[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ - ตอนที่ 3
“คือว่านะ ทำไมนายไม่สั่งอะไรเลยล่ะ”
คำพูดนั้นได้ทำให้ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตื่นจากภวังค์
นี่เป็นร้านแฮมเบอร์เกอร์ที่มีรูปตัว M อยู่ข้างบน ผมนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างในสุด
“…เอ๊ะ”
“ไม่ต้องมาอ๊งมาเอ๊ะเลย ถ้านายไม่ไปมันจะรบกวนทางร้านเขาไม่ใช่รึไง”
คนที่พูดออกมาตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าของผมพร้อมด้วยถาดที่มีน้ำปั่น พายแอปเปิล และแพนเค้ก …ไม่ใช่ว่าของหวานเยอะเกินไปหน่อยเหรอ
“เอ้า! เร็วๆ เข้าสิ”
เธอโบกมือเร่งไล่ผม ผมรีบลุกขึ้นอย่างรีบร้อน
ผมเดินไปยังแคชเชียร์ที่ไม่ค่อยมีคนพร้อมด้วยความรู้สึกที่คลุมเครือ
ทำไมเป็นงี้ไปได้ล่ะ…
ทั้งที่ผมพยายามสร้างอีเวนต์สารภาพรักขึ้นมาอย่างหนักแท้ๆ แต่คนที่ปรากฏออกมาในสถานที่นั้นกลับไม่ใช่เป้าหมายของ “แฟนสาว” คุณคิโยซาโตะ เมย์ แต่เป็นผู้หญิงที่ผมเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก
เพราะเจอปัญหาที่คาดไม่ถึงเข้าไปผมก็เลยลนลานไปหมด ถึงจะพยายามกลบเกลื่อนไปแล้วก็เถอะ
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของผมมันก็อินุงตุงนังไปหมด แถมในตอนท้าย “ก่อนอื่นช่วยพูดภาษาญี่ปุ่นให้มันชัดๆ หน่อยได้ไหม” ช่างน่าหงุดหงิดอะไรขนาดนี้
นอกจากนี้เวลาที่อยู่บนดาดฟ้าได้ก็ใกล้จะหมดลงแล้วด้วย ผมก็เลยหมดความอดทนและพูดออกไปว่า “จะให้มาพูดตรงนี้ก็กระไรอยู่ ทำไมเราไม่ไปนั่งคุยและจิบชาด้วยกันพลางๆ ล่ะ” ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงพูดออกไปแบบนั้น
และนั่นก็เป็นผลให้ผมต้องมาลงเอยด้วยการติดที่ร้านและนั่งจิบชากับผู้หญิงคนนี้
นอกจากนี้ ก่อนที่จะออกมาผมก็ได้เช็กที่ตู้รองเท้าดูแล้ว และรองเท้าของคุณคิโยซาโตะก็ได้หายไปพร้อมกับจดหมายที่น่าจะอยู่ด้วยกัน “บางทีเธออาจยังไม่เห็นก็ได้” ความหวังสุดท้ายแบบนี้ก็โดนตัดขาดไปแล้วด้วย อีเวนต์นี้ถือว่าล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ
บ้าเอ๊ย! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้!
ผมถามตัวเองแบบนี้ในขณะที่สั่งนมปั่นตรงแคชเชียร์ออกไปมั่วๆ
อุตส่าห์มั่นใจแล้วแท้ๆ นะว่าเป้าหมาย “คุณคิโยซาโตะ” ต้องกลับมาที่อาคารเรียนตอนทำกิจกรรมชมรมเสร็จ แถมตอนผมวางจดหมายไว้ก็ยังมีรองเท้าอยู่ นอกจากนี้ผมยังเลือกช่วงเวลาที่ไม่น่ามีใครมารบกวนอีก การเตรียมการควรจะไม่มีข้อบกพร่องแล้วนะ… ไม่สิ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรล้มเหลวก็คือล้มเหลว
ถ้านี่เป็นเกม “เมื่อตายก็จะได้ค่าประสบการณ์” จอมมารผู้ไร้เทียมทาน—ผมหมายถึงนางเอกสุดเพอร์เฟกต์คนหนึ่งได้กล่าวไว้น่ะ ผมได้ยึดถือคำสอนของเธอคนนั้นเอาไว้ [1]
ผมขอรับคำท้าว่าจะแก้ไขทุกอย่างให้ได้และไม่ยอมแพ้!
