หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 502 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (4)
ตอนที่ 502 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (4)
“อาจารย์ พลานามัยของฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าท่านเป็นผู้คอยดูแลมาโดยตลอดหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าแก่เฒ่าลงทุกที บางเรื่องก็ไม่มีกำลังมากพอ เจ้าสืบทอดเสื้อคลุมประจำตัวของข้าเถอะ ได้เวลาทำหน้าที่แทนข้าแล้ว” ผู้เฒ่าจางหัวเราะในลำคอ สีหน้าดูเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
เหยาเยี่ยนอวี่กลอกตามองบนอย่างจนปัญญา “ท่านอาจารย์อยากแอบเกียจคร้านใช่หรือไม่”
“เจ้าจะพูดเช่นนี้ก็ได้” ผู้เฒ่าจางหัวเราะอีกครั้ง
“การรักษาพระอาการประชวรฝ่าบาท ดีไม่ดีอาจถูกตัดหัวเมื่อไรก็ได้! ท่านอาจารย์จะทนดูลูกศิษย์คนนี้ล่วงลับตั้งแต่วัยเยาว์เลยหรือ” หมอหลวงเหยาขยับเข้าไปใกล้ผู้เฒ่าจาง พลางถลึงตามองเขาอย่างลุ่มลึก
“แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องมีวันนี้อยู่ดี ท่านอาจารย์ยังอยากถือโอกาสตอนที่แขนขายังคงพอมีแรงออกไปตะลอนด้านนอกอีกเสียสองปี แล้วค่อยไปเจอท่านอาจารย์ของข้า หากเจ้าไม่รับช่วงต่อจากข้า จะปล่อยให้คนอื่นมารับช่วงหรือ ต่อให้เจ้ายินยอม ข้าก็ไม่ยินยอมอยู่ดี”
เหยาเยี่ยนอวี่มองซ้ายแลขวาก็เห็นว่าไม่มีใคร จึงพาผู้เฒ่าเดินไปที่มุมสงบ แล้วพูดด้วยเสียงเบา “ข้าไม่อยากรับช่วงต่อจริงๆ ท่านอาจารย์หาผู้มากฝีมืออื่นมาแทนได้หรือไม่”
“เช่นนั้นเจ้ายังอยากจะปรุงยารักษาผู้คนอยู่ไหม”
“อยากเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าอย่างหนักแน่น นางเดินมาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีทางถอยอีกต่อไป หนทางแห่งการรักษาผู้ป่วยนี้ยังคงต้องเดินต่อไป ทว่าก็ไม่มีหมายความว่าจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องวังใน
“หากเจ้าอยาก ก็ต้องรับช่วงดูแลพลานามัยของฝ่าบาท”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า” เหยาเยี่ยนขมวดคิ้ว สวรรค์รู้ว่านางอยากจะอยู่ห่างจากที่นี่มากเพียงใด
“เจ้าน่ะ!” ผู้เฒ่าจางหยุดยิ้มส่ายหน้า “ใสซื่อเกินไปแล้ว”
“เจ้านึกว่า ไม่มีการสนับสนุนจากฝ่าบาท สำนักแพทย์จะก่อตั้งขึ้นได้หรือ ไม่มีพระราชานุญาตของฝ่าบาท เจ้าจะทำวิจัยคิดค้นสูตรยาในสำนักแพทย์อย่างสบายใจได้หรือ อย่างอื่นข้าคงไม่กล้ากล่าวถึง หากวันนี้ฝ่าบาทเพียงแสดงสีพระพักตร์เย็นชาใส่เจ้า วันรุ่งขึ้นก็คงมีคนมากมายเหยียบศีรษะเจ้า ถึงเวลานั้นเกรงว่าเจ้าคงไม่มีชีวิตสงบสุขอีกต่อไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีโอกาสไปคอยคิดค้นสูตรยาใหม่ แล้วยังคิดจะไปรักษาคนอีก คนอื่นมีวิธีทำร้ายเจ้าได้ตลอดเวลา เจ้าอาจถูกจับไปขังในคุกหลวงหรือถูกประหารชีวิตไปเลยก็ได้”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งที่ผู้เฒ่ากล่าว นางก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ทว่านางมักรู้สึกว่าตนเองมีฝีมือการแพทย์ไร้เทียมทาน ชนชั้นสูงล้วนกลัวความตายที่สุด พวกเขาล้วนกลัวป่วยไข้อยู่แล้ว อย่างไรต้องใช้งานตนเองในอนาคตแน่ หากใช้งานตนเองก็เป็นประโยชน์ต่อตน…
