ในที่สุดไป๋อี้ก็ได้กลายเป็นคณบดีของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพจากการเข้าสู่สภาวะดุร้ายและแน่นอนว่าทีมของไป๋อี้ก็เช่นกัน บางทีอาจมีคนคิดที่จะแบ่งสมาชิกในทีมของไป๋อี้ออกจากกัน แต่ในเวลานี้แม้แต่คนโง่ก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไป๋อี้ไม่ปฏิเสธ แต่ยอมรับตำแหน่งนี้ด้วยรอยยิ้ม
คณบดีของศูนย์ฟื้นฟู ไป๋อี้ยิ้มกริ่มอยู่ในใจ …… เย้ ~!
ในไม่ช้ารัฐมนตรีเหล่านี้ก็ประกาศข่าวกับมนุษย์ที่วิวัฒนาการด้านนอก ราวกับว่าพวกเขากลัวว่าไป๋อี้จะกลับไปเสียก่อน จากนั้นก็มีคนพาไป๋อี้ไปที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพซึ่งเดิมทีเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในไครสต์เชิร์ช หลังจากจัดเก็บให้เป็นระเบียบก็สามารถใช้เป็นพื้นที่ทำประโยชน์ได้ นอกจากนี้พวกเขายังพาไป๋อี้และคนในทีมไปยังคุกขนาดใหญ่ ซึ่งพวกเขาได้เห็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการประมาณ 100 คนที่ตกอยู่ในสภาวะดุร้ายที่นั่น
“คุณไป๋อี้ พวกนี้ล้วนเป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการผู้ตกอยู่ในสภาวะดุร้าย” ลูเซียพูดกับไป๋อี้
เนื่องจากลูเซียเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการแพทย์ศาสตร์เธอจึงกำลังศึกษาวิธีฟื้นฟูคนที่อยู่ในสภาวะดุร้ายเหล่านี้ให้ได้สติ ดังนั้นลูเซียจึงพาไป๋อี้มาแนะนำและสัมผัสกับพวกเขา ดูเหมือนว่าลูเซียเองก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับข่าวลือจากภายนอกเรื่องความลึกลับของดวงตาไป๋อี้ที่กล่าวได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะบางอย่าง ราวกับในภาพยนตร์และแอนิเมชั่นอย่างไรอย่างนั้น
“มีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้นเหรอ?” ไป๋อี้ถามด้วยความสงสัย
“ใช่ มีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น หมายถึงพวกเขาที่ถูกนำตัวกลับมาอยู่ในความดูแลหลังจากตกอยู่ในสภาวะดุร้ายเท่านั้น หลายคนถูกฆ่าตายหรือปล่อยสู่โลกภายนอกและกลายเป็นสัตว์ที่ไร้สติหลังจากตกอยู่ในสภาวะดุร้าย ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นมนุษย์วิวัฒนาการหรือวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์กันแน่” น้ำเสียงของลูเซียระคนไปด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย
“เข้าใจแล้ว” ไป๋อี้พยักหน้า
ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถนำผู้คนที่ตกอยู่ในสภาวะรุนแรงกลับมาได้หรือไม่ แต่การจัดระเบียบพวกเขาก็ยังเป็นปัญหาใหญ่แม้จะถูกนำตัวกลับมาแล้วก็ตาม ขอบคุณคุกขนาดใหญ่ที่พบนอกเมืองไครสต์เชิร์ชที่ทำให้มีสถานที่กักขังคนเหล่านี้ นอกจากนี้ไป๋อี้ยังค้นพบว่ามนุษย์วิวัฒนาการที่ถูกคุมขังที่นี่ไม่ได้มีพลังมากนัก และดูเหมือนว่าถ้าเป็นผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งมากอย่างวูล์ฟมีหรือจะสามารถกักขังแบบนี้ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเลย” ไป๋อี้พยักหน้า เตรียมพร้อมที่จะเปิดประตูขนาดใหญ่ของห้องกักขัง
“รอเดี๋ยว” ลูเซียรั้งไป๋อี้ไว้
“มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“คุณเปิดประตูทั้งอย่างนี้เลยจะดีเหรอ เพราะพวกเขาอยู่ในระยะดุร้ายและอาจจะสร้างปัญหาได้” ลูเซียกล่าว
“ไม่เป็นไร” ไป๋อี้กล่าวพลางเปิดห้องกักขังโดยตรง สำหรับพวกคนประเภทนี้ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะดาหน้าเข้ามาพร้อมกันมากกว่า 10 คนหรือไม่ เนื่องจากยีนที่ผสานรวมกันนั้นแตกต่างกันออกไป ความแข็งแกร่งจึงแตกต่างกันมากเช่นกัน
หลังจากไป๋อี้เปิดประตู ผู้ชายที่อยู่ข้างในก็จ้องมองไปที่ไป๋อี้อย่างดุดันราวกับสัตว์ร้ายก่อนจะรีบวิ่งเข้ามา จู่ ๆ ลูเซียก็เบิกตาโพลงและกระชับร่างกายของเธอ แม้ว่าลูเซียจะเป็นกังวลเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้เลี่ยงหลบเช่นกัน นี่คือศักยภาพขั้นพื้นฐานสำหรับมนุษย์วิวัฒนาการที่สามารถมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน ทุกคนรู้คติที่ว่ายิ่งคุณกลัวมากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้นดี อย่างไรก็ตามสิ่งที่ลูเซียเห็นตอนนี้คือ
ไป๋อี้ตบมือซ้ายของเขา ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้รวดเร็วหรือช้า เขาเหวี่ยงอุ้งเท้าของผู้ชายที่รีบวิ่งจู่โจมเข้ามาออกไปอย่างง่ายดาย จากนั้นก็ตวัดขาขวาจากอีกด้านหนึ่งไปอีกด้านเพื่อปิดกั้นการเคลื่อนไหวของผู้ชายคนนี้อีกครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็โจมตีเข้าที่ไหล่และข้อศอก ดุจเมฆเหินน้ำไหลบ่า ลูเซียทำได้เพียงแค่ครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น จากนั้นชายที่อยู่ในระยะดุร้ายคนนี้ก็ถูกโจมตีโดยตรงด้วยพลังอันทรงพลังจนลอยกลับออกไป จากนั้นไป๋อี้ก็บีบคอของเขาเข้ากับกำแพง
ศิลปะมวยไทเก็ก ทันใดนั้นลูเซียก็นึกถึงสิ่งที่ไป๋อี้เคยออกมาประกาศ
ม่านตาบุษบาผกผัน!
ขณะนั้นเองดวงตาของไป๋อี้ก็หมุนวนและค่อย ๆ เผยฤทธิ์การสะกดจิตออกมาโดยมีลูเซียมองอยู่เบื้องหลัง เธอไม่เห็นดวงตาของไป๋อี้โดยตรงและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล เธอเพิ่งรับหน้าที่ในการสังเกตความแตกต่างที่เกิดขึ้นระหว่างดวงตาของไป๋อี้ ไม่มีใครคิดว่าการรักษาของไป๋อี้นั้นจะไม่มีรายละเอียดอะไรมากมายทั้งยังเรียบง่าย ตอนนี้เธอทำได้แค่ดูอยู่ทางด้านหลัง แล้วอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร?
หลังจากผ่านไปกว่าสิบวินาที รูม่านตาบุษบาผกผันของไป๋อี้ก็เข้าถึงจุดสูงสุด ร่างที่ยังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่ก็หยุดลงอย่างช้า ๆ จากนั้นก็หลับไปทั้งที่ยังยืนอยู่
เมื่อไป๋อี้หันกลับมาดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ลูเซียจ้องไปที่ดวงตาของไป๋อี้ด้วยความผิดหวังที่ระคนอยู่บนใบหน้าของเธอ จบกัน ฉันไม่ได้เห็นอะไรสักอย่าง
“รัฐมนตรีลูเซีย ไม่ทราบว่าที่นี่คุณมียาที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณหรือไม่” ไป๋อี้ถาม
“หมายถึง Cleary Heart หรือเปล่า?” ลูเซียตอบกลับ อย่างไรซะพวกเขาทุกคนต่างก็เป็นถึงรัฐมนตรี จึงทำการควบคุมอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
“ClearyHeart?”
