ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 503 สร้อยจี้สีทอง
หยุนชางจึงมองตามสายตาของซานเหนียงไป พร้อมถอนหายใจออกมา “ข้าเพียงมาที่นี่ได้ไม่กี่วัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะน่าเบื่อขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกระมัง ”
ซานเหนียงเพียงแค่เหลือบมองหยุนชาง แล้วจึงหันหลังกลับไป
ระหว่างรับสำรับอาหารเย็นนั้น หยุนชางพลางเหลือบมองอาหารไปมานั้น เพียงกินได้ไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง พร้อมพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า “ข้าจำได้ว่า ครั้งแรกที่ข้ามาถึงนั้น เจ้ารับปากข้าไว้แล้วว่า จะไปถามห้องเครื่องให้ว่าสามารถทำอาหารแคว้นหนิงให้ได้หรือไม่ ทุกวันมีแต่อาหารแบบนี้ ข้าชักจะกินไม่ลงเสียแล้ว ซานเหนียง ท่านดูข้าสิ ข้าผอมลงอีกแล้ว”
ซานเหนียงเพียงแค่เหลือบมองหยุนชาง สองวันมานี้ มิใช่ว่าใบหน้าของหยุนชางที่ซีดลงทว่านางดูเหมือนจะผอมลงอยู่หลายส่วน เมื่อเงียบไปได้ครู่หนึ่ง. นางจึงพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันเคยถามไปแล้วเพคะ ทว่าคนในห้องเครื่องนั้น ต่างก็ไไม่รู้วิธีทำอาหารแคว้นหนิง หม่อมฉันก็จนใจ”
หยุนชางได้ยินเช่นนั้น จึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “อาหารแคว้นหนิงทำไม่ยากเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่ามีแค่เครื่องเทศบางชนิดเท่านั้นที่ไม่สามารถขาดไปได้ เกรงว่าจะต้องออกไปหาซื้อสักหน่อย. ถ้าเช่นนั้น ข้าจักเขียนสูตรอาหารให้ท่าน ซานเหนียงก็นำไปให้ห้องเครื่อง แล้วให้พวกเขาไปหาซื้อวัตถุดิบมาทำให้สักหน่อยได้หรือไม่ ”
ซานเหนียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงพยักหน้ารับคำ ใบหน้าของหยุนชางมีแต่ความดีใจ พร้อมรีบร้อนเดินไปบนโต๊ะฉิน เพื่อนำกระดาษมาจดสิ่งของวัตถุดิบที่ต้องการ เมื่อรอจนน้ำหมึกแห้งแล้ว จึงยื่นส่งให้ซานเหนียง
เมื่อขบคิดอยู่นาน หยุนชางจึงพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว ข้ายังอยากกินขนมกุ้ยฮวา เมื่อครั้งห้องเครื่องไปซื้อวัตถุดิบนั้น ให้พวกเขาช่วยซื้อขนมกุ้ยฮวากลับมาให้ข้าด้วยได้หรือไม่ ? ”
ซานเหนียงที่รับกระดาษมาแล้ว พลางพับใส่แขนเสื้อ จึงเดินมาที่โต๊ะเพื่อเก็บสำรับอาหาร พร้อมพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันไม่ทราบเช่นกันเพคะ. เกรงว่าต้องถามทางห้องเครื่องเสียก่อน”
“ถามเลย ถามให้ข้าหน่อย ขนมกุ้ยฮวานั้นในเมื่องจิ่นมีขายอยู่สองสามร้าน เพียงแค่ซื้อมาไม่กี่ชิ้นให้ข้าก็พอ ถึงแม้รสชาติจะสู้หอยวี่หมั่นที่แคว้นหนิงไม่ได้. ทว่าก็ดีกว่าไม่ได้กิน ” หยุนชางยิ้มปลื้มปริ่มพูดขึ้นมา
