ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 213 จิ้งอ๋องกลับมา
หยุนชางแทบใจสลาย ไข้สูงเช่นนี้นางจะทำอย่างไรดี
"ใครก็ได้มานี่หน่อย!" หยุนชางเรียกอย่างรีบร้อน
หวูยีเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างไม่รีบร้อนและขมวดคิ้วเมื่อได้ยินกลิ่นยาในห้อง "มีอะไรเจ้าคะ?"
หยุนชางรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาของนาง "หวูยี เหิงเอ๋อร์ตัวร้อนมาก เจ้ารีบไปพาหมอมาหน่อย"
หวูยีขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตานางมองไปยังก้อนผ้าห่มบนเตียง "แต่ว่าเมื่อครู่ข้าไปเอายาให้องค์หญิง นายท่านเดินผ่านมาและได้กลิ่นยา องค์หญิงหัวจิ้งบอกว่าทั้งจวนคลุ้งไปด้วยกลิ่นยาเหม็นมาก นายท่านจึงได้สั่งว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้เรียกหมอมาในจวนและไม่อนุญาตให้ต้มยาอีกด้วย"
หยุนชางรู้สึกได้ว่าเรี่ยวแรงของนางค่อยๆ ถูกสูบหายไป ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงยิ้มอย่างขมขื่น "เขาจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าเป็นภรรยาแต่งของเขาและนี่ก็เป็นลูกชายของเขา ลูกของเขา!"
"ทรมาน ท่านแม่ เหิงเอ๋อร์ทรมาน…" เสียงของเหิงเอ๋อร์แผ่วเบาราวกับยุง หยุนชางตัวสั่นเทิ้ม นางรีบอุ้มเขาขึ้นแนบอก แล้วสวมเสื้อคลุมและคลุมเหิงเอ๋อร์ไว้ใต้เสื้อคลุมของนาง นางจะต้องไปขอร้องสามีของนาง นางต้องไปขอร้องเขา
ฝนวันนี้ช่างหนาวเย็นเหลือเกิน หยุนชางคิดว่าตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่ฝนก็ยังเย็นอยู่มาก ทุกหยดดูเหมือนจะตกลงไปในหัวใจของนาง
เมื่อนางวิ่งไปที่หอสูง เห็นเหลียนซินยืนอยู่ตรงทางเข้า เมื่อนางเห็นหยุนชางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ท่านมาได้อย่างไร? นายท่านกำลังยุ่ง เขากำชับไว้ว่าจะไม่พบใครทั้งนั้น"
หยุนชางยิ่งรู้สึกเย็นเยียบขึ้นไปอีก เมื่อมองเหลียนซินซึ่งยืนอยู่หน้าประตู นี่คือสาวใช้ที่นางไว้ใจมาตลอด ตอนนี้เมื่อพูดกับนาง แม้แต่หางเสียงก็ไม่มีด้วยซ้ำ "เหิงเอ๋อร์ป่วยต้องหาหมอ"
เหลียนซินไม่ขยับเขยื้อน "จะหาหมอก็ไปหาหมอสิ จะมาหานายท่านทำไม"
หยุนชางกัดฟันพูด "ท่านพี่ ขอร้องล่ะ หาหมอดีๆ ให้ลูกหน่อยได้หรือไม่?"
หน้าต่างบนหอเปิดออกและหยุนชางก็เห็นว่าในอ้อมกอดของสามีนางมีหัวจิ้งที่กำลังยิ้มเยาะนาง "บอกแล้วว่าตอนที่นายท่านทำธุระห้ามรบกวน ในจวนยังมีกฎอยู่อีกหรือไม่ คุกเข่าลง เมื่อไหร่ที่ข้าให้ลุกขึ้นค่อยลุกขึ้น" แล้วหัวจิ้งก็หัวเราะเสียงก้องราวระฆังเงิน
หยุนชางตกตะลึงอยู่ท่ามกลางสายฝน นางก้มศีรษะลงมองเหิงเอ๋อร์ที่กำลังหน้าซีดลงเรื่อยๆในอ้อมแขนของนางก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของนางถูกมีดกรีดลง
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็คุกเข่าลงช้าๆ กระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้นเล็กน้อยและแอบใจชื้นอยู่ในใจว่าเคราะห์ดีที่นางสวมเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งไว้ใต้เสื้อคลุมกันฝน เหิงเอ๋อร์จะได้ไม่รู้สึกหนาว
หยุนชางยังคงรู้สึกไม่วางใจ นางจึงเลิกเสื้อคลุมขึ้น แต่กลับเห็นเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเด็กน้อยในอ้อมแขน ใบหน้าของเขาซีดราวกับว่าเขาได้ตายไปแล้ว
"เหิงเอ๋อร์ เหิงเอ๋อร์…" หยุนชางกรีดร้องอย่างตระหนกและลุกขึ้นจากเบาะในทันใด
"องค์หญิง องค์หญิง" หยุนชางได้ยินเสียงกังวลเสียงหนึ่งดังแว่วมา หยุนชางหันศีรษะไปก็เห็นเป็นใบหน้าเป็นห่วงของฉินยี "องค์หญิงฝันร้ายหรือเพคะ?"
