คุณหลง อย่าหยิ่งยโสเกินไป - ตอนที่ 371 เรื่องซุบซิบคู่รักในออฟฟิศ
ตอนที่ 371 เรื่องซุบซิบคู่รักในออฟฟิศ
ไป๋เวยเห็นข่าวในหน้าเว็บ แล้วดูนาฬิกาในข้อมือ จากนั้นก็ปิดหน้าเว็บ
เวลาเดียวกับที่เธอปิดหน้าเว็บ ประตูออฟฟิศถูกเคาะโดยเลขาสองครั้ง “ท่านประธาน ได้เวลาประชุมแล้วค่ะ”
ไป๋เวยพยักหน้า “รู้แล้ว เตรียมเอกสารในการประชุมให้พร้อม คนละชุด อีกอย่าง แจ้งหวังเค่ยของฝ่ายเทคนิคมาเข้าร่วมการประชุมในวันนี้ด้วย”
“ค่ะ ท่านประธาน”
สั่งงานเรียบร้อยแล้ว ไป๋เวยจัดเตรียมเอกสารของตัวเองแล้ว ตรวจดูอีกรอบ จากนั้นก็ลุกเดินออกจากออฟฟิศ
การประชุมดำเนินไปอย่างราบรื่น กู้เยนเซินที่ชอบคัดค้านทุกครั้งที่ประชุมเรื่องโครงการก็ให้ความร่วมมืออย่างดี ไม่ว่าไป๋เวยพูดอะไรเขาก็นำหน้าตอบรับ บรรยากาศในห้องประชุมดีมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
รวมทั้งผู้บริหารฝ่ายต่างๆ ที่ปกติเห็นเขาสองคนเถียงกันจนชินก็มองอย่างสงสัย
ไม่ใช่มั้ง? ทำไมประธานกู้กับท่านประธานไม่เถียงกันแล้ว? เรื่องพิเศษสุดในรอบปีแล้ว
ไม่ใช่ๆ ประธานกู้กับท่านประธานไม่เถียงกัน ถ้าอย่างนั้นการประชุมก็หมดสนุกไปครึ่งหนึ่งเลย? ประชุมก็อดที่จะง่วงไม่ได้
ไม่ใช่อีก เขาสองคนไม่เถียงกันแล้ว เวลาการประชุมก็สั้นลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น เวลาสั้นลง นี่ก็เป็นวิธีที่ดี คิดไปแล้วก็ถือว่าดีทีเดียว
ในการประชุม กู้เยนเซินกับไป๋เวยต่างดูฝ่ายตรงข้าม อารมณ์และแววตาที่เคยมีหายไปหมดแล้ว แต่ก็หนีไม่พ้นสายตาสิบกว่าคู่ที่มองกันตาเป็นแวว เบื้องหลังของการไม่ทะเลาะกัน ต้องมีอะไรแน่
ดังนั้น ในโต๊ะประชุมก็มีคนอั้นไม่อยู่ใช่ช่องว่างในการประชุมซุบซิบกัน ไป๋เวยก็ได้ยินเสียงซุบซิบกัน ว่าสุดท้ายท่านประธานมีปราบแล้ว ไป๋เวยได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยชอบ
“ทุกท่าน ถ้าว่างกันมาก ยังเหลือเซลล์สมองที่ไม่ได้ใช้ ฉันแนะนำให้ทุกคนทุ่มเทให้การโครงการการรับซื้อกิจกรรมของบริษัทที่กำลังจะเริ่มนี้ โครงการในครั้งนี้สำคัญมาก พวกเราต้องทำการประเมินผลต่อบริษัทโม่ซื่ออย่างดี สามเดือนต่อจากนี้ ทุกท่านอาจจะไม่ได้เลิกงานตามปกติ แม้กระทั่งต้องทำโอทีวันหยุด หวังว่าถึงเวลาแล้วทุกคนยังคงรักษาความกระตือรือร้นแบบนี้ไว้”
ไป๋เวยพูดจบ ก็มีคนถามขึ้น “ท่านประธาน บริษัทโม่ซื่อยังไม่ได้ประกาศการซื้อขายเลย แบบนี้พวกเราจะเร่งรีบไปไหม?”
“ผู้จัดการหวัง คนนี้เป็นสมัยสงครามสันติภาพแล้ว ประเทศเรามีทหารเยอะเยอะมากมายไว้ทำไม? ถ้าตามความหมายของคุณ หมายถึงทหารก็ยกเลิกไปได้เลย?”
