วูล์ฟโทรเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สายกลับไม่ว่างตลอดเวลา นั่นทำให้ไป๋อี้รู้สึกไม่ปลอดภัยยิ่งขึ้นไปอีกจากเรื่องที่สุนัขตัวใหญ่กัดกินคน ดังนั้นวูล์ฟจึงให้คนคอยตรวจตราตระเวนอยู่บริเวณลานหน้าร้านและปิดกั้นช่องว่างที่เหล่าสัตว์พอจะลอดผ่านเข้ามาได้ ในขณะที่ไป๋อี้ก็แอบออกไปข้างนอกอย่างเงียบ ๆ เพื่อไปดูสถานการณ์ในตลาด
เวลาจวนจะเที่ยงคืนแล้วแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าสถานการณ์ในตลาดจะสงบลงเลยแม้แต่น้อย ผู้คนที่หลั่งไหลมาจับจ่ายซื้ออาหารมีมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้นพ่อค้าแม่ขายเหล่านี้เริ่มค่อย ๆ รู้สึกว่ามันดูผิดปกติขึ้นไปทุกที จนผู้ขายบางคนตัดสินใจเลิกขายไปแล้วก็มี
ผู้ขายอีกหลายรายไม่คิดที่จะขายต่อแม้จะยังมีอาหารและวัตถุดิบเหลืออยู่ ขณะนี้ผู้คนถูกความหิวโหยบีบคั้นจนจวนจะบ้าคลั่ง …… สถานการณ์ตอนนี้ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
เห็นท่าจะไม่ดีแล้ว!
ไป๋อี้เห็นความโกลาหลในตลาดขายอาหารและวัตถุดิบที่วุ่นวายมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และแม้จะเกิดการปล้นอาหารที่มีให้เห็นเป็นครั้งคราว แต่เพราะบรรทัดฐานทางศีลธรรมที่สั่งสมมายาวนานยังมีศักยภาพพอ เรื่องจึงไม่ได้บานปลายขึ้นมากนัก อย่างไรก็ตามไป๋อี้รู้ดีว่าสถานการณ์ความหิวโซนี้จะสามารถทนได้อีกไม่นาน คาดว่าในไม่ช้าเสถียรภาพที่เปราะบางนี้จะถูกทำลายลง
เป็นจริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ไป๋อี้กำลังคิดอยู่ในใจก็เกิดความวุ่นวายขึ้นตรงร้านค้าด้านหน้าเขา
“มีสินค้าแต่ไม่ขาย แม่มันเถอะ มันหมายว่ายังไง ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่จ่ายเงิน แม้ราคาจะสูงขึ้นกว่าปกติหลายสิบเท่าก็ตาม พวกคุณคิดจะเอายังไง” ชายสูงราวสองเมตร รูปร่างอ้วนและมีร่างกายกำยำพ่นคำด่าออกมา
ความหิวอย่างรุนแรงกัดกินหัวใจของผู้ชายคนนี้อย่างบ้าคลั่ง รู้สึกราวกับว่ามีปีศาจอยู่ในร่างกายของเขาตลอดเวลา หลังจากเซลล์ดัดแปลงใช้สารอาหารทั้งหมดในร่างกายของเขามันก็เริ่มกลืนกินร่างกายของตัวเขาเอง
กลืนกินตัวเอง เป็นภาวะที่เมื่อสารอาหารในร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีไม่เพียงพอ จะเกิดสภาวะที่เซลล์ดัดแปลงย่อยสลายกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกายเองโดยอัตโนมัติเพื่อดูดซึมสารอาหารเหล่านั้น
“ไปให้พ้น ฉันต้องการกิน!” ชายร่างอ้วนหิวสุดขีดจนทนไม่ไหว เขาคว้าหมับเข้าที่อกของพนักงานตรงหน้าแล้วผลักออกไป
เสียงดังโครมครามดังขึ้น เมื่อพนักงานคนนั้นถูกกระแทกเข้ากับประตู จากนั้นร่างเขาก็ค่อย ๆ ทรุดลง
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้ชายร่างอ้วนเองสะดุ้งเฮือก ที่จริงเขาไม่ได้ออกแรงมากถึงขนาดนั้น
