หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 501 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (3)
ตอนที่ 501 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (3)
เหิงจวิ้นอ๋องไม่รู้ว่าแม่ทัพเว่ยกำลังรู้สึกอย่างไร นึกเพียงว่าเว่ยจางเกิดมาก็มีสีหน้าที่เย็นชาเช่นนี้แล้ว ดังนั้นจึงพูดยิ้มๆ “ท่านแม่ทัพ ไปนั่งข้างในหน่อยไหม กลางถนนคงไม่สะดวกแก่การเสวนาหรือเปล่า”
หนึ่งคนคือท่านอ๋อง ส่วนอีกคนคือแม่ทัพ ทั้งยังมีเจ้าหนูน้อยอายุสองขวบตามมาด้วย ยืนอยู่กลางถนนเพื่อชมทิวทัศน์อันงดงามหรือไร แล้วแม่ทัพเว่ยจะปฏิเสธได้อย่างไร
เขาจำเป็นต้องเก็บซ่อนความเกลียดชังนี้ไว้ในใจ ความรู้สึกเช่นนี้แย่จริง! แม่ทัพเว่ยยื่นบังเหียนให้บริกรของซูเย่ว์ไจด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วตามเหิงจวิ้นอ๋องเข้าไปด้านใน
เพิ่งเดินถึงประตู ก็มีเสียงม้าวิ่งอย่างว่องไวดังขึ้นจากด้านหลัง เว่ยจางหันหน้าไป เห็นสตรีผู้หนึ่งที่สวมชุดขี่ม้าสีม่วงเร่งม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว เว่ยจางเป็นคนตาไว จึงมองออกทันทีว่าคนคนนั้นคือองค์หญิงคังผิง คิดว่าคงรีบไปขอร้องให้ฮ่องเต้ทรงเมตตา เว่ยจางยกยิ้มจางๆ พลางหมุนตัวกลับไป องค์หญิงคังผิงกลับหยุดม้าและกลับม้ามาทางเดิม พร้อมทั้งตวาดด้วยเสียงดัง “เว่ยจาง! หยุดเดี๋ยวนี้!”
เว่ยจางเหมือนคาดการณ์ได้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงชะงักฝีเท้าหันหลังกลับไปอีกครั้ง แล้วมององค์หญิงคังผิงที่กำลังวกกลับมา เหิงจวิ้นอ๋องกลับคาดไม่ถึง ยัยหนูน้อยในอ้อมกอดเหิงจวิ้นอ๋องก็สะดุ้งตกใจทันที หน้ากลมมนบูดบึ้ง ดวงตาเบิกกว้าง
“เย่ว์เอ๋อร์ไม่ต้องกลัว” เหิงจวิ้นอ๋องถามชื่อของนางจากปากนางแล้ว เขาใช้มือเดียวอุ้มนางไว้ ส่วนมืออีกข้างดึงมือของยัยหนูน้อยที่อยู่ในปากของนาง จากนั้นตบหลังนางเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ”
“องค์หญิงมีเรื่องอะไรจะชี้แนะกระหม่อมหรือ” เว่ยจางประสานมือคารวะองค์หญิงคังผิง น้ำเสียงไม่ได้ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่ง ทว่าแววตากลับมีความทระนงแอบแฝง
องค์หญิงคังผิงใช้แส้ม้าในมือชี้หน้าเขา แล้วตรัสด้วยเสียงเย็นชา “เว่ยจาง เจ้าอย่าได้ใจเร็วเกินไป! ถ้าคนของเปิ่นกงเป็นอะไรไป ต้องไม่ปล่อยเจ้าให้ลอยนวลไปแน่นอน!”
“พี่ใหญ่” เหิงจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว “นี่ท่านหมายความว่าอะไร แม่ทัพฝู่กั๋วไปทำอะไรให้ท่านไม่พอพระทัยตั้งแต่เมื่อใดกัน หากมีเรื่องเข้าใจผิดกัน ก็แค่นั่งเสวนากันดีๆ สบถหยาบใส่คนอื่นกลางถนนเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เชื้อพระวงศ์พึงกระทำหรือเปล่า เสด็จพ่อรู้คงจะเกรี้ยวโกรธอีกแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!” องค์หญิงคังผิงถลึงตามองเหิงจวิ้นอ๋อง แล้วสบถหยาบเว่ยจางอีกครั้ง “เว่ยจาง! เจ้าต้องเจอดีแน่!”
