ตอนที่ 14 อดีตคู่หมั้นผู้โศกเศร้า
อดีตคู่หมั้นผู้โศกเศร้า
คู่หมั้นของข้าคือคนที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ข้อบกพร่องจนดูผิดมนุษย์ ส่วนใหญ่เธอจะเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา มีด้านที่น่ารัก ซุ่มซ่าม เหม่อลอยจนเผลอทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ
หลังจากพวกเราได้หมั้นกัน… ตัวข้ามักถูกเปรียบเทียบกับเธอผู้นั้น แน่นอนว่าข้าภูมิใจในตัวเรมี่ แต่ในใจลึกๆก็ยังมีความรู้สึกอิจฉาในพรสวรรค์ของเธอ
เธอเป็นถึงนักเวทชั้นแนวหน้า คิดค้นเวทมนตร์ใหม่ๆมากมายที่มีประโยชน์สำหรับทุกคนในชีวิตประจำวัน รวมถึงผลิตข้าวของเครื่องใช้สำหรับชนชั้นสูงและชาวบ้านทั่วไปด้วยความคิดแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังมีสติปัญญานำเสนอระบบบริหารและแก้ปัญหาด้วยความคิดนอกกรอบที่ไม่เคยมีใครคิดถึงมาก่อน
แน่นอนว่าข้าก็ทำในส่วนของตัวข้าเอง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะได้เป็นราชาที่ไม่ให้น้อยหน้าเธอผู้นั้น แม้ไม่โดดเด่นแต่ข้าก็สร้างผลงานออกมาได้ด้วยมือของข้าเอง อย่างไรก็ตาม ในสายตาของขุนนางคนอื่นๆ มันเป็นได้แค่เศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับสิ่งที่เรมี่ทำไว้… ข้าเองก็รู้เรื่องนั้นดี และเข้าใจมากกว่าใคร และข้ามีความสุขเมื่อเรมี่เป็นคนที่มองเห็นและชื่นชมในความสำเร็จเล็กๆน้อยๆของข้า และในขณะเดียวกัน… ก็เกิดเป็นความน้อยใจ
คนหัวแข็งอย่างข้าไม่สามารถมีความคิดยืดหยุ่นอย่างเธอผู้นั้นได้ และข้าก็ไม่อยากเป็นคนที่ได้แต่เลียนแบบเรมี่ ในวันนั้นที่ศาลากลางสวน พวกเราได้สัญญาว่าจะจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน เสริมข้อดีและกลบข้อเสียของอีกฝ่าย ซึ่งเรมี่ก็ตั้งใจให้แบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และพยายามอย่างเต็มที่โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อตัวข้าและประเทศชาติ ข้าจึงต้องพยายามให้มากเข้าไว้ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในหลายๆด้านไม่ให้ด้อยไปกว่าเรมี่… แม้ข้าจะถนัดด้านวิชาการ การเมือง และประวัติศาสตร์มากกว่า แต่คนรอบข้างก็ชื่นชมแต่เรมี่เพราะ ‘มีผลงานเป็นรูปธรรม’… ความน้อยใจของข้าที่มีต่อเรมี่ก็ยิ่งพอกพูน
ข้ารักเธอผู้นั้นยิ่งกว่าใคร แต่ข้าก็อิจฉาเธอผู้นั่นยิ่งกว่าใคร
คำชมสำหรับเธอ ‘สมแล้วที่เป็นคู่หมั้นของมกุฎราชกุมาร’ ที่ข้าได้ยินบ่อยๆหลังจากพวกเราได้เข้าสถาบันการศึกษาก็เป็นการกดดันสำหรับข้า ข้ารู้ว่าเรมี่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นคนที่ ‘สมแล้ว’ นั่นทำให้ข้าเริ่มสงสัยสำหรับเรมี่แล้วคำชมเหล่านั้นมีความสำคัญแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะตำแหน่ง ‘มกุฎราชกุมาร’ ตัวข้าก็จะไม่ได้หมั้นกับเรมี่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดไปเอง แต่สำหรับเรมี่… ความรักของเธอที่มีให้ข้าเป็นของจริง เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อข้า เมื่อคิดได้แล้วใจของข้าก็เริ่มสงบลง และตระหนักเอาไว้เช่นนี้
ข้าเคยได้ยินคำว่าหญิงสาวแห่งดวงดาวครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่ตอนที่เรียนประวัติศาสตร์ของอาณาจักร หญิงสาวที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อกอบกู้ดินแดนแห่งนี้ไปพร้อมกับผู้กล้าที่กลายมาเป็นปฐมกษัตริย์ ทั้งสองได้แต่งงานกันและเธอได้ร่วมมือในการสถาปนาประเทศในฐานะราชินี ว่ากันว่าเป็นตัวตนที่จะปรากฏตัวในตอนที่โลกตกอยู่ในอันตราย ใช้พลังพิเศษเพื่อแก้ไขวิกฤตโดยการเพิ่มพลังสามารถของพวกพ้องระหว่างการต่อสู้ ที่เรียกกันว่า ‘ขอพลังแห่งดวงดาว ให้สถิตอยู่กับเหล่าสหาย’ ไม่เพียงแค่เสริมพลังที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งมากขึ้น แต่ยังปลุกความสามารถพิเศษที่หลับใหลอยู่ในตัวของคนผู้นั้น ในยามบ้านเมืองสงบก็ยังใช้เพิ่มขีดจำกัดความสามารถของผู้ใช้แรงงานและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลที่เพาะปลูก ในระดับที่แม้จะรวบรวมจอมเวทแห่งราชสำนักมาร้อยคนก็ไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนั้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พลัง ‘อธิษฐานต่อดวงดาว’ ทำได้ด้วยตัวคนเดียว และหญิงสาวผู้ครอบครองพลังนี้จะถูกเรียกว่า ‘หญิงสาวแห่งดวงดาว’
เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการค้นพบหญิงสาวที่มีพลังเวทอันแข็งแกร่งในหมู่สามัญชน รายงานที่ถูกส่งมายังวังหลวงถึงราชวงศ์ได้บอกว่าตรวจสอบแล้วว่าเธอมีพลัง ‘เพิ่มความสามารถของคนรอบตัวโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์’ เหมือนในตำนานว่าไว้ เป็นสิ่งที่แม้แต่ข้าซึ่งเป็นสมาชิกราชวงศ์ก็ยังไม่เคยคิดว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่จริงนอกเหนือตำนาน ดังนั้นจึงยังไม่มีตัวอย่างแนวทางปฏิบัติกับบุคคลผู้นั่น จึงต้องหาวิธีรับมือเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน เพราะทางประเทศไม่อาจปล่อยเธอเอาไว้ข้างถนนได้ ต้องสอนให้เธอรู้วิธีควบคุมและใช้งานพลังของเธอ และยังต้องปกป้องไม่ให้มีใครนำพลังของหญิงสาวแห่งดวงดาวไปใช้ในทางที่ผิด
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่คนจากวังหลวงไปรับตัวเธอ บิดาของเธอได้เรียกร้องเงินจำนวนมหาศาลโดยอ้างว่า ‘ต้องแยกทางกับลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียว’ แต่หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วเขากลับพูดว่า ‘ต่อให้รู้ที่หลังว่าพลังหญิงสาวแห่งดวงดาวอะไรนั่นมันไร้ประโยชน์ก็ไม่มีการคืนเงิน’ ราวกับต้องการขายเธอทิ้ง
หญิงสาวแห่งดวงดาว… พีน่า ตื่นกลัวไปกับทุกอย่างจนน่าสงสาร เดิมทีเธอเคยอาศัยอยู่ตามข้างถนน แต่เพราะความสะดวกของทางนี้ จึงจัดการให้เธอได้เข้าศึกษาในระดับเดียวกับชนชั้นสูง และองค์ราชา เสด็จพ่อของข้า ได้ออกคำสั่งมาว่าให้เธอเป็นนักเรียนระดับพิเศษที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยตัวข้าเองและผู้ติดตามรวมเป็นสามคน และเรมี่กับโคลด รวมถึงคู่หมั้นของโคลดกับคู่หมั้นของสเตฟาน จะต้องช่วยสนับสนุนการใช้ชีวิตและปกป้องหญิงสาวแห่งดวงดาวขณะที่เธออยู่ในรั้วโรงเรียน ยังมีคู่หมั้นของเดวิดที่อายุมากกว่าเขาและได้เป็นอัศวินหญิงอย่างเต็มตัวแล้วอีกคน แต่เธอจะไม่เข้ามาอยู่ประจำในโรงเรียน แต่จะเป็นคนคุ้มกันที่มีเพศเดียวกันให้กับหญิงสาวแห่งดวงดาว คอยติดตามคุ้มกันเวลาที่เธอออกนอกเขตโรงเรียน
ด้วยรูปแบบพลังของหญิงสาวแห่งดวงดาวที่มีความเหมาะสมกับการทหาร ในอนาคตเธอจะต้องมีส่วนร่วมกับกองทัพของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้… การรับตัวเธอมาปกป้องดูแล แท้จริงแล้วคือการนำมาควบคุม… ข้าเองก็เสียใจที่ช่วยอะไรไม่ได้ในเรื่องนั้น แต่ข้าก็คิดว่า ‘อย่างน้อยก็อยากให้หญิงสาวแห่งดวงดาวได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในขณะที่ยังเรียนอยู่ เพราะการปกป้องประชาชนเป็นหน้าที่ของขุนนางและราชวงศ์’ ข้าบอกเพื่อนของข้าเช่นนี้ มีแต่เรมี่คนเดียวที่ดูเหมือนรู้สึกกระอักกระอ่วน ซึ่งค่อนข้างแปลกสำหรับเรมี่ที่เกิดอาการขี้อายขึ้นมา ทั้งที่ตามปรกติจะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายตั้งแต่แรกพบ
“นี่ วิลเลียด… มีความเห็นว่ายังไงบ้างครับ?”
