ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 496 พบกันยามดึก
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ลั่วชิงเหยียนก็ออกจากเรือนรับรองไป ส่วนหยุนชางอ่านหนังสืออยู่ที่เรือนรับรองต่อ เมื่อยามเย็น เรื่องที่หยุนชางสั่งให้สายลับไปตรวจสอบเมื่อเช้านี้ก็ได้ผลตอบรับแล้ว
“จวนอ๋องเจ็ดมีการคุ้มกันแบบเคร่งในอ่อนนอก ยากที่สายลับจะแอบเข้าไปได้ เพียงแต่ สายลับพบว่า เหมือนว่ายังมีคนอื่นๆ ที่กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่เช่นกัน หม่อมฉันได้สั่งให้สายลับระวังคนอีกกลุ่มหนึ่งให้ดี พวกเขาเป็นคนในพระราชวัง และเมื่อคนเหล่านั้นเข้าไปในพระราชวังแล้ว สายลับจึงได้ส่งสารไปยังหัวหน้าเฉียนเฉี่ยน หัวหน้าเฉียนเฉี่ยนก็ได้ส่งคนไปติดตามและพบว่า พวกเขาวนอยู่รอบๆ หอพระที่อยู่ในพระราชวังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจากไป” เฉี่ยนอินกล่าวด้วยเสียงต่ำ
มือหยุนชางที่ถือแก้วชาไว้ก็กำแน่น ภายใต้รอยยิ้มของนางนั้นเผยความเย็นชาออกมาเล็กน้อย “นางจริงๆ ด้วย”
เฉี่ยนอินได้ยินเช่นนี้ก็อ้าปากราวกับว่าจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มิได้พูดอะไร นางก้มหน้าลง แววตาของนางจ้องมองไปที่แขนขวาของตัวเองที่ว่างเปล่า
“ข้าไม่มีความคั่งแค้นอะไรกับนาง แต่นางกลับมุ่งเป้าลงมือกับข้าก่อน เช่นนี้ข้าคงจะปล่อยไปเฉยๆ มิได้แล้วล่ะ” หยุนชางพูดอย่างเฉยเมย “คืนนี้ข้าจะเข้าวังสักประเดี๋ยว เจ้าส่งสารไปให้หนิงเฉี่ยน ให้นางหาทางรับมือไว้”
เฉี่ยนอินตอบกลับ
หยุนชางเงยหน้ามองเฉี่ยนอิน ยิ้มและกล่าวว่า “มิต้องกังวลหรอก มีโอกาสให้เจ้าได้แก้แค้นด้วยมือของเจ้าเองอยู่แล้ว”
มีน้ำตาในดวงตาของเฉี่ยนอิน นางพยักหน้าเบาๆ “ทราบเพคะ”
หลังจากหยุดชั่วคราว เฉี่ยนอินก็พูดอีกครั้งว่า “ผู้หญิงในภาพวาดนั้น หม่อมฉันได้ให้สายลับไปสืบมาแล้วเพคะ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีผลใดๆ เพคะ คุณชายที่อยู่ตรอกซานชุ่นนั้นเป็นบุคคลลึกลับเช่นกันเพคะ ได้ยินมาว่าเขามาที่แคว้นเซี่ยเมื่อสามปีที่แล้ว และได้เปิดร้านขายยา ดูเหมือนว่าเขาจะมีมิตรเยอะนะเพคะ เพราะว่ามีคนที่แต่งกายดูดีราคาแพงมาเยี่ยมเขาอยู่ทุกๆ ช่วงเวลาเลยเพคะ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ทราบตัวตนของเขาเพคะ”
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย ลั่วชิงเหยียนก็กลับมา หยุนชางบอกกับเขาว่าคืนนี้จะเข้าไปในพระราชวัง แต่ก็กล่าวแค่ว่ามีธุระที่ต้องไปพบหนิงเฉี่ยน ลั่วชิงเหยียนเตือนนางให้ระวังให้ดี จากนั้นก็ยอมให้นางเข้าวังไป
หยุนชางมิได้แปลงโฉม นางกำนัลที่มารับนางเฝ้าอยู่ที่ประตูวัง และนำเสื้อของนางกำนัลให้หยุนชาง หยุนชางนำไปเปลี่ยนในรถม้า จากนั้นก็ตามนางกำนัลนั้นเข้าไป องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวังได้หยุดพวกนางเอาไว้ นางกำนัลที่มารับนางก็ได้ยื่นป้ายหยกให้ทหารเฝ้าประตูวังดู ผู้เมื่อทหารเห็นว่าเป็นป้ายหยกของเซียงกุ้ยผิดจึงมิได้ตรวจสอบกระไรมาก และปล่อยพวกนางเข้าไป
ตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่มาก หยุนชางจึงไปพูดคุยกับหนิงเฉี่ยนที่ตำหนักเซียงจู๋อยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเลยเวลายามจื่อไป นางจึงมุ่งตรงไปที่หอพระนั่น