เมื่อตั้งสติได้ผมก็พยักหน้ากับตัวเอง พนักงานที่กำลังส่งนมปั่นมาให้ผมมองมาด้วยความสงสัย เมื่อออกมาจากตรงนั้นแล้ว แทนที่จะกลับไปยังที่นั่งของตัวเองทันที ผมกลับเข้าไปหลบที่หลังเสาแทน
ยังไงก็เถอะ ผมไม่ได้คิดจะเข้าไปนั่งจิบชาคุยกับผู้หญิงคนนั้นอย่างสบายใจเฉิบหรอก
ที่จริงจะขอโทษไปลวกๆ แบบ “ขอโทษที่สารภาพรักผิดคนนะ” ก็คงได้ แต่ถ้าเกิดเธอเอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาให้คนอื่นฟังผมคงจะลำบากแน่
เธอคนนี้เรียกอีเวนต์นี้ผมเตรียมการมาอย่างดีว่าน่าขยะแขยง
นี่เป็นบุคคลประเภทที่ไม่ทำความเข้าใจแนวของหนังสือแล้วข้ามไปวิจารณ์ในโซเชียลด้วยคำอย่าง “ลอกเลียนแบบ” หรือ “ไม่มีเอกลักษณ์” ตามอามาซอนรีวิว บางทีเธออาจจะสนุกที่ได้เปิดโปงความโง่เง่าของผมให้คนทั้งโลกรู้
ถึงเธอจะไม่ได้ทำขนาดนั้นก็เถอะ แต่การมีชื่อเสียงด้านลบกระจายไปทั่วทั้งห้องหรือทั้งโรงเรียนก็มีแต่ส่งผลด้านลบต่อแผนการของผมเปล่าๆ ผมเพิ่งเข้าเรียนได้ 2 สัปดาห์และยังไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย ยังไงผมก็ต้องหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นให้ได้ทุกกรณี
สรุปคือผมต้องหาทางทำให้เธอไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครให้ได้ การกระทำของผมต้องให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากที่สุด
หลังจากได้ข้อสรุปดังกล่าวผมก็ก้าวออกมาจากหลังเสาและมองไปยังเป้าหมายของผม เธอยังคงทานของหวานอยู่แบบเงียบๆ และไม่แสดงอารมณ์
จะว่าไปแล้ว เธอก็ตามผมมาด้วยแฮะ
ผู้หญิงคนนี้ยอมฟังคำขอบ้าๆ ของผม “ได้สิ แต่อย่าให้นานเกินไปล่ะ” ถูกตอบมางี้
ผมนั้นถึงกับทำสิ่งที่เธอเรียกว่า “การสารภาพรักน่าขยะแขยง” อีกทั้งผมยังเป็นผู้ชายที่เธอเพิ่งรู้จักอีก ตามปกติแล้วเธอจะยอมมากับผมแบบนี้ด้วยเหรอ
อ๊ะ! หรือว่าจริงๆ แล้วเธอจะพวกซึนเดเระ คำว่า “น่าขยะแขยง” นั่นถ้าแปลงออกมาแล้วก็จะกลายเป็นคำชมสินะ!
อย่างแรกเลย สถานการณ์ที่เหมือนถูกมัดมือชกให้มาอยู่กับผู้หญิงที่ไม่รู้จักในร้านกาแฟแบบนี้นี่มัน… อย่างกับเหตุการณ์ในเกมจีบสาวเลยไม่ใช่รึไง! หรือจะพูดอีกอย่างว่านี่ก็คือเลิฟคอมเมดี้ก็ได้ใช่ไหม!?