“หมายถึงอะไร?”
“ผู้หญิงคนนั้น… หญิงสาวแห่งดวงดาว ไม่เห็นเหมือนกับที่ผมได้ยินมาจากเจ้าหน้าที่ที่ไปรับตัวเธอมา…”
“คิดเหมือนกันเลย! ตอนที่ผมออกแสดงในงานเลี้ยงที่มีแต่สาวใหญ่ พวกแม่ม่ายชอบมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ… บางที่ก็เข้ามาแตะเนื้อต้องตัวจนเกือบจะเกินเลย เล่นหูเล่นตาจนผิดปรกติ… เธอคนนั้นก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน…”
“เธอทำแบบนั้นกับทุกคน ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นหญิงสาวแห่งดวงดาวก็คงคิดว่าเป็นโสเภณี”
สเตฟานพูดขณะเช็ดถูแขนของเขาที่เพิ่งจะถูกผู้หญิงคนนั้นสัมผัส… แล้วโสเภณีนั่นมันยังไงกัน คำพูดของโคลดทำให้ข้าหันไปมอง เขายิ้มแหยๆและบอกว่า ‘ท่านพ่อบุญธรรมบอกให้เรียนรู้เรื่องพวกนี้เอาไว้ จริงๆแล้วผมก็รู้แค่ทฤษฎีเท่านั้นแหละครับ’
ตอนที่ได้พบหน้าหญิงสาวแห่งดวงดาวครั้งแรกก็ไม่ได้มีความประทับใจที่ดีสักเท่าไหร่… แม้ว่าเรมี่จะเป็นตัวเลือกว่าที่ราชินีเป็นลำดับแรกแต่ในงานเลี้ยงน้ำชาก็มักมีผู้หญิงอื่นๆที่หวังตำแหน่งสนมเข้ามาห้อมล้อมข้าอยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าหัวใจของข้าไม่เคยหวั่นไหวเลยสักครั้ง แต่ผู้หญิงคนนี้ทำการเข้าหาข้าอย่างโจ่งแจ้งกว่าคนพวกนั้นมาก… หว่านเสน่ห์อย่างรุนแรงจนข้าอยากเป็นฝ่ายถอย
ทำให้เรมี่กับเพื่อนของเธอ เอเดรียนน่า คู่หมั้นของโคลด ผู้จัดงานเลี้ยง ‘เชื่อมสัมพันธ์’ ก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบใจกับพฤติกรรมของหญิงสาวแห่งดวงดาว เมื่อหญิงสาวแห่งดวงดาวออกจากงานไป เรมี่ได้ประกาศ ‘งานเลี้ยงแก้ตัว!’ สำหรับผู้หญิงเท่านั้น ข้ากับผู้ชายคนอื่นๆจึงถูกแยกออกมา
แต่เรมี่ที่ดูกังวลก็น่ารักไปอีกแบบ หลายครั้งที่เธอตามข้าไปในงานเลี้ยงในฐานะคู่ควง เธอคุ้นเคยกับการที่ข้าถูกห้อมล้อมด้วยผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ข้าเชื่อว่าเธอคิดมากเป็นพิเศษเพราะหญิงสาวแห่งดวงดาวในตำนานของประเทศจะเป็นคู่แต่งงานของราชา การได้เห็นเธอหึงเช่นนี้ก็ทำให้ข้าดีใจอยู่เล็กน้อย
“อ่อนน้อมถ่อมตนแต่ภายในหนักแน่น กระตือรือร้นอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แม้ไม่เคยไร้รับการศึกษาแต่ก็มีความรู้สูง มารยาทงดงามในหมู่สามัญชน เด็กสาวน่ารักผู้ที่พยายามอย่างหนักเพื่อความคาดหวังของคนอื่น…… นี่พูดถึงใครกัน?”
“…เธออาจพยายามมากเกินไปเพื่อให้ตัวเองได้คุ้นเคยกับสถานที่ละผู้คนที่ไม่รู้จัก หรืออาจมีใครเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เธอเห็น ถ้าทางวังหลวงหาคนมาอบรมเธอก่อนจะให้เริ่มเข้าเรียนก็น่าจะช่วยได้… ล่ะมั้ง”
“ดูเหมือนฝ่าบาทจะรู้อะไรบางอย่าง”
“คิดว่าเจ้าหน้าที่โกหกในรายงานเหรอ? เพื่ออะไร… การเงินของเธอไม่ได้สูงพอที่จะเสนอสินบนให้ใครได้ คงไม่ได้คิดว่าใช้เสน่ห์ล่อลวงหรอกนะ…? แต่ถ้าเจ้าหน้าที่มีรสนิยมแบบนั้น…”
“…เอาเถอะ… ตอนนี้ยังเป็นแค่ข้อสังเกต ตราบใดที่เธอยังเป็นหญิงสาวแห่งดวงดาว… ยังไงก็อยู่ในสถานะที่ประเทศนี้จะปล่อยให้หลุดมือไม่ได้”
“ถ้าเธอตัดใจหนีไปประเทศอื่นจะเกิดความเสียหาย แต่การผูกมัดเธอไว้ในประเทศนี้ในรูปแบบของการบีบบังคับ ประเทศอื่นจะมองมาไม่ดีแน่”
ประเทศของข้าไม่มีเจตนาก่อสงครามกับใคร แต่ถ้าพลังของเธอเหมือนกับที่ตำนานว่าไว้จริง ประสิทธิภาพของกองทัพโดยรวมของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น หากต่างประเทศได้ตัวเธอไปและเปิดฉากการรุกรานก่อน มันจะเป็นปัญหาใหญ่
การให้เธอได้เข้าเรียนในโรงเรียนของชนชั้นสูงก็เพื่อเป็นการจับคู่เธอกับบุตรคนคนรองของตระกูลขุนนางที่มีความเหมาะสม ให้เธอได้เป็นส่วนหนึ่งของขุนนางในประเทศ ในกรณีที่เป็นอยู่นี้ บุตรชายจากตระกูลที่เคร่งครัดอาจไม่ยอมรับหากไม่มีการอบรมเธอให้ดีพอ
จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่มีความประทับใจที่ดีกับเธอ ยิ่งไปกว่านั้น เธอรังเกียจการมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ถึงกับขอให้ข้าไปยื่นเรื่องให้ทางวังหลวงกันเรมี่กับคู่หมั้นของคนอื่นๆไม่ให้เข้าใกล้ตัวเธอ แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นด้วย แต่หลังจากเรมี่ เอเดรียนน่า และคู่หมั้นคนอื่นได้ยินเรื่องนี้ก็เริ่มยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวแห่งดวงดาวน้อยลง
พวกผู้หญิงพยายามสอนเรื่องมารยาทให้กับเธอโดยการชี้ให้เห็นถึงเรื่องที่ไม่สมควร แต่เธอก็ร้องไห้และบอกว่ามันเป็นการ ‘ดุด่าอย่างโหดร้าย’ เอเดรียนน่าจึงใช้โอกาสนี้รายงานไปว่า ‘ไม่สามารถทำการอบรมคุณพีน่าได้หากอีกฝ่ายไม่เข้าใจถึงความหมายของคำแนะนำ’ และสุภาพสตรีทั้งสามรวมถึงเรมี่ก็ถอนตัวออกจากหน้าที่นี้ไป ซึ่งทางวังหลวงก็ยอมรับเพราะไม่อยากยื้อไว้ให้เกิดความคับข้องใจจากทั้งสองฝ่าย พูดกันตามตรง ถ้ามีโอกาสข้าเองก็อยากจะถอนตัวเหมือนกัน