ผู้จัดการหวังหน้าเสียขยับแว่นตา แล้วไม่พูดอะไรอีก
กู้เยนเซินหัวเราะปรบมือ จุดที่หนึ่งคือชื่นชมที่ไป๋เวยพูดจาเสียดสีผู้จัดการหวัง จุดที่สองคือทำลายความเงียบในห้องประชุม แต่ทุกคนในห้องเข้าใจเป็นจุดที่หนึ่งมากกว่า
“สำหรับการประเมินในครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับสำนักงานของบริษัทโม่ซื่อ และสาขาย่อย รวมทั้งโรงงานต่างๆ โครงสร้างค่อนข้างใหญ่ จำเป็นสำหรับการเตรียมงานของแต่ละแผนก เตรียมไว้เพื่อความจำเป็น โดยเฉพาะฝ่ายการเงิน ผมจะตั้งกลุ่มพิเศษเพื่อประเมินขึ้นมาโดยเร็ว……”
กู้เยนเซินตอบสนองคำเรียกร้องของไป๋เวยด้วยการกระทำเป็นอันดับแรก ใช้ความคิดที่ชัดเจนอย่างมืออาชีพเรียบเรียงออกมาทำให้การประชุมกลับสู่สถานการณ์ปกติ
ไป๋เวยเบ้ปากโดยไม่พูดอะไรเลย กู้เยนเซินที่ปกติไม่เคยจริงจังเลย ยังมีด้านนี้กับเขาด้วย
หวังเค่ยถูกไป๋เวยเรียกไว้ “หลังการประชุมมาหาฉันที่ออฟฟิศ”
และเธอก็พูดต่อว่า “ประธานกู้ คุณก็มาด้วย”
ดังนั้นทุกคนต่างคิดว่า ท่านประธานจะให้ประธานกู้ไปออฟฟิศแต่ไม่เหมาะสม จึงดึงตัวหวังเค่ยของฝ่ายเทคนิคเข้าไปด้วย วิธีดีมาก
การประชุมยุติลง หลายคนก็พากันพูดว่า “บริษัทเราเพิ่งจะเริ่มโตขึ้น ก็จะกลืนบริษัทใหญ่อย่างโม่ซื่อ ผมเกรงว่าเราไม่รับแรงกดดันเรื่องการเงินไม่ไหว”
“โอ้ย ข้อนี้คุณไม่ต้องกังวลหรอก การรับซื้อบริษัทโม่ซื่อถึงแม้ดูแล้วเหมือนจะเป็นบริษัทเรา แต่ความเป็นจริงแล้วเงินทุนหนุนหลังคือคุณชายหลง ยังดูไม่ออกอีกหรือ? คุณชายหลงเขาจะเอาบริษัทโม่ซื่อเป็นของขวัญให้ภรรยา คิดดูว่าคุณหนูตระกูลโม่เมื่อก่อนประธานของเรา?”
ออ!ใช่ ถ้าคิดแบบนี้มันก็มีเหตุผล
ภายในออฟฟิศไป๋เวย กู้เยนเซินกับหวังเค่ยนั่งอยู่ตรงข้ามไป๋เวย ทั้งสองคนเริ่มการประชุมในเชิงลึก
“เป้าหมายครั้งนี้ของเราคือรับซื้อโม่ซื่อในราคาต่ำ ไม่ให้โม่ล่างคุนมีโอกาสฟื้นตัวอีก นี่คือความหมายของคุณหลง พวกคุณเข้าใจไหม? ไป๋เวยหยิบเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง “พวกคุณดูอันนี่ก่อน ดูแล้วค่อยบอกความคิดเห็นกับฉัน”
กู้เยนเซินกับหวังเค่ยตั้งใจดูจบทุกหน้า “เข้าใจ ก่อนรับซื้อให้กดดันโม่ซื่อ ทำให้โม่ซื่อตกต่ำถึงที่สุด จากนั้นก็รับซื้อในราคาต่ำ วิธีนี้เหมาะกับคนอย่างโม่ล่างคุนที่สุด”
ไป๋เวยพยักหน้า “ดังนั้น ฝ่ายเทคนิคของเราต้องเข้าถึงภายในของฝ่ายตรงข้าม……” ไป๋เวยนำแผนการที่หลงเซียวเตรียมไว้ให้หวังเค่ย และเขาก็รับรู้
จากนั้นกู้เยนเซินพูด “ผมเข้าใจแล้วว่าต้องทำยังไง ให้เป็นหน้าที่ผมเอง”
การประชุมของทั้งสามจบลง หวังเค่ยออกไปจากออฟฟิศ กู้เยนเซินยังนั่งจบชาอยู่บนโซฟาอย่างสบายใจ
ไป๋เวยเงยหน้าขึ้นเห็นเขายังอยู่ ขมวดคิ้วถาม “คุณทำไมยังไม่ไป? จะรอให้ฉันไล่ หรือจะอยู่อธิบายให้ฉันหน่อย วันนี้ในที่ประชุมหมายความว่ายังไง? ตั้งใจทำให้ฉันดู?”