วันที่สอง ก็มิได้ทำให้หยุนชางผิดหวัง สำรับอาหารเย็นที่ส่งมาจึงถูกเปลี่ยนเป็นอาหารแคว้นหนิงทั้งหมด อีกทั้งยังมีจานขนมกุ้ยฮวาอีกด้วย หยุนชางที่เห็นดังนั้น จึงรีบร้อนวิ่งมายังที่โต๊ะอาหารแล้วนั่งลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อมองไปที่ซานเหนียงที่นำสำรับอาหารแต่ละจานออกมา สายตาเต็มไปด้วยความปลื้มปิติเป็นอย่างมาก
ซานเหนียงที่เห็นลักษณะหยุนชางดังนั้น นางพลันขมวดคิ้วลง พร้อมพูดขึ้นมาว่า “อาหารพวกนี้ แค่ดมกลิ่นก็ได้แต่กลิ่นพริกลอยมา ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันมิทันได้ระวัง จึงกินพริกไปนิดเดียว เป็นรสชาติที่ไม่สามรถลืมได้ลงเลยทีเดียว มิรู้ว่าทำไมพวกท่านถึงกินลงไปได้”
หยุนชางยิ้มตาหยี พร้อมทั้งเอาตะเกียบคีบเนื้อปลากระพงขึ้นมาเข้าปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ พร้อมส่งรอยยิ้มออกมาว่า “น้ำและพื้นดินมิใช่หล่อเลี้ยงคนเป็นแสนหรือ ฮองเฮาก็เอาแต่ดูแลแต่เสด็จพี่ ข้ารับใช้เห็นข้าก็มิค่อยดูแลเท่าไหร่ โดยธรรมชาติอะไรที่สามารถตัดไปได้พวกเขาก็คงตัดทิ้ง ตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่ข้าดีใจที่สุดคือการได้กินอาหารรสจัด อีกทั้งยังทำให้กินอิ่มอีกด้วย จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้น นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ”
เมื่อพูดจบ พลางคีบเนื้อที่แดง ๆ ขึ้นมา พร้อมพูดต่ออีกว่า “หลังจากนั้น เนื่องจากร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงถูกส่งไปรักษาตัวอยู่ที่วิหารแคว้นหนิงอยู่นาน ภายในวิหารก็ไม่ค่อยได้กินเนื้อสัตว์ ดังนั้น ความปราถนาอันสูงสุดของข้าคือการได้กินเนื้อมีบางครั้งข้าเคยเกือบตกหน้าผาเพราะไล่จับกระต่ายเพียงตัวเดียวด้วย”
“หลังจากนั้น เมื่อใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว จึงได้ถูกพากลับไปที่เมืองหลวงอีกครั้ง เสด็จแม่ที่ออกมาจากตำหนักเย็นพอดี จึงได้พบเข้ากับท่านอ๋อง อาการจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย จึงเริ่มได้มีโอกาสกินอาหารที่ตนเองชอบสักที สิ่งที่ชอบที่สุด คือขนมกุ้ยฮวาที่หอยวี่หมั่น ทุกครั้งที่แคว้นหนิงท่านอ๋องมักจะซื้อมาให้ข้าอยู่เสมอ ” หยุนชางพูดไปยิ้มไป สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ซานเหนียงเห็นหยุนชางเป็นเช่นนั้น จึงก้มหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมถอนหายใจออกมา “ทุกบ้านล้วนแต่มีความลับของตนทั้งนั้น ราชวงศ์ก็เช่นกัน”
หยุนชางยิ้มแล้วตอบกลับว่า “ใช่แล้ว บางสิ่งบางอย่างก็ไม่เหมือนกับเบื้องหน้าที่ดูงดงาม”
หยุนชางเมื่อพูดจบ พลางเอื้อมมือไปหยิบขนมกุ้ยฮวาในจานออกมาหนึ่งชิ้น “ก็เป็นเหมือนดั่งขนมกุ้ยฮวาชิ้นนี้ ลองดูสีเหลืองส้มพวกนี้สิ ช่างดูน่ากินเป็นอย่างมาก ทว่ามีผู้คนน้อยมากที่จะรู้ว่าข้างในมันทำออกมาได้เช่นไร”