ข้าเสนอกับองค์ราชาว่าให้เธอได้รับการอบรมให้รู้จักการวางตัวในสังคมสักหน่อยก่อนที่จะให้เข้าเรียนในโรงเรียน แต่เสด็จพ่อก็ปฏิเสธ ‘ถ้าคนคนเดียวยังควบคุมไม่ได้ก็ไม่คู่ควรได้ปกครองประเทศ’… ผู้รับหน้าที่อบรมคนก่อนได้ยอมแพ้และส่งตัวเธอมาให้ข้าที่โรงเรียนเพราะเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวแห่งดวงดาวไม่คิดเรียนรู้อะไรนอกจากสิ่งที่ข้ากับเดวิดสอนด้วยตัวเอง… แต่ข้าก็ไม่คิดทำการสั่งสอนอบรมเธอตัวต่อตัว อีกทั้งข้าได้ย้ายออกมาอยู่ที่หอพักของทางโรงเรียนแล้ว การไปกลับปราสาทจึงเป็นเรื่องยุ่งยาก และยังอาจทำให้เกิดข่าวลือไม่พึงประสงค์ว่าเป็นการอบรมหลักสูตรเจ้าสาวให้กับเธอ ข้าไม่อยากให้มีคนเข้าใจผิดว่าข้าถูกใจผู้หญิงคนนี้
ในกลุ่มผู้ที่เคยให้การอบรมเธอยังมีท่านป้าของข้า มาร์กาเร็ต ที่เสด็จพ่อไม่ค่อยถูกโฉลกด้วย ทำให้ข้าสงสัยว่าเสด็จพ่ออาจจะแค่ผลักเรื่องยุ่งยากมาให้เพราะไม่อยากเถียงกับท่านป้าหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม พวกข้าทั้งสี่คนที่เหลือแต่ผู้ชายนี้ ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำหน้าที่อันน่าเหนื่อยใจต่อไป
“คุณพีน่า ข้าบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรกอดแขนบุรุษเพศหากไม่ใช้ครอบครัวหรือคู่หมั้น”
“ว้าย! เค้าขอโทษ อย่าโกรธเลยน้า… เพราะเป็นสามัญชนมาก่อน ยังไงก็ไม่ชินสักที”
ข้ารำคาญที่ต้องพูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆวันละหลายๆรอบ ข้าไม่ได้หวังขนาดให้เธอจำเนื้อหาในหนังสือทั้งเล่ม แต่เรื่องง่ายๆอย่างเช่น ‘ไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามโดยไม่จำเป็น’ ทำไมเธอถึงทำความเข้าใจได้ยากนักหนา
แม้แต่สเตฟานผู้เป็นที่นิยมในหมู่สาวใหญ่ก็ยังบอกว่า ‘เธอตั้งใจทำต่างหาก’ มองข้าด้วยความสงสารเพราะข้าตกเป็นเป้าของเธอบ่อยที่สุด บางทีก็อยากให้สเตฟานได้เจออย่างข้าบ้าง ส่วนเดวิดก็มักจะอ้างว่าไปต้องฝึกซ้อมและหนีหายไปบ่อยๆอย่างในตอนนี้ และโคลดที่อ่านหนังสือเงียบๆคนเดียวเหมือนไม่ใช้ผู้เกี่ยวข้อง
หญิงสาวแห่งดวงดาวใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับพวกเรา แรกๆก็อยู่ในระดับ ‘ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาได้’ แต่ตอนนี้ ถ้าไม่สั่งห้ามไว้ เธอจะมาหาในทุกช่วงพักและหลังเลิกเรียน เข้ามาพูดคุยกับพวกเราโดยไม่มีธุระ
ข้าเคยถามเธอไปตรงๆว่าทำไมไม่ไปหาเพื่อนคนอื่น แต่ก็ได้คำตอบว่า ‘ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับอดีตสามัญชน…’ ซึ่งฟังดูไม่สมเหตุสมผล เพราะโรงเรียนนี้มีสามัญชนเป็นนักเรียนทุนสามถึงสี่คนในแต่ละห้องเรียนในทุกๆสาขา ทั้งนักวิชาการ นักเวท อัศวิน และอื่นๆ นักเรียนทุนเหล่านั้นไม่เคยมีปัญหา ‘ถูกกีดกันเพราะเป็นสามัญชน’ เหมือนที่หญิงสาวแห่งดวงดาวอ้าง ข้าคิดว่าถ้าเธอยังอยู่กับพวกเราที่แตกต่างทั้งห้องเรียนและชั้นปีตลอดเวลาเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หาเพื่อนไม่ได้…
บางครั้งข้าพยายามหลีกเลี่ยงหญิงสาวแห่งดวงดาวโดยการปลีกตัวมาอยู่คนเดียวแต่เธอก็ยังปรากฏตัวขึ้นมาและเริ่มพูดคุยกับข้า หรือบางครั้งที่ข้าปฏิเสธเธอก็ได้รับคำตอบที่เข้าใจยากกลับมาแทน เธอโผล่มาข้างหลังในเวลาที่อยู่คนเดียว บางทีก็พูดภาษาแปลกๆที่ไม่รู้ความหมาย หรือว่าข้ากำลังติดอยู่ในเรื่องราวสยองขวัญอะไรสักอย่าง
วันหนึ่ง หญิงสาวแห่งดวงดาวก็พูดกับพวกเราว่า ‘มีธุระสำคัญหลังเลิกเรียน วันนี้มาเล่นด้วยไม่ได้ ขอบคุณที่อุตส่าห์ต้อนรับทุกวัน’ และ ‘ฉันจะกินข้าวกลางวันร่วมกับคนอื่น’ จากนั้นเธอก็ไม่มาปรากฏตัวทั้งวัน สร้างความสบายใจให้กับทุกคน
ข้าไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจำเป็นต้องเก็บมาคิด แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ได้กลิ่นน้ำหอมแปลกๆออกมาจากตัวเธอตลอดเวลา มันเป็นกลิ่นฉุนที่แรงแสบจมูก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้ากลับไม่รู้สึกรังเกียจกลิ่นนั้น และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็มีเพื่อนมากมายมาห้อมล้อม และวันหนึ่ง ทุกคนก็เริ่มเรียกเธอด้วยชื่อ ‘พีน่า’ ความที่เธอขอ
ข้ารู้สึกว่าหัวใจของข้ามีความหวั่นไหวอย่างไม่สอดคล้องกับความคิดหลังจากได้กินคุกกี้ทำมือจากเธอที่ถูกขอให้กินมันทันทีต่อหน้าเธอ แม้มันจะถูกตรวจสอบแล้วว่าไม่มีพิษก็ตาม
ไม่รู้เพราะอะไร ข้าถึงสนใจในตัวคุณพีน่าอย่างมากมาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้รู้สึกรำคาญในทุกการกระทำของเธอ ข้าไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเธอได้อีกต่อไป และเมื่อเธอเข้ามากอดแขนข้า ความคิดของข้าได้บอกว่ามันเป็นเรื่องไม่สมควรที่ต้องห้ามปราม แต่ในใจของข้ากลับเต็มไปด้วยความยินดีจนไม่กล้าพูดออกไป เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายเหลือเกิน
“ฝ่าบาทวิลเลียด… ชื่อยาวจัง ขอเรียกว่าท่านวิลก็แล้วกันนะ?”
