[LN] ใครกันที่เป็นคนตัดสินว่าผมมีเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงไม่ได้ - ตอนที่ 4
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เธอก็มองมาที่ผมด้วยสายตาสำรวจ
“…ก็มีอะไรๆ หลายอย่างที่อยากจะพูดอยู่หรอก แต่นี่นายจริงจังใช่รึเปล่า”
“ฉันจริงจังอยู่แล้ว ไม่ต้องให้มาพูดซ้ำๆ หรอก”
“อย่างแรกเลย เห็นนายพูดเรื่องการสร้างเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงมาสักพักแล้วใช่ไหม นายคิดจะทำยังไงล่ะ”
“รอเดี๋ยว เลิฟคอมเมดี้ก็คือเลิฟคอมเมดี้ แต่ถ้านิยามให้ดีต้องบอกว่า ‘เลิฟคอมเมดี้วัยรุ่น’ ถึงจะถูกต้อง เลิฟคอมเมดี้น่ะเป็นเรื่องราวที่ประกอบไปด้วยเลิฟและคอมเมดี้ แต่ถ้าเกิดเธอเติมคำว่า ‘วัยรุ่น’ เข้าไปในตอนท้ายคำนิยามมันจะเปลี่ยนไปเป็น ‘เลิฟคอมเมดี้วัยรุ่นที่มุ่งเน้นไปยังชีวิตในรั้วโรงเรียนเป็นหลัก’ ”
“….อา สรุปก็คือ ‘นายอยากจะมีความรักที่สนุกสนาน’ แบบนี้ไช่ไหมล่ะ”
“ใช่อยู่ที่องค์ประกอบหลักคือส่วนที่เป็นความรัก แต่ส่วนนั้นมันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เลิฟคอมเมดี้วัยรุ่นจะมีสีสันและองค์ประกอบของความตลกมากกว่าเลิฟคอมเมดี้ในโชโจมังงะ แถมบางครั้งส่วนที่เป็นดราม่าวัยรุ่นก็เป็นส่วนหลักด้วย”
“อื้ม อย่างนั้นสินะ”
เธอตอบกลับมาแบบส่งๆ ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจคำจำกัดความแบบละเอียด
เฮ้อ~ พวกมือสมัครเล่นก็เป็นงี้ ถ้าเกิดไม่แยกให้ดีต้องไปรีวิวด้วยคำอย่าง “ได้ยินมาว่าเป็นเลิฟคอมเมดี้แต่ไม่เห็นจะมีความเลิฟหรือว่าคอมเมดี้ตรงไหน เอาไป 1★ ค่ะ” จากนั้นก็โดนเม้นว่า “อย่างแรกเลย เรื่องนี้นี่ไม่ใช่แนวเลิฟๆ อยู่แล้ว หยุดวิจารณ์นอกเรื่องเถอะ” ได้โดนตอกกลับไปอย่างน่าอับอายแบบนั้นแน่ๆ
“แล้วนายคิดว่าจะทำแบบนี้นั้นได้จริงๆ น่ะเหรอ ยังไงล่ะ”
“ง่ายจะตายไป ก่อนอื่นก็รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ตามด้วยหาคนที่เหมาะสมจะเป็น ‘ตัวละครหลัก’ จากนั้นก็จัดฉากไว้ล่วงหน้า ทำให้เหมือนกับเป็นเลิฟคอมเมดี้ในอุดมคติก็พอแล้ว”
“…ไม่มีทางที่มันจะง่ายขนาดนั้นหรอก ขนาดเมื่อกี้นายก็ยังล้มเหลวเลยนี่”
“นั่นเป็นเพราะฉันเตรียมการมาไม่ดีเองต่างหาก ทั้งที่สถานการณ์อุตส่าห์ออกจะเพอร์เฟกต์…”
“ปัญหาใหญ่ที่สุดคงเป็นตรงนั้นนั่นแหละ”
“กะแล้วว่านายเป็นพวกที่ชอบปฏิเสธทุกเรื่องสินะ”
ใครเขาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นเฟ้ย เพราะงั้นเป็นเรื่องปกติ!
ชักจะเคืองขึ้นมาแล้วสิ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอยู่ เธอก็ส่ายหัวแล้วก็พูดต่อ
“ฉันมีเรื่องให้เถียงเป็นร้อย ไม่สิ พันเรื่องเลยล่ะ ต่อให้หลักการของนายมันจะถูกและทำตามแผนของนายทุกอย่าง แต่นั่นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ด้วยการเตรียมการลวกๆ หรอกนะ”
“รู้แล้วน่า เพราะงั้นฉันก็เลยพยายามรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดไง ยิ่งมีข้อมูลมากก็จะยิ่งผิดพลาดน้อยและทำอะไรๆ ได้ง่าย หรือจะไม่เห็นด้วย”
“เห~ รวบรวมข้อมูลโดยละเอียดสินะ”
แม้ผมจะกำลังมองหน้าเธอราวกับกำลังกล่าวเรื่องสำคัญอยู่ เธอก็ยังเอาแต่เล่นกับหลอดน้ำปั่น
…ยัยนี่บังอาจดูถูกผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
ได้สิ ไหนๆ เธอก็พูดมาซะขนาดนี้ ผมจะแสดงบางอย่างให้ดูละกัน
“อย่ามาดูถูกฉันนะ ปี 1 ห้อง 5 อุเอโนะฮาระ อายาโนะ”
“…เอ๊ะ?”
