[นิยายแปล] Akuyaku Reijou no Naka no Hito ~Danzai sareta Tenseisha no Tame Usotsuki Heroine ni Fukushuu Itashimasu~ - ตอนที่ 34 หญิงสาวผู้เป็นส่วนหนึ่ง
- Home
- [นิยายแปล] Akuyaku Reijou no Naka no Hito ~Danzai sareta Tenseisha no Tame Usotsuki Heroine ni Fukushuu Itashimasu~
- ตอนที่ 34 หญิงสาวผู้เป็นส่วนหนึ่ง
หญิงสาวผู้เป็นส่วนหนึ่ง
“เธอต้องไปเป็นพยานร่วมกับฉัน เกี่ยวกับคดีทำร้ายร่างกายหญิงสาวแห่งดวงดาวที่จะถูกตัดสินในเร็วๆนี้”
เพื่อนของฉันพูดในสิ่งที่คาดไม่ถึงด้วยสีหน้าจริงจัง
“…แต่ ฉันไม่รู้ไม่เห็นเรื่องพวกนั้นเลย จะให้ไปเป็นพยานได้ยังไง…?”
“ไม่จำเป็นต้องโกหก ฉันคิดเอาไว้ให้แล้ว เธอแค่พูดให้ตรงกับเรื่องที่ฉันเล่าก็พอ ไม่อย่างนั้นคนดีๆจะถูกรังแกต่อไป”
หลังเลิกเรียนในวันหนึ่ง ก่อนจะกลับหอพักก็ถูกชวนเข้าไปในร้านกาแฟแห่งหนึ่งและเลือกโต๊ะที่นั่งที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง ฉันตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ คิดไปต่างๆนาๆว่า ‘มีเรื่องสำคัญอะไร’ ถึงกับรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขณะได้ฟังเรื่องราว
“ฉันไม่ได้ให้เธอใส่ร้ายใคร แค่ช่วยยืนยันว่าวันที่ 28 ของเดือนที่แล้ว เห็นคุณหนูกราปเนอร์อยู่หลังอาคารเรียนที่ติดกับสนามฝึกซ้อมที่ 1 เรื่องง่ายๆแค่นี้เอง”
ฉันถอนหายใจเบาๆโดยไม่ตั้งใจ เพียงแค่อยากระบายความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่มีอยู่ตอนนี้ออกไปบ้าง
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่มันก็คือการโกหกเพื่อใส่ร้ายคนอื่นอยู่ดี เธอกำลังขอให้ฉันให้ความเท็จ
ฉันเคยคิดว่าพวกเราสนิทกันตั้งแต่เด็ก เพราะมีงานอดิเรกเหมือนกัน เป็นคนรักหนังสือเหมือนกัน ดินแดนของตระกูลก็อยู่ติดกัน ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่เคนเห็นด้านนี้ของเธอมาก่อน… ซิซิลี่พูดชักชวนให้ร่วมกระทำความผิดออกมาเหมือนเป็นเรื่องปรกติ
เธอคงสังเกตเห็นว่าฉันกำลังจะปฏิเสธ น้ำเสียงและท่าทีของเธอจึงเปลี่ยนไป จากการพูดคุยธรรมดาก็กลายเป็นเริ่มกดดันมากขึ้น
“นี่ ฟังนะ เจสสิก้า ที่ฉันมาขอร้องก็เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน ก็รู้ๆกันอยู่ว่าคุณหนูกราปเนอร์เป็นคนชั่วร้ายขนาดไหน แค่อิจฉาหญิงสาวแห่งดวงดาวที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้าชายถึงกับทำเรื่องพวกนั้นได้ลงคอ!”