“ใต้หล้านี้ ไม่มีใครเดินสายกลางตลอดไปได้อยู่แล้ว!” ผู้เฒ่าจางมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่หลุดเข้าไปในความคิดตน จึงโน้มน้าวนางอีก “ตอนแรกเจ้าก็เลือกฝั่งจวนเจิ้นกั๋วกงและตำหนักองค์หญิงหนิงหวาไปแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าได้สร้างความบาดหมางใจกับศัตรูของพวกเขาแล้ว ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรกับศัตรูพวกเขา ตระกูลเหยาของพวกเจ้าไม่มีศัตรูหรือไร สถานการณ์ในราชสำนักแปรเปลี่ยนราวกับเมฆลมกลางนภา ตระกูลเลื่องชื่อยังสูญสิ้นได้ นับประสาอะไรกับหมอหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งล่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจอย่างประหม่า คำพูดเหล่านี้ แม้จะฟังไม่เข้าหู ทว่าล้วนเป็นจริง
“หากเจ้าอยากมีชีวิตราบรื่น ใช้ชีวิตตามใจตนเอง ทำในเรื่องที่อยากทำ ก็ต้องมีฝ่าบาทคอยหนุนหลัง นอกจากฝ่าบาท ใครก็ไม่มีทางอำนวยสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าได้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ พยักหน้า
“เจ้าจำต้องดูแลพลานามัยของฝ่าบาทอย่างรอบคอบ ทว่าเจ้าก็ไม่ต้องกลัว ข้าได้บำรุงพลานาลัยของฝ่าบาทมาหลายปีแล้ว วันนี้เพียงเพราะพระวรกายทรงงานหนักเกินไปก็เท่านั้น” ท้ายที่สุดจางฉางเป่ยก็เริ่มปลอบโยนศิษย์ที่รักของตนแล้ว “อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไปก็ไปเลยนี่ อย่างไรก็ต้องอยู่รอให้เจ้าจัดการทุกอย่างได้ถึงจะจากไป มิเช่นนั้นก็คงไม่ไว้วางใจ”
“เจ้าค่ะ เยี่ยนอวี่ขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์”
“เชอะ! ใครรับคำขอบคุณของเจ้า เจ้าเพียงแค่ทำตำรา ‘ยาสูตรใหม่ต้าอวิ๋น’ ออกมาให้ดีๆ ก็ถือเป็นการขอบคุณข้าแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่มองผู้เฒ่าหมุนตัวเดินจากไป จึงหลุดยิ้มพลางอดส่ายหัวไม่ได้ ผู้เฒ่าคนนี้ ทั้งวันก็เอาแต่พูดเรื่องสัพเพเหระ อันที่จริง ภายในใจสัตย์ซื่อต่อเวชปฏิบัติที่สุดแล้ว ชาตินี้เขาไม่มีบุตรแม้แต่คนเดียว ความปรารถนาเดียวก็คือพัฒนาให้เวชปฏิบัติของต้าอวิ๋นยิ่งใหญ่
อันที่จริง เขานี่แหละที่เป็นหมอที่บ้างานที่แท้จริง
กำลังครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงขานเรียก “หมอหลวงเหยา”
“อืม?” เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมอง ก็เห็นนางกำนัลเอกคนหนึ่งกำลังโค้งคำนับให้ตน ด้วยเหตุนี้จึงถาม “มีธุระอะไรหรือ”
“จิ้งเฟยเหนียงเหนียงเชิญหมอหลวงเหยาไปตำหนักจิ่งหวาเจ้าค่ะ” แม้นางกำนัลจะค้อมตัวเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงไม่ได้ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่งเกินไป
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังคิดว่าเหตุใดถึงได้โชคร้ายเช่นนี้ หากเมื่อครู่นี้ตนติดตามอาจารย์กลับไปคงดี ต้องไม่ถูกนางกำนัลคนนี้รั้งไว้แน่นอน อีกอย่าง หากอยู่ข้างกายอาจารย์ เขาต้องคิดหาวิธีช่วยตนเองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ตนจะสร้างเรื่องผิดใจกับจิ้งเฟยได้อย่างไร