เว่ยจางยิ้มน้อยๆ “องค์หญิงไม่ต้องกังวลพระทัยไป กระหม่อมเว่ยจางรอให้องค์หญิงเอาผิดอยู่ ทว่าองค์หญิงอย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นี่เลย หย่าจวิ้น…อ้อ ควรทูลว่า…องค์ชายสามเกาหลีคงถูกฝ่าบาทแล่เนื้อเถือหนังไปแล้วหรือเปล่า”
ระหว่างเรื่องแก้แค้นศัตรูกับช่วยบุรุษที่หมายปอง แน่นอนว่าช่วยชีวิตบุรุษที่หมายปองสำคัญยิ่งกว่า ศัตรูค่อยมาจัดการภายหลัง ทว่าหากไปสายกว่านี้ก็อาจทำให้หย่าจวิ้นสิ้นใจได้ องค์หญิงคังผิงทิ้งท้ายด้วยคำพูดโหดเหี้ยม พลางใช้แส้เร่งม้ามุ่งหน้าไปยังราชวัง
เหิงจวิ้นอ๋องถอนหายใจ พลางตรัส “ตั้งแต่ราชบุตรเขยทำเรื่องอับอายพวกนั้น นับวันคิงผิงก็ยิ่งสติวิปลาสแล้ว”
เว่ยจางแค่นเสียงเรียบในลำคอ ไม่พูดไม่จา เวลานี้ต่อให้เขาไม่ชอบองค์หญิงคังผิง และไม่ชอบเหิงจวิ้นอ๋อง ทำได้เพียงแสดงออกผ่านสีหน้า แต่มิอาจทำอะไรมากไปกว่าได้
กลับกล่าวถึงเมื่อคืนที่ฮ่องเต้ไต่สวนเชลยชาวเกาหลีด้วยตัวเอง ทำเอาไม่ได้บรรทมทั้งคืน หลังจากออกพระราชโองการให้อวิ๋นคุนจับกุมตัวเชลย เฉิงอ๋องก็โน้มน้าวให้ฮ่องเต้บรรทม
ตอนองค์หญิงคังผิงฝ่าเข้ามาในราชวัง ฮ่องเต้กำลังบรรทมอยู่ในโถงข้างตำหนักจื่อเฉิน ขันทีและอารักขาที่อยู่ด้านนอกไม่ยอมให้องค์หญิงคังผิงฝ่าเข้าไปตามอำเภอใจอยู่แล้ว ทว่าพอเจอนางโวยวาย เหล่าข้ารับใช้ก็สิ้นหนทาง
ฮ่องเต้ที่กำลังบรรทมไม่สนิทจึงตื่นเพราะเสียงโวยวายด้านนอก และเกรี้ยวกราดขึ้นมาเล็กน้อย พอถามก็รู้ว่าเป็นองค์หญิงคังผิงที่กำลังโวยวาย จึงใช้พระหัตถ์ปัดถ้วยชาที่นางกำนัลยื่นมา แล้วตรัสด้วยความโมโห “จับบุตรีอกตัญญูของเจิ้นไปขังไว้ในคุกวังหลวงเดี๋ยวนี้!”
การซุกซ่อนโจรก็เท่ากับเป็นการก่อกบฏ ถึงแม้องค์หญิงคังผิงไม่รู้เรื่อง และถูกเชลยที่เป็นข้าศึกหลอกใช้ ทว่าแค่ดูจากนางที่ขาดสติฝ่าเข้ามาโวยวายถึงตำหนักจื่อเฉินก็ไม่ใช่ความผิดเล็กๆ แล้ว ไหวเอินไม่กล้ามากความ จึงรับคำแล้วออกไปประกาศพระราชโองการนี้ทันที
เพียงแต่ว่าเขาไปไวมาไวยิ่งนัก ตอนที่เข้ามาอีกครั้ง สีหน้าก็ดูซีดเซียว เขาคุกเข่าลงพร้อมทูลด้วยเสียงสั่นคลอน “ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง…ทรงพุ่งชนรูปปั้นสิงโตหน้าประตู…”
“อะไรนะ!” ฮ่องเต้ทั้งสะดุ้งพระทัยและเกรี้ยวโกรธ จึงเหยียดพระวรกายเสด็จออกไปสองสามก้าวแล้วเสด็จกลับมาอีกครั้ง พร้อมตรัสอย่างโกรธา “นางเป็นเช่นไรบ้าง”
“ทูลฝ่าบาท โชคดีที่อารักขาดึงตัวองค์หญิงได้ทันเวลา ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ทว่า…ทั้งพระเศียรและพระพักตร์เปื้อนพระโลหิต บ่าวตามหมอหลวงมาแล้ว…”
“นางกลับใช้ความตายข่มขู่เจิ้น!” ฮ่องเต้ได้ยินว่าพระราชบุตรีไม่ได้ล่วงลับไป จึงโมโหดั่งเพลิงกาฬ แล้วเดินไปมาในตำหนักอยู่หลายรอบ
“นางไม่ได้อยากตายหรือ ปล่อยให้นางตายไปสิ! เจิ้นกลัวว่านางจะตายกระนั้นหรือ!”