สิ่งที่ชายผู้นั้นไม่รู้ก็คือในขณะที่เซลล์ดัดแปลงกำลังดึงสารอาหารออกไปอย่างเมามันพวกมันก็ผลิตพลังงานพิเศษออกมาเป็นจำนวนมาก พลังงานพิเศษนั้นสูงกว่าพลังงานความร้อนทางชีวภาพเหล่านั้นมาก ดังนั้นมันจึงให้กำลังที่ทรงพลังแก่เขา ชายร่างอ้วนไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา เมื่อชายร่างอ้วนที่เซลล์ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงใช้แรงออกไปตามความคุ้นชิน จึงได้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น
แม่มันเถอะ ไม่สนแล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนี้ชายคนนั้นก็ไม่ทนอีกต่อไป เขาคว้าบางสิ่งมาทุบเปิดประตูร้าน จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เริ่มขนย้ายวัตถุดิบอาหารข้างใน เมื่อมีแกนนำทำเรื่องแบบนี้ ผู้คนอื่น ๆ โดยรอบมีหรือจะทนอยู่เฉย ผู้คนต่างพากันเข้าร่วมด้วยความบ้าดีเดือด สถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่หยุดอยู่แค่ที่ร้านแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะลามไปยังบริเวณรอบ ๆ ด้วย
ไป๋อี้เดินฝ่าฝูงชนออกมาและกลับไปที่ร้านของวูล์ฟ ในขณะนั้นวูล์ฟและคนอื่น ๆ ยังคงกินอาหารอยู่ ส่วนของพนักงานที่ตายไปแล้วเนื่องจากเขาไม่สามารถขยับร่างกายเองได้แล้วเขาจึงยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม
“ไป๋อี้ คุณออกไปข้างนอกมา ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?” วูล์ฟถาม
“วูล์ฟ มีปัญหาใหญ่แล้ว ข้างนอกนั่นโกลาหลวุ่นวายไปหมด หลายคนต่อสู้เพื่อปล้นสะดมแย่งชิงอาหารอย่างเอาเป็นเอาตายและคาดว่ามันจะลามมาถึงที่นี่ในไม่ช้า”
“ปล้นสะดมอาหาร พวกเขาไม่กลัวความผิดทางกฎหมายเหรอ?” ซานโตสถามด้วยความฉงน
“จะว่าผิดกฎหมายก็จริงอยู่ แต่คุณคิดว่าการขโมยขาหมูจะถูกตัดสินจำคุกหรือไม่” ไป๋อี้พูดอย่างขบขัน เมื่อพูดอย่างนี้ วูล์ฟและคนอื่น ๆ ก็ทำความเข้าใจได้ พวกเขาแค่ปล้นขโมยอาหาร ถ้าจะบอกว่าพวกเขาทำผิดกฎหมายก็จริงอย่างว่า แต่ด้วยเหตุผลแค่นี้ คนผู้นั้นจะถูกตัดสินลงโทษหรือไม่ ก็คงไม่หรอก
“ตอนนี้พวกเขายังควบคุมตัวเองได้ด้วยเหตุผลและสามัญสำนึกที่พวกเขามี แต่คาดว่าในไม่ช้าจะมีคนคิดได้ว่าแม้พวกเขาจะถูกตัดสินจำคุกก็ยังดีกว่าต้องมาหิวโซอดตายแบบนี้” ไป๋อี้อธิบาย
“งั้นเราจะทำอย่างไรกันดี?”
“ในร้านมีชั้นใต้ดิน นำเอาวัตถุดิบอาหารลงไปซ่อนไว้ที่ชั้นใต้ดินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซานโตสออกไปข้างนอกและคอยดูลาดเลาไว้ ถ้าเห็นฝูงชนหลั่งไหลมาที่นี่ให้รีบมารายงานทันที อีกสักพักพวกเขาคงจะมาปล้นสะดมอาหารที่นี่เช่นกัน พวกเราต้องต่อต้าน แต่ไม่ต้องแสดงออกอย่างชัดเจน ให้พวกเขาเอามันไปตราบใดที่คนไม่ได้รับบาดเจ็บ” ไป๋อี้สั่งการอย่างมีระเบียบแบบแผน วูล์ฟและคนอื่น ๆ ทั้งสามคนเป็นคนร่างหนากำยำ พวกเขาไม่ได้หัวดีกันนัก ดังนั้นจึงได้แต่ฟังคำไป๋อี้ จะว่าไปไป๋อี้นั้นจบมาจากมหาวิทยาลัยไวกาโต้ แม้จะเป็นเพียงเชฟก็ตาม
……
เป็นจริงตามคาด เพียงไม่นานความวุ่นวายโกลาหลในตลาดก็ลุกลามไปยังบริเวณรอบ ๆ ไม่เว้นแม้แต่ร้านของวูล์ฟ หลังจากที่ไป๋อี้ออกมา ก็ยังไม่มีใครเข้ามาที่นี่
กลุ่มคนจำนวนมากกระแทกกระทั้นเปิดประตูบานใหญ่ออก จากนั้นก็รีบหาโกดังอาหาร
