[นิยายแปล] Akuyaku Reijou no Naka no Hito ~Danzai sareta Tenseisha no Tame Usotsuki Heroine ni Fukushuu Itashimasu~ - ตอนที่ 21 ราชาปีศาจผู้มากด้วยปัญหา 2
- Home
- [นิยายแปล] Akuyaku Reijou no Naka no Hito ~Danzai sareta Tenseisha no Tame Usotsuki Heroine ni Fukushuu Itashimasu~
- ตอนที่ 21 ราชาปีศาจผู้มากด้วยปัญหา 2
ราชาปีศาจผู้มากด้วยปัญหา 2
การใช้ชีวิตของเผ่าปีศาจเริ่มลงตัว พันธมิตรระหว่างประเทศถูกก่อตั้ง การค้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง… ที่เหลือก็ให้เรมิเลียตัดใจจากอดีตคู่หมั้นโดยไม่เหลือความอาวรณ์ในงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง
ข้าไม่มีความมั่นใจพอที่จะบอกรักเรมิเลีย ต่อให้มีโอกาสดีๆมาถึง ข้าก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าเอาไว้คราวหน้า และเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าเรมิเลียเองก็ทำงานหนักเพื่อความสุขของประชาชนเผ่าปีศาจโดยไม่คิดถึงเรื่องรักใคร่ให้เป็นสีสันของชีวิต แม้จะได้พบกันบ่อยแต่ข้าไม่อยากรบกวนเธอด้วยเรื่องส่วนตัวเช่นนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด หากข้าได้พูดไปแล้ว แม้ว่าเรมิเลียจะเสียใจภายหลัง…ที่ตอบรับความรู้สึกของข้า ข้าก็ไม่อยากปล่อยเธอไป
คำสาปหรืออะไรก็ตามที่หญิงสาวแห่งดวงดาวคนนั้นใช้ มันจะถูกทำให้หายไปในงานเลี้ยงที่จะมาถึงนี้อย่างแน่นอน และมกุฎราชกุมาร อดีตคู่หมั้นของเรมิเลียก็จะจดจำความรักที่เขาเคยมีให้กับเรมิเลียได้ แน่นอนว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อขอโทษกับเรมิเลีย… หากเรมิเลียรับฟังและยกโทษให้กับเขา ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จะกลับไปเป็นเหมือนเก่า
เรมิเลียเป็นคนอ่อนโยน คิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ซ้ำยังมีความผูกพันกับอดีตคู่หมั้น หากเขาอ้อนวอนต่อหน้าก็มีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียว… แต่ถ้าข้าบอกความรู้สึกของตัวเองกับเธอก่อน ข้าก็คิดว่าเธอจะตอบตกลง
เรมิเลียไม่ใช่ผู้หญิงหลายใจ ดังนั้น ไม่ว่าเธอจะอยากคืนดีกับอดีตคู่หมั่นสักแค่ไหน เธอก็จะไม่ทำเช่นนั้น โซเฟียบอกกับข้าว่า ‘ฝ่าบาทควรขอท่านเรมิเลียแต่งงานโดยเร็ว เปิดตัวในฐานะราชินีแห่งโลกปีศาจให้ทุกคนได้รู้ก่อนจะถูกคนอื่นแย่งไป!’ แต่ข้าไม่มีความมั่นใจพอจะทำเช่นนั้น
ข้าเองก็รู้ตัวว่าขี้ขลาดในเรื่องพวกนี้ ใจจริงก็อยากให้เรมิเลียมีสิทธิ์เลือกคู่ครองได้อย่างอิสระ เธอผ่านเรื่องร้ายๆมามาก เจ็บปวดมามากพอแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ข้าก็อยากให้เรมิเลียมีความสุขกับคนที่เธอเลือกด้วยตัวเอง ข้าจะไม่ปิดกั้นตัวเลือกของเธอด้วยการชิงลงมือตัดหน้า… โชคดีที่เธอหัวช้าในเรื่องของความรัก หากเธออยากกลับไปคืนดีกับอดีตคู่หมั้น ข้าก็จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ ทำเหมือนมันไม่เคยมีไปตลอดชีวิต
แม้แต่คลิมก็ยังต่อว่าข้าที่มอบเครื่องประดับอัญมณีเวทมนตร์ให้กับเธอโดยไม่บอกความหมายของมัน ไม่สิ มันเป็นแค่เครื่องรางเอาไว้กันเผ่าปีศาจที่ยกย่องเรมิเลียว่า ‘นักบุญ’ ไม่ให้มีใครคิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ทั้งที่อธิบายไปแล้ว แต่น้องชายของข้าก็ยังหรี่ตามองด้วยแววตาตำหนิ ทำให้ข้ายิ่งพูดตะกุกตะกักเหมือนพยายามแก้ตัว
และเขายังบอกกับข้าว่า ข้าชอบเข้ามาขัดจังหวะตอนที่เขากำลังคุยสัพเพเหระกับเธอและคอยพูดแทรกตลอดการสนทนา แต่เรื่องนี้ข้าไม่รู้ตัวจริงๆ…
“ผมคิดว่าคุณเรมิเลียจะลำบากใจมากกว่าถ้าท่านพี่แสดงความเป็นเจ้าของโดยที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้”
ข้าก็อยากบอกให้เธอรู้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ต้องการผูกมัดเรมิเลียก่อนที่เธอจะตัดสินใจ เมื่ออธิบายออกไป คลิมก็เริ่มเทศนาราวกับเป็นผู้ปกครองของข้า
“ทั้งที่ท่านพี่ให้เครื่องประดับอัญมณีเวทมนตร์ไปแล้ว แล้วก็ยังจัดการเสื้อผ้าเครื่องประดับสำหรับงานเลี้ยงให้เธอเสร็จสรรพ แล้วนั่นมันหมายความว่ายังไงกันครับ? สั่งตัดชุดที่มีสีเหมือนกับสีผมของท่านพี่นั่นน่ะ?”
