่ากิ่งก้านของต้นสนนั้นร่วงลงมา เธอกวัดแกว่งคาตานะที่อยู่ในมือขวาตามไปทันที
พลังของเมจิคัลเกิร์ลนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อทำร้ายผู้คน แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้จะทำร้ายครอบครัวตัวเองด้วย เป้าหมายของอาคาเนะคือเครื่องรางที่ทั้งสี่คนถืออยู่ หากไม่มีมัน พวกเธอก็จะเอาชนะไม่ได้แม้จะวิ่งเข้าที่หนึ่งก็ตาม ทางขวา, ทางซ้าย แล้วก็ทางขวา เธอหั่นเฉพาะเครื่องรางเท่านั้น ชั้นจะไปกราบไหว้และบริจาคเงินที่วัดทีหลัง ดังนั้นอย่าลงโทษชั้นด้วยทัณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์เพราะเรื่องนี้เลย
เพียงพริบตาเดียว ผมด้านหน้าของเธอก็ไหลลงมาอีกครั้ง ในระยะ 3 กิโลเมตรที่ห่างออกไป มีเครื่องราง 4 ชิ้นถูกเธอฟันขาดจนร่วงลงสู่พื้น บางส่วนก็ร่วงลงมายังพื้นที่ที่มีหิมะกองอยู่ อาคาเนะนั้นไม่ได้ยินว่าพวกเธอพูดอะไรกัน แต่ก็เห็นว่าพวกเธอส่งเสียงร้องออกมา แม่ของเธอมองทางนี้และชี้นิ้วมาที่เธอ ใบหน้าของพวกเธอทุกคนนั้นบ่งบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “โดนจับได้แล้ว!”
อาคาเนะยกคาตานะของตัวเองขึ้น และมองไปที่หน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนใบดาบ ภายใต้ท้องฟ้าโปร่งสีครามอันงดงามเช่นนี้ ใบหน้าของเธอนั้นบ่งบอกว่า “ทำได้แล้ว!” นี่เธอมีอารมณ์แบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ? ตั้งแต่ฮัลโลวีนปีที่แล้วรึเปล่า? บางทีอาจจะเป็นตอนเอพริลฟูล แต่ที่แน่ๆเธอไม่ได้รู้สึกดีแบบนี้มานานแล้ว
เธอเก็บคาตานะและวาคิซาชิเข้าฝักที่เอว ด้วยการเลียนแบบนักแสดงที่ดูในละครแนวประวัติศาสตร์ อาคาเนะกำลังคิดว่าเมื่อกลับบ้านไปแล้วเธอควรจะทำอะไรดี กลับไปแล้วจะสั่งสอนพวกนั้นยังไงดีนะ?
MANGA DISCUSSION