…ไม่สิ เดี๋ยวนะ ใจเย็นลงก่อน
การตีความมั่วๆ แบบนั้นมันจะไปถูกในชีวิตจริงได้ยังไงกันล่ะ
ถึงมองผ่านๆ เรื่องราวจะดูเหมือนกับเป็นเลิฟคอมเมดี้ แต่อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะทำเรื่องที่เหมือนกับเลิฟคอมเมดี้ตามไปด้วย
เรื่องนั้นผมน่าจะจำฝังลงไปในกระดูกอยู่แล้วนี่
ผมตบแก้มด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อแก้ความเลินเล่อของตัวเอง
เอ้า! อย่าลืมหลักการพื้นฐานสิ
สิ่งแรกที่จำเป็นสำหรับเลิฟคอมเมดี้น่ะคือ “การรวบรวมข้อมูล”
กลับไปที่พื้นฐาน ผมลองสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกของเธออย่างละเอียด
เพราะผมอ่อนล้าอยู่ก็เลยไม่ได้มองเธอให้ดีเท่าไหร่ …แต่ว่าแล้วเชียว บางทีเธออาจจะเป็นคนที่ผมรู้จักอยู่แล้ว
ผมยาวไปจนถึงใต้บ่า เส้นผมถูกดัดเป็นลอนและปลายผมถูกดัดเป็นแบบหยักศก สีผมเป็นสีน้ำตาลที่ไม่รู้ว่าสีย้อมมาหรือเป็นสีตามธรรมชาติ
ใส่เสื้อสเวตเตอร์บางๆ ไว้ใต้ชุดเครื่องแบบเบลเซอร์ มีสร้อยข้อมือรัดอยู่ตรงแขน กระโปรงสั้นกว่าความยาวที่กำหนด ดูเหมือนว่าเธอจะแต่งหน้าด้วยแต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าไหร่ ความประทับใจดูออกไปทาง JK [2] มากกว่าสาวแกล [3]
ดวงตาและจมูกถูกจัดไว้อย่างดี แต่แทนที่จะน่ารักเธอกลับดูสวยแบบจืดๆ มากกว่า เอกลักษณ์เฉพาะของเธอก็คือสีตาที่ราวกับเป็นสีแดง ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากสีม่านตาของเธอนั้นจางกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าจะบอกว่าเธอใส่คอนแทกต์เลนส์สีก็เป็นไปได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม รูปร่างและสัดส่วนตรงอื่นที่เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ชอบนั้นค่อนข้างจะแร้นแค้น ถ้าเกิดมองจากความสูงเธอก็คงดูเป็นนางแบบแหละ แต่ถ้ามองจากช่วงกลางจนถึงบนแล้วละก็ เธอก็เรียกได้ว่าแบ—อ๊ะ! ต้องเรียกว่ารูปร่างสมาร์ตสิเนอะ
ในส่วนของสีเนกไทที่เป็นตัวบ่งบอกปีการศึกษาก็คือสีเหลือง อยู่ปี 1 เหมือนกับผม
ผมคิดว่านั่นคือรูปลักษณ์ภายนอกทั้งหมดที่ผมรวบรวมมาได้
เอ้า เท่านี้คีย์เวิร์ดก็น่าจะพอแล้ว
ผมหยิบสมาร์ตโฟนออกมาแล้วแตะไอคอนทางลัดที่คุ้นเคย บนหน้าจอที่แสดงอยู่ ผมป้อนข้อมูลที่ได้มาอย่างรวดเร็วลงไปในหน้าต่างค้นหาที่อยู่ข้างใน
ทรงผม: ดัดลอน / สีผม: น้ำตาล / รูปร่าง: สมาร์ต / หน้าอก: แบน
กดค้นหา
ผลลัพธ์ที่ตรงกัน: 1 รายการ
“เข้าใจแล้ว… นี่คือสาเหตุที่เราเห็นเธอครั้งแรกแล้วจำหน้าไม่ได้สินะ เธออยู่ห้อง 5 เพราะงั้นก็ห้อง E สำหรับคนที่เล็งเข้ามหาวิทยาลัยระดับประเทศ แรงก์ C หมายความว่าต้องเข้าหาด้วยโหมดคนธรรมดาสินะ…”
หลังจากยืนยันจนแน่ใจว่าข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดอยู่ในหัวแล้ว ผมก็เก็บสมาร์ตโฟนเข้ากระเป๋าเสื้อ
จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง
ผมไม่ค่อยมีไพ่ในมือเท่าไหร่ แถมนี่ยังเป็นการคุยแบบตัวต่อตัวที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่เก่งอีก
แต่ผมก็ต้องนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำมาจนถึงตอนนี้เข้าไว้ ผมคอยหาข้อมูลและฝึกซ้อมมาขนาดนี้เพื่ออะไรกันแน่!
จะปล่อยให้เกิดแบดเอนตั้งแต่เนิ่นๆ แบบนี้ไม่ได้ นี่ผมเพิ่งอยู่ในช่วง “อารัมภบท” เท่านั้น
เมื่อตัดสินใจเรื่องที่ต้องทำได้แล้วผมก็คว้านมปั่นที่เริ่มควบแน่นแล้วกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
เมื่อเป้าหมายสังเกตเห็นว่าผมกลับมาแล้ว เธอก็ยกแก้วที่วางอยู่บนถาดขึ้นมาเขย่าและเหล่มองมาทางผม
“…นายสั่งนานเกินไปไหม นี่ฉันกินจนจะหมดแล้วนะ”
เอ๊ะ? หมดแล้ว?
