ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 504 สงครามเย็น(๑)
ซานเหนียงนิ่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อนางตัดสินใจได้แล้ว “เจ้าพูดมาเสีย เจ้าต้องการจะทำอะไร ?”
“ง่ายมาก เมื่อซานเหนียงกลับไปดูแลลูก ๆ นั้น ข้าเพียงแค่ต้องการให้ท่านช่วยนำกระดาษวางไว้บนโต๊ะของท่านเพียงเท่านั้น เมื่อถึงเวลาคนของข้าจะมาเอาไปเอง ” หยุนชางพลางกระซิบบอก คิ้วพลันคลายออกด้วยความอ่อนโยน ราวกลับมิได้คิดวางแผนใด ๆ เลย
ซานเหนียงพลันขบริมฝีปากไปมา พร้อมพยักหน้ารับคำ “ได้ ได้ เจ้าอย่าทำอะไรลูกข้าเป็นพอ”
“แน่นอน ” หยุนชางยิ้มเล็กน้อย พลางเดินไปยังข้าง ๆ โต๊ะเพื่อหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น เพียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อย ๆ วางพู่กันลงช้า ๆ หลังจากนั้น. หยุนชางจึงส่งกระดาษแผ่นนั้นไปในมือของซานเหนียง “ลำบากซานเหนียงแล้ว”
เพียงแค่จดหมายส่งออกไปในวันที่สาม เมื่อหยุนชางตื่นขึ้นมา พลันเห็นใบหน้าของซานเหนียงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เมื่อหยุนชางลืมตาขึ้นมา ซานเหนียงจึงรีบเข้าไปถามนางด้วยความร้อนรนว่า “เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่ ?”
หยุนชางเมื่อเห็นสีหน้าของนางนั้น จึงคาดเดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เมื่อคิดถึงแผนการที่สำเร็จแล้วนั้น พร้อมยิ้มตอบกลับไปว่า “ข้ามิได้ทำอะไรเลย”
ซานเหนียงพลันอยากถามคำถามขึ้นมาหลายครั้ง เพียงเช้าวันรุ่งขึ้น จึงยื่นจดหมายส่งให้หยุนชาง ข้าง ๆ กันมีขวดยาอยู่หนึ่งขวด ขวดยาถูกปิกผนึกไว้อย่างดี หยุนชางพลางหยิบขวดยาขึ้นมาดูนั้น พร้อมค่อย ๆ ยิ้มมุมปากขึ้นมา
ภายในวันนั้นตอนกลางคืน. หยุนชางนั่งพึงอยู่ที่หัวเตียง ทว่าดวงตามิได้หลับลงแต่อย่างใด เสียงที่เคาะขึ้นมาสามครั้งจากด้านนอก “อากาศที่แห้งแล้ง ระวังเทียนให้ดี”
เสียงพลันค่อย ๆ หายไป ทว่ากลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทน “ปั้ง” ซานเหนียงที่กำลังนอนหลับอยู่ด้านนอกพลันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ฉับพลันจึงได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นมา ซานเหนียงจึงรีบร้อนถือตะเกียงเดินเข้ามาในห้อง พร้อมเขย่าตัวหยุนชาง นัตย์ตาจ้องมองไปที่หยุนชางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า “เป็นเจ้า. เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ลูกของข้าอยู่ที่ใดกัน ?”