หยุนชางพลางตัดเค้กในมือแยกออก ข้างในพลันปรากฏสร้อยจี้สีทองออกมา พร้อมเงยหน้ามองไปยังใบหน้าของซานเหนียงที่เปลี่ยนสี “สร้อยจี้สีทองนี้ ช่างงดงามยิ่งนัก เกรงว่าช่างคงจะทำด้วยความปรานีตเป็นอย่างมาก อีกทั้งด้านบนยังสลักคำว่า เซียง ไว้เพียงแค่คำเดียวอีก คงจะเป็นชื่อลูกกระมัง เซียง. จี๋เซียง ได้ยินมาว่าชื่อที่แต่งให้ลูกจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของพ่อแม่เป็นอย่างดี ความหมายของชื่อนี้ดีมากเลยทีเดียว เกรงว่าท่านคงทนุถนอมบุตรของท่านมากเลยทีเดียว”
หยุนชางเมื่อเงยหน้าขึ้นมามอง พลางยื่นสร้อยจี้สีทองในมือให้กับซานเหนียงที่ใบหน้าซีดเผือด มุมปากพลันกระตุกยิ้มขึ้นมา พร้อมเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา
ซานเหนียงก้มหน้ามองไปยังสร้อยจี้สีทองในมือนั้น แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง พลางกัดริมฝีปากส่ายหัวไปมาว่า “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนตัวท่าน ข้าก็ค้นไปหมดแล้ว ทุกวันนี้ที่มีอยู่ล้วนแต่เป็นของของข้า อีกทั้งรอบจวนเต็มไปด้วยองครักษ์เงาเช่นนี้ ทุกวันนี้ข้าเดินประกบติดท่านตลอดเวลา ท่านจะติดต่อคนภายนอกได้อย่างไร”
หยุนชางพลางหัวเราะออกมา พร้อมจับหัวของซานเหนีบงเข้ามาใกล้ ๆ แล้วยิ้มตอบกลับไปว่า “ซานเหนียงเมื่อวานท่านเป็นคนถามเองมิใช่หรือ ทำไมปีนี้ดอกบัวเหี่ยวไวยิ่งนัก ? ถูกแล้ว ช่วงนี้ซานเหนียงได้สังเกตุหรือไม่ว่า. เหตุใดกลางคืน รอบ ๆ จวนพลันรู้สึกเงียบลง ครั้งก่อน เมื่อเข้ายามดึกก็มักจะได้ยินเสียงทั้งจิ้งหรีด กบ จักจั่นรองดังระงมมิใช่หรือ ทำไมคืนนี้บรรยากาศมันช่างเงียบเหงานักเล่า ”
สายตาของซานเหนียงพลันสับสนงุนงงมากยิ่งขึ้น หยุนชางพลางยื่นมือซ้ายออกมา เมื่อยกแขนเสื้อขึ้น ซานเหนียงจึงได้เห็นในมือของหยุนชางปรากฏบาดแผลขึ้นหลายรอย บางรอยมีความลึกยิ่งนัก อีกทั้งเมื่อสังเกตุไปมานั่นเป็นรอยแผลที่เพิ่งเกิดมาใหม่ทั้งหมด
“ซานเหนียงจำได้หรือไม่ว่า มีครั้งหนึ่ง ที่ข้ามิทันได้ระวังจึงโดนเศษแจกันบาดเข้าให้ที่โต๊ะฉิน ? ครั้งนั้น ข้าได้แอบเก็บเศษแก้วไว้กับตัวหนึ่งชิ้น ข้าแต่เล็กจนโตโดนกรอกยาพิษมาตั้งแต่เด็ก เลือดของข้าล้วนแก้ได้สารพัดพิษ รวมถึงยาพิษที่รุนแรงเช่นกัน ข้าพบว่าจวนแห่งนี้หันหน้าไปทางถนน ทุกวันที่ออกไปเดินเล่นนั้น จึงกรีดข้อมือของตนเองแล้วหยดไปตามทางที่เดิน เลือดของข้าที่เป็นพิษรุนแรงมาก แม้แต่จิ้งหรีด กบหรือจักจั่นที่อยู่โดยรอบ เมื่อได้กลิ่นก็มักจะหนีหายไปหมด ทว่าพวกท่านกลับไม่นึกแปลกใจ. ผู้คนรอบนอกล้วนแต่รู้สึกแปลกประหลาดทั้งสิ้น กองกำลังที่ซ่อนอยู่ของข้าก็มีไม่น้อย เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะต้องสังเกตุเห็นจวนนี้อย่างแน่นอน “หยุนชางจึงถกแขนเสื้อลง พร้อมพูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ราวกลับกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันก็ไม่ปาน