เมื่อลองขยับสายตาไปที่ถาด ผมก็ได้เห็นภาชนะต่างๆ กระจัดกระจายอยู่
อุหวา… แค่จินตนาการตามก็หวานปากไปหมด—ไม่ใช่ดิ เรื่องนั้นจะเป็นไงก็ช่างหัวมันเหอะ
“ข-ขอโทษนะ พอดีที่แคชเชียร์คนมันเยอะน่ะ”
“ก็ดูว่างออกนี่”
“…อะ พนักงานเขามีไม่พอน่ะ”
“งั้นเหรอ…”
น้ำเสียงที่ส่งกลับมานั้นดูราวกับจะยังไงก็ช่าง
ม-ไม่ดีแล้ว! จะปล่อยให้บรรยากาศแปลกๆ แบบนี้มาครอบงำไม่ได้!
ปกติ ต้องทำตัวตามปกติ
ในขณะที่กำลังปรับลมหายใจผมก็เริ่มนึกถึงคาร์แรกเตอร์ของตัวเอง
ไม่โดดเด่นแต่ก็ไม่ธรรมดา คุยง่ายเป็นกันเอง แต่ถึงช่วงสำคัญก็จริงจัง เป็นหัวหน้าห้องที่ไว้วางใจได้ตลอด ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะดูสุดแสนธรรมดา แต่การแต่งตัวที่กลับทำให้มีบรรยากาศเป็นหนุ่มหล่อและสดใสแบบบรรยายไม่ถูก เด็กหนุ่มที่ดูเท่นิดๆ นั่นก็คือผม
“แล้วนี่คิดจะเงียบไปอีกนานไหม”
เอ้า มาเลย!
ผมคิดข้ออ้างสวยๆ อยู่ในหัวแล้วพูดออกไปทีละคำ
“เอาเป็นว่าก่อนอื่นต้องขอโทษที่ทำให้ตกใจด้วยนะ เพราะเจอเรื่องที่ไม่คาดฝันฉันก็เลยรู้สึกสับสนนิดหน่อย ฉันคงจะพูดเรื่องแปลกๆ ออกไปเยอะเลยล่ะสิ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดขอฉันอธิบายหน่อยเถอะ”
ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงซีเรียส เป็นการเตือนล่วงหน้าว่าต่อไปนี้ผมจะจริงจังกับเรื่องที่พูด โดยในระหว่างนั้นก็ที่ไม่ลืมที่จะกล่าวถึงข้อผิดพลาดที่ตัวเองได้ทำลงไปด้วย
“ฉันว่าเธอน่าจะรู้อยู่แล้ว …คือฉันรออยู่ตรงนั้นเพื่อสารภาพรักกับผู้หญิงที่ชอบน่ะ ฉันบอกให้เธอขึ้นมาบนดาดฟ้าตามเวลานั้นเอง ฮะๆ… ไม่รู้สึกตัวเลยว่าผิดคน ฉันก็เลยพูดออกไปทั้งแบบนั้น”
เมื่อพูดจบผมก็เบือนหน้าหนีราวกับว่าเขินนิดๆ
ไม่ว่าใครเมื่อสารภาพรักก็ประหม่าและสงบสติอารมณ์ไม่ได้กันทั้งนั้น เพราะงั้นผมจะทำเรื่องผิดพลาดลงไปก็คงไม่แปลก เป็นคำกล่าวที่มีเจตจำนงเช่นนั้นอยู่
เรื่องที่ผมพูดออกไปเป็นเรื่องจริงครึ่งโกหกอีกครึ่ง โดยผมจะพูดความจริงที่เกี่ยวกับเป้าหมายของตัวเองในขณะที่ผสมเรื่องโกหกในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของตัวเองลงไปด้วย นี่เป็นเทคนิคที่จะทำให้เรื่องราวน่าเชื่อถือในขณะที่ปิดบังเจตนาที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้
“แต่ว่าฉันจริงจังมากเลยนะ จริงอยู่ที่ว่าครั้งนี้ฉันทำพลาดไปนิดหน่อย แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้หรอก”
ผมมองตาเธอและพูดออกไปอย่างชัดเจน
ผมเน้นย้ำความตั้งใจของตัวเองซ้ำๆ และแนะนำไปอ้อมๆ ว่าอย่าให้เธอเอาเรื่องนี้ไปล้อเลียนเพื่อความสนุก ผมยังวางแผนที่จะสารภาพรักอยู่ ดังนั้นช่วยอย่าเข้ามาขวาง มีความหมายแบบนั้นอยู่ด้วย