หยุนชางพลันขยี้ตาขึ้นมา ทำราวกับเพิ่งจะตื่นจากนิทราไม่นานมานี้ พร้อมจ้องมองไปที่ซานเหนียงว่า “ซานเหนียง เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ ? ท่านกำลังทำอะไร? ”
“ทำอะไร? นายท่านถูกคนลอบทำร้ายเป็นฝีมือเจ้ามิใช่หรือ ? ผู้คนด้านนอกเป็นคนของเจ้าที่เรียกมาช่วย ใช่หรือไม่ ?”แววตาของซานเหนียงเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน “ก่อนหน้านั้นข้าเห็นจดหมายสิ่งที่เจ้าเขียนส่งออกไป เนื้อหาในจดหมายล้วนแต่เต็มไปด้วยประโยคที่ไร้สาระ ทำไมถึง ถ้ามิใช่กลลวงของเจ้า เจ้าคิดว่านายท่านไม่อยู่แล้วเจ้าจะสามารถออกไปได้ง่ายงั้นหรือ ? ”
หยุนชางเงียบไปชั่วครู่ ซานเหนียง ท่านลืมไปแล้วหรือ. ว่าลูก ๆ ของท่าน”
ซานเหนียงกัดริมฝีปากไปมา พร้อมพ่นลมหายใจออกมาว่า “ตราบใดที่เจ้าตกอยู่ในกำมือข้า. พวกเขาล้วนแต่ไม่กล้าลงมือกับลูกข้าแน่ ” เมื่อพูดจบ จึงรีบเดินมายังด้านข้างของโต๊ะ พร้อมตบไปที่โต๊ะเบา ๆ ทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงด้านล่างของโต๊ะดังขึ้นมา หยุนชางหลี่ตามอง ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก นางพยายามหาทางลับในห้องนี้อยู่นาน ที่แท้มันอยู่ตรงนี้นี่เอง
ซานเหนียงจึงเดินมาที่ข้างกายหยุนชาง หยุนชางจึงดึงสิ่งของบางอย่างออกมาจากมือ
“เจ้า”
หยุนชางพลันยื่นมือขยับไปมาเล็กน้อย ซานเหนียงที่เงียบไป หยุนชางจึงเก็บมือกลับมา พร้อมนำเข็มเงินกลับไปซ่อนไว้ในแขนเสื้อดังเดิม พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยขึ้นมาว่า “วันนั้นที่ท่านเห็นสร้อยจี้สีทองคงจะตื่นเต้นมากไปกระมัง จึงลืมตรวจสอบดูว่ามีอะไรในนั้นอีกหรือไม่ หลังจากนั้นยาที่นำมาพร้อมกับจดหมายก็เพื่อทำให้ท่านสับสน. ก็ต้องลำบากท่านแล้วที่ลอบใส่ยาสงบใจลงในถ้วยชาของข้า ทว่ากลับถูกข้าสับเปลี่ยนมันไป เกรงว่าท่านจะลืมไปแล้วกระมัง ว่าข้าสามารถรับรู้ถึงยาสัตตนิทราของหวังจิ้นฮวน อีกทั้งยังรู้เรื่องยาพิษพวกนี้เป็นอย่างดี”
สายตาของซานเหนียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกธร หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นมาว่า “ต้องขอบคุณที่ท่านคอยดูแลข้าไม่กี่วันมานี้. ท่านดูแลข้าด้วยความเต็มใจ ทว่าข้ากลับใช้วิธีที่ต่ำต้อยเพื่อผูกมัดลูกๆของท่านเช่นนี้. ท่านกลับมิได้โต้ตอบข้าแม้แต่น้อย ท่านวางใจเถิด ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนดีอะไร ทว่าก็ไม่กล้าลงมือกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องเฉกเช่นพวกเขาหรอก ตราบใดที่ข้าออกจากที่นี่ได้ปลอดภัย. ข้ารับรองได้ว่าลูกๆ ของท่านจะปลอดภัยกลับมาถึงมือท่านอย่างแน่นอน”
ซานเหนียงราวกลับถูกตรึงอยู่กลับพื้นมิได้ไปไหน ทว่ากลับทำได้เพียงจ้องหยุนชางด้วยโกธรแค้น หยุนชางมิได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด เพียงแต่ปล่อยให้นางจับจ้องอยู่อย่างนั้น เมื่อผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม จึงได้ยินเสียงด้านนอกขององครักษ์เงาดังเข้ามาว่า “นายท่าน”
หยุนชางพลันตอบรับกลับไป. พร้อมกับยืนขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ และเดินออกไปโดยไม่ได้คิดถึงผมที่สยายลงมา ภายในจวน มีชายสวมชุดดำกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ พร้อมก้มหัวลงคำนับและยืนอยู่ด้วยความนิ่งเงียบ มีรอยยิ้มของเฉียนยินที่ส่งมาให้ ภายในประตูหน้าของจวนมีชายที่สวมเสื้อคลุมสีดำยืนรออยู่ หยุนชางพลันกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา พร้อมเดินไปอยู่ข้าง ๆ เขา พลางเอื้อมมือจะไปจับมือของเขา ทว่าเมื่อเห็นสายตาที่ลอบสำรวจนางอย่างเฉยเมย พร้อมกับเดินผ่านนางออกจากจวนไป
มือของหยุนชางที่ยังมิทันได้เก็บกลับมา พลางตกตะลึงจ้องมองไปยังแผ่นหลังน้ำแข็งนั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน เพียงชั่วครู่ สติถึงกลับมา พร้อมชักมือกลับมาเหมือนเดิม แล้วจึงหันไปมองเฉียนยินที่ยืนอยู่ข้างกายนาง เพื่อถามว่า “ท่านอ๋องเป็นอะไรไปงั้นหรือ ? ”
เฉียนยินมองไปยังแผ่นหลังของลั่วชิงเหยียนด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พร้อมกระซิบบอกเบา ๆว่า “นู๋ปี๋ก็ไม่รู้เช่นกัน ทว่าในช่วงเวลาที่หวางเฟยไม่อยู่นั้น ท่านอ๋องราวกลับพายุบ้าคลั่งก็ไม่ปาน ทุกคืนจักต้องเรียกองครักษ์เงาให้ออกไปตามหาร่องรอยของหวางเฟย อารมณ์ร้ายจนทให้ำพวกกระหม่อมไม่ได้นอนไปหลายวันเลยทีเดียว มิใช่เหตุการณ์ที่เราเห็นได้ง่ายเสียด้วย ทว่า”
หยุนชางได้ยินเฉียนยินพูดเช่นนั้น จึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก พลางเงียบไปชั่วครู่ พร้อมถามว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องพักที่เรือนรับรองหรือที่ใดกัน ?”