“…เอาไว้กันแมลงสกปรกไม่ให้มาไต่ตอมเหมือนกัน…”
“เอาเถอะ จะแก้ตัวแบบนั้นก็ได้ แต่ตอนที่มอบชุดให้ก็ควรจะบอกกับเธอให้เรียบร้อย คุณเรมิเลียก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ หลังจากนั้นจะรอคำตอบจากเธอหลังงานเลี้ยงก็ได้ เลิกใช้ความรู้สึกของเธอมาเป็นข้ออ้างได้แล้วครับ ไม่อย่างนั้นผมจะแฉเรื่องทั้งหมดเอง”
คลิมเดินจากไปอย่างอารมณ์เสียพร้อมกับบ่นว่า ‘ท่านพี่ขี้กังวลเกินไป ทั้งที่คุณเรมิเลียก็สนใจในตัวท่านพี่อยู่เหมือนกัน ถึงทางนั้นจะยังไม่รู้ตัวก็เถอะ’ และถอนหายใจ แต่คำพูดนั้นก็ไม่ได้เข้าหัวข้าเพราะยังตกใจกับคำว่า ‘จะแฉเรื่องทั้งหมด’ จากก่อนหน้า
ผ่านมาอีกหลายวัน ชุดที่สั่งตัดก็ออกมาเรียบร้อยดี ข้าจึงแวะไปหาเรมิเลีย ดูเหมือนเรมิเลียเพิ่งจะกลับมาจากหมู่บ้านอันห่างไกลที่เธอไปชำระล้างมลพิษในพื้นที่ เธออาศัยอยู่ในห้องรับรองในปราสาทที่เตรียมไว้ให้ ข้าเอ่ยปากชวนสั้นๆ ‘ไปเดินเล่นด้วยกันไหม’ และพวกเราก็ออกมาด้วยกัน
ปราสาทที่เคยมีสภาพทรุดโทรมเพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงเนื่องจากขาดแคลนทรัพยากรและบุคลากร แต่ในที่สุดมันก็เริ่มดูสมฐานะขึ้นมา จากการพื้นฟูทีละน้อย พื้นที่สวนได้รับการดูแล แม้จะยังห่างไกลจากสวนอันงดงามของต่างประเทศ แต่ก็มีสนามหญ้า พื้นทางเดิน ต้นไม้และพุ่มไม้ที่ได้รับการตัดแต่งให้สวยงาม มีดอกไม้ไม่มากนัก แต่เรมิเลียก็ยังชมว่า ‘สวนที่เน้นความเขียวขจีของธรรมชาติก็ดูแล้วสบายตา’
คนสวนที่รับผิดชอบส่วนนี้คือปีศาจ 3 คนที่เรมิเลียเคยดูแลอยู่ที่หมู่บ้านของเธอ พวกเขาเดินทางกลับมาโลกปีศาจอีกครั้งเพื่อทำงานที่บ้านเกิดตามคำแนะนำจากเรมิเลีย และยังมีอีกหลายคนที่กลับมาทำงานเป็นคนรับใช้อยู่ที่นี่
จริงๆแล้วข้าอยากพาไปทุ่งดอกไม้หรือสถานที่ชมวิวที่มีบรรยากาศดีๆ แต่น่าเสียดายที่โลกปีศาจที่กำลังอยู่ในระยะฟื้นตัวไม่มีสถานที่แบบนั้น อันที่จริงก็มี แต่มันก็ไม่ใช่ระยะทางที่ไปได้ด้วยการเดินเล่น ยิ่งสำหรับข้าที่ไม่มีความเข้ากันได้กับเวทมนตร์เคลื่อนย้าย จึงไม่มีตัวเลือกมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ปราสาทเก่าๆนี้ยังเป็นสถานที่ในความทรงจำของข้าและครอบครัว หวังว่าเรมิเลียจะไม่รู้สึกหงุดหงิดกับความมักง่ายของข้า
ตอนนี้ก็ได้มาถึงส่วนที่คนสวนทั้ง 3 แนะนำอย่างภูมิใจว่าสวยที่สุดในวัง ทางเดินปูด้วยอิฐสวยงาม สระน้ำถูกขุดต่อเติมจากลำธารธรรมชาติที่ไหลผ่านพระราชวัง ดอกไม้ดูเรียบๆแต่ก็บานสะพรั่ง ถึงจะไม่มีอะไรโดดเด่นแต่ก็ดูเรียบง่ายจนรู้สึกสบายใจเป็นที่สุด
ที่นี่แหละ…
ข้าเตรียมใจเอาไว้แล้ว
“เรมิเลีย…… ชุด ที่ข้าสั่งตัดให้เจ้า เสร็จเรียบร้อยแล้ว… ข้าอยากให้เจ้า ใส่มัน ไปงานเลี้ยง”
“พามาที่นี่เพื่อจะบอกเรื่องนี้เองหรือคะ? ขอบคุณนะ แองเจิ้ล”
“เปล่า… มีเรื่องที่อยากคุยอีก”
ความประหม่าจู่โจมเข้ามากะทันหัน ข้ารีบพูดเปลี่ยนเรื่อง ไม่สิ เพื่อเรมิเลียเองด้วย หากยืดเยื้อไปมากกว่านี้จะยิ่งทำให้พูดออกมายาก ข้าจะพยายามซื้อตรงกับความรู้สึกก็แล้วกัน
“เรื่องที่อยากคุย…?”
“เอ่อ… เรมิเลีย… ในใจของเจ้าตอนนี้… มีใครหรือเปล่า…? หมายถึง คนที่เจ้ามีความรู้สึกพิเศษให้น่ะ”
สุดท้ายก็เอาแต่อ้อมค้อมจนอยากด่าตัวเอง เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่ยอมบอก แต่กลับถามถึงความรู้สึกของเธออีก
แต่ เดี๋ยวก่อน… ถ้าเธอตอบว่าไม่มี ก็หมายความว่าเธอลืมอดีตคู่หมั้นคนนั้นได้แล้ว หลังจากนั้นข้าก็จะได้บอกรักเธอได้อย่างหมดห่วงเสียที
“…ในใจ…จะว่าไปก็มีอยู่ …คนพิเศษที่อยู่ในใจของข้าในตอนนี้…ข้าชอบคนผู้นั้นมาก ไม่แน่ใจว่ามันคือความรักหรือเปล่า …แต่คนผู้นั้นคือคนสำคัญที่สุดสำหรับข้า”
“แล้ว เขา…ใช่อดีตคู่หมั้นของเจ้าหรือเปล่า?”
เธอมีคนในดวงใจอยู่แล้ว นี่มันเจ็บปวดยิ่งกว่าที่คิด อยากจะล้มลงตรงนี้ แม้ว่าข้าตั้งใจจะเคารพการตัดสินใจของเรมิเลีย แต่ข้าก็เผลอถามถึงอีกฝ่ายหลังจากได้ยิน
“ไม่ค่ะ… อย่างที่เคยบอกไป ข้าไม่สามารถรักคนที่ไม่คิดจะเชื่อใจข้าได้อีกต่อไป แม้ว่าเขาจะถูกหลอกก็ตาม”
“นั่นสินะ”
ตัวข้าใจดำเหลือเกินที่รู้สึกยินดีกับคำตอบของเธอ ข้าอาจลืมตัวเกินไปหน่อย แต่เรมิเลียก็ยิ้มให้กับข้าที่ถามอย่างสอดรู้สอดเห็นถึงผู้โชคดีที่เป็นคนสำคัญของเธอ
“…ดีจริงๆที่ได้พบกับแองเจิ้ล”
“เอ๋?”