ผมคิดว่าการเตรียมการน่าจะพอแล้ว
ต่อไปก็เริ่มเข้าเรื่องหลัก
“เพราะงั้นสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ถ้าเธอไม่เอาไปบอกใครจะดีมาก”
ผมปรับท่าทางของตัวเองและก้มศีรษะลงช้าๆ โดยคำนึงถึงมุม 45 องศา ส่วนสำคัญคือต้องไม่ก้มสูงหรือต่ำไป มิฉะนั้นจะเกิดความประทับใจแบบผิดธรรมชาติ
“ขอร้องล่ะ”
และตั้งแต่ต้นจนจบมานี้ ผมก็ไม่ได้ทำลายจุดยืนที่เป็นฝ่ายขอความช่วยเหลืออยู่เลย
มีไม่กี่คนหรอกที่เห็นคนกำลังเสียเปรียบแถมยังพยายามขอร้องจริงจังแล้วยังอยากทำเรื่องไร้เหตุผล ยิ่งเป็นคนมีสามัญสำนึกมากเท่าไร มโนธรรมของเขาก็จะยิ่งเป็นอุปสรรค
จนถึงตอนนี้การพูดคุยราบรื่นไปได้ด้วยดี
ผมได้พูดเรื่องที่จำเป็นต้องขอร้องลงไปหมดแล้ว แถมยังแฝงข้อความไว้ในเบื้องหลังคำพูดด้วย แต่ในทางกลับกันผมก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใดๆ ที่อาจไม่สะดวกต่อฝ่ายตัวเองออกไปเลย ถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิดเธอจะต้องเข้าใจผมแน่ๆ
ผมเหลือบมองไปที่เธอในขณะที่กำลังก้มหัว ถึงจะมองไม่เห็นหน้า แต่ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังครุ่นคิดพลางกอดอกอยู่
ความเงียบได้ผ่านไปพักหนึ่ง
“…เข้าใจแล้ว นั่นคือเรื่องทั้งหมดที่นายอยากจะพูดสินะ”
พ้นวิกฤตแล้วโว้ย!
ผมกุมมือชัยชนะในใจ
“อื้ม ขอบคุณนะ ถ้างั้น—”
“ขอถามอย่างหนึ่งหน่อยได้ไหม”
เมื่อผมกำลังรีบจบการสนทนาตั้งแต่เนิ่นๆ เธอก็ได้พูดออกมาราวกับจะขัดจังหวะ
“ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนนายจะพูดเรื่อง ‘อีเวนต์สารภาพรัก’ สุดเพอร์เฟกต์ออกมาด้วยใช่ไหม นั่นมันหมายความว่ายังไงกันน่ะ”
หัวของผมหยุดชะงักลงไปพักหนึ่ง
“เอ๊ะ!? คือว่าเรื่องนั้นน่ะ…”
จำตรงจุดนั้นได้ด้วยเหรอฟะ!
เย็นไว้ ผมต้องใจเย็นเข้าไว้
อย่างไรก็ตาม คำพูดนั้นมันก็เป็นอะไรที่เลวร้ายมาก ถ้าเกิดโดนขุดไปมากกว่านี้ผมต้องลำบากแน่ๆ
“ไอ้เรื่องสารภาพรักก็ทำความเข้าใจได้อยู่หรอก แต่เรื่อง ‘อีเวนต์’ นั่นล่ะ ต่อให้จะสับสนขนาดไหนสถานการณ์แบบนั้นก็ไม่มีใครเขาพูดคำนั้นออกมาหรอกนะ”
อั๊ก! ตามนั้นเลยกั๊บ! ใครจะไปคิดว่าเธอจะหลักแหลมขนาดนี้!?
แก้ตัวสิ ผมต้องหาข้อแก้ตัวสิ
“คือว่าเรื่องนั้นน่ะ… นั่นไง! เพราะมันเป็นอีเวนต์ใหญ่สำหรับฉันคำพูดมันเลยออกมาโดยไม่รู้ตัวไง! ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น…”
ข้อแก้ตัวของผมดูท่าจะไม่ผ่าน
เธอจ้องมาอย่างว่างเปล่าจนผมท้องของผมถึงกับปวด
ไม่สามารถอ่านอารมณ์จากดวงตาคู่นั้นได้
เธอพูดกับผมราวกับจะเค้นคำตอบต่อ
“แล้วไอ้ ‘เลิฟคอเมดี้’ ที่นายพูดออกมาก่อนหน้านี้คืออะไรล่ะ”
“มะ!?”
