เอ่อ...ขอโทษนะ แต่แกจะขโมยสกิลแบบนี้ไม่ได้นะ - ตอนที่ 255.2 : ตัวปัญหาที่ยืนขวางอยู่ได้ (ตอนปลาย)
- Home
- เอ่อ...ขอโทษนะ แต่แกจะขโมยสกิลแบบนี้ไม่ได้นะ
- ตอนที่ 255.2 : ตัวปัญหาที่ยืนขวางอยู่ได้ (ตอนปลาย)
……
…
“ ชิ!! พาไอนี้กลับไปส่งทิเรียเร็วเข้า!! ”
“ อ่า!! เข้าใจแล้ว!! ”
เพนเทที่รู้คำสั่งของยูเรย์ก็ดึงคอจอมมารเข้าเส้นทางวิญญาณไปทันทีเพื่อเอาไปส่งให้กับทิเรีย ส่วนยูเรย์ก็ยืนสู้ตัวๆ ศัตรูน่ะถึกทนนี้อีกรอบโดยไม่มีการช่วยเหลือจากเพนเทเหมือนก่อนหน้า ทว่า…
ฉัวะ
“ ดูท่าแกคงเจ็บหนักเลยสินะ หนังบางขนาดนี้น่ะ!! ”
“ อาาา…ท ท่านจอม..มาร.. อย่า…พู… โออออ ”
[ ขนาดเสียงพูดยังไม่มีเลย แบบนี้ก็ง่ายหน่อย ]
ทว่าอีกฝ่ายเองก็พอจะสวนกลับยูเรย์มาได้ แถมยังพูดตอบโต้กับคำพูดของยูเรย์ได้ด้วยแต่มันก็ฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งการโจมตีพวกนั้นมันช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ซึ่งยูเรย์ที่คล่องตัวกว่าก็หลบได้อย่างไม่ยากเย็นแล้วเริ่มจะอ่านทางของศัตรูได้ง่ายขึ้น
ฟุ่ม ฟุ่ม ฟุ่ม ฉัวะ ฟุ่ม ปั้ง ฟุ่ม
[ วิธีต่อสู้คล้ายๆยัยนั้นแหะ แต่ดัน…เป็นโจมตีใกล้เพียวๆตอนเราไม่มีอุปกรณ์เซฟแบบนี้ แย่ ]
ยิ่งพอผ่านไปนานเท่าไหร่ยูเรย์ก็เริ่มจะรู้แล้วว่าศัตรูตรงหน้าเหมือนกับคนคนหนึ่ง เอเนอา การต่อสู้ของเอเนอานั้นจะเป็นการยืนรับดาเมจและสวนกลับแบบรุนแรงด้วยธนูของเธอ ซึ่งศัตรูตรงหน้านี้ก็กำลังทำแบบเดียวกันต่างที่มันพยายามโจมตีระยะใกล้ ความต่างนี้ทำให้ยูเรย์ไม่คิดจะพุ่งเข้าใส่เหมือนตอนจำลองสู้กับเอเนอา เพราะศัตรูที่ดูจะถนัดต่อสู้ระยะประชิดมีโอกาสจับเธอได้ และถ้าโดนจับในสถานการณ์ที่ไม่มีอุปกรณ์เซฟชีวิตแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก
[ เพนเท… รีบๆมาเร็วเข้า! ]
ปั้ง ปั้ง ปั้ง ปุก ปุก ฟุบ
สิ่งเดียวที่ทำได้คือยิงถ่วงเวลาไว้ ซึ่งกระสุนปืนของเธอก็พอจะเจาะมันได้แล้ว แต่ก็มีปัญหาคือแม้จะเจาะได้ทว่ากลับไม่ได้สร้างบาดแผลใหญ่อะไร แถมมันก็ยังพยายามจะเข้ามาใกล้เพื่อจะเขมือบด้วยก้อนเนื้อพวกนั้นอีก สถานการณ์แบบนี้ก็มีแต่ต้องรอให้เพนเทกลับมาช่วยพลัดการโจมตีเท่านั้น
ปั้ง ปั้ง ปั้ง
“ มาแล้ว!! ”
“ อ่า!! ตอนนี้ร่างกายมันเปราะมากๆแล้ว แค่มีดก็ตัดเข้าได้ แต่ระวังเรื่องการโจมตีระยะใกล้!! ”