แม้ว่าพวกเขาอาจจะดูมีเหตุผลมากในเวลาปกติ แต่เวลานี้เมื่อพวกเขาถูกกระตุ้น ความคิดในหัวของเขาก็เปลี่ยนเป็นความฉาบฉวย คนเหล่านั้นไม่เพียงแต่ใช้อาวุธปล้นอาหารในคลัง แต่ยังมีบางคนวิ่งไปทางด้านหลังเพื่อออกปล้นสะดมบริเวณที่อยู่อาศัยด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อคนเหล่านี้วิ่งเข้าไปที่ลานร้าน พวกเขาก็พบชายชาวเอเชียคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางและข้าง ๆ ชายชาวเอเชียมีร่างคนล้มเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้นซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเสียชีวิตแล้ว
ในมือของไป๋อี้มีมีดสับกระดูกอยู่ทั้งสองข้าง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ข้างในปรากฎเป็นเงาดำตะคุ่มอยู่ ข้าง ๆ ไป๋อี้เผยให้เห็นร่างอวดเบ่งของเจ้าชาร์ไป่ ส่วนโม่โม่ซ่อนตัวอยู่ในห้องด้านหลังและแอบมองออกมาข้างนอกอย่างเงียบ ๆ
“ฉันจะไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับการที่เข้ามาปล้นอาหารและวัตถุดิบไป เพราะฉันเองก็เข้าใจความหิวโหยนั้นเช่นกัน แต่ถ้าพวกคุณหัวร้อนขึ้นมาและคิดจะเข้ามาบุกรุกในส่วนที่อยู่อาศัย แน่นอนว่าฉันจะต่อต้านเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่แน่ว่าพวกคุณจะรับผลของมันไหวหรือไม่” ไป๋อี้พูดด้วยเสียงที่ไม่สูงนัก แต่ค่อยๆยกมือทั้งสองที่มีมีดสับกระดูกอยู่ในมือขึ้น ส่งผลให้สองสามคนตรงหน้าเขานึกกลัวขึ้นมา
ให้ตายเถอะ ผู้ชายที่กองอยู่ที่พื้นคงไม่ใช่คนที่ถูกเขาฆ่าตายใช่ไหม
โชคยังดี ที่นับว่าคนกลุ่มนี้ยังไม่เสียสติจนเกินเยียวยา หลังจากที่ได้ยินไป๋อี้พูดเช่นนั้น พวกเขาก็ถอยออกไปอย่างช้า ๆ เพราะกลัวว่าจะโดนฟันด้วยมีดสับกระดูกสองเล่มในมือของไป๋อี้ เวลาผ่านไปไม่นานฝูงชนทั้งหลายก็วิ่งออกไปจนหมด จากนั้นก็มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่วิ่งเข้ามาข้างในบ้างประปราย แต่เมื่อเห็นศพที่พื้นและไป๋อี้ก็ยืนอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นพวกเขาก็เกิดความตื่นกลัวขึ้นมาและถอยออกไปอย่างระมัดระวัง
……
เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งการปล้นสะดมไป คลังอาหารก็ว่างเปล่า หลังจากที่ฝูงชนเข้าปล้นร้านทั้งร้านก็ดูยุ่งเหยิงไปหมด ซานโตสเข้ามาพร้อมกับคางที่ฟกช้ำของเขา เขาตั้งใจจะลงมือทำความสะอาด แต่ไป๋อี้ได้ห้ามไว้ ในทางตรงกันข้าม ไป๋อี้กลับเอาม้านั่งมาทุบหน้าต่างให้ดูยุ่งเหยิงกว่าเดิม
“ไป๋ ไป๋อี้ คุณทำอะไรของคุณน่ะ?” วูล์ฟถึงกับตะลึงงัน
“ทำลายสถานที่นี้ให้แย่ลงอีกหน่อย เมื่อมีคนอื่นเข้ามาที่นี่พวกเขาจะได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้านของคุณ ร้านนี้ต้องถูกคนปล้นไปแล้วแน่ ๆ มีวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาไม่เข้ามาที่ร้านนี้อีก พวกเรายังสามารถอาศัยอาหารในห้องใต้ดินประทังชีพไปได้อีกหลายวัน” ไป๋อี้อธิบายกับวูล์ฟ ในขณะที่หน้าต่างโงนเงนพังทลายตกลงพื้นดังโครมคราม
