ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5347 วันที่เปิดเผยใจจริง 3
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5347 วันที่เปิดเผยใจจริง 3
“ใช่”หลินหว่านเอ๋อร์ตอบกลับอย่างจริงจัง: “เขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้ และศัตรูของเราก็เป็นคนเดียวกันด้วย หากมีโอกาสที่เหมาะสม ฉันควรบอกฐานะตัวตนของฉันออกมาอย่างหมดเปลือก มีแต่การทำแบบนี้ถึงจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาจริง ๆ”
พอพูดจบ จู่ ๆ เธอก็พูดด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย: “ใช่สิเหล่าชิว คุณให้พี่เสียนไปซื้อโต๊ะไม้ขนาดหกเมตรให้ฉันหนึ่งใบ แล้วก็กระดาษฟางคุณภาพสูงขนาดหกเมตรให้ฉันอีกหนึ่งแผ่น และซื้อหมึกที่ดีที่สุดอีกสองชิ้น ฉันอยากวาดภาพหนึ่งภาพน่ะ”
ชิวอิงซานพูดโดยที่รู้สึกตะลึงมาก: “คุณหนู คุณจะวาดภาพขนาดขนาดหกเมตรเหรอครับ? แบบนี้มันเสียแรงกายแรงใจมากเกินไปหรือเปล่าครับ?”
ในขนาดของภาพวาดจีนนั้น ความหมายขนาดหกเมตรก็คือขนาดภาพวาดที่ยาวประมาณ 6 เมตร กว้างประมาณ 2.5 เมตร โดยส่วนใหญ่แล้วนี่ถือเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดในภาพวาดจีนแล้ว ใช้ขนาดที่กว้างใหญ่ขนาดนี้มาวาดภาพ ปริมาณงานนั้นยิ่งใหญ่มากจนไม่สามารถใช้คำว่ามโหฬารมาอุปมาได้แล้ว
ตอนนี้หลินหว่านเอ๋อร์กลับพูดด้วยสีหน้าที่แน่วแน่: “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทิวทัศน์ที่ฉันอยากวาดมีมากเกินไป ขนาดขนาดหกเมตรก็แค่พอใช้เท่านั้น มิหนำซ้ำฉันยังมีเวลาอย่างน้อย 20 กว่าวัน สามารถค่อย ๆ วาดได้อยู่ค่ะ ไม่รีบ”
เมื่อชิวอิงซานได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงตอบกลับอย่างเคารพนอบน้อม: “ได้เลยครับคุณหนู เดี๋ยวกระผมจะให้ซูเสียนไปจัดการเลยครับ!”
เจ็ดโมงเช้า
ขบวนรถของซูโสว่เต้าได้ออกเดินทางตรงตามเวลาเป๊ะ มุ่งหน้าไปรับเจ้าสาวที่คฤหาสน์ตระกูลเหอ
วันนี้เป็นวันมงคล คู่สามีภรรยาที่จัดงานแต่งในเมืองจินหลิงมีร้อยกว่าคู่ เหมือนมังกรยาวที่ทำมาจากเหล็ก เคลื่อนผ่านไปมาอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองจินหลิง
เมื่อขบวนรถรับเจ้าสาวของซูโสว่เต้ามาถึงหน้าประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลเหอ รุ่นหลังและเหล่าสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของตระกูลเหอ จึงต้อนรับผู้คนในตระกูลซูที่มีซูโสว่เต้าเป็นผู้นำเข้าไปด้านใน ซูโสว่เต้าก็ถือช่อดอกไม้สดมุ่งหน้าไปยังบ้านที่ใช้สำหรับแต่งงานของเหออิงซิ่วโดยตรง
เนื่องจากอายุของซูโสว่เต้าและเหออิงซิ่วต่างมากกว่า 50 แล้ว ภาพฉากตอนรับฝ่ายเจ้าสาวของพวกเขาจึงไม่คึกคักเหมือนพวกเด็กวัยรุ่น คนในตระกูลเหอไม่ได้มาปิดกั้นตรงประตู คนในตระกูลซูก็ไม่ได้ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมเช่นกัน ทุกคนล้วนอวยพรด้วยการอมยิ้ม มองดูซูโสว่เต้าค่อย ๆ เดินไปถึงหน้าเหออิงซิ่วทีละก้าว
เหออิงซิ่วที่นั่งอยู่บนเตียงแต่งงาน อยู่ในชุดแต่งงานอย่างชุดซิ่วเหอสีแดง ถึงแม้บนใบหน้าจะมีร่องรอยที่ผ่านพ้นกาลเวลามานานบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังคงโดดเด่นสง่างามอยู่เช่นเคย
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ช่วงนี้ชะตาชีวิตของซูโสว่เต้าเต็มไปด้วยความไม่ราบรื่น อุปสรรคมากมาย บนใบหน้ามีริ้วรอยที่ผ่านโล่งมาอย่างโชกโชนมากในระดับหนึ่งแล้ว
เมื่อซูรั่วหลีที่อยู่ในชุดกระโปรงเพื่อนเจ้าสาวเห็นพ่อเดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้ จึงรีบพูด: “พูด หนูเอารองเท้าของแม่ไปซ่อนไว้ตรงประตูหลังแล้วนะ!”
เหออิงซิ่วอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะเธอ: “รั่วหลี แกนี่มันลำเอียงไปทางพ่อจริง ๆ ไม่สกัดกั้นอยู่ตรงประตูก็แล้วไป นี่ยังไม่ให้เขาหารองเท้าอีกเหรอ?”
ซูรั่วหลีหัวเราะฮิฮิแล้วพูดว่า: “แม่ หนูอดไม่ได้ที่จะยัดรองเท้าเข้าไปในมือพ่อซะอีก จะได้ทำให้พวกคุณรีบคำนับฟ้าดินเร็ว ๆ ไงคะ!”
สำหรับซูรั่วหลีแล้ว เธอรู้อยู่ว่าการที่พ่อแม่เธอได้อยู่ร่วมกันนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตลอดช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาผ่านพ้นความทุกข์ยากลำบากมากเยอะมาก ๆ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ สิ่งเดียวที่เธอคิดในใจก็คือให้พวกเขาทั้งสองคนรีบแต่งงานให้เสร็จสิ้น แถมยิ่งเร็วก็ยิ่งดีด้วย
เหออิงซิ่วต้องเข้าใจเจตนาของลูกสาวอยู่แล้ว จึงดึงตัวซูรั่วหลีมาเบา ๆ อย่างระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แล้วใช้หน้าผากของตัวเองแนบติดกับหน้าผากของเธอเบา ๆ น้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ฝืนใจระงับไม่ให้มันร่วงลงมา
ซูรั่วหลีหลับตาลงเบา ๆ รู้สึกแค่ว่าเบ้าตาร้อนผ่าวอย่างยิ่ง ใช้ใจสัมผัสความรักใคร่ของแม่อยู่อย่างนิ่ง ๆ
ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งนั่นของแม่ลูก แม้แต่คนนอกที่มองเห็นก็ยังรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้ง
เมื่อซูโสว่เต้าเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ก็รู้สึกทอดถอนใจอย่างยิ่งเช่นกัน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักทีว่าความรู้สึกของการได้แต่งงานกับผู้หญิงที่รักตัวเองนั้น มันเป็นอย่างไร
อีกอย่าง มันแตกต่างจากภรรยาเก่าอย่างตู้ไห่ชิงที่ไม่รักตัวเองโดยสิ้นเชิงเลย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าตัวเองได้ตกหลุมรักเหออิงซิ่วแล้ว