มือที่เล่นกับหลอดหยุดนิ่งสนิท ผมหยิบสมาร์ตโฟนออกจากกระเป๋าและเปิดหน้าที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้
“ปี 1 ห้อง 5 อุเอโนะฮาระ อายาโนะ เลขที่ 6 เกิดวันที่ 10 พฤศจิกายน เรียน ม.ต้น ที่โรงเรียนเอกชนทางเหนือของเมืองเคียวโกคุ เคยเป็นสมาชิกชมรมกีฑา เป็นพวกเก่งรอบด้าน ทั้งด้านวิชาการและด้านกีฬาก็ยอดเยี่ยม ไม่มีวิชาที่ไม่ถนัดเป็นพิเศษและผลการเรียนก็ดีเด่นในทุกรายวิชา คะแนน คะแนนรวมตอนสอบเข้าได้ที่ 8 ตอน ม.ต้น เคยได้อันดับ 3 จากงานวิ่งแข่งของจังหวัด มีคนรู้จักมากมายและมีเพื่อนฝูงอยู่เยอะทั้งชายและหญิง ของที่ชอบก็คือของหวาน ของที่ไม่ชอบก็คือข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อ”
“ร-รอก่อนสิ… เอ๊ะ? นี่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกใช่ไหม”
เธอ─อุเอโนะฮาระพูดออกมาด้วยสีหน้าสับสน
“เป็นไงล่ะ แล้วก็เอ่อ… พ่อแม่เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยกับวิศวกรระบบอิสระ อาศัยอยู่ในเมืองเคียวโก─”
“ฉันจะโทรแจ้งตำรวจนะ”
“เอ๊ะ? …รอเดี๋ยว! สต็อป!”
ผมรีบคว้าแขนขวาของอุเอโนะฮาระที่จู่ๆ ก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมากด
“ใจเย็นๆ สิ! ขอฉันอธิบายก่อน!”
“ไม่เอาย่ะ! นายมันสตอร์กเกอร์นี่ น่าขนลุกชะมัด”
“ไม่ใช่แล้ว! ไม่มีอะไรที่ได้มาด้วยวิธีผิดกฎหมายเลยนะ! ฟังฉันก่อนสิ!”
“แล้วนายจะมาศึกษาคนที่ยังไม่เคยคุยด้วยทำไมล่ะ มองยังไงก็น่าสงสัย”
“ก็ฉันเพิ่งบอกเธอไปเมื่อกี้ไม่ใช่รึไงเล่า! ที่ว่าต้องตรวจสอบคนที่เหมาะจะมาเป็นตัวละครหลักน่ะ!”
อุเอโนะฮาระหยุดสิ่งที่เธอทำอยู่เมื่อกี้ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างข้องใจ
“ไม่สิๆ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย เอาตั้งแต่แรกทำไมฉันถึงได้ตกเป็นเป้าหมายของนายด้วย”
อะไรนะ อย่าบอกนะว่ายัยนี่ไม่ได้รู้ตัวเลยเหรอฟะ!?
“มันก็ต้องเพราะเธอเป็นสาวสวยไม่ใช่รึไง!”
“…เอ๊ะ?”
“ฉันตรวจสอบประวัติของสาวน่ารักๆ ในปีตัวเองมาทั้งหมดนั่นแหละ! ด้วยหน้าตาอย่างนั้นเธอคงจะไม่ได้บอกว่าตัวเองไม่สวยหรอกใช่ไหม!? ถ้านี่เป็นไลท์โนเวลเธอก็อยู่ในระดับที่ทำให้คนหันกลับมามองหลังจากเห็นภาพประกอบได้เลยนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผมอุเอโนะฮาระก็หยุดชะงัก หลังจากกะพริบตาไปหลายครั้งเธอก็มองมาที่ผมด้วยสายตาแบบบอกไม่ค่อยถูก
“ต่อให้นายจะมาชมฉันในเวลาแบบนี้ฉันก็ไม่ดีใจหรอกนะ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย! ฉันแค่พูดความจริงเฉยๆ หรอก จากผลการสำรวจด้านรูปลักษณ์ของฉัน ในชั้นปีของเราเธอได้อันดับที่ 7 อันดับ 7 จาก 150 คนเลยนะ ยืดอกภูมิใจเข้าไว้เถอะ”
“…เอ่อ ไม่รู้เลยว่าฉันควรจะรู้สึกยังไง”
อุเอโนะฮาระตีมือผมที่จับแขนเธออยู่แล้วก็ดึงแขนออก จากนั้นเธอก็ใช้มือขวาม้วนเล่นผมตัวเองที่อยู่หลังศีรษะ
“แถมอันดับพวกนี้ฉันยังคำนวณอันดับพวกนี้มาอย่างดีเลยนะ ถ้าให้เจาะจงคะแนนเรื่องรูปลักษณ์ของเธอจะมีดังนี้ หน้าตา 4.3 คะแนน รูปลักษณ์ 4.7 คะแนน หน้าอก 2.8…”
“ว่าแล้วฉันว่าแจ้งความดีกว่า”
“ก็บอกให้รอก่อนไง!”