ไม่นานเพนเทก็กลับมา ทำให้ทั้งสองสื่อสารกันสั้นๆเป็นการบอกข้อมูลที่สำคัญ แล้วก็ลงมือทำในทันที เพนเทที่หลบได้ง่ายกว่ายูเรย์ก็เข้าไปเป็นตัวล่อแล้วให้ยูเรย์จัดการตัดผ่านร่างของมัน ซึ่งแม้ว่าจะตัดได้ก็ตามแต่ร่างกายของมันก็เชื่อมเข้ากันอย่างรวดเร็ว
“ เอาไงล่ะทีนี้!?!? โอ๊ย!! อย่าพึ่งสิยะ!! ”
“ มีอะไรหยุดมันได้ก็ลองไปก่อนเลย!! ”
“ แบบนี้ไม่ดึงเข้าไปในทางเดินวิญญาณจะง่ายกว่าเหรอ!! ”
“ ถ้ามันดึงแล้วไม่กลับออกมาก็คงให้ดึงไปแล้ว!! ”
ยังไงก็ตาม ทั้งสองที่ยังพยายามจะฆ่ามันก็ต้องพบว่าการโจมตีของพวกเธอได้แต่สร้างบาดแผลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น จนทำให้เพนเทถามถึงวิธีที่เคยใช้ก่อนหน้า ทว่ายูเรย์ก็ประเมิณแล้วว่ามันไม่น่าจะได้ผลดีนักเพราะสุดท้ายมันก็จะกลับมาได้แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็เป็นการบาดเจ็บแค่ภายนอกไม่ได้ทำให้กำลังของมันลดลงเลย
“ ทีละจุดเพนเท!! ทีละจุด!! ”
“ อ๊าาา!! จะพยายามแล้วกันนะ!! ”
ยูเรย์ที่เห็นว่าแยกกันโจมตีจุดต่างๆมันไม่ช่วยให้ตัวประหลาดนี้หยุดขยับลง หรือจะตัดกำลังมันลง ดังนั้นเธอจึงเล็งโจมตีไปทีละจุดโดยเริ่มจากแขนที่คอยใช้โจมตีพวกเธอ และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการลงมีด เพนเทก็จะเข้ามาโจมตีตามในจุดนั้นสลับกันไป
“ จะขาดแล้ว!! ”
เพนเทเริ่มเห็นได้ว่าเนื้อพวกนั้นมันขาดออกจากกันและไม่สามารถจะเชื่อมโยงเข้าหากันได้ทันกับการโจมตีของพวกเธอ ซึ่งก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นส่วนที่พวกเธอเล็งไว้ส่วนแรกก็ขาดออก แขนนั้นมันหลุดตกลงสู่พื้น แล้วแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง
“ อา… โอ… ”
ผัวะ
“ เดี๋ยวเถอะ!! ”
เจ้าตัวประหลาดนั้นมันพยายามจะวิ่งเข้าไปคว้าเอาแขนที่ตกลงพื้นของตน แต่ว่าเพนเทก็เข้าไปเตะแขนนั้นจนกระเด็นเข้าไปติดอยู่กับกำแพง และส่วนยูเรย์ก็วิ่งตามหลังมันเข้าไปใช้มีดฟันเข้าที่หลังต้นขาของมัน
“ เร็วเข้า!! ถ้าหยุดมันได้อะไรก็ง่ายแล้ว!! ”
“ ก็พยายามอยู่นี้ไง แต่ไอบ้านี้พยายามจะเข้ามาหยิบแขนตลอดเลย ไม่เห็นเหรออเคนโทร!! อ๋า! หยุดวิ่งเข้ามาดิ!! ”
ยูเรย์พยายามจะเรียกให้เพนเทมาช่วยฟันเพราะการโจมตีของเธอคนเดียวมันไม่เร็วพอจะทำให้ขาดได้ และแม้ว่ามีดของยูเรย์จะเคลือบไปด้วยหมอกสีม่วงก็ตาม แผลพวกนั้นมันก็ยังคงฟื้นตัวได้อยู่ดี เพราะการกัดกร่อนของหมอกมันเหมือนกับว่าทำได้ไม่เต็มที่แบบที่ปกติจะเป็น
