หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 500 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (2)
ตอนที่ 500 สตรีสติวิปลาสโวยวาย คำพูดอันน่าตกตะลึงของเด็ก (2)
หลังจากแม่ทัพเว่ยหลุดออกจากภวังค์ก็รีบตามเข้าไปทันที ตอนซูจิ่นเย่ว์กำลังจะปีนขึ้นที่วางเท้าก็ถูกเว่ยจางจับตัวไว้ จากนั้นหิ้วคอเสื้อนางไปไว้บนตั่งไม้เตี้ยริมหน้าต่าง
ยัยหนูน้อยอ้วนจ้ำม่ำในมือกำลังถลึงตามองเขา แววตาเคล้าด้วยความตกตะลึงและความโมโห แม่ทัพเว่ยอดรู้สึกละอายใจไม่ได้ ทำเช่นนี้กับยัยหนูน้อยคงไม่ค่อยถูกต้องหรือเปล่า
“เจ้า…”
“จุ๊…” แม่ทัพเว่ยไม่ทันครุ่นคิดอะไรก็ยื่นมือไปปิดปากของยัยหนูน้อยทันที ปากนุ่มๆ เต็มไปด้วยน้ำลาย ทำให้ฝ่ามือของแม่ทัพเว่ยเปียกปอน
“หืม…” ยัยหนูน้อยพยายามขัดขืน คนคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!
“เป็นเด็กดี ท่านน้าของเจ้ากำลังพักผ่อนอยู่” แม่ทัพเว่ยกลัวว่านางจะหายใจไม่ออก จึงรีบปล่อยมือออกทันที จากนั้นใช้สายตาตักเตือนพร้อมเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าให้นางหยุดร้องโวยวาย
ยัยหนูน้อยไม่กล้าตะโกนเสียงดัง กลับถลึงตามองเว่ยจางอย่างเหี้ยมเกรียม พร้อมถามด้วยเสียงต่ำ “เหตุใดท่านน้าถึงยังไม่ตื่น ท่านรังแกนางใช่หรือไม่”
เว่ยจางรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมทันที “เปล่า”
“ปล่อยข้า” ยัยหนูน้อยถลึงตาใส่เว่ยจางอีกครั้ง
“เจ้าห้ามส่งเสียงดัง”
“ได้”
เว่ยจางปล่อยยัยหนูน้อยอย่างที่คาด จริงๆ เขาเองก็อธิบายไม่ถูกว่าเขาทำเช่นนี้เพื่ออะไร หรือเพราะว่าตนเองใจแข็งไม่พอ
ซูจิ่นเย่ว์ลงจากตั่งไม้เตี้ยและวิ่งไปตรงหน้าเตียงทันที ปีนขึ้นที่วางเท้าก่อน จากนั้นเลิกมุ้งขึ้นเตียง เหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังหลับฝันดีปล่อยผมยาวสลวยกระจายบนหมอน ผ้าห่มผืนบางสีเขียวมรกตคลุมถึงบริเวณอก เสื้อผ้าต่วนชั้นกลางสีม่วงอ่อนโผล่พ้นจากผ้าห่มเล็กน้อย
หลังจากยัยหนูน้อยมองชั่วครู่ เท้าน้อยๆ ทั้งสองข้างถูขอบเตียงเพื่อถอดรองเท้าปักลายสีแดงออก จากนั้นก็คลานไปด้านหลังเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วนอนลงเงียบๆ
ทีแรกเว่ยจางนึกว่ายัยหนูน้อยแค่ไปดูเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วคงจะกลับไปหาเขาทันที นึกไม่ถึงว่านางกลับมาไม้นี้ ถอดรองเท้าขึ้นเตียงเช่นนี้
จุ๊! แม่ทัพลุกขึ้นตามไปพร้อมเปรยเสียงเบา เลิกมุ้งมองยัยหนูน้อยที่กำลังอ้าแขนอ้าขากอดรัดเหยาเยี่ยนอวี่จากด้านหลัง จึงอดโมโหเป็นไฟไม่ได้… เหยาเยี่ยนอวี่เป็นของข้าหรือเปล่า ยัยหนูคนนี้มีสิทธิ์อะไรครอบครองฮูหยินของข้า
ลุกขึ้น! เว่ยจางยื่นมือดึงยัยหนูอ้วนท้วม แววตาเย็นชาคู่นั้นมีความอาฆาตแอบแฝง