“ในตอนที่ข้าได้เห็นคนผู้นั้นเป็นครั้งแรก… ข้ารู้สึกไม่สบอารมณ์นัก เรียกได้ว่ารู้สึกโกรธด้วยซ้ำ”
หลังจากฟังเรื่องที่เรมิเลียพูด ก็เกิดอยากมองโลกในแง่ดีว่า ‘…อาจจะหมายถึงข้าก็ได้?’ เมื่อลองคิดย้อนดู หน้าบัลลังก์ในวันนั้น ข้าแสดงท่าทีข่มขู่และไม่ไว้ใจออกไปตรงๆ ทั้งที่เรมิเลียมาช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้ๆ ถึงจะอ่อนโยนสักแค่ไหนก็ต้องมีโกรธบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็ได้เห็นคนผู้นั้นทุ่มเทเพื่อข้า พยายามปกป้องข้า… คิดถึงข้าอยู่เสมอ… ดูแลเอาใจใส่เรื่องต่างๆมากมาย”
หรือว่าจะเป็นข้าจริงๆ?
แน่ใจได้ไหม…? นั่นพูดถึงตอนที่ต่อสู้กับเทพแห่งการสร้างผู้ร่วงหล่น กับเรื่องราวหลังจากนั้นสินะ?
จะว่าไป… ข้าเริ่มสนใจเรมิเลียตั้งแต่ตอนนั้น ข้าถึงได้พยายามต่อสู้โดยปกป้องเธอไปด้วย อาจจะเห็นได้ชัดจากมุมมองของเธอ
หลังจากชำระล้างเทพมารเรียบร้อยแล้ว เธอก็ออกช่วยเหลือเผ่าปีศาจตามที่ต่างๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนข้าเป็นห่วงสุขภาพของเธอและคิดทำอะไรให้หลายอย่าง
“คนผู้นั้นคิดช่วยรักษาเกียรติของข้า… และเหนือสิ่งอื่นใด คนผู้นั้นปรารถนาให้ข้าได้พบกับความสุข”
สรุปว่าเป็นข้าได้แล้วหรือยัง? นี่คงเป็นตอนที่ข้าช่วยคิดหาวิธีพลิกคดีที่เธอถูกหญิงสาวแห่งดวงดาวคนนั้นใส่ร้าย
หรือว่า คลิมบอกไปแล้ว…?! เพราะข้าไม่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆสักที ทำให้เธอต้องเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน…
ใบหน้าของข้ารู้สึกร้อนรุ่ม
“ถึงจะยังไม่รู้ว่ามันเป็นความรักหรือเปล่า… แต่ข้าดีใจเหลือเกินที่ข้าสามารถทำประโยชน์ให้คนผู้นั้นได้ด้วยการช่วยเหลือเผ่าปีศาจ และข้ารู้สึกว่าตนเองสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อคนผู้นั้น”
เป็นข้าอย่างแน่นอน!!
…ข้าถูกพ่อแม่ปลูกฝังตั้งแต่เด็กว่าให้เป็นคนที่ปกป้องผู้อื่นได้ ดังนั้น ข้าจึงคิดไม่ถึงเลยว่าการ ‘ปกป้องใครสักคน’ จะมีความหมายยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ อา ใช่แล้ว… ข้าต้องการปกป้องสิ่งสำคัญสำหรับข้า คนที่ข้ารัก อยากให้เรมิเลียได้พบกับความสุข แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านๆมาข้าไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับคนรอบข้าง …ข้ารู้สึกขอบคุณทุกคนจากก้นบึ้งของหัวใจ ที่ทุกคนยอมรับข้อเสียและช่วยสนับสนุนข้ามาโดยตลอด
เพียงแค่ได้รู้ว่ามีใจตรงกัน จิตใจของข้าล่องลอยราวกับฝันไป เธอกล่าว ‘ขอบคุณสำหรับชุดสวยๆนี้’ ด้วยรอยยิ้มอันสดใส และข้าก็พาเธอกลับไปส่งที่ห้อง
หลังจบเรื่อง ข้าก็พบคลิมกับมิซารี่ดักรออยู่เพื่อถามว่า ‘ท่านพี่บอกเธอไปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?’ พวกเขาส่งสายตาเอือมระอาเมื่อได้ยินคำตอบของข้า และแน่นอนว่าข้าถูกเทศนาอีกครั้ง
งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นในเย็นวันนี้ ระยะนี้น้องๆของข้าเริ่มทำตัวเย็นชากับข้ามากขึ้น ทั้งที่อธิบายไปตั้งหลายรอบแล้วแต่พวกเขาก็ไม่ฟัง ว่าข้าไม่อยากทำให้เรมิเลียมีเรื่องให้คิดมากในช่วงเวลาสำคัญที่เธอจะปลดปล่อยอดีตคู่หมั้นและเพื่อนๆของเธอด้วยการเปิดโปงแผนร้ายของคนชั่ว
ตั้งแต่วันนั้นข้าก็ยังไม่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป ทำให้ถูกบ่นว่าเป็นพี่ชายที่อ่อนหัดในเรื่องของความรัก ข้าเองก็เข้าใจ และไม่อยากให้มีชายอื่นเข้ามาติดพันเรมิเลียในงานเลี้ยง หากข้าเข้าใจไม่ผิด ประเทศบ้านเกิดของเรมิเลียมีวัฒนธรรมที่คู่รักจะแต่งกายให้เข้าคู่กัน เพราะฉะนั้น ข้าจึงหวังว่าไม่มีใครกล้าพอที่จะเข้าหาหญิงสาวที่แต่งกายด้วยสีของข้าทั้งตัว ทั้งหมดก็เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่จำเป็นก่อนจะเริ่มแผนการ
แม้เธอจะแสดงอาการไม่สบายใจตอนอยู่ในรถม้าจนข้าไม่อยากปล่อยเอาไว้แต่ก็ต้องให้เธอเข้าไปในงานคนเดียว งานเลี้ยงในประเทศนี้ คู่ควงของสุภาพสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานจะเป็นญาติสนิทหรือไม่ก็คนรักและคู่หมั้นเท่านั้น ข้าไม่ได้หน้าด้านพอที่จะควงเธอเข้างานโดยที่ยังไม่ได้มีความสัมพันธ์ถึงขั้นนั้น จึงได้แต่ฟังมิซารี่บ่น ‘ก็ถึงบอกไงว่าให้บอกรักเธอไปก่อนหน้านี้’