[ หมอกเรามันเร่งเวลาอายุขัยกับย่อยสลายสิ่งที่สัมผัส แต่แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน??? ]
ซึ่งตัวของผู้ใช้เองก็รู้ว่ามันแปลก แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาให้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอพยายามจะโจมตีแล้วดึงความสนใจจากมันเพื่อให้เพนเทเข้ามาซ้ำแผลของมันได้ แต่ว่าศัตรูก็ไม่สนใจแล้วเอาแต่จะวิ่งไปหาแขนของมันทว่าเพนเทก็ไม่ยอมแล้ววิ่งไปเตะให้แขนของมันกระเด็นไปอีกทาง
“ เพนเท!! ถ้าไม่ไหวโยนมาทางนี้!! ไม่สิ แบกเอาไว้เลย!! ”
“ เอ๋?!?! หยะแหยงอ่าาา!! ”
“ ยังไงมันก็วิ่งตามแล้ว!! แบกไว้เลย แบกแล้วก็ใช้โอกาสที่มันเหลือแค่แขนเดียวนี้แหล่ะ จัดการกับส่วนที่เหลือต่อเลย!! ”
“ อ๊าาา!! ก็ได้ ก็ได้!! ”
เพนเทคว้าเอาแขนนั้นขึ้นมาแล้วก็วิ่งสวนเข้าไปยังฝั่งที่ไร้แขน พร้อมกับจัดการลงมีดของตนซ้ำลงไปบนแผลของมัน ก่อนที่ยูเรย์จะวิ่งเข้ามาซ้ำต่อแล้วเริ่มลูปการพลัดกันฟันเข้าไปเรื่อยๆ จนสามารถตัดขาได้และทันทีที่ขามันขาดออก การเคลื่อนที่ของมันก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ดีมันก็พยายามจะคลานเข้าไปเอาขาของตัวเองคืน ทว่ายูเรย์ก็ไม่ปล่อยโอกาสนั้น เธอวิ่งเข้าไปเตะขาไปไว้ไกลถึงมุมห้อง แล้วก็ลงมือฟันส่วนแขนกับขาข้างที่เหลือในทันทีส่วนเพนเทเองเมื่อเห็นว่าศัตรูโจมตีพวกเธอยากแถมขายังไม่มีจนเคลื่อนที่เข้าหาลำบาก เธอก็โยนแขนไปไว้อีกมุมห้องแล้วโผเข้าฟันตามจุดที่ยูเรย์ได้ลงรอยมีดไว้
“ ฮ่าห์ ฮ่าห์… ขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีก ”
“ ถึกเกินไปแล้ว หรือว่ามันเป็นอมตะเนี่ยยย!! โอ้ยยยยน่ารำคาญญญญ!! ”
ทั้งสองแม้จะหั่นมันจนแยกเป็นส่วนต่างๆแล้วแต่มันก็ไม่ตาย แถมยังพยายามจะเข้ามาโจมตีทั้งสองด้วยส่วนหัวที่ยังติดกับตัวอยู่ มันพยายามจะกัดขาของทั้งคู่แต่ก็โดนทั้งเพนเทและยูเรย์เตะอัดจนน่าหันอยู่เรื่อย
“ เพนเท รบกวนกลับไปเอากล่องเหล็กหนาๆมาที เอามาซัก 6 กล่องเลยนะ ”
“ จะเอามาทำไมล่ะ? เห้ออ ช่างเหอะ บ่นไปก็เท่านั้นล่ะเนอะ งั้นแปปนะ เดี๋ยวกลับมา ”
ซึ่งเพนเทก็สงสัยว่าจะเอามาทำไม แต่ว่าก็ต้องตัดใจถามพร้อมกับเปิดช่องมิติเพื่อไปเอาของพวกนั้นมาพร้อมกับบ่นๆด้วยสีหน้าเซ็งๆ โดยทันทีที่ออกไปยูเรย์กันหามามองดูเซบาสอะไรนั้นที่เหลือแค่หัวกับตัวนอนจ้องมองเธออยู่