เพียงแค่ว่ายัยหนูน้อยซูจิ่นเย่ว์หลับตาพิงแผ่นหลังเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ มือน้อยๆ จับเสื้อเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ปล่อย เท้าน้อยๆ ทาบเอวของนางไว้ เหมือนไม่เห็นสายตาอันอาฆาตของแม่ทัพเลย
เว่ยจางกลัวว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะตื่น จึงไม่กล้าส่งเสียงดัง ดังนั้นสอดจับใต้รักแร้อุ้มยัยหนูน้อยมาทันที
แน่นอน ยัยหนูน้อยไม่อยากปล่อยมือ ทว่าก็สู้แรงของบุรุษสารเลวนี่ไม่ไหว ซ้ำเสื้อผ้าของท่านน้าลื่นเกินไป มือน้อยๆ จึงหลุดออกแต่โดยดี
“ฮือ…” ยัยหนูน้อยเบะปาก กำลังจะร้องไห้
“จุ๊…อย่าร้อง” เว่ยจางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ไม่ว่าอย่างไรยัยหนูน้อยก็คือแขกของจวน หากนางร้องไห้ ฮูหยินคงไม่สบอารมณ์
“ฮึ” ยัยหนูน้อยเบะปาก ดวงตากลมโตมีน้ำใสๆ ซึม เหมือนกำลังสื่อว่าหากเว่ยจางทำให้นางไม่พอใจอีกนิดเดียว นางก็จะร้องไห้ทันที
แม่ทัพจนปัญญา แต่ไม่อยากปล่อยให้ฮูหยินตื่น ดังนั้นอุ้มเจ้าตัวแสบออกไปด้านนอก
“ข้าไม่อยากให้เจ้าอุ้ม” ยัยหนูน้อยผลักไหล่ของเว่ยจางออก “ข้าจะไปหาท่านน้า”
“ท่านน้ากำลังนอนอยู่” เว่ยจางพยายามคุยกับนางด้วยเหตุผล “ท่านน้าเหนื่อยเกินไป หากนางตื่นเพราะเจ้า นางอาจไม่สบอารมณ์ก็ได้”
“ข้าจะไม่ส่งเสียงดัง ท่านปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้” ยัยหนูน้อยยังคงยืนหยัดคำเดิม
หากปล่อยนางลงก็คงคลานไปที่เตียงต่อ เว่ยจางไม่ถูกหลอกโดยง่าย ดังนั้นจึงเปลี่ยนประเด็นทันที “ข้าพาเจ้าออกไปเล่น ดีหรือไม่”
“นอกจากพาข้าไปขี่ม้า” ยัยหนูน้อยพลันยื่นข้อเสนอที่ไม่มีทางเป็นไปได้ที่สุด
“ได้” แม่ทัพเว่ยตอบกลับโดยไม่ลังเล
แม่นมและเหล่าสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ในลานและไม่กล้าจากไปไหน เกรงว่าแม่ทัพจะโกรธแล้วโยนยัยหนูน้อยออกจากหน้าต่าง ดังนั้น ตอนแม่ทัพเว่ยอุ้มยัยหนูน้อยออกมาจากห้องด้วยมือเดียว ใจของแม่นมหล่นไปถึงตาตุ่ม จึงรีบเดินหน้าไปคุกเข่าลงโดยไม่เกรงกลัวอะไรอีก “แม่ทัพเจ้าคะ เจี่ยเอ๋อร์ไม่รู้มารยาท…ท่านอย่าได้โกรธเคือง…”
“ที่นี่ไม่มีธุระของพวกเจ้าแล้ว ออกไปเถอะ” แม่ทัพเว่ยย่อมต้องรักษาคำพูดอยู่แล้ว จึงพายัยหนูน้อยไปขี่ม้า
“แม่นม ข้าจะไปขี่ม้าแล้ว” ยัยหนูน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของแม่ทัพเว่ยตื่นเต้นดีใจอย่างมาก ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าขี่ม้า
“หา?” แม่นมนิ่งงันไปทันที แล้วมองแม่ทัพฝู่กั๋วองอาจผึ่งผายพายัยหนูน้อยจากไปซึ่งๆ หน้า
ไม่รู้ว่าข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูเห็นแม่ทัพเว่ยอุ้มเด็กน้อยออกประตูไปจะรู้สึกอย่างไร อย่างไรก็ตาม เขาวิ่งด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นดีใจกว่าปกติ ท่าทางที่กระโดดโลดเต้นนั้นดูมีความสุขยิ่งนัก
แม่ทัพเว่ยอุ้มซูจิ่นเย่ว์นั่งบนหลังม้า ม้าโยกเยกไปมาจนทำให้นางยิ้มอย่างร่าเริง ทั้งยังตะโกนด้วยเสียงจริงจัง “ไป! ไป!”
