ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 502 ดอกบัวที่เหี่ยวเฉา
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหิงห้อยจึงทำให้นางระวังหยุนชางเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทว่านางก็เพียงพยักหน้าอย่างไม่รีบร้อน พร้อมถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ลง แล้วเดินไปยังอ่างน้ำที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ซานเหนียงเมื่อรอนางสระผมและชำระล้างร่างกายจนเสร็จ และรอให้นางสวมใสเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่แล้ว จึงได้จัดเตรียมชุดกระโปรงสีชมพูไว้ให้ ซึ่งสวยงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งคุณภาพของเนื้อผ้าก็ดียิ่ง หยุนชางยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงลูบดูเนื้อผ้าไปมา เพื่อรอจนซานเหนียงเช็ดผมให้นางจนแห้ง พร้อมพาหยุนชางเดินออกไปจากห้องอิฐบนทางที่มืด ๆ
มิรู้ว่าตนเองเดินผ่านมากี่โค้งแล้ว ทว่าก็ใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุดทางเดินแล้วเช่นกัน ซานเหนียงมองไปยังก้อนหินที่อยู่ข้างประตูหินนั้น ประตูพลันถูกเปิดออก เมื่อเดินออกไป กลับอยู่ตรงกลางของภูเขาปลอมที่ตกแต่งสวนดอกไม้ เมื่อเดินไป ๆ มา ๆ อยู่กี่รอบ จึงเดินออกมาจากภูเขาปลอมลูกนั้น กลางคืนที่มืดมิดนั้น หยุนชางมิรู้ว่ารอบด้านของนางเป็นเช่นไรบ้าง เพียงแต่เดินตามหลังของซานเหนียงไปเท่านั้น พร้อมปล่อยตัวให้นางพาตนเองเข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง
ห้องในครั้งนี้ตกแต่งมีความประนีตกว่าห้องครั้งก่อนมากนัก ราวกับเคยเป็นห้องของอิสตรีมาก่อน ภายในห้องมีกลิ่นหอมของดอกมะลิจาง ๆ มีลูกปัดผ้าม่านสีม่วง มีโต๊ะเครื่องแป้งที่ทำจากไม้พะยูงสีแดง อีกทั้งด้านบนยังมีเครื่องสำอางค์เล็กน้อย หยุนชางจึงเดินเข้าไปเปิดดู ด้านในมีแบ่งประเภทเป็นปิ่นปักผม ตุ้มหู กำไรข้อมือ อีกทั้งยังเครื่องดนตรีฉินวางไว้ให้ด้วย ด้านบนจัดเตรียมเครื่องดนตรีฉินหายากหลายประเภทมากมายวางอยู่ ฉากกั้นแกะสลักเป็นหงส์คาบดอกโบตั๋น ดังนั้นทำให้ห้องนี้ดูหรูหราและสง่างามเป็นอย่างมาก
“แม่นางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ท่านพักผ่อนเสียหน่อยเถิด ” ซานเหนียงที่เดินอยู่ข้างกายหยุนชางนั้น เมื่อเห็นนางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ใบหน้ามิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเพียงแต่พูดโน้มน้าวนางเบา ๆ
หยุนชางได้ยินดังนั้น จึงยิ้มตอบกลับว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าก็เริ่มรู้สึกง่วงแล้วเหมือนกัน ” เมื่อพูดจบพลางเดินไปที่เตียงนอน พร้อมถอดรองเท้าออก แล้วจึงคลานขึ้นไปบนเตียงนั้น ภายในใจกลันครุ่นคิดว่าห้องนี้ยังมีทางลับอีกหรือไม่?
