ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 214 หยุนชางเปิดใจต่อจักรพรรดิหนิง
หลังจากที่จิ้งอ๋องพูดเช่นนี้ ทั้งห้องก็เงียบลง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงหยุนชางหัวเราะออกมา แววตาของนางแฝงไปด้วยความขมขื่น เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ไม่ว่าจะในอดีตหรือในชาตินี้ ความรักไม่เคยเป็นของนาง
การแต่งงานที่ถูกบีบบังคับเช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร? พวกเขาล้วนมีแผนการเป็นของตัวเอง แต่ผลสุดท้ายของแผนการนั้นก็มีแต่ต้องแต่งงานเท่านั้นจึงจะบรรลุเป้าหมายที่ทั้งคู่ต้องการ อย่างนี้ช่างเลวร้ายเสียจริง…
หยุนชางหัวเราะไปเรื่อยแล้วนางก็กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง นางเติบโตขึ้นแล้วในชาตินี้ อย่างน้อยนางก็รู้ว่าการแต่งงานของนางแลกมาด้วยผลประโยชน์ที่นางต้องการ
"แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก แต่ก็คงไม่อาจคิดถึงอย่างอื่นได้อีก เจ้าคงรู้แล้วว่ามีกำลังทหารหนึ่งแสนนายที่ซ่อนอยู่ในแคว้นหนิง ข้าไม่รู้ว่ายังมีมากกว่านี้อีกหรือไม่… หากตอนนี้เสด็จพ่อไม่ไว้วางใจท่าน แคว้นอื่นจะได้โอกาส เมื่อถึงเวลานั้น ข้ากลัวว่าแคว้นหนิงจะล่มสลายในชั่วข้ามคืน ข้ารู้ว่าท่านมีความทะเยอทะยาน เพียงแต่อย่างน้อยแคว้นหนิงก็ต้องอยู่รอดปลอดภัยเสียก่อน ความทะเยอทะยานของท่านถึงจะดำรงอยู่ได้ ดังนั้น…"
"ดังนั้นหากเราแต่งงานกันในเวลานี้ นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด" จิ้งอ๋องเงยขึ้นมองหญิงสาวที่ดูสงบข้างหน้าเขา ในใจกลับมีความเจ็บปวดแทรกเข้ามา เขายังจำได้ว่าหลังจากที่นางรู้ว่าเขาได้ขอพระราชทานงานสมรสแล้ว นางไม่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นเขาที่หลอกล่อนางให้ตอบรับได้ แต่ตอนนี้นางกลับพูดถึงการแต่งงานกับเขาได้อย่างใจเย็น
ผู้หญิงคนนี้ เมื่อไหร่จะอยู่เพื่อตัวเองสักที?
หยุนชางตกตะลึงและได้ยินถึงกระแสความไม่พอใจเล็กน้อยในน้ำเสียงของเขา แต่นางกลับทำได้เพียงแต่หัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน "ใช่แล้ว ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วทำไมจะไม่ทำเล่า?"
จิ้งอ๋องยืนขึ้นและเดินออกจากตำหนักไป ฉินยีมองหยุนชางอย่างกังวล นางคอยอยู่เคียงข้างหยุนชางมาหลายปีแล้ว ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าองค์หญิงที่ดูเงียบขรึมผู้นี้แม้จะฉลาดหลักแหลมแต่ในใจก็มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างมาก การพูดเช่นนี้ออกมาย่อมไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ…
หลังผ่านไปประมาณสิบห้านาที นางได้ยินเสียงหัวเราะของหยุนชางดังแว่วมา เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ฉินยีมองไปก็เห็นคิ้วและดวงตาของหยุนชางเต็มไปด้วยความสุข เพียงแต่เสียงหัวเราะนั้นกลับทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเศร้าลงอย่างไม่มีเหตุผล
"องค์หญิง…" ฉินยีเอ่ยขึ้นพร้อมแววอ้อนวอนในดวงตา
หยุนชางเงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับฉินยีที่มองมา มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย "ฉินยี ข้ากำลังจะแต่งงานแล้ว… ทำไม…" ทำไมนางถึงไม่มีความสุข การแต่งงานครั้งนี้เป็นเหมือนข้อแลกเปลี่ยนเสียมากกว่า แต่ถึงแม้ว่านางจะได้สิ่งที่นางต้องการซึ่งก็คือหารเกลี้ยกล่อมให้จิ้งอ๋องรักษาแคว้นหนิงไว้ นอกจากนี้จิ้งอ๋องยังเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นที่หมายปองของหญิงสาวทุกคนในแคว้นหนิง นางควรจะมีความสุขที่ได้แต่งงานกับคนเช่นนี้? แต่ทำไมนางกลับไม่สามารถโน้มน้าวให้ตนเองมีความสุขได้
"เฉี่ยนอิน ให้หนิงเชียนไปที่ภูเขากิเลนหน่อย ไปดูว่ากำลังทหารที่ซ่อนอยู่ในเขากิเลนมาจากไหน" หยุนชางนวดหน้าผากและพูดเบาๆ
เมื่อเฉี่ยนอินเห็นหยุนชางที่ดูไม่สบายใจนักก็รีบทำตัวสงบลงและขาบรับอย่างจริงจัง
"องค์หญิง ฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงรีบเสด็จไปยังตำหนักฉินเจิ้งกับหม่อมฉันโดยเร็วเถอะพ่ะย่ะค่ะ" ขันที่ผู้หนึ่งเข้ามา หยุนชางจำได้ว่าเขาก็คนข้างกายของหัวหน้าขันทีเจิ้ง
เสด็จพ่อเรียกเข้าเฝ้า? หยุนชางยิ้มเล็กน้อย เกรงว่าเสด็จพ่อจะระแวงนางด้วยเช่นกันจึงต้องการคุยกับนางสักที จิ้งอ๋องเอ่ยกับเสด็จพ่อเรื่องงานสมรสแล้วหรือ?