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในช่วงเย็นตามแผน บรรดาแขกในงานมีความตื่นตัวค่อนข้างสูง ตั้งหน้าตั้งตารอราชามนุษย์กล่าวเปิดงาน ‘เพื่อมิตรภาพอันแน่นแฟ้นและความมั่นคงทางการค้าระหว่างอาณาจักร…’ เขาพูดตามบทต่อไปกลางงานเลี้ยง สังคมของมนุษย์มีความยุ่งยากซับซ้อน แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดการณ์ นี่คงเป็นเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ตามที่ได้ตกลงกันไว้ หลังจากการกล่าวเปิดงาน ข้ากับคุณโซเพียจะขัดจังหวะการเจรจา ‘ก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ พวกเราขอกำจัดเนื้อร้ายของประเทศนี้โดยการชี้ตัวคนชั่วผู้บ่อนทำลาย ให้ทุกคนได้เห็น’ โดยมีคลิมและมิซารี่ช่วยสนับสนุน ซึ่งจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย และพวกเขาจะต้องรื้อฟื้นคดีของเรมิเลียที่ตัดสินไปเรียบร้อยแล้วขึ้นมาพิจารณาใหม่ คุณโซเพียแนะนำให้ส่งไวน์ลิลินให้กับราชวงศ์และขุนนางที่เกี่ยวข้องในภายหลัง เพื่อเป็นการ ‘ขอโทษ’ ที่ทำให้งานเลี้ยงต้องปั่นป่วน เป็นข้อเสนอที่ดี เพราะมนุษย์ยังไม่มีวิธีรักษาอาการเจ็บป่วยหลายๆอย่างได้ เธอบอกว่าพวกเราช่วยเปิดโปงแผนร้ายของหญิงสาวแห่งดวงดาว ซ้ำยังเสนอสิ่งนี้ให้เป็นการขอโทษ พวกเขาจะไม่เพียงไม่ว่าอะไรแต่ยังสำนึกในบุญคุณอีกด้วย
ทันทีที่การกล่าวเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการจบลง ทุกคนดื่มฉลอง ผลของยาเสน่ห์ที่หญิงสาวแห่งดวงดาวใช้ล่อลวงคนอื่นๆได้ถูกลบล้าง… ไม่รู้ว่าเป็นการเข้าใจผิดแบบไหน หญิงสาวแห่งดวงดาวตะโกนเรียกข้าพร้อมกับวิ่งเข้ามาหา แทรกกลางการสนทนาระหว่างข้ากับราชาแห่งมนุษย์… แม้แต่ในประเทศนี้ การตะโกนเรียกผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าคือเรื่องเสียมารยาท อาจถึงขั้นตั้งข้อหาดูหมิ่นได้ในบางสถานการณ์ เป็นไปได้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้จะมียศสูงกว่าข้า?
ข้าดูถูกเธอไปตรงๆโดยเรียกว่าเป็นแค่ ‘ของประดับ’ สำหรับงานเลี้ยง แต่เธอก็ยังดูเหมือนไม่กระทบกระเทือน ผู้หญิงไร้มารยาทคนนี้มันยังไงกัน? พอพูดออกไปก็แนะนำตัวกลับมาอีก คิดว่าข้าถามชื่ออยู่หรือไง ทั้งที่ยังไม่ได้อนุญาตแต่ก็เรียกชื่อข้าตรงๆอีก…. เธออาจใช้พลังเพื่อเพิ่มผลกระทบของยาจริงๆ… ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนแบบนี้มากกว่าเรมิเลียหรอกใช่ไหม…?
เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าตกใจจนตัดสินใจได้ช้าลง และตามที่เรมิเลียแนะนำมา… ข้าได้กลิ่นของตัวยาต้องห้ามโชยมาจากตัวผู้หญิงคนนี้
ความรู้ของเรมิเลียเชื่อถือได้ ข้าจึงให้เภสัชกรตรวจสอบวัตถุดิบที่เธอบอกว่าอาจเป็นอันตราย และพบว่าตัวยาทั้งหมดนั้นเป็นสารออกฤทธิ์กับสภาพจิตใจตามที่เรมิเลียเตือนเอาไว้ หากควบคุมการใช้งานให้ถูกต้องเหมาะสมก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าถูกบังคับให้ใช้รับยาเป็นเวลานาน ก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของผู้รับยาได้ระดับหนึ่ง ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หรือในอีกแง่หนึ่ง ‘ถูกทำให้ปักใจเชื่อได้ทุกเรื่องตามต้องการ’ นี่แหละ คือผลข้างเคียงอันตราย ก่อนหน้านี้มีผู้ที่ต้องการซื้อเกสรดอกลิลิธกับรากแอสโมเดียสหลังจากสมุนไพรทั้งสองถูกกำหนดเป็นของต้องห้าม ข้าคิดจะห้ามอย่างเด็ดขาดตามที่เรมิเลียได้เตือนไว้ แต่หลังจากปรึกษากันแล้วพวกเราก็ตัดสินใจใช้มันเป็นเหยื่อล่อ ในโลกปีศาจมีพืชหลายชนิดที่หาไม่ได้ในดินแดนของมนุษย์ จึงได้ส่งมอบดอกไม้ชนิดอื่นที่มีกลิ่นเฉพาะตัวสามารถตรวจจับได้ง่าย และรากผักที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ไปแทน โชคร้ายที่ร่องรอยขาดหายเพราะคนกลางถูกฆ่าตายระหว่างทาง จึงไม่มีการสืบสวนต่อ แต่ดูเหมือนของจะถูกส่งมาถึงผู้หญิงคนนี้เรียบร้อยดี นอกจากนั้นเธอยังรู้เรื่องเนตรสวรรค์ของข้า เป็นผู้ครอบครองความทรงจำเหนือโลกใบนี้เช่นเดียวกับเรมิเลีย แต่เป็นตัวตนที่ไม่คู่ควร เธอใช้ความรู้เหล่านั้นเพื่อจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายเท่านั้น
ผู้หญิงคนนี้ทำให้ลำดับขั้นตอนแผนของข้าต้องเปลี่ยนไป ข้าหันไปสบตากับโซเฟีย ถึงจะข้ามขั้นตอนไปบ้างแต่พวกเราก็ตัดสินใจลงมือเปิดโปงความชั่วร้ายของผู้หญิงคนนี้ในทันที แต่ยังไม่ทันได้เริ่ม เธอก็พูดเรื่องแปลกๆแทรกเข้ามา ‘ท่านราชาต้องการเป็นพันธมิตรกับเผ่าปีศาจใช่ไหม? เพื่อเป้าหมายนั้นแล้ว ฉันที่เป็นหญิงสาวแห่งดวงดาว… ยินดีแต่งงานกับราชาปีศาจเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายในฐานะตัวแทนของประเทศนี้’ …ผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่?