ซานเหนียงที่มองหยุนชางอยู่นั้น พลางเดินไปเปิดหน้าต่าง “ด้านหน้าของห้องนี้มีสระบัวอยู่เพคะ ทว่าตอนนี้ใกล้จะเป็นเวลาที่ดอกบัวบานครั้งสุดท้ายแล้ว. เกรงว่าผ่านวันนี้ไปคงจะไม่ได้เห็นมันอีก”
หยุนชางจึงลุกขึ้นจากเตียง เพื่อเดินไปยังหน้าต่างพร้อมจ้องมองออกไปยังด้านนอก เป็นดั่งที่ว่า ด้านนอกล้วนแต่เต็มไปด้วยดอกบัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชูช่อบานสะพรั่งอยู่เต็มสระ
“ข้าขอออกไปดูด้านนอกได้หรือไม่ ? ” หยุนชางยิ้มพร้อมหันกลับไปถามซานเหนียง สายตาเต็มไปด้วยอารมณ์อ้อนวอน
ทว่าเหมือนซานเหนียงจะไม่หวั่นไหวกับท่าทีของหยุนชาง พร้อมกดเสียงลงตอบว่า “หม่อมฉันต้องไปถามนายท่านก่อนเพคะ”
เป็นดั่งที่ว่า เพียงถูกงูกัดครั้งเดียว กลัวเชือกไปสิบปี หยุนชางแอบคิดภายในใจ ทว่าก็พยักหน้าตกลงตอบกลับ “เจ้ารีบไปถามเร็ว ๆ เสีย ดอกบัวด้านนอกกำลังเบ่งบาน อีกทั้งยังมิรู้ว่า ข้าต้องอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ หากแม้แต่ข้างนอกก็ออกไปไม่ได้. เกรงว่าข้าคงจะได้เฉาตายอยู่ภายในห้องนี้เป็นแน่ อีกทั้งของที่อยู่ในตัวข้าทั้งหมดตอนนี้ พวกเจ้าล้วนแต่ยึดไปหมดแล้ว ข้าจะไปทำอะไรได้ ”
ซานเหนียงไม่แม้แต่จะหันมามองหยุนชาง เพียงแค่ตอบรับว่า “เพคะ แม่นางรับสำรับเช้าก่อน อีกชั่วครู่หม่อมฉันจะไปถามนายท่านให้”
หยุนชางพยักหน้ารับคำ แล้วจึงเดินไปยังหน้าโต๊ะเพื่อนั่งลง. สำรับเช้าวันนี้เป็นโจ๊กใบบัว มีกลิ่นอายของใบบัวเพียงเล็กน้อย หยุนชางที่กินไปสองถ้วยนั้น จึงวางตะเกียบลง เมื่อกินเสร็จ นางจึงเดินไปยังโต๊ะฉินเพื่อบรรเลงเพลงพิณฆ่าเวลา ทว่า นางกลับทำให้ซานเหนียงขมวดคิ้วอยู่บ่อยครั้ง
ซานเหนียงเมื่อเก็บสำรับเรียบร้อยหมดแล้ว จึงเดินออกไปข้างนอก มิได้ให้สาวใช้รออยู่ในห้องแต่อย่างใด ทว่าหยุนชางก็รับรู้ได้ว่า จึงบรรเลงฉินอันล้ำค่าอยู่เช่นนั้น
เพียงผ่านไปสักพัก ซานเหนียงจึงกลับมา เมื่อเห็นหยุนชางยังนั่งบรรเลงฉินอยู่นั้น นางจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมเดินไปกระซิบข้างกายหยุนชางว่า “นายท่านตกลงแล้วเพคะ. ท่านสามารถเดินไปมาภายในจวนได้”
หยุนชางได้ยินดังนั้น พลางพยักหน้ายิ้มด้วยความดีใจ ทว่าก็ไม่รีบร้อนที่จะเดินออกจากประตู กลับรู้สึกสนใจฉินที่อยู่ในมือเป็นอย่างมาก หลังจากเล่นกับมันได้ไม่นานนัก นิ้วก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา นางจึงเดินไปนั่งบนตั่งนุ่มพร้อมดื่มชาเพียงหนึ่งถ้วย พลางเดินมาหาซานเหนียงแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ซานเหนียงก็ไปด้วยกันสิ อยู่ในห้อง มองไปไหนซ้ายขวาก็น่าเบื่อเหมือนกันทั้งสิ้น” พร้อมเดินตามนางออกไป หยุนชางเพียงเดินวนรอบสระบัวเพียงเท่านั้น อีกทั้งยังเลือกดอกบัวที่บานสวยงามให้ซานเหนียงนำไปใส่แจกันวางไว้ในห้อง ซานเหนียงจึงทำตามที่นางบอก พลางเรียกให้คนไปหาแจกันมาใส่ดอกบัวเพื่อวางไว้บนโต๊ะฉิน
หยุงชางทำตัวมิเหมือนคนที่ถูกกักขังเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังทำตัวร่าเริงเรียกให้ซานเหนียงนำตั่งนุ่ม ๆ มาวางไว้ใต้ร่มไม้ริมสระบัว นางจึงมานอนเล่นบนตั่ง ในมือพลันถือถ้วยชาไว้ในมือแล้วผลอยหลับไป
