ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 497 เผชิญหน้ากับจักรพรรดิแคว้นเซี่ย
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย มองไปที่เสิ่นซู่เฟยแล้วเลิ่กคิ้ว “เสิ่นซู่เฟยลองคิดดู หากว่าคนอื่นๆได้ยินประโยคนี่เจ้ากล่าวมา เช่นนี้รูปลักษณ์ที่ดูอ่อนโยนมีคุณธรรมที่เจ้าพยายามสร้างขึ้นก็คงจะพังทลายไป”
“พระชายารุ่ยอ๋องอย่าได้ลืมไป ว่าที่นี่คือพระราชวัง อีกทั้งตอนนี้อยู่ในวังที่ข้าอาศัยอยู่ ข้าทราบแม้กระทั่งพระชายาเข้ามา แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น” เสิ่นซู่เฟยลูบผมที่ประบ่า และกล่าวเบาๆ “แต่ทว่าข้าก็แปลกใจเล็กน้อย พระชายารุ่ยอ๋องช่างใจกล้าเสียจริง กล้าที่จะบุกเข้ามาเพียงลำพังเช่นนี้”
หยุนชางเดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ข้ามาที่แคว้นเซี่ยเป็นเวลาเกือบสามสี่เดือนแล้ว แต่ข้ามิเคยได้เข้าเฝ้าเสิ่นซู่เฟยเลย ฉะนั้นจึงคิดว่าอาจเพราะเหตุนี้ เสิ่นซู่เฟยจึงได้ส่งคนมาลอบสังหารข้า เพื่อเตือนสติ ฉะนั้นทันทีที่ข้าทราบว่าเป็นฝีมือของเสิ่นซู่เฟย จึงได้รีบเข้ามาในวังเพื่อถวายบังคมต่อซู่เฟยเหนียงเหนียง และถือโอกาสทูลถามซู่เฟยเหนียงเหนียงว่าข้าทำผิดกระไรไปหรือไม่ และอยากจะขอคำแนะนำจากซู่เฟยเหนียงเหนียง ”
เสิ่นซู่เฟยจ้องมองไปที่ใบหน้าของหยุนชาง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชา ” เจ้าทำกระไรผิดอย่างนั้นหรือ? เพราะว่าเจ้าอภิเษกสมรสผิดคนยังไงล่ะ” หลังจากนั้น เสิ่นซู่เฟยก็ยืนขึ้นและยืนเท้าเปล่า ยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อครั้งอยู่ที่แคว้นหนิง รุ่ยอ๋องก็มีอำนาจสูงระดับที่อยู่ภายใต้ฝ่าบาทเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือทุกคน แล้วเหตุใดจึงต้องกลับมาแย่งบัลลังก์กับฉีเอ๋อร์? แคว้นเซี่ยมิใช่สถานที่ที่เขานึกอยากทำกระไรก็ทำได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงที่มีอำนาจ ข้าจึงมิอยากลงมือกับเขาเพียงเท่านั้น”
“เกรงว่าคงมิใช่เพราะว่ามิอยากลงมือ แต่เป็นเพราะทำมิได้กระมั้ง ฉะนั้นเจ้าจึงเลือกถอย และคิดจะมาลงมือกับข้า” หยุนชางยิ้มและมองดูภาพที่เสิ่นซู่เฟยทำสีหน้าค่อนข้างบูดบึ้งและกระซิบว่า “ซู่เฟยเหนียงเหนียงเป็นคนที่ชาญฉลาดอย่างมากนะเพคะ ได้สอนอะไรบางอย่างให้กับข้าแล้ว”
เสิ่นซู่เฟยมองไปที่หยุนชางด้วยสายตาที่เย็นชา แต่มิได้เอ่ยปากกล่าวกระไร
“เริ่มลงมือกับคนที่ศัตรูรักมากที่สุด ซู่เฟยเหนียงเหนียงชอบอะไรมากที่สุดนะ? คงต้องเป็นฉีอ๋องกระมั้ง ข้าได้ยินมาว่าฉีโจวนั้นเป็นสถานที่ที่ดินแห้งแล้ง อากาศก็เลวร้ายอย่างมาก อากาศแห้งอย่างมาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าฉีอ๋องซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลอย่างดีของซู่เฟยเหนียงเหนียงนั้น จะสามารถทนกับฉีโจวที่สภาพเลวร้ายเช่นนี้ได้หรือไม่ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะส่งคนไปถามให้ซู่เฟยเหนียงเหนียงได้ทราบ?” หยุนชางยิ้มเบา ๆ สีหน้าของนางดูอ่อนโยน ราวกับว่ากำลังคุยเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจ
นัยน์ตาของเสิ่นซู่เฟยเย็นชาลงทันที แววตาของนางเต็มไปด้วยความอาฆาต “เจ้ากล้าหรือ!”