“ ให้ตายเหอะ แกคงเป็นพวกอมตะอะไรล่ะสิ ก็ดี ก็ดี ไหนๆตอนนี้แกก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว งั้นก็มาดูกันสิว่าเรื่องเล่าการแยกส่วนคนของท่านพี่จะใช้ได้ผลหรือเปล่า ถ้าไม่ได้แกก็จะได้กลับมาหาเรื่องพวกเราอีก แต่ถ้าได้แกก็จะตายในรูปแบบนึงล่ะนะ เอ…แต่จะนับว่าตายก็ยากก็เหมือนกันแหะ ก็ไม่ได้ตายจริงๆนี่ ”
กึง กึง ตึ้ง
และก็เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้น เพนเทก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าใส่กล่องเหล็ก 6 ใบ ที่ตอนเธอเดินออกมาก็แสนจะทุลักทุเล จนโยนบางกล่องออกมาก่อนก็มี
“ หนักเกิ๊นนน แล้วเคนโทรทำไมไม่ไปพร้อมเค้าแล้วช่วยกันยกมาล่ะ ให้ยกมาคนเดียวแบบนี้มันทรมานกันชัดๆเลยนะ! ”
“ คิดสิเพนเท ถ้าไปกันสองคนใครจะเฝ้าชิ้นส่วนของพวกมันที่อยู่ตรงมุมห้องล่ะ? ”
“ ก ก ก็…จริงแหะ ”
ยูเรย์เองเดินเข้าไปหยิบเอากล่องออกมาแล้วเริ่มลงมือในสิ่งที่เธอคิดไว้ นั้นคือการเอาชิ้นส่วนที่แยกยัดเข้ากล่องเหล็กทั้ง 6 โดยแบ่งจากแขน และ ขาอย่างละ2ข้าง ก่อนจัดการตัดหัวของมันแยกออกจากตัวเพื่อเอายัดใส่กล่องที่เหลือ
กริ๊ก กริ๊ก
ซึ่งเพนเทตอนที่ช่วยเอาชิ้นส่วนพวกนั้นเข้่าใส่กล่องแล้วล็อกพร้อมกับพันเทปสีเหลืองเตือนว่าของข้างในมันเป็นของอันตราย เธอก็มองหน้ายูเรย์พร้อมกับส่งสายตาเหมือนกับถามว่า [จะให้เอาไปแยกโยนแต่ละจุดใช่มะ?]
*หงึก*
“ อ๋าาาา จริงดิ โอ้ยยย กลับไปขอพักยาวเลยนะ!! ใช้เดินทางไปมาหลายที่ขนาดนี้!! ปะ รีบไปรีบกลับไปนอน!! ”
และยูเรย์ก็พยักหน้ายืนยัน ทำเอาเพนเทถึงกับไหล่ตกก่อนจะก้มหน้าก้มตาปิดผนึกกล่องด้วยเทปสีเหลืองที่เหลือก่อนที่จะพากันเอากล่องพวกนั้นไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะบนจุดสูงสุดของโลกที่แสนจะเยือกเย็น ใต้สุดของโลกคือถ้ำใต้ทะเล หรือตะวันออกที่เต็มไปด้วยหุบและตะวันตกที่มีแต่ทะเลทราย
ฟุบ
“ แขนนนเค้าาาา ชาาาหมดแล้วววว!! อ๊าาาา อ๊ะ? จะว่าไปเราไปแค่ 4 ที่เองนิ? เหนือ ใต้ ออก ตก ”
โดยพอจัดการจนเสร็จ ทั้งสองก็เดินทางกลับมาที่เรือและทันทีผ่านทางเดินวิญญาณ ทว่าทันทีที่มาถึง เพนเทก็มองไปบนหลังของยูเรย์ เพราะบนหลังของเธอยังมีกล่องอีกตั้ง 2 ใบที่ไม่ได้เอาไปทิ้ง กล่องใหญ่สุดและเล็กสุด ที่ใส่หัวกับตัวเอาไว้
“ เน่ๆ ลืมเอาไปฝังหรือเปล่าอ่ะเคนโทร? จะรีบกลับไปฝังเลยมะหรือว่าจะพักกันก่อน? ”
“ อ๋อ นี้น่ะเอาไว้ให้สองคนนั้นไงเอเนอากับอัลฟ่า เห็นว่าอยากได้อะไรมาใช้ในการทดลองเรื่องความทนทาน แล้วนี้ก็พอดีเลย เห็นไหม ”