มะ…ไม่จริงใช่ม๊ายย!? นี่เธอได้ยินตั้งแต่ที่ผมพูดคนเดียวเลยเหรอเนี่ย!?
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนายหรอก ก็แค่ไปได้ยินเข้าน่ะ นายน่ะพูดคนเดียวดังเกินไปนะ”
เธอตอบกลับมาพอดีราวกับอ่านความคิดของผม
อุ๊ก! ทำตามตัวเอกเลิฟคอมเมดี้มากเกินไปจนโดนเล่นแล้วสิ…!
“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเลิฟคอมเมดี้อะไรนั่นเท่าไหร่หรอก แต่มันเป็นแนวของละครกับมังงะใช่รึไหมล่ะ แบบพวกแนวความรัก”
เสียงพูดของเธอฉะฉานไม่สะดุด ราวกับว่าเธอกำลังอธิบายทุกอย่างออกมาเป็นฉากๆ
จะเกิดอะไรขึ้นกับผมกันนะ
อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้…
“และถ้าเอาทั้งสองคำที่ดูไม่เข้ากับสถานการณ์มารวมกันแล้วละก็…”
คงมองออกทุกอย่างตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่แค่อยากจะดูปฏิกิริยาของผม สิ่งที่ผมพูดออกไปคงถูกมองออกทั้งหมด นี่ผมกำลังเต้นบนฝ่ามือของเธออยู่…
ทันใดนั้นความหนาวสั่นก็ได้ไหลเยือกลงมายังกระดูกสันหลังของผม
“ ‘อีเวนต์สารภาพรักแบบเลิฟคอมเมดี้’ จะได้ออกมาเป็นแบบนี้ ฉันไม่คิดว่าประโยคแบบนี้จะออกมาจากคนที่ตั้งใจสารภาพรักจริงจังหรอกนะ”
หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอจ้องเขม็งมาหาผมแบบสีหน้าไม่เปลี่ยน
“แล้วคิดว่าถ้าคนทั่วไปมาได้ยินประโยคนั้นเข้าจะคิดไงล่ะ พวกเขาก็คงคิดว่านายเลียนแบบมังงะอยู่นั่นแหละ”
ผมเกร็งไปหมดจนเลือดออกที่ปลายนิ้ว
ทำยังไงดี…!?
ผมควรจะพูดหรือว่าตอบกลับอะไรออกไปดี
“หรือว่านายจะมีความหมายอื่นอยู่อีก บางทีนายคงมีเหตุผลดีๆ อยู่ใช่รึเปล่า”
แย้งสิ อะไรก็ได้ แย้งออกไปสิ!
ไม่มีเหตุผลดีๆ พอจะโน้มน้าวเธอได้เลยรึไง!?
“ถ้านายคิดจะโนคอมเมนต์ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ฉันจะเอาไปสรุปแบบไหนนายก็อย่ามาบ่นฉันทีหลังล่ะ”
ขณะที่ผมกำลังคิดอย่างร้อนรนเธอก็ได้ปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้าย
แม้แต่ทางหนีของผมก็ยังทำลายทิ้ง ยัยนี่เป็นยักษ์มารรึไงฟะ!
ยิ่งผมนิ่งไปนานเท่าไหร่ผมก็มีแต่ยิ่งเสียเปรียบ ผมรู้เรื่องนั้นดี! แต่ปากของผมมันกลับไม่มีคำพูดออกไปเลย
เมื่อเห็นว่าผมยอมพูดอะไรต่อ เธอก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“…ดูเหมือนว่านายจะไม่มีเหตุผลเป็นพิเศษสินะ ก็แน่อยู่แล้วล่ะเนอะ”
เธอพึมพัมเบาๆ อย่างปล่อยวาง
แย่แล้วสิ นี่เธอหาข้อสรุปให้ตัวเองได้แล้วนี่หว่า
“ที่ฉันยอมตามมาด้วยเพราะนึกว่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง …แต่ถ้าเกิดจะทำไปเพราะนึกสนุกไม่คิดเหรอว่าควรพอได้แล้วน่ะ”
ใบหน้ายังคงนิ่งไร้ความรู้สึก ไม่สิ ดูยังไงก็เมินๆ และเบื่อๆ มากกว่า
“มันน่าอายนะ อายุขนาดนี้แล้วยังมาทำอะไรแบบนั้น”
เธอพูดด้วยเสียงเย็นชาราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ
“ฉันคิดว่านายควรจะเลิกเล่นอะไรน่าเบื่อๆ แล้วหันมามองโลกความเป็นจริงบ้างจะดีกว่านะ”
ว่าไงนะ
“รอเดี๋ยวสิ”
“…หืม?”
ผมสบตากับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง แม้ว่าเธอจะขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับสงสัยว่ามีอะไร
จากนั้นก็ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
ชีวิตจริงที่ผมใช้ชีวิตอยู่มันไม่ใช่โลกของเลิฟคอมเมดี้
ผมรู้อยู่แล้ว รู้มาตั้งนานแล้ว
“ไหนๆ เธอก็รู้มาถึงขนาดนี้แล้วฉันจะบอกให้เธอฟังก็ได้ ฟังให้ดีล่ะ ฉันน่ะนะ—”
แต่ถ้าเกิดให้ผมยอมแพ้กับชีวิตจริง—
ความฝันก็จะเป็นได้แค่ความฝัน ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นให้ผมตายซะยังดีกว่า
“ฉันจะเผชิญหน้ากับชีวิตจริงเหล่านี้อย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็สร้างเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงขึ้นมาให้ดูเอง!”
ผมป่าวประกาศออกไปอย่างภาคภูมิใจและไม่มีลังเล
ไม่มีการอายใดๆ ทั้งสิ้น ผมไม่ได้ทำเป็นเล่น
ผมเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าเลิฟคอมเมดี้สามารถเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้
“…เอ๊ะ?”
ตั้งแต่มาที่นี่เธอก็เอาแต่ทำหน้าสงบนิ่ง นี่เป็นสีหน้าสับสนของเธอครั้งแรก
ผมรู้สึกชนะนิดหน่อย
“…เดี๋ยวก่อนสิ ที่พูดมานั่นนายเอาจริงง่ะ”
“จริงของจริงๆ เลยแหละ ฉันจะสร้างชีวิตในรั้วโรงเรียน ม.ปลาย ที่เต็มไปด้วยเลิฟกับคอมเมดี้โดยไม่ล้มเหลวให้ดูเอง ฉันจะขยายขอบเขตมันไปทั้งโรงเรียนเลย”
ในแววตาของผมมีเจตจำนงอันไม่ย่อท้ออยู่
“ฉันว่า ไม่สิ… นายแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำไปเพื่อโต้กลับฉัน”
“ฉันขอสาบานต่อเทพเจ้าเลิฟคอมเมดี้ว่าสิ่งที่พูดออกมาฉันจริงจังทั้งหมด มีอะไรจะคัดค้านรึเปล่า”
“ฉันก็ไม่ได้คิดจะคัดค้านนายหรอก แต่จะเรียกว่ามันมีปัญหาอยู่ดี… หรือว่าจะมีแต่ปัญหาดีล่ะ”
สายตาของเธอจ้องไปทางนู้นทางนี้ราวกับกำลังกระสับกระส่าย
มันควรจะเป็นเช่นนั้นแหละ
ตอนนี้ผมกำลังต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของตัวเองอยู่ สำหรับ JK ในทุกวันนี้แล้ว น้ำหนักของสิ่งที่แบกไว้มันคนละระดับ เธอจะรับมันไม่ไหวก็ไม่แปลก
“ฉันไม่ได้ทำเป็นเล่นสักนะ ฉันไม่ได้ทำไปด้วยความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้น ฉันจะทำให้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันสนุกมากสนานมากที่สุด ฉันจะทำให้ อีเวนต์งานโรงเรียนสนุกมากๆ ทั้งฉากชุดว่ายน้ำ ฉากค้างคืนที่บ่อน้ำพุร้อน หรือแม้แต่ ฉากลามกโชคช่วย [4] ฉันก็จะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาให้ดูเอง”
“เดี๋ยวนะ… ช่วงครึ่งแรกฉันก็เข้าใจอยู่ แต่ช่วงครึ่งหลังนั่นมันอะไรน่ะ”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ฉากลามกโชคช่วย’ นั่นฉันต้องสัมผัสมันให้ได้!”