เพราะข้าดูออกว่าเธอไม่ได้โกหกจึงยิ่งสับสน คนคนนี้… เชื่อจากใจจริงว่าการที่เธอกับข้าจะแต่งงานกันเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ไม่ใช่ว่าเธอจัดฉากประณามเรมิเลียให้ใหญ่โตขนาดนั้นก็เพื่อแย่งตำแหน่งคนรักของมกุฎราชกุมารมาครอบครองหรอกหรือ? ข้ารู้มาว่าเธอมีนิสัยชอบจับผู้ชายมาเป็นทาสรัก อย่าบอกนะว่าคิดจะเอาข้าไปเป็นของสะสมอีกชิ้นหนึ่งของเธอ ข้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด
ทุกคำพูดของผู้หญิงคนนั้นทำให้ข้าโกรธจนแทบระเบิดออกมา เรมิเลียเข้ามาจับที่แขนของข้าและพูดปลอบ ข้าจึงใจเย็นลงได้ก่อนที่จะเผลอลงมือทำอะไรรุนแรง นอกจากนั้น เรมิเลียยังคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานที่และเสนอให้พาผู้หญิงคนนี้ออกจากงานเลี้ยงก่อน เอาใจใส่ดีจริงๆ…
แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ดูเหมือนไม่คิดจะยอมรับโอกาสที่หยิบยื่นให้ แม้จะไม่ค่อยราบรื่นแต่ข้าก็สามารถดำเนินตามแผนต่อไปได้
ผู้หญิงคนนี้รู้ว่าข้ามองเห็นคำโกหกได้ เธอพยายามใช้คำพูดกำกวมเพื่อใส่ร้ายเรมิเลียอีกครั้งโดยไม่ต้องโกหก… หากปล่อยเอาไว้อาจทำให้เรมิเลียเป็นกังวลว่าข้าจะถูกล่อลวง จึงโต้เถียงออกไปและได้บอกโดยไม่ตั้งใจว่าคนที่ข้ารักคือเรมิเลีย
…ทั้งที่ข้าวางแผนว่าจะเปิดโปงแผนชั่วของหญิงสาวแห่งดวงดาว กระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยการค้า เชิญเธอเต้นรำในช่วงสุดท้ายของงานเลี้ยง และไปที่ระเบียงที่เงียบสงบด้วยกัน จากนั้นก็สารภาพความในใจกับเธอ แต่เรื่องก็กลายเป็นแบบนี้เสียแล้ว…
เรมิเลียไม่ตำหนิในความไม่ละเอียดอ่อนของข้า เธอหลังน้ำตาและบอกกับข้าว่า ‘มีความสุขเหลือเกิน’ ข้าไม่ได้หวังว่าเธอจะให้คำตอบได้ในทันที แต่เมื่อได้ยินแบบนี้ หัวใจของข้าก็เต้นแรง
ข้าอยากพาเธอออกไปที่สวนเดี่ยวนี้เพื่อบอกกับเธออย่างถูกต้องอีกครั้ง แต่แผนเปิดโปงหญิงสาวแห่งดวงดาวยังไม่จบ ข้าเกือบลืมจุดประสงค์นั้นไปแล้วเพราะมัวแต่คิดถึงแต่เรมิเลีย ในตอนนั้นเอง โซเฟียก็ดำเนินการขั้นต่อไป
ถึงจะยังรู้สึกอายแต่ก็ต้องกลับมาทำตามแผนกันต่อ ข้าเปิดใช้งาน ‘กระจกน้ำสะท้อนอดีต’ ที่บันทึกความผิดของผู้หญิงคนนั้น นอกจากการจงใจก่ออาชญากรรมแล้ว ยังมีฉากที่เธอทุบทำลายข้าวของในตอนที่อยู่คนเดียวพร้อมกับพูดถ้อยคำหยาบคาย สาปแช่งผู้หญิงที่มีฐานะสูงกว่าและผู้ชายที่ไม่หลงเสน่ห์เธอ ในเมื่อผลของยาเสน่ห์และน้ำหอมดึงดูดไม่หลงเหลืออีกต่อไป ทำให้ทุกคนทำความเข้าใจในภาพที่เห็นได้โดยไม่ถูกบิดเบือน สายตาของพวกเขามองผู้หญิงคนนั้นด้วยความขยะแขยง บรรดาบุตรหลานของพวกเขาที่ถูกแสดงให้เห็นว่ามีส่วนร่วมในอาชญากรรมก็เริ่มแก้ตัว ‘ก็ตอนนั้นคำพูดของคุณพีน่าน่าเชื่อถือมากกว่านี่นา’ ‘หลักฐานแน่นหนาขนาดนั้น เป็นใครก็เชื่อ’ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสำนึก ส่วนคนที่ต้องการขอโทษเรมิเลีย มีน้อยจนนับนิ้วได้… ไม่จำเป็นต้องเห็นใจ หลังจากนี้ต้องพูดให้ผู้นำของทางนั้นรู้ว่า ข้าไม่ยอมรับการมอบตำแหน่งสำคัญของประเทศให้กับคนที่ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดี
และแล้วก็มาถึงเรื่องของอดีตคนรับใช้ของเรมิเลีย ตัวการสำคัญที่ช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นใส่ร้ายเรมิเลีย ทั้งสาวใช้ที่ขายเจ้านายแลกกับเงิน และคนคุ้มกันที่ทรยศเพื่อร่างกายของหญิงอื่น ผู้หลงใหลในรางวัลที่ได้รับถึงขั้นทำลายชื่อเสียงของหญิงสาวผู้บริสุทธิ์โดยการป่าวประกาศว่า ‘ถูกท่านเรมิเลียบังคับให้ปรนนิบัติ’ ได้ถูกแสดงให้เห็นแล้วว่าใครกันแน่คือคนที่หมกมุ่นในกามารมณ์ที่แท้จริง
ในส่วนนี้คือบทลงโทษพิเศษจากข้า ทำให้พวกมันต้องอับอายขายหน้าด้วยการแสดงให้ทุกคนในที่นี้ได้เห็น แต่ก็ถูกเรมิเลียหยุดเอาไว้… รู้อยู่แล้วว่าเรมิเลียต้องไม่เห็นด้วยแน่ เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ปิดเอาไว้เป็นความลับ และเธอก็ได้เข้ามาหยุดเอาไว้เร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก พลาดจนได้