“สระบัวภายในจวนนั้น เป็นเพราะว่าฤทธิ์เลือดที่แรงของข้า จึงทำให้พวกมันเหี่ยวไวขึ้น โชคดีที่บ่อนี้ไม่มีปลา. มิเช่นนั้นพวกเจ้าคงสังเกตุเห็นมันไปแล้ว “หยุนชางยิ้มน้อย ๆ พร้อมจ้องมองไปที่ซานเหนียง “องครักษ์เงาของข้าเมื่อเห็นว่าจวนนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยองครักษ์ฝีมือดีมากมาย แน่นอนว่าต้องนึกสงสัยอยู่แล้ว อีกทั้งในทุก ๆวันที่พวกเจ้าส่งคนไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารนั้น ก็จะถูกคนของข้าติดตาม ท่านเป็นแม่ที่ดี ข้ารู้ว่าทุกครั้งที่ข้าหลับไปท่านจะกลับบ้านไปดูแลลูก ๆ ของท่าน ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ได้มีโอกาสติดต่อกับองครักษ์ ข้าจึงสั่งให้คนในห้องเครื่องไปจัดหาวัตถุดิบทำอาหารแคว้นหนิง แล้วจึงใช้พวกมันในการส่งสัญญาณถึงลูกน้องของข้า พร้อมให้พวกเขานำสร้อยจี้สีทองเส้นนี้มาให้”
ซานเหนียงที่สีหน้าซีดเผือดมองมายังหยุนชาง ริมฝีปากพลันสั่นเทา เพียงชั่วครู่จึงเอ่ยมาเพียงประโยคนึงว่า “ท่านต้องการอะไร ?”
หยุนชางพลันยิ้มตอบว่า “ข้าจะยังอยู่ที่นี่ต่อไป ทว่าเป็นเพราะเจ้านายของซานเหนียง ต้องการใช้ข้าในการข่มขู่ครอบครัวของข้า ข้าก็แค่ตอบแทนกลับในแบบเดียวกัน ซานเหนียงคงเข้าใจความรู้สึกของข้าในตอนนี้ได้แล้วกระมัง”
“ทว่า ข้าเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ผู้น้อยเท่านั้น ” ซานเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา
“ผู้น้อยหรือ. เกรงว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น ” หยุนชางพลันแย้มยิ้มตาหยีมองซานเหนียง “ทุกวันนี้ที่ข้าสังเกตุได้ ข้ารับใช้ในจวนนี้ทั้งหมดรวมถึงองครักษ์เงาในจวนนี้ล้วนแต่เชื่อฟังคำสั่งของซานเหนียง อีกทั้ง ซานเหนียงยังสามารถไปไหนมาไหนในจวนนี้ได้อย่างไม่ติดขัด จะเป็นข้ารับใช้ผู้น้อยไปได้อย่างไรกัน”
ใบหน้าของซานเหนียงพลันซีดลงไปหลายส่วน หยุนชางจึงโบกมือไปมาว่า “ซานเหนียงสบายใจได้ ข้ามิได้ต้องการให้ซานเหนียงปล่อยข้าไป ซานเหนียงทำไม่ได้หรอกข้ารู้. เพียงแต่ว่า มีบางเรื่องเท่านั้นที่ข้าต้องการให้ท่านช่วยเหลือข้า”
ซานเหนียงกัดริมฝีปากของตนเองพร้อมมองไปที่หยุนชาง เพียงชั่วครู่มิได้เอ่ยอันใดออกมา สายตาของหยุนชางจับจ้องไปยังสร้อยจี้สีทองในมือของนาง พร้อมกระตุกยิ้มพูดขึ้นมาว่า “ซานเหนียงสบายใจเถอะ ข้ารับรองได้ว่าลูกของท่านจักปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”