หยุนชางก้มศีรษะลงครุ่นคิดอยู่นานแล้วจึงให้ฉินยีหยิบเสื้อคลุมสีม่วงมาสวมให้นางก่อนที่จะนำฉินยีไปยังตำหนักฉินเจิ้ง
หัวหน้าขันทีเจิ้งยืนอยู่ที่ประตูของตำหนักฉินเจิ้ง เมื่อเขาเห็นหยุนชางมาแล้ว เขาก็รีบเปิดประตูและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เชิญพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ฝ่าบาทรอองค์หญิงมาครู่ใหญ่แล้ว"
หยุนชางพยักหน้าและสาวเท้าเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทันทีที่นางเดินเข้าไป ประตูตำหนักก็ปิดลง หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยและชะงักฝีเท้า แต่นางก็ยังเดินไปในตำหนักโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภายในตำหนักมีโคมแก้วแปดมุมส่องสว่างรอบด้านและไม่มีข้ารับใช้อยู่ด้านใน จักรพรรดิหนิงยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะกำลังก้มเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษหนังบนโต๊ะ
"เสด็จพ่อ ชางเอ๋อร์มาแล้วเพคะ" หยุนชางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
จักรพรรดิหนิงพยักหน้าและเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอ่อนโยน เพียงแต่หยุนชางเห็นว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้ออกมาจากใจ
"ชางเอ๋อร์มาแล้วหรือ? พอดีเลย วันนี้ข้างานไม่ยุ่งนัก ว่างอยู่นิดหน่อย แม่ของเข้าไม่อยู่ในวัง ข้าจึงไม่มีใครให้คุยด้วย เจ้ามาคุยเล่นเป็นเพื่อนพ่อหน่อยเถอะ" จักรพรรดิหนิงยิ้มแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง "เจ้านั่งตรงนั้นสักครู่เถอะ อีกเดี๋ยวข้าก็เสร็จแล้ว"
หยุนฉางจึงนั่งลงด้านข้าง ดวงตาของนางจับจ้องไปที่โคมเคลือบทรงแปดเหลี่ยม ดูเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่าว่า "ทำไมผู้หญิงบนโคมช่างดูคุ้นจริง?"