“นี่คือยาชนิดหนึ่งที่เราคิดค้นขึ้นในช่วงเวลานี้ พืชที่เป็นส่วนผสมหลักคือบอระเพ็ดและดอกลำโพง นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของพืชและสัตว์อื่น ๆ อีกกว่าสิบชนิด มีผลในการทำให้จิตใจสงบและหลับลึกปัจจุบันเป็นยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไครสต์เชิร์ช” ลูเซียกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ฉันขอดูสูตรหน่อยได้ไหม?” แนนซี่ถามตรง ๆ
“เรื่องนั้น …… ได้สิ!”ลูเซียลังเลสักพักก่อนจะพยักหน้ารับ
ปกติแล้วสูตรของหมอปรุงยานั้นจะถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ใช่ความลับที่ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะมีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แปลก ๆ มากมายในนิวซีแลนด์ แม้ว่าพืชชนิดเดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 90% แต่ 10% ที่เหลือก็เป็นความแตกต่างเพียงเล็กน้อยที่อาจกลายเป็นจุดที่สำคัญที่สุด
ตัวอย่างเช่น Cleary Heart ส่วนผสมหลักคือบอระเพ็ดและดอกลำโพงซึ่งไม่มีทางเข้าใจผิดอย่างแน่นอน แต่จริง ๆ แล้วบอระเพ็ดทุกต้นและดอกลำโพงทุกดอกมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน นี่คือลักษณะเฉพาะของนิวซีแลนด์ในขณะนี้ เนื่องจากความแตกต่างนี้ทำให้แม้ว่าจะรู้สูตรปรุงยา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำยาตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ส่วนประกอบแต่ละอย่างมีความแม่นยำถึงระดับมิลลิกรัม ไม่เช่นนั้นยานั้นจะไม่มีความหมายเนื่องจากพืชแต่ละต้นนั้นมีความแตกต่างกัน
สิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือความเข้าใจของหมอปรุงยาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางยาของพืชแต่ละชนิด ตลอดจนประสาทสัมผัสและพรสวรรค์ในสายเลือดของเขา ดังนั้นนิวซีแลนด์ปัจจุบัน ยาชนิดนี้จึงหายากมาก
“ส่วนผสมหลักคือบอระเพ็ด ดอกลำโพงและส่วนประกอบเสริมคือ …… ” ลูเซียดูออกว่าแนนซี่เป็นหมอปรุงยาของทีมไป๋อี้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงอยากถามให้กระจ่าง และลูเซียเองก็ดูเหมือนว่าจะมีความหมายแฝงจากการอวดอ้างเรื่องนี้ที่ถูกวิจัยโดยกลุ่มคนจากกรมการแพทย์ ถ้าจะให้พูกแนนซี่ไม่ควรก้าวก่าย
แต่มันเกินความคาดหมายของลูเซีย แนนซี่ถามถึงสรรพคุณทางยาของพืชธรรมชาติหลายชนิดอย่างละเอียดแล้วส่ายหัว
“ทำไมกัน?” น้ำเสียงของลูเซียดูอึกอักเล็กน้อย ใครก็ตามที่มีความภาคภูมิใจในงานของตนแต่กลับถูกคนอื่นทำให้ขาดความมั่นใจก็อาจจะมีคำถามนี้อยู่ในหัวเช่นกัน
“ยานี้ดีจริง ๆ มันมีฤทธิ์ทำให้จิตใจสงบและปลอบประโลมจิตใจ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ” แนนซี่อาศัยอยู่คนเดียวในเวลลิงตัน เธอจึงอาจไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกับการวิเคราะห์สีหน้าผู้คนมากนัก
“เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับช่วงเวลาที่เข้าสู่ระยะดุร้ายคือความแตกต่างระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณ ผลของ Clear Heart คือทำให้คนนอนหลับได้จริง จึงทำให้ความแตกต่างนี้สอดประสานกันได้ แต่นี่เป็นเพียงเงื่อนไขขั้นพื้นฐาน น่าเสียดายที่ฉันคิดว่าไม่มียากล่อมประสาทใดที่เทียบได้กับม่านตาบุษบาผกผันของไป๋อี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับระยะดุร้ายเหล่านี้คือเร่งการเติบโตของจิตวิญญาณและซ่อมแซมความเสียหายของจิตวิญญาณ ไป๋อี้จึงถามว่าคุณมียาอะไรที่ช่วยหล่อเลี้ยงวิญญาณหรือไม่” แนนซี่อธิบาย
“หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ใครจะไปรู้ว่าจิตวิญญาณมีหจริงหรือไม่ ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ถึงมัน” ลูเซียรู้สึกโกรธมากในเวลานี้ ความจริงเธอก็ยังคงเชื่อในการมีอยู่ของจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกไม่ไหวจริง ๆ และเธอรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีของแนนซี่มาก คนระดับสูงมักไม่ชอบให้คนระดับล่างหันมาต่อต้านพวกเขา
“จิตวิญญาณนั้นมีอยู่จริง คุณคงไม่เคยได้ยินชื่อเมืองผีเวลลิงตันสินะ” แนนซี่พูดขึ้นมาทันที
“เอาล่ะ อย่าเถียงกันมากกว่านี้เลย รัฐมนตรีลูเซียถ้าคุณต้องการฟื้นคืนสติคนที่เข้าสู่ระยะดุร้ายเหล่านี้ การทำยาที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่เช่นนั้นคุณคงได้แต่รออย่างช้า ๆ” ไป๋อี้กล่าว
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณมีไหมล่ะ?”