“เหตุใดจึงไม่กล้าล่ะ” หยุนชางยิ้มเยาะเย้ยและยืนขึ้น “ซู่เฟยเหนียงเหนียง เจ้าก็ปกป้องฉีอ๋องของเจ้าให้ดีเสียเถิด อย่าได้ให้เขาได้เป็นกระไรไปล่ะ รู้หรือไม่ หากว่าฉีอ๋องเป็นกระไรไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทนมาหลายปี การวางแผนต่างๆที่คิดมาหลายปีก็คงหมดความหมายไป” ขณะที่พูด นางก็ตบๆมือและกระโดดออกจากหน้าต่างไป
หยุนชางออกจากหอพระไป และกำลังจะผ่านวังเฉี่ยนหลิง และเดินทางไปที่ตำหนักเซียงจู๋ แต่กลับพบเงาร่างสีเหลืองสว่างยืนอยู่หน้าประตูวังเฉี่ยนหลิง และกำลังมองมาที่หยุนชาง
หยุนชางผงะ พยายามอยากจะหลบไปอยู่หลังต้นไม้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเซี่ยหวนอวี่ดังขึ้น “พระชายารุ่ยอ๋อง”
ดูเหมือนว่ามารอคนโดยเฉพาะ หยุนชางสั่นสะท้าน ในพระราชวังนี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถผิดบังเขาได้จริงๆ
หยุนชางหยุดชะงัก จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเซี่ยหวนอวี่และถวายบังคม “หม่อมฉันน้อมถวายบังคมเพคะ”
“ยืนขึ้นเถิด” เซี่ยหวนอวี่กล่าวเบาๆ “ไปเดินเล่นกับเจิ้นหน่อย”
หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินตามเซี่ยหวนอวี่ไป ผ่านไปอยู่นานเซี่ยหวนอวี่ก็มิได้กล่าวกระไร ในค่ำคืนที่เงียบงันนั้นได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าเบาๆ
“ครั้งที่แล้วในเมืองฉีหลาน เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” เสียงของเซี่ยหวนอวี่นิ่งเฉย ราวกับว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ
หยุนชางก้มหน้าลงมองดูเงาของตน และกล่าวเบาๆว่า “มิได้รับบาดเจ็บสาหัสกระไรเพคะ เพียงแค่ซ่อนตัวอยู่ในซอกหินแคบๆ มาหนึ่งคืน เป็นหวัดเล็กน้อยเพคะ แต่สายลับที่ติดตามหม่อมฉันมานั้นได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตไปไม่น้อยเพคะ”
เซี่ยหวนอวี่พยักหน้า “ไม่เป็นกระไรก็ย่อมดี นางเหลวไหลไปหน่อย แต่ก็เป็นเพราะเจิ้นมีความผิดต่อนาง ในเมื่อเจ้าไม่เป็นกระไร เช่นนี้เรื่องบางเรื่องก็อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยอีกเลย ส่วนนาง เจิ้นจะจัดการเอง เจ้ามิต้องเป็นห่วง”
หยุนชางหยุดชะงัก ยืนนิ่งอยู่กับที่และมองดูเงาของตนแล้วขมวดคิ้วขึ้นมา เซี่ยหวนอวี่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ให้นางปล่อยเสิ่นซู่เฟยไปอย่างนั้นหรือ?
หยุนชางยิ้มอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าเซี่ยหวนอวี่จะทราบทุกการกระทำของเสิ่นซู่เฟยเป็นอย่างดี เหลวไหลหรือ? แค่คำว่าเหลวไหลก็สามารถแทนที่ชีวิตคนตั้งมากมายและมือข้างหนึ่งของเฉี่ยนอินอย่างนั้นหรือ?
“สิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัส หม่อมฉันมิเห็นด้วยเท่าไหร่นักเพคะ แต่ทว่า หม่อมฉันอยากจะทูลถาม หากว่าหม่อมฉันเสียชีวิตไปจริงๆ ฝ่าบาทจะทำเช่นไรหรือเพคะ?” หยุนชางขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “ซู่เฟยเหนียงเหนียงนั้นมีเกียรติมีศักดิ์ และหม่อมฉันทราบดีเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันก็ทราบด้วยว่า แม้ว่าคนที่เสียชีวิตไปในวันนั้นคือสายลับของหม่อมฉัน แต่หากมิใช่เพราะว่าสายลับปกป้องหม่อมฉันอย่างสุดชีวิต วันนี้ฝ่าบาทก็คงมิได้พบหม่อมฉันแล้วเพคะ”
เซี่ยหวนอวี่มิได้ตอบกลับ แต่หยุนชางกลับหัวเราะขึ้นมา “ฝ่าบาททรงชอบข่มขู่คนอื่นมากนักเพคะ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงขู่ให้ท่านอ๋องปล่อยตัวอ๋องเจ็ดไป วันนี้ฝ่าบาทก็ได้ใช้วิธีการเช่นเดิมกับหม่อมฉัน เพียงแต่ว่าฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันนั้นมิชอบการถูกข่มขู่เป็นอย่างมากมาแต่ไหนแต่ใดแล้วเพคะ”
เซี่ยหวนอวี่หันกลับมา จ้องมองไปที่หยุนชางและขมวดคิ้วขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า ” เจ้าคิดว่า หากว่าเจิ้นให้รุ่ยอ๋องเลือกระหว่างหญิงงามกับบัลลังก์ เขาจะเลือกอย่างใด”
หยุนชางตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน หัวเราอยู่นานแล้วจึงเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาทคิดว่า ตอนนี้ฝ่าบาททรงประทับราชบัลลังก์นี้เอาไว้ เช่นนั้นอาณาจักรนี้ก็จะเป็นของฝ่าบาทตลอดไป และฝ่าบาทคิดอย่างให้ใครก็ย่อมได้อย่างนั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า…..หม่อมฉันมิเคยทราบมาก่อนเพคะว่าฝ่าบาทจะทรงไร้เดียงสาถึงเพียงนี้”
“เหลวไหล!” แววตาของเซี่ยหวนอวี่เริ่มเยือกเย็น ” ช่างเหลวไหลยิ่งนัก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเจิ้นจะสั่งให้ทหารนำเจ้าไปประหารประเดี๋ยวนี้เลย”
“ฝ่าบาทจะทรงประหารใครหรือ?” หยุนชางยังมิทันได้ตอบ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นเย็นชายิ่งกว่าเสียงของเซี่ยหวนอวี่
เซี่ยหวนอวี่ผงะ ขมวดคิ้วและมองไปที่ไม่ไกลนัก หยุนชางหันกลับไปมองและเห็นว่าลั่วชิงเหยียนถือกระบี่อยู่ในมือ และยืนมองพวกเขาจากที่ไม่ไกลนัก
“ฝ่าบาททรงต้องการประหารใครหรือ?” ลั่วชิงเหยียนถามอีกครั้ง เพราะไม่ได้ยินคำตอบ เขาก้าวเดินเข้ามาหาหยุนชางและยืนอยู่ข้างๆหยุนชางพร้อมมองไปที่เซี่ยหวนอวี่ “ฝ่าบาทอยากถามกระไรก็ถามหม่อมฉันมาเถิด ให้เลือกระหว่างหญิงงามกับบัลลังก์ใช่หรือไม่?”
ลั่วชิงเหยียนเหลือบมองหยุนชาง ยื่นมือออกมาจับมือหยุนชางเอาไว้และกล่าวด้วยเสียงเบาว่า “หากเป็นข้า แน่นอนว่าต้องเลือกภรรยาของข้า ในสายตาของข้านางเป็นอาณาจักรล้ำค่า ส่วนบัลลังก์ที่ฝ่าบาทกล่าวมาเป็นเพียงแค่ตำแหน่ง หากว่าข้าอยากได้ ก็แย่งมาเท่านั้นเอง เหล่าองค์ชายท่านอ๋องของแคว้นเซี่ยไม่มีใครเอาไหนเลย หากว่าข้าอยากจะแย่งมันมา คงไม่มีใครเป็นคู่แข่งข้าได้หรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนชางก็ยิ้มเล็กน้อย เงยหน้ามองไปที่ใบหน้าที่ค่อนข้างเย็นชาของลั่วชิงเหยียน และรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเซี่ยหวนอวี่แย่ลง ลั่วชิงเหยียนก็กล่าวเบา ๆ ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนเจ้าสามารถปล่อยให้ฆาตกรที่สังหารภรรยาและลูกตัวเองมานอนข้างๆตนอยู่หลายปี เพียงเพราะต้องการครองบัลลังก์เอาไว้เท่านั้น”
หลังจากที่ลั่วชิงเหยียนพูดจบ เขาก็ดึงหยุนชางมุ่งไปทางประตูวัง