เนื่องจากไทเฮาทรงโปรดการสวดมนต์ ฉะนั้นหอพระนั้นจึงตั้งอยู่ข้างๆ แม้แต่หอพระก็เริ่มจะดูเงียบและเยือกเย็นเล็กน้อย
หยุนชางเข้าใกล้หอพระด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนดังมาจากข้างในอย่างน่าตกใจ ดังมาพร้อมกับเสียงไอเล็กน้อย
หยุนชางเอนตัวพิงที่มุมกำแพง และเหมือนจะได้ยินเสียงของนางกำนัลดังขึ้นว่า “เหนียงเหนียง หม่อมฉันไปเตรียมน้ำอุ่นให้เหนียงเหนียงดีหรือไม่เพคะ ดื่มให้ชุ่มคอหน่อยเถิดเพคะ เสียงของเหนียงเหนียงนั้นแหบแห้งไปหมดแล้วเพคะ ในหอพระนี้ค่อนข้างหนาวเย็น เมื่อวานนี้ขันทีฝ่ายสำนักพระราชวังได้นำผ้าห่มมาส่งให้ เหตุใดเหนียงเหนียงจึงไม่ยอมให้หม่อมฉันรับไว้เพคะ?”
มีเสียงไอดังขึ้นอีก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หยุนชางก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นเบาๆ ด้วยความอ่อนโยนและแหบแห้ง อีกทั้งหอบเล็กน้อย “ไม่เป็นกระไรหรอก สิ่งที่ฮองเฮาต้องการ ก็มีเพียงได้เห็นข้าอยู่ไม่เป็นสุขมิใช่หรือ? ยิ่งข้าอยู่ไม่เป็นสุขเท่าใด นางก็จะมีความสุขมากเท่านั้น ข้าและนางเป็นบ่าวกับนายมานานหลายปี ข้าไอเพียงเล็กน้อย และพรุ่งนี้นางก็จะยิ่งได้ใจมากยิ่งขึ้น เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรืออย่างไร?”
หยุนชางเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ ซู่เฟยนี้ช่างน่าสนใจสิ้นดี คนอื่นๆ แม้ว่าจะต้องอดทนเพียงใด ก็ไม่ยอมเผยความอ่อนแอของตนออกมาให้ศัตรูได้มีความสุขอย่างเด็ดขาด แต่นางกลับทำตรงกันข้าม โดยจงใจแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ให้ฮองเฮาคิดว่าตัวเองชนะ
“เหนียงเหนียง!” นางกำนัลถอนหายใจ “วันก่อนมามาคนสนิทของฮองเฮามาที่นี่ แล้วพบว่าเหนียงเหนียงอ่อนแอเช่นนี้ สีหน้านางที่ดูได้ใจนั้นช่างน่าโกรธเคืองยิ่งนัก”
ซู่เฟยไออยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “เดิมทีข้านั้นก็เป็นเพียงนางกำนัลที่ถูกทุกคนเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าอยู่แล้ว มีอะไรน่าสงสารไปมากกว่าตอนนั้นอีกหรือ? นางได้ใจสักหน่อยจะเป็นกระไรไป ให้นางได้ดีใจจนลืมตัวไปเถิด นางเอาแต่คิดว่าวังหลังนี้เป็นของนาง แต่กลับลืมไปว่า ทั่วอาณาจักรนี้เป็นของฝ่าบาท แล้วนับประสาอะไรกับวังหลักเล็กๆ นี้หรือ”
“นางคิดว่าตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในหอพระนี้แล้ว ข้าก็จะไม่มีทางได้กลับตัวอีก แต่นางกลับไม่เคยคิดว่า ชาวหย่าถูกเปิดโปงเรื่องใหญ่เช่นนี้ หากว่าข้ายังเป็นซู่เฟยอยู่ในวังซู่หย่าอย่างไม่สะทก สะท้าน เช่นนั้นข้าเกรงว่าข้าคงจะสิ้นชีวิตภายใต้เหล่าจดหมายร้องเรียนของขุนนางในพระราชวังกระมั้ง แม้ว่าหอพระนี้ดูร้างและหนาวเย็นไปหน่อย แต่กลับเป็นที่ลี้ภัยที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว เรื่องนี้ข้าทราบเป็นอย่างดี ฝ่าบาทก็ทราบเช่นกัน มีเพียงแต่ฮองเฮาเท่านั้นที่ไม่สามารถมองเห็นจุดนี้ได้” เสียงของเสิ่นซู่เฟยผสมไปด้วยเสียงจรรโลงใจเล็กน้อย แต่กลับทำให้หยุนชางรู้สึกเยือกเย็นอย่างมาก
ทั้งสองกระซิบกันอยู่ครู่หนึ่ง หยุนชางก็ได้ยินเสิ่นซู่เฟยกล่าวด้วยความเฉยชาว่า “เอาเถิด ตอนนี้เลยเวลายามจื่อมาแล้ว เสียงไอของข้าพวกนางคงได้ยินกันหมดแล้ว พักผ่อนเถิด”
นางกำนัลตอบรับ จากนั้นก็ถามว่า” เหนียงเหนียง ให้ดับไฟหรือไม่เพคะ?”