“ ไม่อ่ะ ไม่พอดีเลย ไม่ใช่ว่าไอตัวการทดลองอะไรนั้นทั้งสองคน ส่งเอกสารขอใช้ตั้งแต่สองเดือน ไม่สิ สี่เดือนที่แล้วไม่ใช่เหรอ?? แต่ก็มาติดว่าเคนโทรปัดตกเพราะมันแพงแถมบอกว่าไม่คุ้มจะลงเงิน แถมไล่ให้ไปหางบซื้อเองอีกไม่ใช่อ๋อ?? ”
“ ไม่รู้สิ ”
เพนเทเดินเข้าไปสะกิดและถามยูเรย์ แต่ว่ายูเรย์ก็ส่ายหน้าก่อนจะบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ยิ่งเพนเทได้ฟังก็ได้แต่ขำแห้งเท่านั้น ก่อนจะพากันเดินกันไปที่ห้องแล็บของเอเนอาและอัลฟ่า ห้องแล็บที่ตอนนี้อยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินสีขาว เรือธงของกองเรือที่ 1
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ ติ๊ด…
“ ฮ่าๆๆ!! วะฮ่าๆๆๆ!! ”
พอมาถึงยูเรย์ก็กดรหัสที่หน้าประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปยังข้างใน ที่เป็นห้องสีขาวซึ่งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์และการวิจัยอยู่เต็มไปหมด ทว่าด้านในสุดกลับเป็นห้องมืดที่มีแสงไฟสีแดงส่งแสงออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแปลกๆ
โดยภายในห้องนี้นั้นก็มี อัลฟ่าในชุดกาวน์กำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ และด้านหลังของเธอก็เป็นห้องกระจกที่ใจกลางห้องมีการบรรจุหลอดแก้วเอาไว้ หลอดแก้วซึ่งใส่ร่างของมาร์ที่มีมีดปักทะลุจากด้านหลังมาด้านหน้าอยู่กลางหน้าอก เธอที่เห็นว่ายูเรย์กับเพนเทมาก็รีบลุกก่อนจะก้มหัวให้อย่างเงียบๆ
ตึก ตึก ตึก
จี่….
หงึกๆ
เพนเทเองก็เดินนำหน้าขึ้นมาก่อนจะมองด้วยสายตาเหมือนกับถามว่าอีกคนอยู่ไหน อีกคนคือเอเนอาอยู่ไหน ซึ่งอัลฟ่าก็ไม่ได้ตอบด้วยการพูดแต่เป็นการมองไปยังห้องมืดที่อยู่ด้านในสุด ห้องที่มีแสงไฟสีแดงส่องออกมา ยูเรย์เอากล่องเหล็กบนหลังลง ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนั้น
พรึบ
“ เท่านี้ก็เอาไปขายให้พวกนั้น แล้วจะได้มีงบไปซื้อตัวทดลองแปลกๆเพิ่มสักทีนะฮะ ฮ่าๆๆ วะฮ่าๆๆๆ!! ”
ทันทีที่เปิดเข้ามา ก็พบกับเอเนอาที่หัวเราะอย่างมีความสุขโดยบนเพดานห้อง บนกำแพง และในมือ ต่างก็มีรูปภาพโพลารอยด์มากมาย รูปของคนสองคนคือเพนเทกับยูเรย์กำลังกอดกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทั้งตอนนอนบนเรือในอดีต ตอนล่าสุดที่เอาหน้าผากชนกัน
ฟู่…. แกรก แกรก
“ !! เคนโทร!! ไม่นะฮะ!! หยูดดด… ”
หมับ ตึง!!