คราวนี้ผมจับมือซ้ายของเธอไว้แน่น เผลอแป๊บๆ ไม่ได้เลยโว้ย!
“ก็เพราะเธอไม่ยอมเชื่อฉันก็เลยต้องเปิดเผยข้อมูลพวกนี้ไง! ยังจะมาทำเหมือนฉันเป็นอาชญากรอีก จะโหดร้ายไปแล้ว!”
“ก็ใครใช้ให้นายเอาข้อมูลส่วนตัวน่าขนลุกแบบนี้มาให้ดูกันยะ เอาจริงๆ ยิ่งเห็นข้อมูลพวกนี้ก็ยิ่งต้องระวังตัวไม่ใช่รึไง สามัญสำนึกน่ะคนบ้าคงไม่รู้จักใช่ไหมล่ะ”
“โอ้ยย ไม่ไหวแล้วโว้ย! ไอ้คนที่เรียกคนอื่นว่าบ้านั่นแหละที่บ้า ยัยบ้า!”
“ที่พูดมามันเข้าตัวนายหมดเลยย่ะ ตาบ้าตัวพ่อ”
พวกเราต่างจ้องตากันเงียบๆ สักพัก
พิโพพะ พิโพพะ พิโพพะ
“…ฮ่า”
เมื่อเสียงทอดเฟรนช์ฟรายส์ดังขึ้นอีกรอบอุเอโนะฮาระก็เริ่มผ่อนแรง เธอปล่อยมือออกจากสมาร์ตโฟนราวกับล้มเลิกความคิดที่จะแจ้งความผม
“นี่มันต่างจากที่ฉันจินตนาการไว้โขเลย แถมยังโดนทำให้ปวดหัวหลายๆ เรื่องอีก… ไม่อยากจะเชื่อ”
เมื่อพูดแบบนั้นเสร็จเธอก็แกะมือผมออกแล้วเริ่มจัดหน้าม้าที่ยุ่งๆ
“ดูเหมือนตอนนี้เธอจะเชื่อแล้วสินะว่าฉันจริงจังมากแค่ไหน”
“ฉันยอมรับละกันว่านายมันบ้า”
ในที่สุดเธอก็ยอมรับผม… เอ๊ะ? หรือว่าไม่ยอมรับกันหว่า…?
เมื่อผมเอียงศีรษะอุเอโนะฮาระก็ทิ้งร่างลงไปยังที่นั่งอย่างผ่อนคลาย
“นี่ เมื่อกี้นี้นายบอกว่ามีของคนอื่นด้วยใช่ไหม”
“เอ๊ะ? หมายถึงอะไรเหรอ”
“ก็ข้อมูลส่วนตัวเหมือนกับของฉันไง”
“เจ้านี่เหรอ… มีสิ”
“ขอดูนิดนึงสิ ฉันไม่เอาไปใช้ในทางที่ผิดหรอก”
อุเอโนะฮาระกล่าวพร้อมกับยื่นมือขวาของเธอออกมาข้างหน้า
“…จะเอาไปใช้ทำอะไรน่ะ”
ผมกำสมาร์ตโฟนแน่นและเพิ่มความระวังตัว ข้อมูลพวกนี้เป็นข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้เป็นความลับ ไม่ใช่สิ่งที่จะให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่สงสัยว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้างน่ะ”
อุเอโนะฮาระยังคงพูดออกมาแบบเรียบๆ จนผมก็ไม่สามารถอ่านเจตนาที่แท้จริงของเธอได้ แต่จากที่เห็นผมว่าเธอคงไม่ได้คิดที่จะล้อเลียนผม
…บางทีการโชวสิ่งที่มีให้ดูอาจจะเป็นวิธีที่ดีในการแสดงความมุ่งมั่นของผมก็ได้
หลังจากกังวลอยู่พักหนึ่งผมก็ได้ตัดสินว่าหากเธอไม่จดบันทึกเอาไว้ก็คงไม่เป็นปัญหา—ผมตัดสินใจให้เธอดูส่วนหนึ่ง
“ระวังด้วยล่ะ ปกติไม่ใช่ของที่จะให้คนอื่นดูได้หรอกนะ”
“รู้อยู่น่า”
หลังจากเตือนเสร็จผมก็วางสมาร์ตโฟนลงบนมือของเธออย่างระมัดระวัง
อุเอโนะฮาระไถหน้าจอแบบผ่านๆ แบบไม่รู้สึกเหมือนว่าอ่าน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีอะไรอยากดูเป็นพิเศษตามที่บอกจริงๆ
มันคงเป็นอันตรายถึงฆาตหากเธอมีพลังความจำสมบูรณ์แบบอะไรแบบนั้น [1]… พลังแบบนั้นไม่มีทางมีในชีวิตจริงอยู่แล้ว ผมจะกังวลไปทำไมกันนะ
“นี่มันไม่ใช่แค่บันทึกช่วยจำอย่างเดียวสินะ… อยู่บนเว็บงั้นเหรอ การออกแบบคล้ายๆ เว็บวิกิเลยนะ”
“อา ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ที่มีแต่ฉันเข้าถึงได้น่ะ”
“ใช้ค้นหาได้ด้วย…”
“ก็ไม่รู้นี่นะว่าจะได้ใช้ตอนไหน อย่างเมื่อกี้ฉันก็เพิ่งใช้ค้นหาเธอไปหยกๆ”
อุเอโนะฮาระหมกมุ่นอยู่กับเนื้อหาและไม่ตอบกลับ
“1 ,10… มีข้อมูลคนอยู่เยอะขนาดนี้เลย ทั้งข้อมูลพื้นฐาน นิสัย แนวโน้มพฤติกรรม มีแม้กระทั่งกราฟ…”