หยุนชางมีความรู้สึกไม่สบายที่หน้าผาก เมื่อนางยกมือขึ้นสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงเหงื่อบนใบหน้าของนาง เหิงเอ๋อร์ เหิงเอ๋อร์ของนาง… หัวใจของหยุนชางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้างแล้ว? ไม่รู้ว่าเขาจะได้ไปเกิดใหม่ในครอบครัวที่ดี หรือไม่ ครอบครัวที่มีพ่อแม่พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว
หยุนชางรับผ้าเช็ดหน้าจากฉินยีมาเช็ดใบหน้าและจ้องไปที่ไกลๆ อย่างว่างเปล่า ทันใดนั้นนางก็พบว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่นาง นางจึงเงยหน้าขึ้นแล้วจึงเห็นจิ้งอ๋องกำลังขมวดคิ้วมองมาที่นาง
จิ้งอ๋อง…
หยุนชางตกใจ กะพริบตาหลายที จิ้งอ๋องจริงๆหรือ?
หยุนชางหันไปมองฉินยีก็เห็นนางยิ้มและกล่าวว่า "องค์หญิง ท่านอ๋องมาที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว เห็นท่านหลับอยู่จึงไม่ได้ให้ปลุก เดิมทีท่านอ๋องบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะมาเยี่ยมใหม่ แต่หม่อมฉันบอกเขาว่าองค์หญิงได้สั่งให้คนมาเตรียมอาหารเย็นแล้ว จิ้งอ๋องจึงนั่งรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า"
จิ้งอ๋องไม่เป็นอะไรแล้วจริงหรือ? หยุนชางยังไม่ได้สติกลับมาจากความฝัน สายของนางที่มองจิ้งอ๋องมีแววตกตะลึงเล็กน้อย จิ้งอ๋องเห็นแล้วจึงยิ้มบางๆ เดินเข้ามานั่งบนเบาะนุ่มข้างกายนาง เขายกมือขึ้นสัมผัสหน้าผากของนาง ดวงตาฉายแววใส่ใจ "ฝันร้ายหรือ?"
หยุนชางพยักหน้า ใช่แล้ว นั่นเป็นฝันร้ายที่สุดของนาง
"เจ้าฝันร้ายอะไร ข้าเห็นว่าเจ้านอนหลับไม่สนิทและทันใดนั้นก็ตื่นขึ้น ร้องเรียกเหิงเอ๋อร์อยู่ตลอดเวลา เหิงเอ๋อร์เป็นใคร?" ดวงตาของจิ้งอ๋องมีแววสงสัยเล็กน้อย
หยุนชางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงและพูดว่า "ข้าจำไม่ได้แล้ว ฝันอะไรก็จำอะไรไม่ได้เลย…" เมื่อเห็นว่ามีความสงสัยเล็กน้อยในดวงตาของจิ้งอ๋อง หยุนชางก็รีบเปลี่ยนเรื่อง "ท่านไม่เป็นไรแล้วหรือ?"
จิ้งอ๋องพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม "แน่นอนว่าข้าไม่เป็นไร ข้าจะเป็นอะไรไปได้เล่า"
หยุนชางเหม่อลอยอีกครั้งและพึมพำครู่หนึ่ง "ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว" ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง "คราวนี้ท่านกลับมาจากคราวเคราะห์แล้ว เจ้าอาวาสอู๋น่าบอกว่าเคราะห์ของท่านยังมีอีกมากและวิธีเดียวที่จะสะเดาะเคราะห์นั้นได้ก็คือ พวกเราแต่งงานกันเถอะ"
"หือ?" จิ้งอ๋องกะพริบตาปริบๆ และใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่าหยุนชางได้พูดเรื่องใหญ่อะไรออกมา เขาหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ "เรื่องเช่นนี้จะให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดได้อย่างไร เจ้าซนเสียจริง อาหารพร้อมแล้ว กินข้าวกันก่อนเถอะ"
หยุนชางตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมปฏิกิริยาของจิ้งอ๋องไม่ได้เป็นไปตามที่นางคาดไว้ หยุนชางปล่อยให้เขาดึงตัวนางขึ้น ใส่รองเท้าแล้วเดินไปที่ห้องด้านนอก
นางรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด แต่อย่างไรก็ตามนางไม่เหลือความกล้าที่จะพูดคำนั้นอีกครั้งจึงนั่งลงที่โต๊ะและมองไปที่อาหาร แต่กลับไม่มีแก่ใจอยากกินสักนิด
แม้ว่านางจะเคยมีชีวิตมาแล้วชาติหนึ่ง แต่เรื่องการเอาใจผู้อื่น หากเป็นหัวจิ้ง เกรงว่าคงจะพูดได้อย่างน่าสนใจ คนที่อยู่อีกฝั่งก็คงจะประทับใจเป็นอย่างมากไปแล้ว
หัวจิ้ง หัวจิ้ง หยุนชางยิ้มอย่างขมขื่น ชื่อนี้คอยหลอกหลอนนางจนนางอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว นางต้องการดึงหนามนี้ออกจากอกให้เร็วที่สุด
หยุนชางเคี้ยวอาหารโดยไม่รู้รสไปนิดหน่อยก็เหม่อลอยอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของนาง จิ้งอ๋องก็ขมวดคิ้วมุ่น ฝันร้ายแบบไหนกันที่ทำให้นางสิ้นหวังได้ถึงเพียงนี้?