“ได้สิ”
ข้าอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ให้ใครมาเรียกชื่อเล่นของข้านอกจากครอบครัวและคู่หมั้น แต่ปากของข้าก็ได้ตอบตกลงไปแล้ว โคลดที่อยู่ข้างๆยังมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังแทบไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน …นี่ข้า เป็นอะไรไป…?
พีน่ากอดแขนข้าแน่นขึ้นและพูดว่า ‘สำเร็จ’ ออกมาอย่างร่าเริง ข้ารู้สึกรังเกียจการกระทำนี้ ข้ารู้ว่า ‘ต้องปฏิเสธ’ แต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะการกระทำกับความคิดของข้าไม่มีความสอดคล้องกัน หัวใจของข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขราวกับการกระทำนี้มากจากผู้หญิงที่ข้ารัก…เรมี่ ข้าย้ำเตือนตัวเองว่ามีบางอย่างผิดปรกติ ราวกับพยายามปลอบใจตัวเอง ข้าเอื้อมมือไปจับถ้วยชามาดื่มโดยลืมไปแล้วว่าพีน่ายังกอดข้าอยู่
ข้าไม่แม้แต่จะสังเกตเห็น ว่าเรมียืนอยู่หน้าทางเข้า และได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
ถึงในหัวจะรู้อยู่ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ในใจของข้ามีความสุขเหลือเกินที่ได้ใช้เวลาร่วมกับพีน่า ข้าปรึกษาคนสนิทที่ไว้ใจได้ของเสด็จพ่อ ‘กับผู้หญิงที่รู้สึกเกลียดในทุกการกระทำและคำพูดของเธอ แต่ไม่รู้เพราะอะไร กลับยินดีเมื่อได้อยู่ใกล้ การกระทำขัดต่อความคิดอย่างไม่สมเหตุสมผล อาการแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ได้นี้คืออะไร?’ คำตอบที่ได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าหวังไว้ ‘หัวใจของวัยรุ่นมักอ่อนไหวไปกับความรัก ทุกคนเคยผ่านเรื่องเช่นนี้มาแล้วไม่มากก็น้อย’ เขาตอบด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ไม่ได้คิดจริงจังกับคำถามของข้า ทั้งที่ข้าต้องการรู้ถึงความเป็นไปได้ของคำสาปควบคุมจิตใจที่เล็ดลอดผ่านเครื่องรางคุ้มภัยที่ข้าสวมใส่ในฐานะราชวงศ์
ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด… เมื่ออยู่คนเดียว ข้าคิดถึงแต่เรมีเท่านั้น แต่เมื่ออยู่กับพีน่า ข้าไม่สามารถคิดถึงใครอื่นได้นอกจากพีน่า เหมือนกับตัวข้าไม่ได้เป็นตัวข้าเองอีกต่อไป ข้ากลัวเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้ทุกคนในโรงเรียนเห็นพ้องต้องกันเรียกว่าพีน่า ‘เด็กสาวไร้สามัญสำนึก’ แต่ตอนนี้นักเรียนหลายคนจากทุกระดับชั้นหันมารักใคร่ชื่นชมเธอ บางคนคลั่งไคล้ถึงขั้นมาขอลายเซ็นของพีน่าเพื่อใช้เป็น ‘พรจากหญิงสาวแห่งดวงดาว’ พวกเขาเปลี่ยนไปอย่างผิดธรรมชาติ
“นี่ ท่านวิล… ดูเหมือนท่านเรมิเลียเกลียดฉันซะแล้วล่ะ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?”
“ก็ แบบว่า… เธอต้องเกลียดสามัญชนอย่างฉันที่ทำตัวสนิทสนมกับคู่หมั้นของเธอแน่ๆเลย…”
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอ?”
“หืม? …ไม่มีอะไร ฉันคงคิดไปเอง”
ทั้งที่เปิดประเด็นขึ้นมาเองแต่กลับไม่ยอมพูดต่อ ถ้าเป็นคนอื่นข้าคงถามด้วยความหงุดหงิดกลับไปแล้วว่า ‘อยากพูดอะไรกันแน่?’
แต่เพราะพีน่าจับมือข้าไว้และบอกว่าไม่มีอะไร ความคิดของข้าจึงเหมือนกับถูกหยุดไว้ให้เหลือแต่ความสุขที่เกิดขึ้นในใจ ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะพี่น่าอยู่ข้างๆ …แต่เป็นความสุขที่ได้ยินว่าเรมี่กำลังหึงข้า เพราะนั่นหมายถึงเรมี่รักข้าถึงขนาดแสดงความหึงหวงออกมาให้คนอื่นเห็น
แม้แต่ผู้หญิงที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอย่างเรมี่ก็ยังมีน่ารักแบบนี้ให้เห็นไม่ต่างกับสาวน้อยธรรมดา อิจฉาผู้หญิงที่เข้ามาใกล้ชิดกับคนรักของเธอ ทั้งที่ข้าดูแลพีน่าในนามของประเทศเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกกดดันภายในใจของข้า ‘ต้องเป็นราชาที่คู่ควรกับเรมี่ให้ได้’ ก็เริ่มคลายออกโดยไม่รู้ตัว
ข้ายอมรับมันได้ในทันที การที่ได้รู้ว่า ‘บุตรีดยุก เรมิเลีย อิจฉาพีน่า’ ทำให้ข้ามีความสุข
ความหึงหวงของเรมี่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ… มีผู้เห็นเหตุการณ์ยืนยันได้มากมาย ข้ากับโคลดแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ข้าพยายามคุยด้วยหลายครั้งแต่เรมี่ผู้ดื้อรั้นก็ไม่ยอมรับความผิด ‘ฉันไม่เคยทำเรื่องพวกนั้น’ ทั้งที่พวกเพื่อนๆกับคนใกล้ตัวของเธอยืนยันว่า ‘เห็นกับตาว่าทำลงไปจริงๆ’ ‘ได้ยินชัดว่าเธอพูดออกไปแบบนั้น’ ซึ่งตรงกับที่พีน่าเล่ามา
เป็นเรื่องน่าเสื่อมเสียที่ราชินีในอนาคตมีความขัดแย้งกับหญิงสาวแห่งดวงดาว สัญลักษณ์ของการก่อตั้งประเทศนี้เคียงคู่กับผู้กล้า ขณะที่ข้าคิดหาวิธีให้จบเรื่องนี้อย่างลงตัว เรมี่ก็ก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นผลักพีน่าตกบันได
เรมี่…ยืนอยู่ตรงนั้นในท่าเอื้อมมือออกมา ผู้เห็นเหตุการณ์เข้ามารวมตัวกัน น่าผิดหวังที่ดูเหมือนเธอไม่คิดจะขอโทษ ข้าจึงพาพีน่าไปที่ห้องพยาบาลโดยไม่พูดอะไรอีก
ที่ขาของพีน่ามีรอยถลอกและตามตัวก็มีรอยช้ำ ขณะที่เข้ารับการรักษาอยู่หลังม่านก็พูดด้วยเสียงสะอื้น ‘ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน เพราะท่านวิลให้ความสำคัญกับฉันมากกว่าท่านเรมิเลีย’ นักเวทที่ทำการรักษาแสดงความเห็นใจเธอและค่อนข้างคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้ดี ดูเหมือนว่าพีน่าจะบาดเจ็บจนต้องมาที่ห้องพยาบาลอยู่บ่อยๆ และสาเหตุก็มาจากเรมี่
ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุแล้วทำไมเธอถึงไม่ขอโทษ ข้าคิดถึงเรื่องนี้ซ้ำๆราวกับต้องการหาข้องอ้างให้เรมี่ พีน่าที่ทำการรักษาเสร็จแล้วก็เข้ามากอดแขนของข้า
“ท่านวิล… น่าสงสารจริงๆ… ต้องมาหมั้นกับยัยนั่น…!”