“ แหน่ะๆ จะทำอะไรน่ะหืมม เอ เน อา?? ”
ยูเรย์ที่เห็นก็ยิ้มโดยไม่ได้สนใจก่อนจะทำการปล่อยหมอกควันสีม่วงออกมาถมพื้นที่ในห้องจนข้าวของในห้องมืดนี้โดนทำลาย ในขณะที่เอเนอาก็หันกลับมามองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจก่อนจะพุ่งเข้าใส่ยูเรย์เพื่อยับยั้งเธอ ทว่าเพนเทก็เข้ามารับไว้ก่อนจะจับกดกับพื้นแล้วขึ้นไปคล่อมบนหลังเพื่อกดไม่ให้เอเนอาลุกได้
ฟู่… แกรกๆ ฟู่…
“ เรียบร้อย เท่านี้ภาพที่พยายามจะล้างก็ไม่เหลือแล้วนะ ”
“ ม่ายยยยยยยยยย!!! ”
“ อุ๊บ… ”
“ ไม่ต้องมาไม่เลย นี้อุตส่าห์เอาร่างกายของคนที่ไม่มีวันตายจริงๆมาให้แท้ๆ แต่นักวิจัยดันมาล้างรูปแบบนี้ น่าอายจริงๆ ”
พอจัดการกับห้องล้างรูปแล้ว ยูเรย์ก็บอกว่าได้ของมาร่างกายของคนที่ไม่มีวันตายจริงๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้ใบหน้าของเอเนอาที่ร้องไห้ กับอัลฟ่าที่มองดูเหตุการณ์อย่างกลั้นขำ ก็เปลี่ยนมาเป็นสนใจก่อนจะมองตรงไปยังกล่องเหล็กทั้งสองทันที
ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ
“ ถึงเมดผู้รับใช้ทุกคน ขอเรียนให้มารวมตัวกันในอีก 20 นาที ที่ห้องประชุมของเรือธงเพื่อรับฟังข้อมูลที่ดิชั้นได้ถามมาจากเชลยคนสำคัญเจ้าค่ะ ย้ำอีกครั้งในอีก 20 นาที ที่ห้องประชุมบนเรือธงนะเจ้าคะ ขอบคุณเจ้าค่ะ ”
ทว่าแทนที่จะได้เปิดกล่องเลยนั้น ก็มีเสียงแจ้งเตือนเข้ามาจากทิเรียให้ เมดผู้รับใช้มาร์มารวมตัวกันเพื่อรับทราบเรื่องจากเชลยที่จับตัวมาได้ นั้นเองทำให้เพนเทลุกออกจากเอเนอา ส่วนยูเรย์ก็หันไปมองกับอัลฟ่าก่อนจะบอกด้วยรอยยิ้มที่ดูไว้ใจเธอไม่ใช่น้อย
“ อัลฟ่ารีบๆเอากล่องนั้นไปเก็บให้เรียบร้อยแล้วก็ระมัดระวังอย่าให้มันหลุดออกมาได้ล่ะ ”
“ ค่ะท่านพี่เคนโทร ถ้าเช่นนั้น ”
กริ๊ก กึง…ครืดดด ตึง
อัลฟ่าก็รับทราบ ก่อนจะกดสวิตช์เปิดช่องบนพื้นข้างๆเธอ แล้วทันใดนั้นก็มีหลอดแก้วค่อยๆยกขึ้นมาสองหลอด โดยในหลอดนั้นมีของเหลวสีเขียวที่ปล่อยกลิ่นแปลกๆออกมาตลอดเวลา เธอเอากล่องเหล็กทั้ง 2 ใบใส่ลงไปและทันใดนั้นเทปสีเหลืองก็โดนย่อยสลายหายไป ทิ้งไว้เพียงกล่องเหล็กเท่านั้น
“ หลอดแก้ว? แบบนี้มันจะไม่หลุดออกมาก่อความวุ่นวายอะไรแน่นะ? ”
“ แน่นอนค่ะท่านพี่ นี้ค่ะ… ”