อุเอโนะฮาระกะพริบตาด้วยใบหน้าจริงจังพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งปิดปาก เมื่อกี้เธอยังดูพูดแบบโกรธๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้เธอกลับดูประหลาดใจแบบจริงๆ
ก็นี่เป็นดั่งอัญมณีล้ำค่าที่สร้างขึ้นมาด้วยความสามารถพิเศษทั้งหมดของผมเลยนี่นะ
สิ่งที่ผมแสดงให้อุเอโนะฮาระเห็นเป็นส่วนหนึ่งของ “ฐานข้อมูลเลิฟคอมเมดี้” ที่รวบข้อมูลส่วนตัวของนักเรียนในโรงเรียนเราไว้ทั้งหมด เรียกสั้นๆ ว่า “บันทึกมิตรภาพ”
ในบันทึกนั้นมีข้อมูลอยู่หลากหลาย ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานอย่าง ชื่อ วันเดือนปีเกิด โรงเรียน ม.ต้น และลักษณะภายนอกต่างๆ ไปจนถึงลักษณะภายใน เช่น นิสัยและแนวโน้มพฤติกรรม ไปยันสภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนและสภาพแวดล้อมครอบครัว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงที่ได้จากการสัมภาษณ์และอื่นๆ อีก
“…นี่เพิ่งเปิดเรียนได้ 2 อาทิตย์ใช่ไหม นี่หาทั้งหมดมาได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้เลยเนี่ยนะ”
อุเอโนะฮาระเงยหน้าขึ้นถามผม
“ก็นะ คงได้ประมาณ 80% แล้วล่ะ แต่ก็อย่างที่บอกไป ฉันให้ความสำคัญกับการตรวจสอบคนที่น่าจะเหมาะกับเลิฟคอมเมดี้ก่อน เพราะงั้นมันก็เลยยังไม่เสร็จสมบูรณ์สักทีน่ะ”
“แล้วนี่นายทำได้ยังไงกันเนี่ย… เห็นมีแม้กระทั่งรูปภาพด้วย”
“ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นข้อมูลสาธารณะจากทะเบียนนักศึกษากับตามโซเชียลน่ะ อย่างรูปภาพนี่ฉันก็ไปฉกมาจากภาพถ่ายหมู่ตอนปฐมนิเทศ”
แถมอีกหน่อย อุเอโนะฮาระที่อยู่ในภาพมีเส้นผมที่ยาวกว่าในตอนนี้และแทบจะเป็นผมตรง นี่เป็นเหตุผลที่ในตอนแรกผมจำหน้าเธอไม่ได้ เฮ้อ~ คนเดียวที่เปลี่ยนทรงผมได้ตามใจชอบควรจะมีแต่ท่านสาวบ้านเท่านั้นนะ [2] เป็นคนที่หยาบคายชะมัด
“มีข้อมูลบางส่วนที่ฉันได้มาจากข่าวลือกับช่องแชตของชมรมด้วย ฉันก็แค่ไปขอยืมภูมิปัญญามาจากพวกเขาเหล่านั้น”
ถึงในตอนนี้ยังมีแค่ของปี 1 แต่อย่างน้อยๆ ในแต่ละห้องก็มีคนที่ชื่นชอบข่าวลือให้ผมเอามาเป็นแหล่งข้อมูลอยู่ ถ้าเกิดใช้งานพวกเขาดีๆ ให้ดีๆ คุณจะหาข้อมูลคร่าวๆ ของทุกห้องเรียนได้เลย
อนึ่ง ผมเรียกพวกเขาว่า “กลุ่มซาโอโตเมะ” ผมเคารพพวกเขาอย่างสุดซึ้ง จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ที่มาของชื่อพวกเขา ช่างพรางตัวได้สุดยอดมาก
“สำหรับคนที่น่าสืบมากๆ ฉันจะเข้าไปถามเพื่อนกับคนรู้จักพวกเขาโดยตรงน่ะ บางทีก็มีเดินเข้าไปสัมภาษณ์คนใกล้ชิดพวกเขาเลยด้วย”
“ทำไมนายไม่ลาออกจากโรงเรียนแล้วไปเป็นนักสืบแทนเลยล่ะ”
“แบบนั้นก็เปล่าประโยชน์สิ ถ้าเลิกเรียนแล้วฉันจะสร้างเลิฟคอมเมดี้ได้ยังไงกันล่ะ”
“ช่างเถอะ ฉันผิดเองแหละ”
อุเอโนะฮาระก่ายหน้าผากและถอนหายใจออกมาไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้
เมื่อสิ้นสุดคำพูดเวลาก็ได้ผ่านไป พวกเราต่างพากันเงียบไปสักพัก
ผมยกนมปั่นที่ละลายจนแทบจะกลายเป็นนมข้นหวานแล้วเข้าปาก ถึงจะไม่อร่อย แต่ปริมาณน้ำตาลที่ไหลซึมเข้าสู่สมองที่อ่อนล้ากลับทำให้ผมนั้นรู้สึกมีความสุข