จักรพรรดิหนิงชะงักไป ผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดว่า "นี่คือภาพเหมือนที่ข้าเคยวาดให้แม่เจ้ามาก่อน"
หยุนชางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดือนที่แล้ว ชางเอ๋อร์ไปที่วังเฟิ่งไหลมา เสด็จแม่สบายดีมากและลูกในท้องของนางก็สบายดีมากเช่นกัน อีกไม่นานชางเอ๋อร์ก็จะมีน้องชายหรือน้องสาวแล้ว"
จักรพรรดิหนิงขานรับ "อืม" เบาๆ ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงหยุนชางถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนมีความรู้สึกบางอย่าง "ถ้าน้องเกิดมาแล้ว เสด็จพ่ออย่าได้ส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงเด็ดขาด หลายปีมานี้เสด็จแม่ลำบากมามาก หากชางเอ๋อร์ได้อยู่ข้างกายนางก็ยังพอเป็นเพื่อนคุยกับนางได้ คงจะดีกว่านี้มาก ประเพณีพื้นบ้านในเมืองเฟิ่งไหลนั้นเรียบง่าย ก่อนหน้านี้ชางเอ๋อร์ยังคิดอยากจะออกไปเดินเที่ยวเล่นกับนาง แต่เสด็จแม่ไม่ยอม นางบอกว่านางไม่ได้ออกไปเดินเล่นมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์เป็นอย่างไรบ้าง นางไม่รู้ว่านางจะคุยกับคนอื่นอย่างไร นางจึงไม่อยากออกไปไหน"
พู่กันในมือของจักรพรรดิหนิงชะงักอีกครั้ง ความรู้สึกผิดแวบเข้ามาในดวงตาของเขา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอ่ยว่า "ข้าก็ไม่ค่อยได้ยินเจ้าพูดถึงการใช้ชีวิตนอกวังของเจ้า หลายปีที่ผ่านมา เจ้าอาศัยอยู่นอกวังเป็นอย่างไรบ้าง? เล่าให้พ่อฟังหน่อยเถิด พ่อผิดต่อเจ้าสองแม่ลูก แม่ของเจ้าฝากเจ้าไว้กับพ่อ แต่พ่อปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยไม่ได้แล้วยังทำให้เจ้าโดนวางยาพิษอีก"
เมื่อหยุนชางได้ยินคำพูดนั้น ความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนางและความเจ็บปวดเล็กน้อยนั้นก็อยู่ในสายตาของจักรพรรดิหนิง ผ่านไปอยู่นาน จักรพรรดิหนิงก็เห็นหยุนชางหัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน ปิดตาลงและดูเหมือนจะนึกถึงความทรงจำบางอย่างได้ เมื่อจักรพรรดิหนิงเกือบคิดว่าหยุนชางจะไม่พูดอะไรออกมา เขาก็ได้ยินเสียงอู้อี้ของนาง "ในตอนแรกที่หยุนชางเพิ่งไปถึงวิหารแคว้นหนิงครั้งแรก เพราะว่าถูกพิษจึงรู้สึกมึนงงไปทั้งวันและต้องกินยา อาบน้ำสมุนไพรอยู่ตลอดสามเดือน อาการจึงดีขึ้นจนพอจะลุกนั่งและพูดคุยได้บ้างแล้ว"
"ต่อมาเมื่อร่างกายดีขึ้นแล้ว กลับไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีคนคอยลอบเข้ามาในวัดเพื่อเอาชีวิตชางเอ๋อร์เสมอ หม่อมฉันต้องหนีตายอยู่หลายครั้ง ครั้งหนึ่งถูกเณรน้อยหลอกให้ออกจากวิหารไป พบคนชุดดำหลายคนต้องการจะฆ่าหม่อมฉัน วันนั้นฝนตกหนักมาก วันนั้นชางเอ๋อร์วิ่งหนีสุดกำลังและทำได้เพียงฝังตัวเองลงไปในใบไม้แห้ง มองเหล่าชุดดำเดินผ่านตัวชางเอ๋อร์ไป ในใจของชางเอ๋อร์กลัวมาก กลัวที่จะถูกพบและกลัวว่าชางเอ๋อร์จะไม่อาจกลับไปได้อีกและจะไม่มีโอกาสได้พบกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่อีก ต่อมาไม่มีคนพวกนั้นแล้วและฟ้าก็มืดแล้ว ชางเอ๋อร์จึงรีบลงมาจากเขา กลิ้งตกลงมาจากเนินสูง พอตื่นขึ้นเจ้าอาวาสอู๋น่าก็บอกว่าอวัยวะภายในตกเลือด" หยุนชางก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างสุดทน
หยุนชางหัวเราะเบาๆ ขึ้นอีกครั้ง "ต่อมาจำนวนผู้ลอบสังหารกลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง เจ้าอาวาสอู๋น่ากลัวว่าชางเอ๋อร์จะเป็นอะไรไปและกลัวว่าอาการของชางเอ๋อร์จะรักษาไม่หายจนกลายเป็นโรคเรื้อรัง เขาจึงไปหาผู้หญิงที่รูปร่างใกล้เคียงกับชางเอ๋อร์มาอาศัยอยู่ในวัดและให้ชางเอ๋อร์ไปอยู่ในกระท่อมเล็กๆ หลังภูเขาของวัดจึงได้รอดมาได้ เพียงแต่หญิงคนนั้นก็ถูกฆ่าตายไม่นานก่อนที่ชางเอ๋อร์จะกลับมาที่วัง" หยุนชางเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิหนิง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก "เสด็จพ่อ มีหลายครั้งที่หม่อมฉันคิดว่าจะไม่อาจกลับมาได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าข้าจะดวงแข็งจนกลับมาได้อีก"