อากาศวันนี้ลมเย็นสบายเป็นอย่างมาก มิได้มีแสงแดดที่คอยแผดเผา ทว่าก็มีลมพัดปลิว ๆ ลอยมาชวนให้หลับไหล ซานเหนียงที่เห็นหยุนชางผลอยหลับไปดังนั้น จึงเดินกลับไปในห้อง แล้วนำผ่าห่มผืนใหญ่มาคลุมให้หยุนชาง
หยุนชางเมื่อตื่นขึ้นมานั้น พลันได้เวลารับสำรับในตอนเที่ยงพอดี เนื่องจากสำรับเช้า เพิ่งจะกินไปได้ไม่นาน อีกทั้งนางยังเอาแต่นอนอีก จึงมิได้รู้สึกอยากอาหารมากนัก หยุนชางที่กินอาหารไปได้ไม่มาก ก็มานอนเล่นบนตั่งนุ่ม ๆ อีกครั้ง เพียงชั่วครู่จึงออกไปเดินเล่นรอบ ๆ จวน นางกล่าวว่า ต้องการเดินเพื่อย่อยอาหารเท่านั้น
ซานเหนียงที่ยืนมองนางอยู่ใต้ชายคาตำหนักเพียงชั่วครู่ ก็ปล่อยนางไป รอบด้านเต็มไปด้วยองครักษ์ทั้งหมด อีกทั้งทั่วร่างกายของหยุนชางก็มิมีอันใดให้น่ากังวล เกรงว่าแม้แต่แมลงสักตัวคงมิสามารถทำอันใดได้กระมัง
หยุนชางทำตามที่ซานเหนียงคิดจริง ๆ เพียงเดินวนรอบตำหนักเพียงสามสี่รอบเท่านั้น จึงเดินกลับห้องมานอนบนตั่งนุ่ม ๆ เหมือนเดิม
นางที่กินแล้ว ก็นอนทั้งวันเช่นนั้น เพียงอึดใจเดียวก็ผ่านไปวันนึงเสียแล้ว เมื่อวันที่สองเริ่มขึ้น หยุนชางรู้สึกมึน ๆ หัวเล็กน้อย เมื่อรับสำรับเสร็จก็เดินมานั่งเล่นฉินอยู่เช่นเดิม ทว่าสายตากลับมีแววแข็งกร้าวขึ้นมา หยุนชางเล่นฉินไปได้ครู่หนึ่ง จึงหยุดมือ พร้อมเงยหน้ามองซานเหนียงว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะวางยาสลบลงไปในสำรับอาหารของข้า ทำไมวันนี้ทั้งวันข้าถึงรู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงนัก ในหัวพลันรู้สึกหมุนไปหมด ?”
ซานเหนียงได้ยินเช่นนั้น พลันตกตะลึงไปชั่วครู่ เมื่อเก็บที่หลับที่นอนจนเสร็จ นางจึงออกไปรายงานความคืบหน้า พร้อมพาชายวัยกลางคนเดินเข้ามา “แม่นาง. คนผู้นี้คือท่านหมอ เจ้ายื่นมือออกมาให้ท่านหมอตรวจดูอาการหน่อยเถิด ”
หยุนชางพลันหาวออกมา พร้อมยื่นมืออกมาเล็กน้อย ท่านหมอที่วัดชีพจรอย่างระมัดระวังนั้น พลางลอบมองสีหน้าของหยุนชางแล้วจึงพูดออกมาว่า “แม่นางเพียงนอนมากไปแต่เพียงเท่านั้น ทุกอย่างมีขีดจำกัดของมัน หากมากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี การนอนก็เช่นกัน หากแม่นางมิมีอะไรทำ ก็ขอให้เดินเล่นรอบตำหนักเสีย เจ้าควรนอนกลางวันให้น้อยลง เกรงว่าการนอนกลางวันก็ควรจะนอนเพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น”
หยุนชางที่ถอนหายใจออกมา “ตำหนักนี้มีเพียงแค่สระบัวเท่านั้น จะไปทำอันใดได้? ”
ท่านหมอถูกซานเหนียงส่งออกไปนั้น หยุนชางก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา พลางลุกขึ้นยืนจากโต๊ะฉิน เนื่องจากว่าลุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงทำให้ร่างกายโงนเงนเล็กน้อย ใบหน้าที่กำลังจะล้มคะมำนั้น กลับรีบร้อนจับโต๊ะฉินพยุงไว้ได้ เพียงครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียง “เพล้ง” ดังขึ้นมา บนโต๊ะฉินที่มีแจกันดอกบัวตั้งไว้อยู่นั้น กลับตกลงมาแตกเสียแล้ว