ต่อให้องค์หญิงคังผิงถูกฮ่องเต้เกลียดแค้น ทว่าจิ้งเฟยยังคงเป็นนางสนม ตนเองที่เป็นเพียงหมอหลวงระดับสาม จะคัดค้านนางสนมของฮ่องเต้ได้อย่างไร
“เชิญนำทาง” เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มน้อยๆ
“เจ้าค่ะ เชิญใต้เท้าเหยาตามบ่าวไปเจ้าค่ะ” นางกำนัลค้อมตัวอีกครั้ง แล้วพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินไปด้านหลัง
ตำหนักจิ่งหวาอยู่ถัดจากตำหนักเฟิ่งอี้ของฮองเฮาไปสองหลัง นี่เป็นตำหนักประตูเข้าสามชั้นและประตูออกอีกสามชั้น จึงมีตำหนักด้านซ้ายและขวาอย่างครบครัน ช่วงเวลานี้กำลังเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน แปะเจียกสิบกว่ากระถางกลางสวนกำลังแข่งกันบานสะพรั่ง เป็นเวลาที่เบ่งบานงดงามที่สุดพอดี
เหยาเยี่ยนอวี่ถามนางกำนัลเข้าประตูตำหนัก แล้วอ้อมโถงหลักไปยังเรือนนอนของจิ้งเฟย
องค์หญิงคังผิงได้รับการปรนนิบัติให้นอนอยู่บนตั่งไม้ของจิ้งเฟย และตอนนี้ก็ฟื้นจากการหมดสติ เลือดบนศีรษะก็ถูกทำความสะอาดไปแล้ว ทั้งยังทำแผลเป็นที่เรียบร้อย เวลานี้กำลังกอดมือของมารดาและร้องไห้อย่างโศกเศร้าอยู่
นางกำนัลเข้าไปทูลแล้วออกมาพาเหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปด้วย เหยาเยี่ยนอวี่ใช้ฐานะที่เป็นขุนนางถวายบังคมจิ้งเฟย
องค์หญิงคังผิงเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ จึงรีบคว้าถ้วยยาต้มด้านข้างแล้วปามาทันที
เหยาเยี่ยนอวี่ที่เพิ่งลุกขึ้นจากการคุกเข่า เดิมทีก็หลบไปด้านข้างได้อยู่แล้ว ทว่าถ้วยชาแตกกระจายบนพื้น ของเหลวเปื้อนทั่วพรมลายดอกไม้ชั้นดี ทั้งยังมีควันลอยออกมาเล็กน้อย
“คังผิง!” จิ้งเฟยสบถใส่บุตรีตนเองด้วยความโมโห “เจ้าทำเกินไปแล้ว! เปิ่นกงเชิญหมอหลวงเหยามารักษาอาการเจ้า! เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย!”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ แล้วทูล “หม่อมฉันเห็นองค์หญิงมีชีวิตชีวายิ่งนัก แผลน่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วเพคะ”
“นางงูพิษ! เจ้ายั่วยวนเสด็จพ่อ! นางอสูรพิษ!” องค์หญิงคังผิงพิงกลางอกของจิ้งเฟย แล้วชี้หน้าด่าทอเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจาง พร้อมถามอย่างใจเย็น “ฝ่าบาทเป็นถึงราชาที่ทรงพระปรีชา จะลุ่มหลงในสิ่งยั่วยวนจากคนอื่นได้อย่างไรเพคะ องค์หญิงตรัสสิ่งนี้ ไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะพิโรธหรือ อีกอย่างยังพูดเช่นนี้ในตำหนักเหนียงเหนียง องค์หญิงเอาเหนียงเหนียงไปไว้ไหนกันเพคะ”
จิ้งเฟยได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว เป็นเพียงหมอหลวงระดับสามเท่านั้น ต่อให้สามีเป็นถึงแม่ทัพ ก็ไม่ควรบังอาจในตำหนักจิ่งหวาเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงโอบกอดบุตรีพลางปรายตามองเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมยิ้มเย็นชา “หมอหลวเหยา จะถูกหรือผิด ฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยเอง เจ้าคงไม่มีสิทธิ์สั่งสอนองค์หญิงคังผิงอยู่แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันโค้งลำตัวลง “หม่อมฉันบังอาจเอง ทางฝั่งฝ่าบาทยังรอให้หม่อมฉันไปดูพระอาการ หากเหนียงเหนียงไม่บัญชาอะไรแล้ว หม่อมฉันขออำลาเพคะ”