หลังอาหารเย็น จิ้งอ๋องไม่ได้กลับไป เขานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ หยุนชางและขอให้ฉินยีช่วยชงชาให้เขาแล้วจึงเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า "ทำไมจู่ๆ เจ้าก็นึกอยากแต่งงานกับข้า?"
หยุนชางชะงักไป นางนึกว่าเขาจะเพิกเฉยต่อสิ่งที่นางพูดไปก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ในใจนางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ระคนไปด้วยความรู้สึกยินดีเล็กน้อยเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงว่าการที่เขาพูดถึงมันอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้กลับทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
หยุนชางก้มศีรษะลงมองดูใบชาที่ค่อยๆ คลี่ออกมาในถ้วยน้ำชา ดวงตาแผ่ซ่านไปด้วยสีหยก "คราวนี้คนที่จับตัวท่านไปคือเสด็จพ่อ?"
จิ้งอ๋องคิดไม่ถึงว่านางจะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาจึงอึ้งไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ดวงตาของเขามีแววยินดีเล็กน้อย เขาพยักหน้าและตอบว่า "ใช่แล้ว"
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของหยุนชาง "เสด็จพ่อ… อยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ ย่อมอดระแวงไม่ได้… "
จิ้งอ๋องยกถ้วยชาขึ้นดื่มแล้วหรี่ตาลง แววตาปรากฏแววเย็นชา "อืม ข้าเข้าใจ หากข้าเป็นเสด็จพ่อของเจ้า ข้าก็คงจะระแวงเช่นกัน"
"ข้าไม่ต้องการให้…พวกท่านต้องกลายเป็นศัตรูกันในวันหนึ่ง ข้าไม่ต้องการ…" หยุนชางจ้องมองไปที่น้ำชาสีเขียวในถ้วยชานิ่ง
จิ้งอ๋องเงยศีรษะขึ้นมองหยุนชางด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่วูบวาบอยู่ในใจ "หากวันหนึ่งเป็นอย่างที่เจ้าว่า ข้าและเสด็จพ่อของเจ้าหันคมดาบเข้าใส่กัน เจ้าจะช่วยใคร?"
เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ นางก็ชะงักไปและนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน
กลับเป็นจิ้งอ๋องที่เบนสายตากลับมาก่อน รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา "อ้อ ข้าลืมไป เจ้าเป็นลูกสาวของเขา แม่ของเจ้าก็เป็นสนมของเขาแล้วยังตั้งครรภ์ลูกของเขาอยู่อีกด้วย โดยธรรมชาติแล้ว เจ้าย่อมต้องช่วยเขา…"
หยุนชางยังคงไม่พูดอะไร แต่ความไม่แน่ใจวาบขึ้นในใจของนาง นางไม่เคยคิดเลยว่าหากวันหนึ่งลั่วชิงเหยียนกับเสด็จพ่อหันคมดาบเข้าใส่กัน แล้วนางจะช่วยใคร?
ทั้งตำหนักมีเพียงควันสีเขียวลอยขึ้นจากกระถางธูปหอม เงียบสงัดจนอาจได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น
"เพล้ง…" ฝาครอบถ้วยชาในมือของหยุนชางตกลงบนพื้น ชาในถ้วยหกออกมาเล็กน้อย หยุนชางแววตาชะงักไปและเอ่ยขึ้น "ถ้าหาก…"
"นางพูดยังไม่ทันจบก็ถูกจิ้งอ๋องขัดจังหวะ "ตกลง พวกเราแต่งงานกัน ข้าจะไปบอกฝ่าบาทและหาฤกษ์ดี"