เมื่อเริ่มสงบได้แล้วจู่ๆ ผมก็นึกขึ้นได้
ว่าแล้วเชียวว่าผมเปิดเผยมากเกินไป ถึงจะอยากเกลี้ยกล่อมเธอแค่ไหน เปิดเผยเบื้องหลังออกไปขนาดนี้ก็คงเกินไปหน่อย
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วผมก็เริ่มรู้สึกกังวลและรีบจบเรื่อง
“…เท่านี้เธอก็น่าจะรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันจริงจังเรื่องนี้มากแค่ไหน เพราะงั้นช่วยอย่าเข้ามาขวางทางฉันด้วยล่ะ”
อุเอโนะฮาระเงยหน้าจากสมาร์ตโฟนที่กำลังดูอยู่
ท้ายที่สุดแล้วใบหน้านั้นก็ยังไร้ความรู้สึกจนผมอ่านไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันรู้แล้วว่านายจริงจัง แต่ถ้าเกิด…”
เธอหันสายตาไปด้านข้าง จากนั้นก็ลดเสียงลงเล็กน้อยและพูดออกมาทีละนิด
“นายพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ยังสร้างเลิฟคอมเมดี้ขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วนายจะทำยังไง”
เมื่อผมได้ยินคำพูดดังกล่าวความทรงจำในช่วง ม.ต้น ก็ได้หวนคืนเข้ามาในจิตใจของผม ผมกุมมือแน่นแล้วตั้งใจตอบกลับไปอย่างชัดเจน
“ฉันไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นเอาไว้หรอก ฉันแค่ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นก็เท่านั้นแหละ”
ดวงตาของอุเอโนะฮาระเบิกขึ้นเล็กน้อย ผมมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ แล้วบอกเธอไปราวกับจะพูดให้ตัวเองได้ฟัง
“ฉันไม่มีอะไรมารับประกันว่ามันจะสำเร็จหรอก แต่ถ้าเกิดไม่ลงมือทำอะไรเลยความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จก็จะเท่ากับศูนย์ ชีวิตจริงมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
ในช่วงชีวิต 16 ปีของผม นั่นเป็นกฎเพียงข้อเดียวที่ไม่มีอะไรจะมาสั่นคลอนได้
“บางทีสิ่งที่คนธรรมดาอย่างฉันทำได้คงมีไม่มาก ถึงอย่างนั้นฉันก็จะพยายามทำเท่าที่ทำได้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ ฉันตัดสินใจเอาไว้แบบนั้น”
“นอกจากนี้…”
ผมพูดต่อ
“…ถ้าเกิดทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ออกไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะออกมาไม่ดีด้วย”
ตอนที่พูดออกไปผมสัมผัสได้ว่ามีอะไรขมๆ กระจายอยู่ในปาก ผมกลืนน้ำลายดังอึก อุเอโนะฮาระจะคิดยังไงหลังฟังคำพูดของผมกันนะ
“งั้นเหรอ… กะแล้วว่านายนี่มันบ้าจริงๆ สินะ”
เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่มองเข้าไปในดวงตาของเธอแล้วมีสีที่เหมือนกับเป็นอารมณ์
“อีกแล้วเหรอ” ผมกำลังจะพูดออกไปแบบนี้ แต่ว่าคำพูดมันฟังดูต่างจากเดิมยังไงไม่รู้จนผมพูดไม่ออกไปสักพัก
“…อา ก็ตามนั้นแหละ ขอโทษด้วยละกัน ช่วยไม่ได้หรอกนะ”
“เปล่าสักหน่อย ไม่ได้เกลียดอะไรนายหรอก ไม่ใช่ว่า…”
อุเอโนะฮาระหยุดพูดแล้วกลับไปเงียบอีกครั้ง
“ไม่ใช่ว่า…”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ยังไงมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”
ไม่ได้เกี่ยว เหรอ
มันเป็นเสียงที่ราบเรียบแบบเดียวกับที่ใช้บ่นผมมาจนถึงตอนนี้ แต่มันกลับมีอะไรติดอยู่ที่หัวใจของผม
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้….