หยุนชางที่ตกตะลึงไปสักพัก นางจึงก้มลงไปเก็บ ทว่ากลับถูกเศษแจกันบาดเสียได้
“ระวัง” ซานเหนียงที่กำลังเดินเข้ามา รีบร้อนส่งเสียงห้าม แล้วรีบเดินมานั่งยอง ๆ ข้างกายหยุนชาง บาดแผลที่โดนแก้วบาดนั้น เลือดพลันค่อย ๆ ไหลออกมา หยุนชางรีบเอานิ้วเข้าไปในปากเพื่อดูดเลือด แล้วจึงนำออกมา พร้อมขมวดคิ้วขึ้นมาว่า “ข้าแค่อยากจะลุกออกไปเดินเล่นรอบจวนเสียหน่อย มิคิดว่า พอลุกขึ้นมาจะเวียนหัวเสียได้ เกือบจะล้มลงเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายแจกันดอกบัวยิ่งนัก”
ซานเหนียงพลันรีบร้อนนำขวดยาออกมาจากกระเป๋าของนาง พร้อมสาดผงยามาทาไว้ที่บาดแผลของหยุนชาง เพียงครู่หนึ่งเลือดจึงหยุดไหลออกมา หยุนชางพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก “นิ้วทั้งสิบล้วนแต่เชื่อมต่อไปที่หัวใจ จึงทำให้รู้สึกเจ็บยิ่งนัก ตอนนี้จึงไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่นิดเดียว”
ซานเหนียงมองมาที่หยุนชาง พร้อมหยิบไม้กวาดมากวาดเศษแก้วที่อยู่บนพื้น หยุนชางมองไปที่โต๊ะฉิน แล้วจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดายว่า “วันนี้แม้แต่ฉินก็ไม่สามารถเล่นได้ ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
เมื่อพูดจบก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา พลางกำมือทั้งสองข้างแล้วเดินออกไปข้างนอก เมื่อออกมาเดินเล่นข้างนอกตำหนักแล้ว นางเพียงเดินไม่กี่รอบเท่านั้น ใบหน้าของหยุนชางพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดเล็กน้อยเท่านั้น
“แดดวันนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว ” หยุนชางพูดอย่างตรงไปตรงมา จึงเดินไปนั่งที่ตั่งนุ่ม ๆใต้ร่มไม้ เนื่องจากอากาศวันนี้มีความอบอ้าว ใบหน้าจึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นแดงขึ้นเล็กน้อย
ภายในคืนวันนั้น ไม่มีแม้แต่เสียงจิ้งหรีดและเสียงกบร้องออกมา เป็นวันที่หยุนชางนอนหลับสบายเป็นอย่างยิ่ง
เช้าวันที่สอง หยุนชางจึงเดินรอบจวนเพียงไม่กี่รอบเท่านั้น จึงเรียกหาซานเหนียง ให้นางหาตำรามาให้ตนอ่านสักเล่ม แล้วจึงผ่านไปได้อีกวันหนึ่ง
หลายวันมานี้ หยุนชางพลางสงบลงอยู่หลายส่วน ทว่าใบหน้ากลับค่อย ๆ ซีดลง เรื่อย ๆ ซานเหนียงเห็นสีหน้าหยุนชางเป็นเช่นนั้น พลันลังเลอยู่นาน จึงถามขึ้นมาว่า “แม่นาง มีที่ใดรู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่ ?”
หยุนชางพลันยิ้มเล็กน้อย และส่ายหน้าไปมา “ตั้งแต่เล็กจนโต ร่างกายข้าไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว เกรงว่าฤดูของข้าใกล้จะมาแล้วกระมัง. สีหน้าจึงดูไม่ค่อยดี”
ดังนั้นนางจึงมิค่อยออกไปเดินเล่นรอบจวนอีกแล้ว ดอกบัวในสระ พลันค่อยเหี่ยวเฉาลง แม้แต่ใบบัวก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองเสียแล้ว
ซานเหนียงพลันขมวดคิ้วลง พร้อมจ้องไปยังดอกบัวที่แห้งเหี่ยวในสระ พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ทำไมปีนี้ดอกบัวถึงเหี่ยวเฉาไวเสียจริง? ”