“ขอความเป็นธรรมหน่อย เวยเวย ผมห่วงใยคุณ คุณเป็นแฟนผม ผมไม่ช่วยคุณแล้วจะช่วยใคร? ถูกไหม?” กู้เยนเซินพูดไปก็ยื่นมือไปกอดไป๋เวย แต่เธอหมุนตัวหลบไป กู้เยนเซินได้แต่กอดอากาศ
ไป๋เวยมือกอดอกรักษาระยะห่างจากกู้เยนเซิน จากนั้นพูดว่า “ประธานกู้ อยู่ที่บริษัทฉันหวังว่าคุณจะรู้ตำแหน่งหน้าที่ของคุณ คุณเป็นCFOของบริษัท ฉันเป็นประธานบริษัท ถ้าเราสองคนโดนเอาไปซุบซิบนินทา จะเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ฉันหวังว่าคุณยังคงรักษาความเป็นคุณเหมือนเมื่อก่อน ถ้าให้คนอื่นดูออกว่าเราสองคนคบกัน เราก็จบกันทันที”
กู้เยนเซินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ แบมือสองข้างถาม “why?บริษัทฉู่ซื่อไม่ได้มีกฎห้ามพนักงานคบกัน? แล้วทำไมเราสองคนจะคบกันไม่ได้?”
“อยากคบกันต่อก็ต้องเป็นความลับ ถ้าไม่อยาก ประธานกู้ก็เชิญไปประกาศเลย คุณเลือกเอง”
“สวรรค์ กว่าผมจะมีความรักสักครั้ง ทำไมต้องทรมานผมแบบนี้?” กู้เยนเซินเงยหน้ามองฟ้าร้อง รู้สึกใจสลาย
ไป๋เวยยิ้มแล้วเดินเข้าไปหากู้เยนเซินจูบที่แก้มเขาเบาๆ “เอานะ รอเรื่องการรับซื้อบริษัทโม่ซื่อสำเร็จแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”
ถูกเธอจูบกะทันหันแบบนี้ กู้เยนเซินทั้งตกใจ ทั้งดีใจ จึงได้คืบจะเอาศอกดึงเอวเธอมากอดไว้ ร่างใหญ่ของเขากดเธอไว้บนโต๊ะ โน้มตัวเข้าไปแนบชิดเธอ “คุณก็ต้องถอยหนึ่งก้าว อีกหน่อยอยู่ข้างนอกคุณเป็นประธานบริษัท ผมเป็นประธานการเงิน แต่ปิดประตูแล้ว คุณเป็นผู้หญิงของฉัน”
ไป๋เวยจะผลักเขาออก แต่กู้เยนเซินโน้มตัวลง กดมือเธอไว้ “คนที่พูดกับคุณตอนนี้คือแฟนคุณ ให้ความร่วมมือหน่อย”
เสียงพูดหายไปพร้อมกับจูบของเขา จูบอันเร่าร้อนปิดปากของไป๋เวย
จูบไปเนิ่นนาน กู้เยนเซินถึงปล่อยเธอ ยิ้มหน้าบานกับความหอมหวานของเธอ “ที่รัก ตอนเที่ยงกินข้าวด้วยกัน ผมรอคุณ”
พูดจบ ร่างอันหล่อเหลาก็เดินออกไปจากออฟฟิศ ทิ้งไป๋เวยที่ยังยืนงงอยู่กับที่ดูเขาจากไป ส่ายหัวแล้วยิ้ม
เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ โทรศัพท์ไป๋เวยดังขึ้น
เบอร์โทรที่คุ้นเคยแต่ไม่ได้บันทึกไว้ คนโทรมาเป็นที่มีสถานะพิเศษ
ไป๋เวยทำความแน่ใจว่าประตูออฟฟิศล็อกเรียบร้อยแล้ว รับโทรศัพท์ขึ้น “มีอะไร?”