ซึ่งยูเรย์ก็ถามเพื่อความมั่นใจของเธอด้วยความสงสัย และอัลฟ่าก็พยักหน้าก่อนจะหยิบเอาศพหนูที่อยู่ในถังขยะออกมาแล้วปล่อยมันลงไปในหลอดแก้วนั้น โดยทันทีที่มันสัมผัสกับบนสุดของของเหลวสีเขียว ร่างของมันก็สลายหายไปหมดเลยโดยไม่มีส่วนไหนได้จมลงไป
“ และต่อให้มันไม่ถูกกรดย่อยสลายและหลุดออกมาจากกล่องเหล็กได้ มันก็จะถูกขังอยู่ในหลอดแก้วที่มีการหล่อกระแสไฟฟ้ากำลังสูงเข้าไปเรื่อยๆค่ะ ส่วนตัวกรดที่อยู่ในหลอดเองก็เป็น กรดทีมีผลกับแค่สิ่งที่มีโปรตีนผสมเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่ใช้ของที่มาจากสิ่งมีชีวิตมันก็จะไม่ย่อยค่ะ เหมือนกับกล่องเหล็กนั้น ”
“ เห? วิจัยของแบบนี้ออกมาได้ทำไมไม่เอาไปใช้เป็นอาวุธล่ะอัลฟ่า?? ”
เพนเทที่ได้ฟังคำอธิบายของอัลฟ่าก็เกิดถามขึ้นมาแบบนั้น ซึ่งอัลฟ่าก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับอย่างช้าๆ เรียบๆ และสุภาพ
“ เนื่องจากนายท่านไม่เห็นด้วยกับการใช้กรดเข้มข้นสูงขนาดนี้ในการสงครามน่ะค่ะ ท่านพี่เพนเท ”
“ อ่า… เข้าใจเลยแหะ เหมือนตอนนั้นที่ห้ามไม่ให้เชื้อโรคที่เรียกว่า ชาร์ อะไรนั้นใช่มะ? ”
“ ซาร์ลค่ะท่านพี่ ถ้าชื่อเต็มที่ตั้งไว้ก็คือ SARS-2-CoV-2-UT-A ค่ะ ประเภทแพร่กระจายผ่านอากาศ นายท่านบอกว่ามันอันตรายเกินไปเพราะเป็นประเภทแพร่กระจายได้ไวกว่าเดิม 4 เท่า ก็เลยเกรงว่าจะควบคุมไม่ได้หากพลาดขึ้นมาน่ะค่ะ ”
“ แย่เลยเนอะ แต่ว่า… ”
“ เรื่องนั้นไว้คุยหลังประชุมเถอะ ปะเพนเท ”
“ จ้า จ้า งั้นไว้เจอกันที่ห้องประชุมนะทั้งสองคน ”
ในระหว่างที่อัลฟ่ากับเพนเทกำลังคุยกันอยู่นั้น ยูเรย์ก็ขัดขึ้นมาเพราะเธอแค่พอยืนยันได้แล้วว่ามันปลอดภัยก็ถือว่าทุกอย่างที่ควรจะทำในที่นี้สิ้นสุดแล้ว และนั้นก็ทำให้ยูเรย์เดินนำออกไป ส่วนเพนเทเองก็ตามไปติดๆ ทว่าทางด้านของอัลฟ่าที่มาช่วยเอเนอาลุกก็ถูกเอเนอาถามด้วยเสียงที่เบาแสนเบาว่า
“ กล้องถ่ายที่ซ่อนไว้ในห้องทั้งหมดถ่ายทันหรือเปล่าฮะ ตอนที่เพนเทจับกดผมน่ะ ”
“ เรียบร้อยค่ะ… เท่านี้เราก็มีของไปขายให้พวกกองเรือของท่านพี่เอเนอากับท่านเพนเทแล้วสินะคะ ”
“ ดีมากฮะ!! เท่านี้งบวิจัยถัดไปก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลยล่ะฮะ 555 ”
…..