“ยัยนั่น…?””
น่าตกใจที่คนที่เพิ่งถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมตระกูลไวเคานต์เรียกบุตรีตระกูลดยุกว่า ‘ยัยนั่น’ ข้ารู้ดีว่ามันเป็นการไร้มารยาทถึงขั้นหยาบคาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้าไม่มีความรู้สึกอยากท้วงติงเธอเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่รู้ตัวเลยว่าข้าจำกัดการกระทำของตัวเองเอาไว้เพราะ ‘ไม่อยากถูกพีน่าเกลียด’
“ไม่ว่ายัยนั่นจะรักท่านวิลขนาดไหน… แต่นี่มันเกินไปแล้ว…!”
“เรมี่”
ทั้งหมดที่เธอทำก็เพื่อความรัก
ข้าคิดอย่างมีความสุข จนถึงตอนนี้ เรมี่กลั่นแกล้งผู้หญิงคนอื่นลับหลังข้า… แม้ว่าเธอไม่ต้องการให้ข้ารู้ แต่ก็มีทั้งพยายและหลงเหลือหลักฐานเอาไว้อย่างชัดเจน และเธอก็อายจนไม่กล้ายอมรับกับข้า ไม่อยากให้ข้ารู้ว่าเธอแอบทำอะไรเอาไว้บ้าง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรมี่จะมีมุมที่น่ารักขนาดนี้
เมื่อรู้ตัวอีกที ภาระที่ข้ามี ‘คู่หมั้นที่มีความสามารถมากกว่าตนเอง’ ก็ได้หายไปจนหมด
ผู้มีประวัติลงมือทำร้ายร่างกายหญิงสาวแห่งดวงดาวเพราะความอิจฉา เป็นเรื่องไม่เหมาะสมถึงขั้นอาจถูกตัดสิทธิ์ตัวเลือกราชินีได้
แม้จะเอาผลงานในอดีตที่ผ่านมาทั้งหมดมาหักลบ ก็ไม่มีทางเรียกเรมี่ว่าไร้ที่ติได้อีกต่อไป ข่าวการกระทำอันชั่วร้ายของเธอได้กระจากออกไปนอกโรงเรียนผ่านพ่อแม่ของนักเรียนที่รับรู้เรื่องราว
ข้าจัดฉากคืนดีของทั้งสอง ให้เรมีได้ขอโทษหญิงสาวแห่งดวงดาวอย่างเป็นทางการ ถ้าเธอได้ทำตาม ทุกคนก็จะยอมรับกันได้ …และเรมีจะต้องขอบคุณข้า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอบคุณข้าที่ให้โอกาสเธอ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นราชินีผู้ปราดเปรื่องเพียงใด เหตุการณ์นี้จะเป็นตราบาปติดตัวเรมีตลอดไป ต่อให้สร้างผลงานประสบความสำเร็จอีกมากแค่ไหนก็ไม่มีทางลบออก มันจะบดบังชื่อเสียงคำชื่นชมที่เธอจะได้รับในอนาคต ผู้คนจะยังคิดต่อไปว่าเธอมีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่แต่นิสัยเลวร้าย หลังจากนี้ไม่กี่ปี เธอจะบอกกับข้า ‘ต้องขอโทษเรื่องในตอนนั้นจริๆ เพราะรักวิลจนหน้ามืดตามัว ทำให้เผลอทำเรื่องเลวร้ายลงไป’ ในตอนที่พวกเราได้แต่งงานกัน ข้ามองเห็นภาพเหล่านั้นอย่างชัดเจน
…ใช่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบแต่ก็เหมาะสมกับมกุฎราชกุมารธรรมดาอย่างข้า
อา ในที่สุดเรมี่ก็ร่วงหล่นลงมา ในตอนนี้พวกเราก็ได้เท่าเทียมกันแล้ว
โคลดทำการเรียบเรียงบันทึกจากพยานและหลักฐานให้ละเอียดรัดกุมมากที่สุด ครั้งนี้จะต้องทำให้หมดข้ออ้างดิ้นไม่หลุดต่างจากการพูดคุยเฉยๆเหมือนครั้งก่อนๆ หากเธอยังกล้าปฏิเสธอยู่อีกก็คงหมดหนทางเยียวยาแล้วจริงๆ
ข้าไม่คิดว่าหลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดให้ขนาดนี้แล้วเธอยังจะคิดปฏิเสธข้อหาอยู่อีก… แต่เรมี่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด อาจไม่ยอมทำตามแผนของข้า โคลดแนะนำให้ลงโทษด้วยการถอนหมั้นไปครั้งหนึ่งก่อนเพื่อให้เรมี่รู้ว่าข้าเอาจริง เขาบอกเหตุผลว่า ‘ถ้าท่านพี่เริ่มทำตัวดื้อเมื่อไหร่ก็จะดื้อจนถึงที่สุด’ จึงต้องใช้ยาแรง
“นั่นสินะ… ต้องถอนหมั้นให้รู้สำนึก นางเป็นคนมีความสามารถ ต่อให้ถูกเนรเทศไปอยู่ชนบท ไม่นานก็คงสร้างผลงานให้เป็นที่ต้องตาของขุนนางคนอื่นๆได้ง่ายๆเพื่อให้ได้กลับมาสู่สังคมขุนนางอีกครั้ง ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าชดใช้ความผิดแล้ว เสียงคัดคานจากขุนนางของประเทศจะหมดไป และทางราชวงศ์ก็จะอ้าแขนต้อนรับกลับมา แล้วก็ โคลด หลังจากถอนหมั้นเจ้าต้องชักจูงเรมี่ให้ดีๆ อย่าปล่อยให้เสียใจจนกลายเป็นคนเก็บตัว”
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะชักจูงท่านพี่ได้แค่ไหนนะครับ”
ข้ามั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด ถ้าเรมี่สำนึกได้แล้วจริงๆและยอมก้มหัวขอโทษอย่างเป็นทางการก็เป็นอันจบเรื่อง พวกเราจะมีเวลาสร้างความทรงจำดีๆด้วยกันใหม่จนถึงวันจบการศึกษา และงานแต่งงานของข้ากับเรมี่ที่รออยู่ในอีกไม่กี่ปีหลังจากเรียนจบ ข้าไม่ต้องทนอึดอัดจากการถูกเปรียบเทียบเหมือนที่ผ่านมา แค่ยอมรับข้อเสียของเรมี่แล้วพวกเราก็จะเคียงคู่กันอย่างเท่าเทียม …ข้าเชื่อเช่นนั้น
แต่แล้ว ข้าไม่นึกเลยว่าเธอจะดื้อรั้นได้ถึงเพียงนี้ ข้าอยากจะกระซิบบอกไปว่า ‘ได้โปรด ยอมรับสักทีเถอะ’ แต่พีน่ากอดแขนของข้าเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถพูดออกไปได้
กลิ่นน้ำหอมของพีน่าหอมหวานยิ่งกว่าทุกที ข้าต้องทำตามความปรารถนาของพีน่า ไม่เช่นนั้นจะถือว่าข้าเพิกเฉยต่อความคาดหวังในฐานะมกุฎราชกุมาร
เรมี่ไม่ยอมรับความผิดแม้แต่เรื่องเดียว แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร อ้างว่าไม่เคยกลั่นแกล้งพีน่าราวกับว่าไม่ได้ทำจริงๆ คำพูด ‘ไม่ได้หึง’ ของเธอเหมือนเป็นการปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อข้า… สัมผัสจากพีน่าที่กอดแขนของข้าทำให้เคลิบเคลิ้ม… และข้าก็ได้ประกาศถอนหมั้นออกไป เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ถึงอย่างนั้น… ข้าก็เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้ว เรมี่จะเปลี่ยนพื้นที่ด้อยพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านที่เจริญ และใช้ผลงานนั้นกลับมาขอตำแหน่งคู่หมั้นของข้าคืนอีกครั้ง ไม่มีอะไรต้องกังวล หลังจากเรมี่ชดใช้ความผิดและกลับตัวได้แล้ว ข้าก็แค่รอต้อนรับเธอ
ดูเหมือนดยุกกราปเนอร์จะผิดหวังในตัวเรมี่มากกว่าที่คาดไว้ เขามอบดินแดนอันห่างไกลที่มีแต่หมู่บ้านร้างให้เธอ แต่ข้ามั่นใจว่าเธอจะไม่ยอมแพ้ …เพราะเรมี่รักข้าถึงขนาดทำเรื่องเลวร้ายพวกนั้นได้ ไม่มีทางที่เธอจะตัดใจกับเรื่องแค่นี้