คนที่น่าจะเป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าของเรมิเลียกำลังมองมาทางนี้ เดิมทีข้าควรเข้าไปทักทายพวกเขาเพื่อคุยเรื่องการสู่ขอเรมิเลีย แต่ข้าจะไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา เช่นเดียวกับการที่เขาไม่ให้ความสำคัญกับเรมิเลีย ลูกสาวแท้ๆที่พวกเขาทอดทิ้งไปง่ายๆเพียงเพราะหมดประโยชน์ ข้าทำเมินโดยสมบูรณ์และกลับมาจัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าต่อ
มกุฎราชกุมารและผู้ติดตามคนอื่นๆดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าได้ทำเรื่องผิดพลาดลงไป มารู้ตัวเอาตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว
ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้ หญิงสาวแห่งดวงดาวหมดความน่าเชื่อถือโดยสมบูรณ์ มีแต่เรมิเลียเท่านั้นที่ยังเป็นห่วงหญิงสาวแห่งดวงดาวที่อยู่ในสภาพนั้นและพยายามยื่นมือเข้าไปหา ข้าอยากจะบอกเหลือเกินว่าอย่าเก็บของสกปรกที่อยู่ตามพื้นแบบนั้นสิ
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้เสียสติจนเรียกว่า ‘คนบ้า’ ก็ไม่เป็นการพูดเกินจริง ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็พยายามเข้ามาทำร้ายเรมิเลียซึ่งๆหน้า ด้วยชุดหนาๆสำหรับงานเลี้ยงที่เคลื่อนไหวได้ยาก เพียงแค่ข้ายกแขนขึ้นมาขวาง เธอก็พุ่งชนและล้มกระเด็นเสียเอง… ‘หญิงสาวแห่งดวงดาว’ ผู้เป็นหน้าตาของประเทศได้กลายมาเป็นแบบนี้ มันจะไม่เกิดปัญหาทางการทูตหรอกหรือ?
ข้าทำให้มนุษย์ในที่นี้ทุกคนตาสว่างได้สำเร็จตามเป้าหมาย มีเพียงเรมิเลียคนเดียวที่ร้องไห้ ‘เสียใจ’ ให้กับผู้หญิงสกปรกที่กองอยู่กับพื้นตรงนั้น… ไม่โกรธ ไม่ซ้ำเติม ทุกคำพูดมาจากใจจริง เรมิเลียรู้สึกสงสารผู้หญิงคนนั้นจนหลั่งน้ำตาออกมา… สงสารที่เธอทำถึงขั้นก่ออาชญากรรม วางยา ใส่ร้ายคนอื่น เพื่อความรักจอมปลอม แต่สุดท้ายความสุขที่ไขว่คว้าก็ไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็สมเป็นเรมิเลีย… ได้เห็นเรมิเลียใจกว้างขนาดคิดช่วยเหลือแม้แต่กับคนแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ข้าหลงรักเธอมากขึ้นไปอีก
หลังจากผู้หญิงคนนั้นถูกลากตัวออกไป ข้าก็ปลูกฝังความเชื่อใหม่เกี่ยวกับเผ่าปีศาจ ความจริงเรื่องที่ว่าเผ่ามารคือปีศาจที่บ้าคลั่ง เทพแห่งการสร้างที่เผ่าปีศาจบูชา ร่วงหล่นเป็นเทพมารต้นตอของหายนะทำลายโลก แม้ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนบ้า แต่ข้าก็ไม่อยากเสี่ยงให้เธอเอาไปป่าวประกาศจนกลายเป็นข่าวลือ
อันที่จริงข้าก็อยากมอบโทษประหารให้ผู้หญิงคนนั้นเพื่อเป็นการปิดปากอย่างถาวร แต่เรมิเลียคงจะไม่ยอมให้มีใครต้องตาย ถึงข้าจะเข้าไปบงการได้ยากแต่ก็อาจเรียกร้องให้ขังเดี่ยวไม่ให้เธอได้พบกับผู้คนไปตลอดชีวิต หรือทำลายเสียงไม่ให้พูด ควรให้ตัดนิ้วเพื่อป้องกันการเขียนบอกด้วยดีไหม? ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคำตัดสินของราชาของประเทศนี้ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ถ้าจะให้ดีก็ต้องลงโทษสถานหนักจนเธอปรารถนาความตายด้วยตนเอง… ให้คู่ควรกับบาปที่ทำลายชีวิตของเรมิเลียในครั้งนั้น
สุดท้ายแล้ว งานเลี้ยงก็พังไม่เป็นท่า ไม่เพียงแค่งานเต้นรำปิดท้าย แต่ทุกกำหนดการณ์หลังจากนั้นถูกยกเลิกจนหมด ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ เพราะเรื่องของผู้หญิงคนนั้นใหญ่โตมากกว่าที่คิด
หรือถ้าจะพูดให้ชัดๆก็คือ ข้าพลาดโอกาสบอกความรู้สึกกับเรมิเลียไปอีกครั้ง ไม่ใช่แค่คลิมกับมิซารี่ที่ทำตัวเย็นชากับข้า ตอนนี้มีคุณโซเฟียเพิ่มมาอีกคน คอยบ่นถึงความ ‘อ่อนหัด’ ของข้า ล่าสุดพวกเขาบอกว่า ‘ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้องเรียบร้อยที่นี่ จะไม่ยอมให้ผ่านประตูเคลื่อนย้ายกลับโลกปีศาจ’
ในวันนี้… เรมิเลียถูกเรียกตัวไปที่วังหลวง เพื่อพบกับอดีตคู่หมั้น วิลเลียด สองต่อสอง เขาอ้างว่าอยากขอโทษกับเธอ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์
ข้าใช้เวทมนตร์แอบฟังอยู่ห่างๆ รู้สึกโล่งใจที่มกุฎราชกุมารถูกเรมิเลียปฏิเสธ ทั้งที่เธอเคยบอกกับข้าแล้ว แต่ข้าก็ยังกลัว ‘ความเป็นไปได้’ อันเล็กน้อยที่จะไม่เป็นเช่นนั้น จนกระทั้งได้ยินคำตอบที่ชัดเจนของเธอในตอนนี้ บางทีข้าคงขี้ขลาดจริงๆ