เฉียนยินจึงรีบร้อนตอบกลับว่า “ยังพักอยู่ที่เรือนรับรองเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นกลับไปที่เรือนรับรองกันเถอะ ” หยุนชางพลันกระซิบตอบกลับ พร้อมเดิมตามไปยังคนที่เดินนำหน้าไปแล้ว เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าวพลางหันไปสั่งคำสั่งว่า “สตรีที่อยู่ในห้องนั้น ปล่อยนางไปเสีย อีกทั้งปล่อยเด็กสามคน ที่ข้าบอกให้จับก่อนหน้านั้นด้วย ปล่อยกลับไป”
เฉียนยินรับคำ พร้อมหันกลับไปสั่งองครักษ์เงาด้านหลัง แล้วจึงกลับไปยังเรือนรับรองพร้อมกับหยุนชาง
เมื่อกลับมาถึงเรือนรับรองนั้น ฟ้าก็ยังมิทันได้สว่างดี ลั่วชิงเหยียนก็กลับมาถึงห้องแล้ว ทว่ากลับนั่งบนเก้าอี้อ่านตำราแต่เพียงเท่านั้นและมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหลังของเขา
หยุนชางรู้สึกสงสัยถึงชายวัยกลางคนด้านหลังเขาเป็นอย่างมาก ทว่าชายคนนั้นกลับเพียงคำนับนางพร้อมบอกว่า “หวางเฟย กระหม่อมเป็นหมอพะยะค่ะ ขอให้กระหม่อมตรวจสอบบาดแผลของท่านหน่อยได้หรือไม่ ?”
“บาดแผล ? “หยุนชางพลันชะงักไปชั่วครู่ บาดแผลอะไรกัน ?
เพียงชั่วครู่ก็จดจำบางสิ่งขึ้นมาได้ ภายในใจตกตะลึงไปเล็กน้อย ทว่า สายตาแอบเหลือบมองไปที่ลั่วชิงเหยียนอย่างเงียบ ๆ เพียงชั่วครู่ จึงถกแขนเสื้อขึ้นแล้วยื่นมือออกมา พร้อมบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นเพียงบาดแผลเล็ก ๆ เท่านั้น มิได้เป็นอันใดมาก”
ท่านหมอมิได้พูดอันใดออกมา กลับค่อย ๆ ทายาลงไปที่บาดแผล พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หวางเฟยพะยะค่ะ บาดแผลพวกนี้แม้จะดูเหมือนอาการมิได้หนักมาก ทว่ากลับลึกเป็นอย่างยิ่ง หวางเฟยต้องระมัดระวังสักหน่อย อย่าให้บาดแผลได้โดนน้ำเป็นอันขาด มิเช่นนั้น บาดแผลจะเป็นหนองได้ ทั้งยังจะทำให้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้อีกด้วย สีหน้าของหวางเฟยที่ซีดขาวเช่นนี้ เกรงว่าจะเสียเลือดมากไป ช่วงไม่กี่วันนี้ท่านจะต้องใส่ใจกับอาหารการกินให้มากขึ้น ให้ห้องเครื่องทำน้ำซุปกระดูกหมูเพื่อบำรุงร่างกายด้วยพะยะค่ะ”
หยุนชางพลันรับคำ พร้อมเหลือบมองไปยังลั่วชิงเหยียนที่อ่านตำราอยุ่ ทว่าสายตาที่เงยหน้าขึ้นมามองนางอย่างไม่ใส่ใจนั้น สายตากลับสำรวจลอยแผลเป็นพร้อมขมวดคิ้วเบา ๆ แล้วหลับตาลง
ท่านหมอหยิบยาออกมาทาที่บาดแผลเล็กน้อย. พร้อมเดินตามเฉียนยินออกไป