“คนที่ไปพบหยวนชูเฟินครั้งก่อนปรากฏตัวอีกแล้ว พวกเขาเข้าไปในห้องรับรองในโรงแรมแห่งหนึ่ง ชั่วโมงกว่าถึงออกมา ตอนออกมาสีหน้าส้งหวั่นยวี่ไม่ค่อยดี ใส่แว่นกันแดดเดินขึ้นรถไป จากนั้นผู้ชายคนนั้นออกมาดูอารมณ์ดี น่าจะเป็นเพราะเขาได้อะไรจากหยวนชูเฟิน”
ไป๋เวยนวดขมับ “นี่เป็นครั้งที่สามที่เขาไปพบหยวนชูเฟินลำพังแล้ว สองครั้งก่อนหยวนชูเฟินก็ให้อะไรเขา กับวิธีทำงานของคนอย่างหยวนชูเฟิน ไม่ให้อะไรใครไปเปล่าๆ แน่ ฉันจะสืบเรื่องของชายคนนี้ ส่งรูปถ่ายกับทะเบียนรถมาให้ฉัน”
“ได้” —— หยวนชูเฟินลงรถ มาถึงสวนดอกไม้แห่งหนึ่งคนเดียว แว่นกันแดดใหญ่บางหน้าเธอไปครึ่งหนึ่ง ผ้าพันคอบนไหล่ถูกเธอนำมาพันที่หัว หยวนชูเฟินมองรอบด้านอย่างระวัง จากนั้นก็นั่งลงในสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้
แน่ใจว่ารอบข้างไม่มีคนแล้ว หยวนชูเฟินก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา สูดอากาศเข้าลึกๆ แล้วกดเบอร์โทรออก
ไม่นาน โทรศัพท์ก็ถูกรับขึ้น “ฮัลโหล?”
ได้ยินเสียงในโทรศัพท์ หยวนชูเฟินหลับตา จับโทรศัพท์แน่น กดเสียงพูดต่ำ “ฉันเอง อาเฟิน”
ฝั่งโน้นได้ยินแล้วก็ตกใจ ผ่านไปสักพักถึงตอบกลับ พูดด้วยเสียงสั่น “อาเฟิน? คุณ……ทำไมถึงติดต่อผม?”
หยวนชูเฟินสูดหายใจเข้าแรงๆ “ฉันมีเรื่องต้องการให้คุณช่วย ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ ฉันจะให้เงินก้อนโตกับคุณ พอสำหรับคุณใช้อย่างสบายตลอดชีวิต แล้วฉันจะไม่รบกวนคุณอีก เห็นแก่ความมิตรภาพเก่าๆ ฉันหวังว่าคุณจะตอบตกลง”
ฝั่งโน้นเงียบไปอีก จากนั้นก็หัวเราะอย่างเสียดสี “ความมิตรภาพเก่า……เหอะๆ คุณนายหลง คำพูดแบบนี้คุณอย่าพูดดีกว่า? พูดเรื่องมิตรภาพ สู้คุยเรื่องเงินกับคุณนายทรัพย์สินหมื่นล้านอย่างคุณดีกว่า พูดมาเลย คุณจะให้ผมทำอะไร?”
หยวนชูเฟินเหงื่อเต็มมือ ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดปิดแน่น “ฉันอยากให้คุณช่วยฉันฆ่าคน คนนี้มันรู้อะไรเยอะเกิน อีกอย่างยิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้จักพอ ฉันไม่อยากเก็บคนไม่รู้จักพอแบบนี้ไว้ และเป็นภัยในวันหลัง เพราะฉะนั้นคุณช่วยฉันฆ่าเขาซะ”
“หรือว่าเป็นเรื่องครั้งนั้น?”
“ใช่ ฉันจะเอาข้อมูลของเขาให้คุณ ภายในสามวัน จัดการให้เรียบร้อย”
“ฮาๆๆ” คนฝั่งโน้นหัวเราะเสียงดังสามครั้ง “อาเฟิน เมื่อก่อนพี่สามบอกว่ามือคุณสะอาดมาก เขาไม่อยากให้มือคุณเปื้อนเลือด คิดไม่ถึง……”
หยวนชูเฟินรู้สึกกล้ามเนื้อแผ่นหลังตึงแข็ง ตัวแข็งไปทั้งตัว เสียงเย็นชาไร้อารมณ์ “เพื่อลูกชายฉัน ฉันทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าใครที่อยากทำร้ายเขา ไม่ว่าด้วยวิธีไหนฉันต้องทำให้เขาหยุดให้ได้”