“ข้าตั้งใจจะบอกหลังจากเจ้าตัดใจจากเจ้าชายองค์นั้นได้แล้ว… เรมิเลีย… แต่งงานกับข้าเถอะ”
เมื่อทุกอย่างจบลง ข้าพูดออกมาราวกับตั้งใจเอาไว้แบบนั้น… ถ้าเอาแต่หาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงไม่ยอบบอกความในใจต่อไปทั้งแบบนี้ก็คงไม่มีหน้าไปยืนอยู่เคียงข้างผู้หญิงที่รัก และที่สำคัญ คลิมกับคนอื่นๆจะไม่ยอมปล่อยให้ยืดเยื้อไปกว่านี้อีกแน่
ยิ่งไปว่านั้น ข้าควรบอกความรู้สึกของตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ข้าตั้งใจพูดตามความรู้สึกของตัวเองมากเกินไปจนข้ามขั้นตอนไปมาก ทั้งที่ควรพูดคุยกันในเรื่องความแตกต่างของเผ่าพันธุ์ อายุขัย และคบหาดูใจกันในฐานะคนรักก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะลัดขั้นตอนทั้งหมดไปขอแต่งงานทันที
“ข้ารักเรมิเลีย ผู้ที่กล้าเผชิญหน้าข้าด้วยตัวคนเดียว… ทั้งที่เจ้าเป็นผู้หญิงอ่อนโยนและบอบบาง แต่เรมิเลียก็ไม่เคยปล่อยให้ใครต้องทนทุกข์ ข้าชอบเจ้าที่เป็นแบบนั้น ทำให้ข้ารู้สึกว่าต้องปกป้องเรมิเลียเอาไว้ให้ได้… และถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะเป็นคนที่ทำให้เรมิเลียได้พบกับความสุข”
ตัวข้าเริ่มรู้สึกลนลาน ได้พูดสิ่งที่คิดเอาไว้ออกไปจนหมดในคราวเดียวเหมือนบ่นให้ฟัง แต่ก็ทำให้เรมิเลียรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหล เธอเชื่อว่าจะมีความสุขร่วมกับข้าได้ ซึ่งหมายความว่าเธอยังไม่ลืมความผิดหวังในอดีต …น่าสงสารเหลือเกิน
ข้าจะทำให้เธอมีความสุขได้อย่างแน่นอน ไม่สิ พวกเราจะมีความสุขไปด้วยกัน ข้าสัญญากับตัวเองและและจูบกับเธอเป็นครั้งแรกท่ามกลางดอกไม้หลากสีอันสวยงามของสวนในพระราชวัง ภายใต้บรรยากาศที่เป็นดั่งฝัน
งานแต่งงานของข้ากับเรมิเลียถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต เนื่องจากเป็นงานมงคลครั้งแรกของเผ่าปีศาจที่สามารถจัดให้เอิกเกริกได้ …เรมิเลียในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ตามประเพณีในประเทศบ้านเกิดของเรมิเลีย ในพิธีแต่งงานตามประเพณีดั้งเดิมของราชวงศ์ คู่แต่งงานแลกคำสาบานในวิหารเทพแห่งการสร้างซึ่งไม่เคยจัดพิธีเช่นนี้มานานมากแล้ว และงานเลี้ยงภายในห้องโถงรวมถึงลานหน้าวิหารที่เชิญแขกมาเป็นจำนวนมาก คนใกล้ชิดของทั้งสองรวมตัวกันอยู่ด้านใน
ทั้งคลิมกับมิซารี่โห่ร้องด้วยความยินดีตั้งแต่เช้า และคุณโซเฟียที่เป็นทั้งเพื่อนเจ้าสาวและอัศวินคุ้มครองของเรมิเลียก็ตื่นเต้นดีใจ เข้ามากล่าว ‘ขอแสดงความยินดีอย่างสุดซึ้งแด่เจ้าบ่าวผู้โชคดีที่ได้แต่งงานกับท่านเรมิเลีย!’ ทั้งน้ำตา จนคนคอบข้างเห็นแล้วแอบหัวเราะ
“แน่นอนว่าเรมิเลียอาจดีเกินไปสำหรับข้า ต้องขอขอบคุณโชคชะตาที่นำพาให้พวกเราได้มาพบกันและบันดาลให้มีใจตรงกัน… ข้าจะรักนางด้วยทุกอย่างที่มี ชีวิตนี้จะอยู่เพื่อสร้างความสุขให้กันและกัน”
ข้าประกาศออกไปเสียงดังฟังชัด ทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้ว่าพ่อแม่ของข้าเสียชีวิตได้อย่างไร พวกเขา ‘ร่วมแสดงความยินดี’ ที่ข้ามีวันนี้ได้ และในตอนนี้ ข้าก็เข้าใจความรู้สึกของพ่อที่ตรอมใจตายหลังจากที่รู้ตัวว่าได้สังหารแม่ลงไปแล้ว
“ไม่ได้นะ แองเจิ้ล… เครื่องสำอางจะเลอะเอา”
“เดี๋ยวให้คุณโซเฟียแต่งหน้าให้ใหม่ก็ได้”
ข้าจูบเรมิเลียกลางงานราวกับอยากอวดให้คนอื่นได้เห็นโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเธอ ดวงตาสีฟ้าของเธอมีแววตาเหมือนมองมาที่เด็กดื้อ แต่ข้าก็รู้สึกยินดี ในหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“เรมิเลีย… ข้ารักเจ้านะ”
ข้าจูบเธออีกครั้งโดยไม่รอฟังคำตอบ อันที่จริงข้าก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
“แองเจิ้ล เอาบันทึกแต่งงานมาดูอีกแล้วเหรอ?”
“อือ คิดว่ายังไงล่ะ?”
“เพื่อรำลึกถึงวันเก่าๆ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก…! ก็ระยะหลังๆนี้พวกเราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเลยต่างหาก!”