“อุหวา น่าขยะแขยงสุดๆ…”
หลังจากได้รับความเศร้าโศกของชายหนุ่ม เธอก็ได้ถอยห่างออกไปอย่างดูอึดอัด แต่ใครจะไปสน
“ฉันไม่สนใจว่าใครจะมองว่าอะไรเป็นเรื่องปกติหรอก พระเจ้าองค์หนึ่งเคยตรัสเอาไว้แบบนี้ ‘คนอื่นก็คือคนอื่น ขอแค่ยืดอกภูมิใจในตัวเองเข้าไว้แค่นั้นก็พอแล้ว’ ”
“อะไรล่ะนั่น พระเจ้าที่ไหนจะไปพูดแบบนั้น”
“ก็ต้องเป็นพระเจ้าจิโตเส จากจิรา〇เนะอยู่แล้วสิฟะ! [5] นี่เป็นหนังสือปรัชญาที่นักเรียนทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลาย ควรหามาอ่านเลยนะ! ยัยบ้านนอกไร้การศึกษา!”
“ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย…”
หน็อยแน่เจ้าพวกตามกระแสง่ายๆ ไม่มีความละเอียดอ่อน ถ้าเกิดเขาได้ดัดแปลงเป็นจอแก้วเมื่อไหร่รับรองว่าเจ้าปุถุชนพวกนี้จะต้องร้องสรรเสริญแหงๆ
“อย่างไรก็ตาม! ปณิธานของฉันมันเป็นของจริง และฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยนความตั้งใจด้วย ถ้าเกิดเธอคิดจะเข้ามาขวางฉันก็พร้อมที่จะไฟว์ เอ้า! จะเข้ามาจากทางไหนก็เข้ามาได้เลย ฉันจะเปลี่ยนให้เธอเป็นคนที่ไม่ว่าหลับหรือตื่นก็จะพร่ำร้องแต่คำว่าเลิฟคอมเมดี้จงเจริญเอง!”
เมื่อผมตั้งท่าพร้อมสู้เสร็จ รอบๆ ของเราก็ได้เงียบลง
เวลาของเราสองคนไหลไปอย่างตึงเครียด—
พิโพพะ พิโพพะ พิโพพะ
เสียงจับเวลาทอดมันฝรั่งดังกึกก้อง
เฮ้ย! อย่ามาเปิดเสียงงี่เง่าใส่ฉากที่จริงจังแบบนี้สิฟะ! มันจะกลายเป็นฉากตลกไปอยู่แล้วนะ!
“…อื้ม ช่างเถอะ ฉันเข้าใจเรื่องที่นายจะบอกแล้วล่ะ”
เมื่อฟื้นจากภาวะกึ่งจำศีล เธอก็พูดออกมาพร้อมกับเอามือปิดตาและถอนหายใจยาวๆ อย่าบอกนะว่านี่เธอประทับใจกับคำพูดที่มาจากจิตวิญญาณของผมจนร้องไห้ซาบซึ้ง
“ฉันขอพูดอย่างหนึ่งได้ไหม”
“อะไรล่ะ”
“นายนี่มันตาบ้าตัวพ่อสินะ”
“ไหงเป็นงั้นล่ะ!?”
โอ๊ยย! ก็บอกแล้วว่าอย่าเอาผมไปใส่ในฉากตลกยังไงเล่า!
**ศัพท์ในตอน**
[1] ล้อฮินามิ จากเรื่อง Jaku-Chara Tomozaki-kun ฉายา “จอมมาร” ของเธอมาจากการที่เธอเป็นเหมือนกับจอมมารที่ปั้นพระเอกจาก Lv.1 ให้มาตบตัวเองในตอนจบ
[2] JK ย่อมาจาก Joshi Koukousei แปลว่า สาว ม.ปลาย
[3] แกล เป็นสไตล์แฟชั่นอย่างหนึ่งของสาววัยรุ่นญี่ปุ่น ปัจจุบันมีแบ่งแยกย่อยไปได้หลายแบบมาก
[4] ลามกโชคช่วย(ลัคกี้สึเคเบะ) หมายถึงฉากลามกที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เช่น เปิดประตูไปเจอสาวๆ กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า สะดุดล้มทับหน้าอกสาวๆ ฯลฯ เป็นฉากที่มักพบเห็นได้ทั่วไปตามการ์ตูนเลิฟคอมเมดี้
[5] จิรา〇เนะ หมายถึง จิรามุเนะ ที่เป็นชื่อย่อของเรื่อง Chitose-kun wa Ramune Bin no Naka