“…มันก็แค่ข่าวลือ”
ใช่แล้ว ข่าวลือที่ทุกคนพูดกันอย่างหนาหูในช่วงนี้ แม้ไม่อยากได้ยินก็มีคนมาเล่าให้ฟัง พบเห็นของใช้ส่วนตัวถูกทุบทำลาย การบ้านหายไปในวันที่ต้องส่ง ฉันเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลไวเคานต์ผู้ชื่นชอบการอ่านหนังสือมากกว่าติดตามข่าวลือจึงไม่ให้ความสนใจกับมันมากนัก
เพราะฉะนั้น ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องเหตุการณ์รุนแรงที่เธอกำลังยกตัวอย่างนี้มาก่อนเลย ‘จ่ายเงินให้คนครัวเอาแมลงสาบใส่ลงไปในอาหารของหญิงสาวแห่งดวงดาว’ หรือ ‘ภายใต้ชุดนักเรียนมีแต่รอยฟกช้ำจากการถูกทุบตี’
“เป็นไงล่ะ! รู้แล้วใช่ไหมว่ามันเลวร้ายถึงขั้นนี้แล้ว?! คู่หมั้นแบบนี้ฝ่าบาทถึงได้บันใจไปหาหญิงสาวแห่งดวงดาวแทน…”
“แต่ว่านะ ซิซิลี่ เธอเห็นจริงๆใช่ไหม? เรื่องที่ทุกคนพูดเกี่ยวกับคุณหนูกราปเนอร์นั่นน่ะ”
“ถึงฉันจะไม่เห็น… แต่คนที่เห็นก็มีตั้งเยอะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนที่เห็นจริงๆไปเป็นพยานสิ เธอจะได้ไม่ต้องโกหกด้วยไง”
“แต่ฉันเห็นหลักฐาน! จดหมายเรียกตัวที่มีตราประจำตระกูล กับผ้าเช็ดหน้าที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ พวกคนใกล้ชิดก็ยืนยันแล้วว่า ‘เป็นของท่านเรมิเลียแน่นอน’…”
“ลองคิดดูให้ดีๆสิ การให้ความเท็จเป็นอาชญากรรมนะ”
“การกลั่นแกล้งทำร้ายร่างกายก็เป็นอาชญากรรม! เธอนั่นแหละ คิดดูให้ดีๆ มันแปลกใช่ไหมล่ะที่คนคนหนึ่งจะเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบได้ขนาดนั้น คนแบบนี้มันต้องมีด้านมืดปิดบังเอาไว้ ทำเรื่องชั่วช้าลับหลังคนอื่นอยู่แล้ว… ไอ้พวกมีดีแต่เปลือกนอกนั่น”
เพื่อนของฉันกลายเป็นคนที่ตัดสินความผิดให้ผู้อื่นจากข่าวลือตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลกราปเนอร์ก็เป็นถึงดยุกซึ่งมีฐานะสูงกว่าพวกเรา และเธอผู้นั้นก็เป็นถึงคู่หมั้นมกุฎราชกุมารของประเทศนี้ ในใจฉันคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหมดนี้และกลับไปที่หอพักโดยเร็วที่สุดได้อย่างไร
และในช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน ซิซิลี่ดูเหมือนจะหลงใหลในตัวคุณหนูกราปเนอร์มากยิ่งกว่าฉันเสียอีก
“หญิงสาวแห่งดวงดาวเป็นคนที่น่าสงสาร เกิดในครอบครัวที่ยากจน เจอเรื่องร้ายๆมาตั้งแต่เด็กจนโต พอมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ก็เป็นที่รักของทุกคนรวมถึงเจ้าชายกับผู้ติดตาม ถึงได้ถูกคนขี้อิจฉาตามรังควาน แม้จะถูกทำเรื่องเลวร้ายไปขนาดนั้นก็ยังพูดด้วยรอยยิ้มว่าอยากเป็นเพื่อนกับท่านเรมิเลีย เป็นคนที่น่ารักมากจริงๆ ยิ่งตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมหวานจนแทบล่องลอยเลยล่ะ”
ในตอนนี้ความหลงใหลของเธอเปลี่ยนไปหาหญิงสาวแห่งดวงดาวโดยสมบูรณ์ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
ปีก่อน ซิซิลี่เลือกเรียนสาขาเดียวกันและมักจะมาเล่าให้ฉันฟังว่ามีความสุขแค่ไหนที่เธอถูกคุณหนูกราปเนอร์พูดชมในห้องเรียน ว่าที่ราชินีชื่นชมบทกลอนที่นักเรียนธรรมดาผู้หนึ่งขับขานในชั้นเรียน ฉันยังจำได้เลยว่าเธอดูดีใจขนาดไหนตอนที่เล่าให้ฟัง
ซิซิลี่เล่าเรื่องเหล่านั้นอย่างมีความสุขทุกครั้ง ฉันทำได้แต่ตอบไปอย่างเรียบๆว่า ‘ดีใจด้วยนะ’ เพราะในตอนนั้น ฉันรู้จักคุณหูกราปเนอร์เพียงแค่ผิวเผิน ขุนนางใหญ่ผู้มีผลการเรียนดีเยี่ยม โดดเด่นในหลายสาขาวิชา ทั้งเวทมนตร์ ดนตรี เล่นแร่แปรธาตุ และอีกหลายๆวิชา จนแม้แต่ฉันก็ยังทึ่งว่า ‘ทำได้ขนาดนั้นเลย’ และอยากพบกับตัวจริงสักครั้ง