“อ๋อ… เพราะมีลูก 2 คน ก็ช่วยไม่ได้ที่เวลาที่ได้อยู่กับคุณพ่อจะน้อยลง”
“ทั้งที่อยากจะจู๋จี๋กับเรมิเลียให้มากกว่านี้แท้ๆ…”
ในตอนที่ลูกชายคนโต อองรี อายุได้ 5 ขวบ ต้องการการดูแลน้อยลง ก็นึกว่าต่อจากนี้จะได้ใช้เวลาร่วมกับเรมิเลียได้มากขึ้น แต่ไม่นานก็มีคนที่ 2 ซึ่งก็ไม่มีปัญหา ข้ามีความสุขดี… เพียงแต่ข้าจะมีความสุขมากกว่านี้หากมีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้อีกสักหน่อย
เมื่อพูดถึงการมีลูกคนแรก ข้านึกว่ามันจะเป็นภาระหนักให้กับเธอ แต่อองรีเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ดื้อไม่ซน ข้ารู้มาว่าความยากง่ายในการเลี้ยงขึ้นอยู่กับตัวเด็กแต่ละคน อย่างเอมิชอบร้องไห้ในตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเรมิเลีย และเธอไม่ยอมรับนมจากแม่นม ดังนั้นเรมิเลียจึงต้องให้นมลูกด้วยตนเองทุกครั้ง เพราะฉะนั้น เรมิเลียจึงแทบไม่มีเวลาว่างให้ข้าเลย เรมิเลียเป็นแม่ที่เข้มงวด เมื่ออยู่ต่อหน้าลูก เธอจะไม่ยอมให้ข้าทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เธอบอกว่าไม่ดีต่อการเรียนรู้ของเด็ก แค่จูบที่แก้มหรือโอบกอดไม่ช่วยให้ข้าหายเหงาสักเท่าไหร่
แม้แต่ตอนที่เรมิเลียให้นม ข้าก็ถูกไล่ออกไปนอกห้อง …แต่ข้าก็รู้ว่าเป็นความผิดของข้าเองที่ขาดความละเอียดอ่อน เต้านมของสตรีในช่วงให้นมบุตรจะบวมและมีริ้วรอยแตกลายไม่น่าดู ถึงข้าจะรู้เหตุผลอยู่แล้วและไม่ใส่ใจก็เถอะ…
แต่ข้าก็ไม่อยากถูกภรรยาโกรธ รอยยิ้มตอนโกรธของเธอน่ากลัว ข้าจึงเป็นฝ่ายเชื่อฟังแต่โดยดี
ถึงอย่างนั้น ข้าก็หวังว่าเอมิจะชินกับป๊ะป๋าเร็วๆ แม้ว่าข้าไม่มีน้ำนมให้แต่ในตอนที่ข้าพยายามมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกไปพร้อมๆกับทำหน้าที่ของราชา เธอก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้ และเมื่อข้ามาแทนเรมิเลียที่ไปอาบน้ำหรือทำธุระอะไรก็แล้วแต่ เอมิผู้น่าสงสารก็ส่งเสียงร้องจนเหนื่อยหน้าแดง แต่พอเรมิเลียกลับมาเธอก็เงียบลงทันที น่าตกใจจริงๆ
“พ่อ ทำให้แม่ลำบากใจอีกแล้วเหรอ?”
“…ไม่ใช่อย่างนั้นนะ อองรี… นี่เป็นการปรึกษาครั้งสำคัญเพื่อสร้างครอบครัวสุขสันต์ต่างหาก”
“อองรี คุณอาคลิมอบพายแอปเปิ้ลเอาไว้ เขาบอกกับแม่ว่านิคโคลัสจากบ้านโซเฟียจะมากินด้วยกันด้วย”
“จริงเหรอ?! เย่”
ทันทีที่มาถึง ลูกชายที่น่ารักของข้าก็วิ่งไปยังห้องครัวเพราะถูกล่อด้วยพายแอปเปิ้ลที่น้องชายของข้าทำ อองรีเป็นเด็กชาย สีผมและสีตาเหมือนกับข้า… แต่ใบหน้าดูเหมือนกับเรมิเลีย เมื่ออองรีทำตัวเย็นชากับข้า ทำให้ข้าถึงกับเห็นภาพหลอนว่าเรมิเลียกำลังเย็นชากับข้า ซึ่งมันทำให้เจ็บไปถึงหัวใจ
เด็กในวัยนี้คงอยากเล่นกับเพื่อนมากกว่าอยู่กับพ่อล่ะนะ… ข้าคิดปลอบใจตัวเอง
คลิมกับโซเฟียแต่งงานกันแล้ว พวกเขามีลูกด้วยกันก่อนข้า นิคโคลัส มีอายุมากกว่าอองรี 2 ปี โซเฟียฝึกสอนให้เป็นอัศวินเช่นเดียวกับมารดาของเขา และกำหนดให้เป็นผู้ติดตามของอองรีในอนาคต… ปัจจุบัน พวกเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่สนิทกันดี
โชคดีของเขา… คลิมกลายมาเป็นหัวหน้าพ่อครัวประจำปราสาท หากในวังไม่ได้จัดงานเลี้ยง เขาจะเลิกงานค่อนข้างเร็วเพราะระบบทำงานเป็นกะ ทำให้มีพ่อครัวคนอื่นมาทำหน้าที่แทนตั้งแต่ช่วงค่ำ ส่วนข้า ผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ กลับหาเวลาผ่อนคลายกับครอบครัวได้ยาก
และเวลาพักผ่อนของข้าก็ถูกขัดจังหวะด้วยเวลาให้นมของเอมิจนต้องถูกบอกให้ออกมาข้างนอกห้องทุกครั้ง เรมิเลียเข้ามานั่งลงข้างๆข้าพร้อมกับเอมิที่หลับอยู่ในอ้อมกอดของเธอ และจูบข้าที่แก้ม
“ทำให้คุณพ่อน้อยใจซะแล้ว”
“เรมิเลีย…”
เธอเอื้อมมือมาลูบหัวข้าที่ตัวสูงกว่าเหมือนต้องการปลอบใจ ได้กลิ่นน้ำนมจางๆออกมาจากเอมิที่เพิ่งกินจนอิ่ม… ตัวข้าทุกวันนี้มีแต่ความสุขอยู่เต็มเปี่ยม จากปราสาทอันมืดมน ที่ที่ข้ามองดูพ่อและแม่ตายไปต่อหน้าต่อตา เริ่มสดใสขึ้นมาทีละน้อย เพราะมีเรมิเลียอยู่เคียงข้าง
ตัวข้าในสมัยก่อนจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้ มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น ลูกๆที่น่ารัก ทุกๆอย่าง ทุกอย่างที่ได้รับมาจากเรมิเลีย… ไม่ได้มีเพียงข้าเท่านั้น เผ่าปีศาจทุกคนมีวันนี้ได้ก็เพราะเธอ
จากคำสาบานที่กล่าวไว้ในวันแต่งงาน พวกเราจะมีความสุขไปด้วยกัน และการมอบความสุขให้เรมิเลียก็ทำให้ตัวข้ามีความสุขยิ่งขึ้นเช่นกัน
“เรมิเลีย ข้ารักเจ้านะ”
“หืม… ข้าเองก็รักท่านเหมือนกัน แองเจิ้ล แต่ก็รองจากลูกๆของเรานะ”
ตั้งแต่ลูกของเราเกิดมา ข้าก็ไม่ใช่อันดับหนึ่งของเรมิเลียอีกต่อไป แต่ความสุขของข้าก็ยิ่งเพิ่มพูน