ถึงแม้นางจะส่งเสียงดัง ทว่าพอได้อยู่กับนางก็รู้สึกค่อนข้างมีความสุข เว่ยจางกอดรัดนางไว้แน่นด้วยความพึงพอใจ กลัวว่าไม่ระวังจะปล่อยนางตกจากหลังม้า ตอนนี้เขาไม่สนใจว่าเฮยเฟิงจะมุ่งหน้าไปทิศทางใด ดังนั้นตอนที่มีคนขวางทางไว้ แม่ทัพเว่ยก็นิ่งงันทันที… เหิงจวิ้นอ๋อง?
“แม่ทัพเว่ย ช่างบังเอิญนัก” เหิงจวิ้นอ๋องสวมชุดสีเทาอ่อนสง่างามราวกับต้นหยกเล่นลมยืนอยู่ตรงหน้าม้า มือกำลังสะบัดพัดหมึกดำ
“ท่านอ๋อง” ต่อให้เว่ยจางไม่ชอบขี้หน้าเหิงจวิ้นอ๋องเพียงใด เวลานี้ก็ต้องลงจากม้า เพียงแต่ว่าซูจิ่นเย่ว์ที่เหลือบตามองท่านลุงที่สง่าผ่าเผยผู้นั้นเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ยังคงจับอานม้าไม่ยอมลงมา “ไม่ ข้าไม่ลง”
“ยัยหนูน้อยคนนี้มาจากที่ใดกัน เหตุใดถึงได้น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้” เหิงจวิ้นอ๋องอดยิ้มไม่ได้ แม่ทัพเว่ยผู้โหดเหี้ยมกลับเริ่มดูแลเด็กน้อยแล้วหรือ
“หลานสาวของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพเว่ยยื่นมือพยุงยัยหนูน้อยไว้ กลัวว่าเขาเผลอไม่ระวัง นางอาจล้มลงมาได้
เหิงจวิ้นอ๋องตะลึงงัน สังเกตใบหน้าละมุนละไมของซูจิ่นเย่ว์ ทันใดนั้นนึกอะไรออกทันที “ยัยหนูน้อยของตระกูลซูใช่หรือไม่”
เว่ยจางแย้มยิ้ม พยักหน้า
“มา ให้ท่านลุงอุ้มที” เหิงจวิ้นอ๋องพูดไป ยื่นมือสองข้างไปตรงหน้าซูจิ่นเย่ว์
“ไม่เอา” ตอนนี้ใครหน้าไหนหรือเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญกว่าเฮยเฟิง นางยังคงจับอานม้าไว้แน่น
เหิงจวิ้นอ๋องที่เป็นบิดาที่มีบุตรชายสองคนแล้ว จึงมีวิธีเอาอกเอาใจเด็กๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงถามด้วยยิ้มแก้มปริ “ท่านลุงมีขนมหวานอร่อยๆ มากมายเลย เจ้าจะกินหรือไม่”
“เหอะ” ซูจิ่นเย่ว์รีบเงยหน้ามองไป ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายพิเศษ ราวกับพลอยสีนิลชั้นดี
เหิงจวิ้นอ๋องยกมือทั้งสองข้างอีกครั้ง สื่อว่าต้องการอุ้มนาง ท้ายที่สุดเจ้าตัวแสบก็แพ้ให้กับขนมหวานอันเย้ายวน จึงยอมปล่อยมือออกจากอานม้า จากนั้นก็ยอมให้เหิงจวิ้นอ๋องอุ้มแต่โดยดี
สีหน้าของแม่ทัพเว่ยย่ำแย่จนดูไม่ได้…เจ้าตัวแสบไร้จิตใจ กลับถูกซื้อใจไปเพียงเพราะขนมหวานสองสามชิ้นหรือ!