ช่วงแรกผ่านไปได้อย่างราบรื่น ข้ามีแหล่งข่าวรายงานว่าเรมี่ต้องทำงานหนักขนาดไหนในพื้นที่ที่ไม่มีอะไรเลย น่ายินดีที่เห็นเธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้กลับมาหาข้า นอกจากนี้ ข้าได้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันแล้ว ขุนนางจากทั่วประเทศส่งคำร้องให้พีน่าออกเยี่ยมตามพื้นที่ ข้าได้ติดตามไปในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลหญิงสาวแห่งดวงดาว พีน่าและพวกเราทุกคนได้รับการต้อนรับที่ดีจากชาวบ้านทั่วประเทศจากความคาดหวังที่จะทำให้พื้นที่เพาะปลูกกลับมาอุดมสมบูรณ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำสะอาดที่เริ่มลดน้อยลง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พีน่าต้องการออกผจญภัยรอบประเทศเพื่อปราบอสูร… ข้าไม่สามารถให้ทำเช่นนั้นได้จึงปฏิเสธไป และความประพฤติของเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ เธอเริ่มแสดงความแข็งกร้าวมากขึ้นกับคนรอบตัว จากการไร้มารยาทเล็กๆน้อยๆที่ยอมรับได้ในฐานะ ‘หญิงสาวแห่งดวงดาวผู้ไม่ยึดติดกับตำแหน่งขุนนาง’ ได้กลายมาเป็น ‘คนโง่ที่อยู่ในตระกูลขุนนางเป็นปีแล้วก็ยังเรียนรู้มารยาทไม่ได้’
ยิ่งไปกว่านั้น พลังของพีน่าในฐานะหญิงสาวแห่งดวงดาวก็ถูกกังขา พลังที่พีน่าสามารถใช้ได้นั้นอ่อนแอกว่าหญิงสาวแห่งดวงดาวที่ถูกกล่าวถึงในตำนานมาก ผู้คนเริ่มแสดงความผิดหวังออกมา ทำให้พีน่าเสียใจจนแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว
“ที่ฉันใช้พลังได้ไม่เต็มที่ก็เพราะวิลกับคนอื่นๆไม่ยอมฝึกกับฉัน!!”
ไม่ว่าจะอธิบายไปสักเท่าไหร่ว่าข้ามีหน้าที่อื่นที่ต้องทำในฐานะมกุฎราชกุมาร แต่พีน่าก็ยังไม่เข้าใจ ข้าจึงแนะนำให้ล่าอสูรระหว่างทางในตอนที่ออกดูงาน แต่เธอก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครเข้าใจ ‘พวกนั้นมันไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่อง ถ้าไม่ใช่เควสเหตุการณ์ก็ไม่มีความหมาย’
ข้าแนะนำ ‘ถ้าไปกับอัศวินหญิงไม่กี่วันก็ได้’ แต่เธอกลับบอกว่าไม่ต้องการเดินทางกับผู้หญิง แม้ว่าเธอจะยังเป็นแค่ตัวเลือกคู่หมั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ด้วยความเหมาะสมแล้วข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้เธอออกค้างแรมโดยมีแต่เพศตรงข้ามได้ พีน่าโมโหทุกครั้งที่ข้าไม่อนุญาต เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ
ในขณะที่ข้าต้องทนกับการเอาแต่ใจของพีน่า เขตปกครองของเรมี่ก็ประสบความสำเร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ตรงข้ามกับดินแดนในความรับผิดชอบของข้าที่เริ่มซบเซาลง …เมืองเกิดใหม่ที่เจริญรุ่งเรื่องอย่างต่อเนื่องก็ย่อมต้องการแรงงานจำนวนมาก ความต้องการที่สูงขึ้นทำให้เป็นที่สนใจของชาวบ้านจนเกิดการย้ายถิ่นฐาน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก…
แต่เมื่อข้าได้รู้เช่นนั้น ความอิจฉาต่อเรมี่ที่ไม่ได้รู้สึกมานานก็กลับมาอีกครั้ง ใช่แล้ว…ข้ารู้ดีว่าถ้าเธอผู้นั้นตั้งใจทำก็จะได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งเสมอ ข้าทำได้เพียงหัวเราะให้ตัวเอง
ก่อนหน้านี้ในตอนที่พวกเรายังเป็นนักเรียน ข้าคิดว่าพีน่าเป็นคนใสซื่อมากกว่า ถึงจะขี้โมโหและเอาแต่ใจไปบ้างแต่ข้าก็อยากตอบสนองความต้องการของเธอให้มากที่สุดโดยบอกว่า ‘ช่วยไม่ได้’ เพราะเธอเป็นคนที่ข้าสามารถมอบความรักให้ได้อย่างสบายใจที่สุด…ไม่เหมือนกับเรมี่ที่ข้ามักจะถูกเปรียบเทียบให้ด้อยกว่าจนรู้สึกอึดอัด นี่คงเป็นเหตุผลที่ข้าตกหลุมรักพีน่าได้โดยง่าย ในตอนที่เรมี่กลับมา ข้าอาจจะรับเธอเข้ามาเป็นสนมก็ได้ แต่เรมี่ก็คงจะออกอาการหึงอีกครั้งถ้าได้กลับมาเห็นข้ากับพีน่า แน่นอนว่าข้าไม่ต้องการทำถึงขั้นรับเธอมาเป็นมเหสีตามที่ขุนนานส่วนใหญ่สนับสนุน แต่ข้ารักเธอมากพอที่จะอยากให้อยู่เคียงข้างข้าต่อไปในอนาคต
แต่ตอนนี้ เธอเรียกร้องแต่สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลจนข้าอยากจะตะโกนออกมาดังๆด้วยความหงุดหงิด ข้าเคยคิดว่าตัวเธอที่พูดจาตรงไปตรงมา ซุ่มซ่าม หัวช้า นั้นน่ารัก แต่ตอนนี้มีรู้สึกแค่ความน่าโมโหไม่ต่างกับสุนัขที่ฝึกอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อง
บัดนี้ ทางประเทศได้มีการติดต่อกับโลกปีศาจ ผู้รับผิดชอบทางด้านการทูตได้มีการกล่าวถึงเรมี่ว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ เรมี่รวบรวมคนไร้บ้านให้ไปอาศัยในหมู่บ้านที่เธอก่อตั้ง ในหมู่คนพวกนั้นมีเผ่าปีศาจเป็นจำนวนมากที่พวกเรามนุษย์ไม่เคยรู้ว่าพวกเขาอพยพเข้ามาแฝงตัวอยู่เมื่อนานมาแล้ว เรมี่รับพวกเขามาดูแลความ ให้ที่อยู่ มอบอาชีพ สอนความรู้เพื่อชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เมื่อผู้นำของพวกเขาทราบเรื่องก็รู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่เรมี่ทำ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตในปัจจุบัน …ในสินค้านำเข้าจากโลกปีศาจมีวัตถุดิบยาที่รักษาได้แทบทุกโรค ศิลาเวทชั้นยอดจากอสูรที่หาไม่ได้ในประเทศนี้ อัญมณีเวทมนตร์ความบริสุทธิ์สูงที่ถูกแปรรูปออกมา และอุปกรณ์เวทมนตร์อีกมากมายที่อาจเป็นขนวนสงครามหากตกอยู่ในมือของประเทศอื่น
เรื่องพวกนี้ทำให้เรมี่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ…
ข้าไม่รออีกต่อไปและทูลขอกับเสด็จพ่อ ‘ผลงานทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะคืนตำแหน่งคู่หมั้นให้เรมิเลียแล้ว’ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ข้าขึ้นเสียงถามถึงเหตุผลและได้รับคำตอบว่าไม่มีวิธีเรียกตัวเธอมาที่นี่ในตอนนี้
แน่นอนว่าการคัดเลือกตัวคู่หมั้นของมกุฎราชกุมารไม่สามารถส่งแค่จดหมายไปแจ้งแค่ฉบับเดียวให้จบเรื่อง และหากพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำการถอนหมั้นตั้งแต่แรก… ราชวงศ์จะเสียหน้าหากตัวข้าเดินทางไปพบกับเรมิเลียด้วยตัวเองเพียงเพื่อขอหมั้นกับเธออีกครั้ง เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก
นอกจากนั้น เรมี่ยังถูกตัดขาดจากตระกูลดยุกจากเหตุการณ์นั้น แม้ว่าเรมี่ยังเป็นขุนนางของประเทศนี้แต่ก็ไม่มีความสัมพันธ์กับพ่อแม่และครอบครัวจากบ้านเดิม เป็นต้นตระกูลใหม่อย่างเป็นทางการ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับดยุกกราปเนอร์อีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้คำสั่งเรียกตัวเข้าวัง ซึ่งตามปรกติจะใช้กับระดับเคานต์ขึ้นไปกับเธอได้
คำสั่งเรียกตัวเป็นเพียงจดหมายธรรมดาที่บอกกับขุนนางให้มาเข้าเฝ้าที่วังหลวง แต่ขุนนางยศต่ำในพื้นที่ห่างไกลเข้าข่ายผู้มีสิทธิ์ปฏิเสธคำสั่งนี้ได้… ตามกฎหมายของอาณาจักรที่เอื้ออำนวยให้ขุนนางผู้ยากไร้ในชนบทที่ปราศจากกำลังทรัพย์สำหรับเดินทางไกล ไม่ต้องฝืนลำบากเดินทางมาที่ปราสาท แต่ข้ารู้สึกว่ากรณีนี้มันทำให้ยุ่งยากมากกว่า
นอกจากคำสั่งเรียกตัวเข้าวังที่ใช้ไม่ได้แล้วก็ยังเหลืออีกวิธี คือตั้งข้อหาอะไรสักอย่างและเรียกตัวมาสอบสวน ซึ่งก็ไม่ควรใช้ในกรณีนี้
“ด้วยความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากการทูตกับเผ่าปีศาจ บารอนเนสเรมิเลียจะถูกแต่งตั้งเป็นไวเคาน์เตสในปีหน้า”
“แล้วหลังจากนั้น…!”
“อืม ข้าจะเรียกตัวมาเพื่อแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นของมกุฎราชกุมาร นางเติบโตขึ้นแล้ว ไม่ใช้แค่ในฐานะขุนนางของประเทศ แต่ยังเลียนแบบพ่อค้าได้เก่งอีกด้วย”
“ขอบพระทัย เสด็จพ่อ”
ด้วยการเลื่อนตำเหน่งที่สูงขึ้น เธอจะหลีกเลี่ยงการเข้าวังไม่ได้
ข้าเชื่ออย่างหมดใจว่าครั้งนี้ความสัมพันธ์ของข้ากับเรมี่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม… ไม่สิ เป็นความความสัมพันธ์ที่ดีกว่าเดิมในแบบที่ข้าหวังเอาไว้
แล้วนี่มันอะไรกัน?
เรมิเลียปรากฏตัวในงานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์โลกปีศาจ แต่งตัวเข้าคู่กับราชาปีศาจผู้สง่างามผิดมนุษย์จนน่าขนลุก… ชุดของเธอมีสีน้ำเงินไล่ระดับสีจนเป็นดำเช่นเดียวกับสีเส้นผมของราชาปีศาจ เป็นชุดที่ดูเหมาะสมกับเรมี่ผู้งดงามจนน่าใจหาย
และความจริงในอดีตก็ทยอยปรากฏออกมาให้เห็น ทุกความเชื่อที่ข้าใช้เป็นเหตุผลในการทำร้ายเรมี่ ล้วนมาจากคำโกหก
…เรมี่ไม่ใช่คนที่จะทำร้ายใครด้วยความอิจฉาริษยาอยู่แล้ว
“แก!!! ทั้งหมดนี้เป็นแผนชั่วของแก!!! ยัยผู้หญิงน่ารังเกียจ! ไปตายซะไปตายซะไปตายซะ!! อิจฉาที่ฉันเป็นนางเอกล่ะสิ! ก็เพราะแกมันโง่เอง!! เป็นความผิดของแก!!”
พีน่าพุ่งเข้าใส่เรมี่โดยไม่สนสายตาของคนรอบข้าง ราชาปีศาจปัดเธอจนล้มและอัศวินเข้ามากดไว้ไม่ให้ลุก ซึ่งข้าก็คิดว่าสมควรแล้ว
“จริงอยู่ที่ข้าเสียใจอย่างมากในตอนที่ถูกทุกคนประณามด้วยความผิดที่ไม่ได้ก่อ แต่ตอนนี้ข้ามีความสุขดี โดยที่คุณพีน่า… ใช้เงินทองมากมาย ซ้ำยังขายร่างกาย เพื่อให้ผู้คนรังเกียจข้า… สุดท้ายนางก็ยังไม่มีความสุขเลยไม่ใช่หรือ…? ทั้งการทำให้ข้าได้รับความอัปยศ ทั้งการใช้คำสาปควบคุมจิตใจของผู้คน แต่คุณพีน่าก็ไม่เคยได้พบกับรักแท้… ข้ารู้สึกสงสารคุณพีน่าเหลือเกิน…”
เรมี่ไม่มีความเคียดแค้นแม้แต่น้อย …ข้ารู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่อยู่เคียงข้างข้าเพื่อคอยสนับสนุนอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้นได้ลง
ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับเรมี่เมื่อยังเด็กก็รู้ว่าเธอเป็นหญิงสาวผู้มีแต่ความเมตตา เหมือนกับที่เธอเห็นใจพีน่าอยู่ตอนนี้… เมื่อใดที่ข้าได้ยินว่าเธออิจฉาหญิงสาวแห่งดวงดาวจนทำเรื่องเลวร้ายมากมาย ใจของข้าเปี่ยมสุขด้วยความคิด ‘เธอรักข้าถึงเพียงนั้น’ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังที่ ‘เรมี่กลายเป็นคนแบบนั้น’ ทั้งที่เรมี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักครั้ง
หลังจากงานเลี้ยงในวันนั้นก็ผ่านมาอีกหลายวัน ข้าก้มหัวขอร้องเสด็จพ่อ…องค์ราชา ทำการนัดหมายให้ข้าได้ขอโทษกับเรมี่ ดูเหมือนเดวิด สเตฟาน และโคลดก็เคยมาขอเรื่องเดียวกันนี้ ทุกคนรู้แล้วว่าพีน่าไม่ใช่หญิงสาวแห่งดวงดาว พูดให้ชัดเจนคือ ภายในตัวหญิงสาวแห่งดวงดาวมีเผ่ามารสิงสู่ เรื่องนี้จะทำให้ศรัทธาต่อหญิงสาวแห่งดวงดาวของคนในประเทศต้องสั่นคลอน จึงประกาศออกไปว่า “มารปลอมตัวเป็นหญิงสาวแห่งดวงดาว” โดยไม่เปิดเผยความจริง
การพบกันในครั้งนี้เป็นความเห็นแก่ตัวเล็กๆที่ทำเพื่อให้ตัวข้าเองรู้สึกดีขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากความใจดีของเรมี่ เพราะรู้ว่าเธอจะยอมรับโดยไม่ว่าอะไร
นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้มองเรมี่ตรงๆเช่นนี้ เส้นผมสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์สว่างไสว ดวงตาสีฟ้าสีฟ้าครามดั่งมหาสมุทร สายตาที่มองมาดูเศร้าสร้อย…แบบเดียวกับตอนที่ข้าต่อว่าเธอเรื่องการกลั่นแกล้งพีน่า ข้าควรฟังคำพูดของเธอจริงจังกว่านี้… ยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งเสียใจจนรู้สึกเกลียดตัวเอง…
“ลาก่อน ฝ่าบาทวิลเลียด”
ข้าควรขอโทษออกไปแท้ๆ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่เมื่อได้มาอยู่ต่อหน้าเรมี่ ข้าเอาแต่กล่าวโทษสิ่งรอบตัว ข้ายอมเป็นคนไม่ได้ความก็ได้ โดนดูถูกว่าพึ่งพาชื่อเสียงของคู่หมั้นผู้สมบูรณ์แบบก็ได้ ขอเพียงแค่ให้ได้อยู่กับเรมี่…
ในตอนที่ข้าพยายามจับมือของเธอ เรมี่ชักมือกลับและลุกเดินจากไป ศาลากลางสวนและทางเดินโดยรอบนี้คือสถานที่ที่ข้ากับเรมี่มาเล่นด้วยกันบ่อยครั้งตั้งแต่สมัยที่พวกเรายังเด็ก แม้ดอกไม้จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลแต่บรรยากาศยังคงเดิม และเรมี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น งดงามจนทำให้ข้าสิ้นหวัง
‘วิล!’