“มิต้องหรอก เจ้าลงไปเถิด คืนนี้เจ้ามิต้องเฝ้าอยู่ในห้องนี้ ไปเฝ้าอยู่ด้านนอกเถิด” เสิ่นซู่เฟยกล่าวด้วยความเฉยชา
หยุนชางได้ยินเสียงประตูเปิดออก นางกำนัลคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับตะเกียงในมือ หยุนชางพิงอยู่ที่มุมกำแพงแล้วมองดูนางกำนัลคนนั้น จากนั้นก็พบว่านางกำนัลนั้นนำตะเกียงในมือไปแขวนไว้ที่หน้าประตูหอพระ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
หยุนชางหรี่ตาลง แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน “แขกที่อยู่ด้านนอกนั้น ไม่คิดที่จะเข้ามานั่งข้างในหรือ?”
หยุนชางตกตะลึง มีแสงประกายฉายในดวงตาของนาง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหน้าต่างถูกเปิดออก หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกำเข็มเงินในมือไว้แน่นๆ นางเงยหน้าและมองไปทางที่สายลับซ่อนตัวอยู่ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าต่างและปีนเข้าไป
นี่คงเป็นห้องชั้นในของหอพระ การตกแต่งภายในห้องนั้นธรรมดาอย่างมาก มีเพียงแต่เตียง โต๊ะหนึ่งใบ เก้าอี้อีกสองสามตัว และโต๊ะเครื่องแป้งอีกหนึ่งอันเท่านั้นเอง มีผู้หญิงนั่งอยู่ข้างเตียง สวมเพียงแค่เสื้อสีขาว ผมของนางมิได้มวยเก็บไว้ แต่ว่ารูปหน้านั้นสดใสอย่างมาก เมื่ออยู่ใต้แสงไฟสีส้มเหลืองแล้ว ก็ได้เผยความอ่อนโยนขึ้นมาอีกมาก
แววตาของผู้หญิงคนนี้จ้องไปที่หยุนชาง และมองดูหยุนชางอย่างละเอียด จากนั้นจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เขาว่ากันว่าพระชายารุ่ยอ๋องนั้นมีรูปลักษณ์ที่งดงามจนมิอาจมีใครเทียบได้ และหาพบได้ยาก เดิมทีข้าคิดว่าเป็นเพียงคำกล่าวเกินจริง แต่ไม่คาดคิดว่างดงามดั่งที่เขาเลื่องลือกันเสียจริง”
หยุนชางยิ้มเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า ” เขาว่ากันว่าเสิ่นซู่เฟยนั้นอ่อนโยนและสง่า เมื่อได้พบวันนี้ ทันทีที่พบนั้นทำให้รู้สึกอยากปกป้องเสียจริง”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เสิ่นซู่เฟยก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ไม่สามารถหยุดได้ และก้มหน้าหัวเราะอยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงเงยหน้ามองไปที่หยุนชาง “พระชายารุ่ยอ๋องยังสาวเช่นนี้ แต่ฝีมือประจบประแจงนั้นกลับเยี่ยมมาก เพียงแต่ว่าพระชายารุ่ยอ๋องมาที่นี่เพียงลำพังในยามดึกเช่นนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือ?”