เมื่อมองดูรอบ ๆ ทั้งร้านดูเหมือนสาวน้อยที่ถูกกลุ่มแก๊งรุมกระทำชำเรามาแล้วหลายต่อหลายครั้งอย่างไรอย่างนั้น
วูล์ฟและผู้ช่วยในร้านอีกสองคนเหงื่อไหลพลั่ก กลับกลายเป็นว่านี่เป็นแผนของไป๋อี้ เมื่อมีคนเห็นสภาพหน้าร้านเป็นเช่นนี้ จากสภาพการณ์แล้วแน่นอนว่าคิดได้อย่างเดียวเท่านั้นคือที่นี่ถูกปล้นไปจนเกลี้ยงแล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์การปล้นนี้ไป เขาทั้งหลายเพิ่งพบว่าตอนนี้ท้องของพวกเขาหิวหนักมากและอย่างที่รู้ว่าพวกเขากินอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อเขาทั้งหลายเดินกลับไปทางด้านหลัง พวกเขาถึงเพิ่งพบว่าโม่โม่ยืนรอไป๋อี้เงียบ ๆ อยู่ที่ประตู ขณะที่เจ้าชาร์ไป่เองก็นั่งอยู่ข้างๆ โม่โม่ราวกับบอดี้การ์ดที่ซื่อสัตย์ที่สุดคอยปกป้องโม่โม่อยู่ไม่ห่าง
“พ่อ!” โมโม่เห็นไป๋อี้ก็รีบวิ่งโผเข้าไปกอดต้นขาของไป๋อี้ทันที
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว!” ไป๋อี้ปลอบประโลมโม่โม่
……
แม้ว่าอาหารในคลังจะถูกปล้น แต่อาหารจำนวนไม่น้อยยังคงอยู่ในห้องใต้ดินด้านในสุด ที่บ้านของไป๋อี้ไม่มีอาหารอะไรเหลืออยู่แล้วเขาจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องกลับไป ดังนั้นจึงได้พาโม่โม่มาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวแม้ว่าจะเป็นร้านค้า แต่สถานที่ก็ไม่คับแคบและเรียบง่ายดี
เมื่อไป๋อี้อยู่ที่นี่แน่นอนว่าเรื่องการทำอาหารต้องยกให้เขา ในตอนแรกไป๋อี้ยังคงใช้กรรมวิธีปกติในการทำอาหาร ซึ่งทำให้อาหารออกมามีรสชาติอร่อยและมีกลิ่นหอมกรุ่น แต่แล้ววูล์ฟก็พรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ไป๋ ไป๋อี้!”
“ว่ายังไง วูล์ฟ?”
“อย่าทำให้มีกลิ่นหอมขนาดนี้ อย่าให้มีกลิ่นเลยยิ่งดี เร็ว เร็วเข้า”
“จู่ ๆ เป็นอะไรไป”
“กลิ่นมันหอมเกินไป ถ้ามันโชยออกไปถึงข้างนอก คนอื่นต้องได้กลิ่นแน่ ๆ ถึงตอนนั้นเราคงปกปิดไม่ได้แล้ว” วูล์ฟอธิบายด้วยท่าทีลนลาน
ไป๋อี้ดมกลิ่นดู เขาเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ คาดไม่ถึงว่าวูล์ฟจะกลัวคนอื่นได้กลิ่นหอมกรุ่นนี้ วูล์ฟเจ้าคนนี้เป็นคนหยาบหรือละเอียดลออกันแน่? อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เรียนศิลปะการทำอาหารมาไป๋อี้ก็เคยเรียนรู้แต่วิธีที่จะทำอาหารให้ออกมามีรสชาติดีและมีกลิ่นหอมกรุ่น แต่จู่ ๆ เมื่อต้องมาให้ไป๋อี้ทำอาหารโดยไม่มีกลิ่น นั่นเป็นเรื่องยากจริง ๆ
“ฉันจะพยายามเท่าที่จะทำได้” ไป๋อี้รับคำ
“งั้นก็ดีเลย” วูล์ฟตอบกลับ เมื่อเขามองไปในหม้อที่ไป๋อี้กำลังปรุงอยู่ ก็อดน้ำลายสอไม่ได้ เดิมทีอาหารที่ไป๋อี้ทำนั้นอร่อยมาก ยิ่งในขณะนี้ที่ความหิวปะทุเข้ามาอย่างรุนแรงใครไหนเลยจะอดใจไหว ในขณะนั้นไม่มีใครเห็นว่าเจ้าชาร์ไป่เองก็นั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ โดยที่แลบลิ้นแผล็บ ๆ ออกมาพร้อมกับน้ำลายที่ไหลย้อย
————————
อ่านเร็วก่อนใคร ไม่พลาดทุกการอัปเดตนิยายได้ที่เว็บ Kawebook ค่ะ^^
https://www.kawebook.com/story/6809
MANGA DISCUSSION