เสียงของเรมี่ตอนที่ยังเด็กกำลังเรียกชื่อของข้า แน่นอนว่าข้าคิดไปเองคนเดียว ความเป็นจริงในตอนนี้ ท่ามกลางดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่เต็มสวน ราชาปีศาจโอบกอดเรมิเลีย และทั้งสองก็จูบกัน… เป็นดั่งฉากจบที่มีความสุขของบทละคร
ข้าอยากมีดวงตาที่เห็นคำโกหกได้ เพื่อที่ข้าจะได้ไม่ถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกให้ทำร้ายเรมี่
ไม่มีอะไรน่าสมเพชไปมากกว่านี้ ตัวข้ามีแต่เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในอดีต ต้องทนกับความอิจฉาที่อยู่ในใจ
อยากตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่มันจะทำให้เรมี่ต้องเสียใจ ไม่ใช่ความคิดหลงตัวเอง เพราะเรมี่ผู้อ่อนโยนจะต้องหลั่งน้ำตาให้กับความตายของข้าที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเธอแน่ ข้าไม่อยากทำร้ายเธอไปมากกว่านี้
ไม่อยากคิดเลยว่าข้าจะใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกนี้อีกนานแค่ไหน
ใครก็ได้มาลงโทษข้าที ข้าต้องการชดใช่ความผิดนี้ด้วยชีวิต ยอมรับบทลงโทษที่สาสมกับทุกสิ่งที่ข้าทำ และมันก็เป็นเพียงความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของข้า เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ… เพียงแค่ต้องการหลีกหนีความรู้สึกที่ทำให้หัวใจของข้าต้องเจ็บปวดจนแทบบ้า ต้องการถูกฆ่าโดยใครสักคน ข้าอยากตะโกนออกมาดังๆ
“เรมี่… เรมี่…”
หัวใจของข้าทนไม่ไหวอีกต่อไป ได้แต่ส่งเสียงเรียกชื่อของเธอผู้นั้น …ครั้งหนึ่งข้าเคยมีทุกอย่าง คู่หมั้นที่วิเศษที่สุด ผู้ที่รักข้าและผู้ที่ข้ารักหมดหัวใจ ผู้ที่เชื่อใจกันและกันได้อย่างเต็มที่ เพียงแค่นั้น คือทุกอย่างของข้า…
มองดูรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของเธอผู้นั้นที่อยู่ในอ้อมแขนของราชาปีศาจ โดยที่ข้าทำได้เพียงร้องไห้คร่ำครวญถึงความสุขที่ไม่มีวันได้รับกลับคืนมา
Chapters
Comments
- ตอนที่ 37 ผู้กุมเศรษฐกิจแห่งหมู่บ้านต้นกำเนิด กุมภาพันธ์ 2, 2024
- ตอนที่ 36 เด็กน้อยในหมู่บ้านเกิดใหม่ สิงหาคม 2, 2023
- ตอนที่ 35 ผู้ริเริ่มเทศกาลฉลองวันก่อตั้ง กรกฎาคม 27, 2023
- ตอนที่ 34 หญิงสาวผู้เป็นส่วนหนึ่ง กรกฎาคม 22, 2023
- ตอนที่ 33 ราชาปีศาจเผชิญวิกฤต กรกฎาคม 18, 2023
- ตอนที่ 32 นักบุญในหน้าที่ กรกฎาคม 15, 2023
- ตอนที่ 31 ผู้เก็บรักษาความสุข กรกฎาคม 11, 2023
- ตอนที่ 30 ผู้หลุดพ้นชะตากรรม กรกฎาคม 6, 2023
- ตอนที่ 29 ดวงดาวที่ล่องลอยในความฝัน มิถุนายน 30, 2023
- ตอนที่ 28 นักบุญในห้องวิจัย มิถุนายน 27, 2023
- ตอนที่ 27 นักเล่าเรื่องในเมืองแห่งการค้า มิถุนายน 22, 2023
- ตอนที่ 26 อัศวินผู้ทรงเกียรติ 5 มิถุนายน 15, 2023
- ตอนที่ 25 อัศวินผู้ทรงเกียรติ 4 มิถุนายน 8, 2023
- ตอนที่ 24 อัศวินผู้ทรงเกียรติ 3 มิถุนายน 2, 2023
- ตอนที่ 23 อัศวินผู้ทรงเกียรติ 2 พฤษภาคม 29, 2023
- ตอนที่ 22 อัศวินผู้ทรงเกียรติ 1 พฤษภาคม 24, 2023
- ตอนที่ 21 ราชาปีศาจผู้มากด้วยปัญหา 2 พฤษภาคม 18, 2023
- ตอนที่ 20 ราชาปีศาจผู้มากด้วยปัญหา 1 พฤษภาคม 5, 2023
- ตอนที่ 19 ผู้รับบทจอมวายร้าย พฤษภาคม 5, 2023
- ตอนที่ 18 ผู้ที่อยู่ภายในหญิงสาวแห่งดวงดาว เมษายน 24, 2023
- ตอนที่ 17 คนที่เคยเป็นครอบครัว เมษายน 19, 2023
- ตอนที่ 16 ผู้สูญเสียความสุนทรีย์ในเสียงดนตรี เมษายน 19, 2023
- ตอนที่ 15 อัศวินตระบัดสัตย์ เมษายน 12, 2023
- ตอนที่ 14 อดีตคู่หมั้นผู้โศกเศร้า เมษายน 8, 2023
- ตอนที่ 13 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 13 มีนาคม 30, 2023
- ตอนที่ 12 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 12 มีนาคม 24, 2023
- ตอนที่ 11 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 11 มีนาคม 17, 2023
- ตอนที่ 10 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 10 มีนาคม 14, 2023
- ตอนที่ 9 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 09 มีนาคม 14, 2023
- ตอนที่ 8 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 08 มีนาคม 9, 2023
- ตอนที่ 7 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 07 มีนาคม 9, 2023
- ตอนที่ 6 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 06 มีนาคม 3, 2023
- ตอนที่ 5 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 05 มีนาคม 3, 2023
- ตอนที่ 4 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 04 กุมภาพันธ์ 28, 2023
- ตอนที่ 3 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 03 กุมภาพันธ์ 28, 2023
- ตอนที่ 2 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 02 กุมภาพันธ์ 28, 2023
- ตอนที่ 1 ผู้ที่อยู่ภายในของจอมวายร้าย 01 กุมภาพันธ์ 28, 2023
MANGA DISCUSSION