“หา? นี่เธอเข้าใจผิดอะไรไปหรือเปล่า มาถึงจุดนี้แล้วเธอไม่ได้ไม่เกี่ยวแม้แต่น้อยเลยนะ”
พูดไปต่อ
“…เอ๊ะ?”
“ก็เธอรู้แผนของฉันไปแล้วไม่ใช่เหรอ แถมยังเห็น ‘บันทึกมิตรภาพ’ ไปแล้วอีก อีแบบนี้ยังคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอพูดว่า ‘ลาก่อน’ แล้วประกาศว่า ‘ตั้งแต่พรุ่งนี้เราเป็นคนแปลกหน้า’ อีกได้ยังไงกันล่ะ”
อุเอโนะฮาระกะพริบตาปริบ บางทีคำพูดของผมมันคงเกินคาดไปหน่อยจนเธออึ้งปากค้าง
มันต้องเป็นงั้นอยู่แล้ว ก็จนถึงเมื่อกี้ผมยังไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นเลยนี่นะ
“ถ้าเกิดปล่อยเธอไปตอนนี้ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอจะทำอะไรบ้าง ถ้าเกิดมีโอกาสที่แผนของฉันจะถูกขัดขวางฉันต้องรีบจัดการทันที นี่เป็นคติประจำใจของฉัน”
“เปล่าสักหน่อย ฉันไม่ได้คิดจะเข้าไปขัดขวางนายหรอก”
“ถึงอย่างนั้น!”
ผมพูดขัดอุเอโนะฮาระ
“ก็เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ฉันบอกแผนการออกไปเพราะเหมือนโดนเธอกึ่งบังคับ คนที่ควรถูกตำหนิก็คือฉันที่ผิดพลาด ไม่ได้คิดจะว่าเธอใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของฉันหรอก”
ตามปกติผมคงไม่ทำแบบนี้แน่ๆ
สิ่งที่ผมควรทำจริงๆ ก็คือการใช้ข้อมูลส่วนตัวมาเป็นเกราะปิดปากและบอกเธอว่าอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องให้มากที่สุด
แต่ผมกลับ…
“และตรงจุดนั้นฉันก็คิดขึ้นมาได้ ว่าแค่ให้เธอมาเข้าร่วมกับฉันก็พอแล้ว”
จงใจทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“เธอนั้นมีศักยภาพสูง มีหลักคิดเป็นเหตุเป็นผล สามารถไล่ต้อนผู้คนได้อย่างเลือดเย็น แถมยังตบมุกได้แสนเฉียบขาดอีก… ฉันคิดว่าความสามารถพวกนี้เป็นอะไรที่วิเศษมากเลย ถ้าปล่อยให้มันหลับไว้ไม่เอามาใช้ก็คงน่าเสียดายตายชัก”
อุเอโนะฮาระจ้องมาที่ผมเงียบๆ
ผมพูดออกไปต่ออย่างรีบร้อน
“อันที่จริงช่วงนี้ฉันเริ่มๆ ยุ่งด้วยสิ จะให้ไปสืบกับวิเคราะห์ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเอาเองมันก็ได้อยู่หรอก แต่ข้อมูลที่ได้จากตัวหนังสือมันก็มีจำกัดนี่แหละ ถ้าเกิดไม่ลงพื้นที่จริงก็สืบไม่ได้หรอก แถมข้อมูลบางอย่างมันก็สืบง่ายกว่าถ้าเป็นผู้หญิงอีก”
ผมพูดเหตุผลดีๆ เท่าที่นึกได้ออกไปทั้งหมด
“ดังนั้นถ้าฉันได้คนที่มีความสามารถแบบเธอมาช่วย แผนการก็จะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นด้วย ถ้าอิงจากข้อมูล ตอนนี้เธอก็ไม่ได้เข้าชมรมหรือว่าเรียนพิเศษที่ไหนใช่ไหม เพราะงั้นก็ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ไปด้วยอีกต่อ อื้ม! เป็นข้อสรุปที่ชาญฉลาดใช่ไหมล่ะ”
ผมพูดต่อไม่หยุดแม้จะรู้ดีว่าสิ่งพูดออกไปมันไร้สาระ
“เพราะงั้นเข้ามาเป็นสมาชิกในแผนการของฉัน… ไม่สิ เป็นแค่สมาชิกมันฟังดูไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไหร่… ลูกน้อง สหาย อืม… จะอันไหนก็ดูไม่ใช่ทั้งนั้นเลยแฮะ”
เหตุการณ์ล้มเหลวในครั้งนี้นับว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือแผนการ การจะสร้างเลิฟคอมเมดี้ในชีวิตจริงนั้น “เบื้องหลังการถ่ายทำ” จากฉากหลังก็ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่การปรากฏตัวของอุเอโนะฮาระนั้น…
นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในชีวิตของผม
ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญ โชคชะตา หรือการพบเจอแบบปกติก็ไม่สามารถอธิบายการพบเจอของพวกเราได้ ราวกับโกหกเลยที่ได้มารู้จักกับเธอแบบนี้ อ๊ะ—
“ใช่แล้ว ผู้สมรู้ร่วมคิด! มาทำสัญญากับฉันแล้วก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของแผนการนี้สิ!”