“มีสิ!” แนนซี่ตอบตรง ๆ
“Fost Soul น้ำยาบำรุงจิตวิญญาณ ฉันใช้ดอกไม้มรณะเป็นส่วนผสม เพื่อให้ผลทางยาของดอกไม้มรณะเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเร่งการเติบโตของจิตวิญญาณ นอกจากนี้ยาชนิดนี้ยังสามารถใช้เพื่อฟื้นฟูความเสียหายของจิตวิญญาณได้ด้วย ” แนนซี่พูดตามตรงโดยจ้องมองไปที่ลูเซียอย่างไม่ลดละ
ไป๋อี้พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง อันที่จริงไป๋อี้และคนในทีมไม่ได้คิดที่จะปกปิดสิ่งนี้ แต่พวกเขาต้องการรอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้แนนซี่พูดไปหมดแล้ว เอาตามนี้ก็แล้วกัน
“ดอกไม้มรณะ?”
“ใช่แล้ว ดอกไม้ที่เติบโตขึ้นจาการดูดซับจิตวิญญาณของมนุษย์ ปัจจุบันมีเพียงเวลลิงตันซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของนิวซีแลนด์เท่านั้นที่มันสามารถเติบโตขึ้นได้ แม้ว่าพวกเราจะยังพอมีอยู่บ้าง แต่ก็มีไม่มาก ส่วนจะมีกี่คนที่จะสามารถช่วยได้นั้นยากที่จะพูดได้ ” แนนซี่พยักหน้า
ในที่สุด ไป๋อี้ก็ใช้คนห้าคนเป็นแบบทดสอบในครั้งนี้ ไป๋อี้เลือกชายคนแรกและอีกสี่คนก็ถูกเลือกโดยพวกไป๋อี้ตามการตัดสินของทุกคน ทั้งห้าคนนี้อยู่ในสภาวะดุร้ายระดับเดียวกัน ในบรรดาห้าคนนั้น สองคนใช้ Fost Soul น้ำยาบำรุงจิตวิญญาณ ส่วนอีกสองคนเอา Clear Heart น้ำยาสงบจิตใจ (ชื่อภาษาจีนไป๋อี้เป็นคนคิดขึ้นมาเอง) และคนสุดท้ายใช้เพียงการสะกดจิตและหลับไปโดยไม่ได้กินยาอะไรทั้งนั้น จากนั้นจึงตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้
“ทำไมใช้เพียงห้าคน เรายังมียาอีกมาก” ลูเซียถาม
“เรื่องนั้น!” ไป๋อี้ชี้ไปที่ดวงตาของเขา
“ผมเคยบอกแล้วว่าดวงตาของผมไม่สามารถใช้ได้อย่างไม่จำกัด คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของดวงตาของผม แต่คุณคงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับข้อจำกัดของมันใช่ไหม” ไป๋อี้กล่าว
“เปล่า เคยได้ยิน แต่ใช้ได้เพียง 5 ครั้งเหรอ?” ลูเซียถาม
“ยังสามารถใช้มันต่อไปได้ แต่มันจะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อดวงตา ภายใต้สถานการณ์ปกติสามารถใช้มันได้ 3-8 ครั้ง ขึ้นอยู่กับระดับการใช้งาน” แน่นอนว่าไป๋ไม่ได้สามารถใช้ดวงตาได้เพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามไป๋อี้ยังอยากจะเก็บไว้ การมอบทุกอย่างให้คนอื่นอย่างสิ้นเชิงนั้นไม่มีอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้นไป๋อี้ต้องการให้ตัวเองมีเวลามากขึ้นเพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
เมื่อมองไปที่สีหน้าเหนื่อยล้าของไป๋อี้ ลูเซียก็พยักหน้า …… 3-8 ครั้งงั้นเหรอ!
ไป๋อี้ถอนหายใจอยู่ในใจ คาดว่าในไม่ช้า สิ่งที่เรียกว่าการทดสอบหยั่งเชิงกำลังจะมาถึงใช่ไหม พฤติกรรมปากหวานก้นเปรี้ยว เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
MANGA DISCUSSION