ฉันอิจฉาซิซิลี่อยู่เล็กๆเพราะตัวเองเรียนคนละสาขา ยกเว้นในบางครั้งโชคดีที่มีวิชาเรียนคาบเกี่ยวกัน นอกเหนือจากนั้นฉันก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะสบตา ตอนที่ถูกเล่าให้ฟังฉันเคยตอบไปว่า ‘อยากใกล้ชิดกับคนที่สุดยอดแบบนั้นบ้างจัง’ ซึ่งฉันก็คิดแบบนั้นจริงๆ เพราะเข้าใจดีว่าคนผู้นั้นไม่ได้เป็นเพียงว่าที่ราชินีของประเทศ แต่ยังเป็นนักประดิษฐ์ผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่มีประโยชน์หลายอย่างและให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ระดับสูงยิ่งกว่ามืออาชีพ และช่วยงานบริหารดินแดนตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ จำนวนสามัญชนที่รู้ตัวหนังสืออ่านออกเขียนได้มีมากขึ้นต้องขอบคุณคุณหนูกราปเนอร์คนนี้ ความเป็นอยู่ชองชาวบ้านในดินแดนก็ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา และโอกาสที่จะได้รับคำชมจากบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ระดับนั้นก็มีได้แค่ตอนที่ฉันยังอยู่ในโรงเรียนเดียวกันนี้
ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ทำในสิ่งที่ตนเองสามารถทำได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้สักวันหนึ่งจะถูกสังเกตเห็น ฉันไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับเป้าหมายที่น่าอายของฉัน และได้พยายามสร้างผลงานด้วยงานเย็บปักที่ฉันถนัดที่สุด ธงสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ที่ฉันหวังว่า ‘เธอจะเห็นตอนที่มันถูกจัดแสดงในงานโรงเรียน’ และจินตนาการถึงวันที่มันจะเกิดขึ้น ‘หากกุมหัวใจของผู้ที่จะรับใช้ในอนาคตได้ ก็จะเป็นราชินีที่ยอดเยี่ยมได้แน่’
น่าเสียดาย งานโรงเรียนที่ฉันวาดฝันไว้ยังไม่มาถึงสักที
ก่อนหน้านี้ฉันแทบไม่เคยได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับหญิงสาวแห่งดวงดาวคนนี้มาก่อนเลย แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีแต่เสียงยกย่องจากผู้คนโดยรอบที่กล่าวถึงหญิงสาวแห่งดวงดาวพร้อมกับข่าวลือถึงความชั่วร้ายของคุณหนูกราปเนอร์
ตัวฉันไม่มีเส้นสายพอจะใกล้ชิดกับคนใหญ่คนโตระดับนั้น และเนื่องจากเรียนกันคนละสาขา จึงไมมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรง
เท่ากับว่า ครั้งแรกที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับ ‘หญิงสาวแห่งดวงดาว’ คือคำนินทาว่าร้ายบุคคลที่ฉันชื่นชม ทำให้ความประทับใจของฉันที่มีต่อหญิงสาวแห่งดวงดาว…ผู้หญิงที่ชื่อพีน่าคนนี้ลดต่ำลงอย่างมาก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน หรืออีกนัยหนึ่งคือมันไม่สามารถต่ำไปกว่านี้ได้แล้ว
เป้าหมายของฉันคือการถูกคนผู้นั้นยอมรับ หวังว่าสักวันจะได้รับคำชมเชยจากเธอ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เชื่อว่าคนอย่างคุณหนูกราปเนอร์จะเป็นเหมือนกับข่าวลือ
แต่ก็ไม่สามารถเถียงออกไปได้ เพราะรู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนที่จะทำเช่นนั้นในสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วยังมีพยานสำคัญที่ซิซิลี่อ้างว่าเป็น ‘คนใกล้ชิดของท่านเรมิเลีย…’ ในแวดวงบุตรหลานขุนนางที่จะเข้าไปสนิทสนมกับท่านเรมิเลียได้จะต้องมีตำแหน่งหรืออำนาจที่ทัดเทียม หากคนระดับนั้นพูดออกมาเอง ฉันก็คงจะโต้แย้งด้วยคำพูดปากเปล่าว่า ‘ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นหรอก’ ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉันได้เจอกับตัวในวันนี้ก็ทำให้คดีความหญิงสาวแห่งดวงดาวถูกคุกคามหมดความน่าเชื่อถือลงไปมาก เพราะนี่แสดงให้เห็นว่ามีการเชิญชวนคนอื่นมาเป็นพยานปลอมร่วมให้ความเท็จกันเป็นขบวนการ
แต่ทางฉันก็ยังขาดหลักฐานว่า ‘คุณหนูกราปเนอร์เป็นผู้บริสุทธิ์’ เพื่อโต้แย้งอยู่ดี
สิ่งที่ฉันทำได้ก็มีเพียงการพูดความจริง
“ฉันเป็นพยานในเรื่องที่เธอขอไม่ได้หรอก… เธอก็รู้ใช่ไหมว่าตระกูลของฉันเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการ?”