ผมรู้ว่ามันฟังดูงี่เง่าไม่เหมือนกับตัวเอกในเลิฟคอมเมดี้
“คนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นสามารถเปลี่ยนได้นับตั้งแต่บัดนี้… นี่เป็นคำสอนอันน่าปลาบปลื้มจากเทพเจ้าของฉัน เอ้า! จับมือนี้ไว้สิ”
ผมยื่นมือขวาและขอจับมือ อุเอโนะฮาระมองมาที่มือผมอย่างเงียบๆ
“…ว่าไงล่ะ”
เริ่มเหนื่อยแล้วนะเฮ้ย
“…”
“…เอ่อ คือว่ายังไงเหยอ”
ในขณะที่แขนของผมเริ่มสั่น อุเอโนะฮาระก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ที่สุดของวันนี้
“…นายนี่มัน”
“…มัน?”
“นายนี่มันไอ้บ้าตัวพ่อชัดๆ”
“ไหงเป็นงั้นล่ะ!?”
ผมตะโกนร้องอย่างน่าสมเพช บัดซบเอ๊ย! อุตส่าห์คิดว่าเป็นฉากชักชวนที่เพอร์เฟกต์แล้วแท้ๆ!
อุเอโนะฮาระมองมาด้วยสายตาดูถูก จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“อย่างแรกฉันไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์ตรงไหน”
“พวกเรากำลังจะสร้างเลิฟคอมเมดี้เลยนะ! โอกาสที่จะได้ดูมันจากฉากหลังนี่หายากมากเลยนะ!”
“ไม่เอาด้วยหรอก เอาตั้งแต่แรกฉันก็ไม่ได้สนใจเลิฟคอมเมดี้อะไรนั่นอยู่แล้ว”
“มีนักเรียน ม. ปลาย แบบนั้นด้วยเหรอฟะ!”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ลาก่อนนะ”
“ขอโทษก๊าบ! พอดีลืมตัวไปหน่อย ช่วยยกโทษให้ด้วยเถอะ”
ฮึ่ม! ผลประโยชน์ ผลประโยชน์…
อุเอโนะฮาระหลับตาลงอีกครั้ง
มีอะไรอีกนะ
“ฟู่”
เธอหายใจออกมา
“…ขอถามเอาไว้ก่อน ถึงแม้ฉันจะปฏิเสธ นายก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อยู่ดีใช่ไหมล่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันจะตามล่าไปยันสุดขอบกาแล็กซีเพื่อชักชวนเธอเลย เพราะงั้นขอยืมแรงหน่อยได้ไหม จากยอดนักขายที่เก่งที่สุดของจักรวาลคนนี้”
“นั่นสินะ ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ช่างเถอะ ฉันยอมร่วมมือด้วยก็ได้”
“เหรอ… กะไว้แล้วว่าเธอคงไม่ยอมง่ายๆ—เอ๊ะ?”
เอ๋! คำตอบของเธอมันไหลลื่นเกินไปจนผมกลายเป็นตัวเอกหูตึงไปแล้ว!
“เห้ย! รอเดี๋ยวก่อน ถ้าเกิดจะยอมรับก็ช่วยทำให้มันซาบซึ้งกินใจกว่านี้หน่อยสิ! คิดบ้างรึเปล่าว่าฉันทำอย่างนี้มานานเท่าไหร่ คนที่ทำแบบนั้นแล้วยังโดดเด่นได้ควรจะมีแต่สาวบ้านเท่านั้นสิ!”
อุเอโนะฮาระพูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ เธอใช้ปลายนิ้วม้วนผมที่อยู่ตรงบ่าเล่น
“ก็ฉันเหนื่อยที่จะเถียงกับนายแล้วนี่ อยู่กับนายแล้วมีแต่เรื่อง”
“เอ๊ะ! ด้วยเหตุผลพรรค์นั้นเนี่ยนะ อย่างน้อยก็ช่วยให้คำตอบโรแมนติกๆ แบบที่ทุกคนยอมรับได้หน่อยไม่ได้เหรอ”
“ทุกคนอะไรของนาย ตรงนี้มีคนอื่นอยู่ที่ไหน”
อุเอโนะฮาระปัดมุกผมทิ้งราวกับว่าไม่เก็ต ใบหน้าของเธอยังคงไร้อารมณ์… ไม่สิ นั่นเป็นใบหน้าแบบ “ยาเระ ยาเระ” ใช่ไหมน่ะ [3]
“ไม่คิดเลยว่าจะขาดสามัญสำนึกได้ขนาดนี้”
เธอทำเสียงแบบ “ช่วยไม่ได้สินะ” แบบที่ผมเคยได้ยินจากเลิฟคอมเมดี้สักเรื่อง
เธอตีฝ่ามือของผมด้วยมือขวา
“ถ้างั้นก็… นานๆ ครั้งได้ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกันนะ”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นปากของเธอมีรอยยิ้มเล็กๆ
ยัยลำดับที่ 7 เอ๊ย
“…โถ่เว้ย ตอนที่เธอยิ้มมันน่ารักสุดๆ เลยไม่ใช่รึไงกันนะ”
“น่าขยะแขยง”
“ทำไมฉันถึงถูกด่าล่ะ!?”
“ก็นายมันเอาแต่พูดเวอร์ๆ ตลอดจนฉันขนลุกน่ะสิ”
“แค่ชมไปก็แพ้แล้วเหรอฟะ! หล่อนมันไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดแล้ว เป็นแค่ยัยเครื่องพ่นคำบ่นเท่านั้น ยัยบ้า! ยัยบ้า!”
“เคยได้ยินไหม ว่าคนที่ว่าคนอื่นบ้านั่นแหละที่บ้า”
อีเวนต์สารภาพรักในครั้งนี้นับว่าล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ… แต่ผมก็ได้ผลลัพธ์อื่นที่มาชดเชยความล้มเหลวนั้นแล้ว เพราะงั้นช่างมันเถอะ
“ว่าแต่ นายชื่ออะไรล่ะ”
“…อ๊ะ”
เมื่อถูกถามอย่างนั้นผมก็เพิ่งนึกออกเป็นครั้งแรก จะว่าไปนี่เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่นะ
“ฉันนากาซากะ ปี 1 ห้อง 4 นากาซากะ โคเฮย์ จะเรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”
“งั้นก็นากาซากะ ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฉันอุเอโนะฮาระ อายาโนะ ปี 1 ห้อง 5 จะเรียกว่าอุเอโนะฮาระหรือว่าอายาโนะก็แล้วแต่ชอบเลย”
และด้วยเหตุนี้ “ผู้สมรู้ร่วมคิด” จึงได้ถูกต้อนรับเข้ามาใน “แผนการ” ของผมและเริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง
◆
“…จะว่าไปแล้วทำไมอุเอโนะฮาระถึงไปอยู่บนดาดฟ้าได้ล่ะ”
“ก็เพราะจดหมายรักของนายมันอยู่ในตู้รองเท้าของฉันน่ะสิ”
“…ไหงเป็นงั้น”
“ก็คงเพราะ ตู้รองเท้าของคนที่นายมองหามันอยู่ข้างๆ ฉันไม่ใช่รึไง”
“…เอ๊ะ อย่าบอกนะว่า ฉันใส่ผิดตู้!?”
“นายนี่มันตาบ้าตัวพ่อชัดๆ เลยนะ”
ถึงจะไม่ค่อยกระชับเท่าไหร่ แต่เรื่องราวมันก็เริ่มขึ้นแบบนี้นี่แหละ
**ศัพท์ในตอน**
[1] ความจำสมบูรณ์แบบ เป็นพลังที่สามารถจดจำทุกอย่างที่เคยได้ยินหรือเห็นได้แม้ในชั่วพริบตา ตัวละครในอนิเมะที่มีพลังนี้ก็เช่น เมงุมิ จากโรงเรียนนักสืบ Q ,อินเด็ก จาก Toaru Majutsu no Index
[2] สาวบ้าน ล้อเรื่อง Saenai Hiroin no Sodatekata
[3] “ยาเระ ยาเระ” เป็นคำอุทานเวลาที่เหนื่อยใจอะไรสักอย่าง ไม่มีคำแปลไทยตรงๆ แต่ถ้าแปลให้ใกล้เคียงที่สุดก็คงประมาณว่า “ให้ตายสิ”