“เพื่อข้าศึกกลับบังอาจท้าทายเสด็จพ่อตนเอง?!”
“เจิ้นมีราชบุตรีที่ไม่เอาถ่านเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ช่างน่าชังจริง!”
“น่าชังจริงๆ!”
ฮ่องเต้ยิ่งอยู่ยิ่งเกรี้ยวโกรธ จู่ๆ ก็ยกพระบาทเตะเตาทองสัมฤทธิ์สามขาในตำหนัก
ไหวเอิน ขันทีน้อย และนางกำนัลต่างตกใจจนคุกเข่าลง
ฮ่องเต้ตึงเครียดจนยืนอยู่ที่เดิมไปชั่วครู่ ตอนกำลังจะก้าวเดินอีกครั้ง จู่ๆ พระวรกายก็เอนเอียงลงบนพื้น ตอนนี้ เหมือนวิญญาณของไหวเอินได้หลุดออกจากร่าง เขารีบเดินหน้าไป จึงทันแค่เป็นเบาะนุ่มรองพระกายฮ่องเต้ที่ล้มลงมา
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” ไหวเอินไม่สนใจความเจ็บปวดตามเรือนร่าง เพียงแค่พยุงฮ่องเต้มาไว้ในอ้อมกอด พร้อมทั้งตะโกนเสียงดัง “เร็ว! รีบตามหมอหลวง! เร็ว…”
องค์หญิงคังผิงพุ่งชนรูปปั้นสิงโตนอกตำหนัก! ฮ่องเต้ทรงประชวรพระวาโยในตำหนัก!
เรื่องนี้แพร่งพรายไปทั่ววังหลวงโดยเร็ว ตั้งแต่ตำหนักฮองเฮาจวบจนที่พักของเหล่านางสนม นางกำนัล และขันที ทุกที่เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที
จางฉางเป่ยนั่งเกี้ยวที่ขันทีน้อยยกวิ่งเข้าไปในวังหลวงโดยด่วน รอให้เขาไปถึงตำหนักจื่อเฉิน ฮ่องเต้ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
หลังจากจับชีพจรเสร็จ จางฉางเป่ยเปรยด้วยเสียงต่ำ “ฝ่าบาทอย่าได้พิโรธอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงพระปัสสาสะอย่างเงียบๆ สีพระพักตร์ย่ำแย่ จางฉางเป่ยจึงโน้มน้าว “ฝ่าบาท พระยกนะทรงงานหนัก พระกมลเต้นผิดปกติ อย่าได้ทรงพิโรธอีกเป็นอันขาด หลายวันมานี้ฝ่าบาทไม่ค่อยอยากอาหาร กระหม่อมก็ไม่กล้าให้ฝ่าบาทเสวยยา เช่นนั้นก็ให้เหยาเยี่ยนอวี่มาฝังเข็มให้ฝ่าบาทดีหรือไม่”
“ก็ได้” ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ แล้วหลับพระเนตร
ไหวเอินจึงรีบสั่งคนไปตามหมอหลวงเหยา จางฉางเป่ยเองก็ไม่กล้าจากไปไหน แค่เฝ้าอยู่ด้านข้าง
“คังผิงล่ะ” ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปสักพัก แล้วถามด้วยเสียงเรียบ
จางฉางเป่ยค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็ไม่เคยถามเรื่องวังในมาโดยตลอด ดังนั้นจึงหันไปมองนางกำนัลด้านข้าง
นางกำนัลพลันทูลกลับ “คนของจิ้งเฟยเหนียงเหนียงพาองค์หญิงกลับไปรักษาแผลแล้วเพคะ”
“ฮึ” ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงไม่พอพระทัย แล้วไม่ได้มากความอะไรอีก
อย่างไรก็คือราชบุตรีทางสายเลือด ทั้งยังเป็นราชบุตรีคนแรก ตัวของนางได้ทิ้งความทรงจำในวัยเยาว์อันงดงามของฮ่องเต้ไว้มากมาย อีกทั้งโลหิตย่อมข้นกว่าน้ำ ผู้เป็นบิดาทนมองบุตรีตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร
หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่เข้าวังฝังเข็มให้ฮ่องเต้ ก็กำชับกับหมอหญิงที่คอยดูแลยาว่าจะต้มยาสมุนไพรอย่างไร ทั้งยังเตือนให้คอยระวังเรื่องน้ำชา จากนั้นนางและจางฉางเปยก็ถือโอกาสตอนที่ฮ่องเต้บรรทม ออกจากตำหนักจื่อเฉินเงียบๆ