“…”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาของฉันทำให้ซิซิลี่แสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน ฉันจึงรีบพูดต่อให้จบเพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มากกว่านี้
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวแห่งดวงดาวเลย แน่นอนว่าถ้าฉันอยู่ในเหตุการณ์ ฉันสัญญาว่าจะเป็นพยานตามสิ่งที่ฉันเห็นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหน ทั้งการขโมยของหรือการขู่กรรโชก ฉันยินดีให้ข้อมูลอย่างเต็มที่”
“…สาบานได้ไหม?”
“ได้ ฉันสาบานว่าฉันจะเป็นพยานในทุกเรื่องที่ฉันเห็นกับตา”
ฉันเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังไม่ให้เข้าใจผิดว่ายอมให้ความร่วมมือเป็นพยานเท็จให้ใคร จากนั้นก็เรียกพนักงานให้มาคิดเงินและเก็บโต๊ะเพื่อที่ฉันจะได้ลุกออกไปจากตรงนี้สักที
ก่อนจะจากกันฉันพูดกับซิซิลี่อีกครั้งในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมานานด้วยความเป็นห่วงที่ระยะนี้เธอทำตัวแปลกไป
“…เธอถอนตัวออกจากเรื่องพวกนี้เถอะ… ซิซิลี่ ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆนะ แล้วก็พยานคนอื่นๆที่เธออ้างถึง… ไม่ใช่ว่าพวกเขาถูกขอให้โกหกเหมือนกันหรอกเหรอ?…”
“!! เรื่องนี้ฉันทำเองคนเดียว!! อย่าคิดสงสัยท่านพีน่าเชียวนะ!!”
อย่างน้อยฉันก็ชี้ให้เธอเห็นแล้วว่าหากมีพยานเท็จคนหนึ่งเชิญชวนคนอื่นให้ช่วยโกหกเพื่อสนับสนุนแบบนี้ พยานหลายๆคนที่อ้างมาก็อาจเป็นกรณีเดียวกันก็ได้ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รับฟังฉันอีกต่อไป
สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นราวกับฉันไปลบหลู่บรรพบุรุษของเธอ ฉันจึงออกจากร้านกาแฟนี้ทันทีโดยไม่แม่แต่จะกล่าวคำร่ำลา
“สุดท้ายก็ล้มเหลว…”
ฉันพูดกับตัวเองในห้องส่วนตัวของหอพัก ทำใจว่าได้เสียเพื่อนไปแล้ว
ซิซิลี่พยายามช่วยเหลือหญิงสาวแห่งดวงดาวในทุกวิถีทางที่เธอพอจะทำได้ ตรงจุดนี้ก็น่าเห็นใจ แต่ความจริงจะต้องไม่ถูกบิดเบือน ในฐานะบุตรของตระกูลผู้เกี่ยวข้องกับฝ่ายตุลาการ ฉันต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้พ่อได้รู้เอาไว้ โดยเขียนจดหมายฝากคนรับใช้ที่ไว้ใจได้ให้นำมันส่งผ่านไปยังเฮาส์สจ๊วต
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าการตัดสินใจของฉันในวันนั้นทำให้คุณหนูกราปเนอร์…ไม่สิ ‘วีรสตรีผู้กอบกู้โลก เรมิเลีย’ เข้ามาแสดงความขอบคุณกับฉันโดยตรง