“ฉันดีใจนะคะที่รุ่นพี่มีนิสัยอ่อนโยนชอบช่วยเหลือพวกพ้อง แต่อย่างน้อยควรให้ความสำคัญกับตัวเองเสียบ้าง อยากทำให้คนอื่นมีความสุขแต่ตัวเองกลับอมทุกข์แบบนี้มีแต่จะทำให้จิตใจแย่ลงเสียเปล่า… หรือว่ารุ่นพี่ยังรู้สึกผิดถึงเรื่องเมื่อวานนี้ก็เลยนึกอยากจะชดใช้บาปเพื่อทุกคนงั้นเหรอคะ?”
“…!!”
เลวอนตาโตตกใจเล็กน้อย ราวกับว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ระหว่างนี้สเตฟาเนียได้เลื่อนมือขวาขึ้นมาลูบสางเรือนผมสีขาวโพลนของบุรุษหนุ่ม พร้อมเกริ่นน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมจิตใจเขาอย่างทะนุถนอม
“เมื่อเช้านี้ตอนที่ฉันบอกว่า มีเรื่องสำคัญอยากจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวด้วย ก็คือเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจของรุ่นพี่นี่แหละค่ะ ถึงแม้จะได้รับการปลอบโยนจากพวกรุ่นพี่วัตสัน แต่ดูจากสีหน้าแล้วก็บ่งบอกได้ทันทีว่า ตัวคุณยังคงทุกข์ร้อนใจกับเรื่องราวบางอย่างอยู่
อย่ากังวลไปเลยค่ะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้มันไม่ใช่ความผิดของรุ่นพี่สักหน่อย หรือคุณคิดว่ารอยยิ้มและความปรารถนาดีที่พวกเราคอยมอบให้ตลอดช่วงเช้าวันนี้เป็นของปลอมกันคะ? ถ้าคิดแบบนั้นจริง ๆ ล่ะก็ฉันจะโกรธแล้วนะ”
“ข… ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มเผยสีหน้าน้ำเสียงสำนึกผิดชัดเจน
“ฉันเคยบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือคะว่า ‘สักวันหนึ่งฉันจะตอบแทนบุญคุณให้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่คุณกำลังปรารถนาอยู่ หรือแม้กระทั่งร่างกาย หัวใจ และชีวิตของฉันก็ตาม’ เพราะงั้นเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือต้องการที่พักพิงทางใจก็มาปรับทุกข์กับฉันได้เสมอ… ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยถูกโฉลกกับเหล่าผู้ชายในหมู่บ้านนี้สักเท่าไหร่นัก แต่สำหรับรุ่นพี่เลวอนแล้วถือเป็นกรณีพิเศษค่ะ”
เพียงแค่ถ้อยคำอันแสนเรียบง่ายแต่กลับสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากสเตฟาเนีย ก็ทำให้เลวอนถึงกับน้ำตาคลออย่างตื้นตันใจ รีบโน้มศีรษะซุกเข้าร่องอกเด็กสาวเพื่อหลบซ่อนสีหน้าอันอ่อนไหวของตนทันที พลางยกสองแขนขึ้นมาสวมกอดเอวร่างบางคอยตอบสนองเธอ ก่อนจะเปล่งถ้อยคำซาบซึ้งใจออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ขอบคุณนะสเตฟก้า ขอบคุณมากจริง ๆ ผมทำให้เธอต้องลำบากอีกจนได้”
“รุ่นพี่เคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้ถึงสามครั้งเชียวนะคะ ทั้งตอนที่ต่อสู้กับมิโนทอร์เพื่อช่วยให้ฉันรอดจากการโดนขืนใจ ตอนที่คุณเข้ามารับการโจมตีแทนฉันในภารกิจปราบปีศาจ Aka Manah หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ในวันนี้ก็ตาม… เรื่องแค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกค่ะ”
ยุวสตรีจ้าวเสน่ห์ยังคงลูบสางเรือนผมพ่อมดหนุ่มผู้ใสซื่อ แล้วจับจ้องมองเขาอย่างเอ็นดูด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มจาง ๆ ไม่นานนักอีกฝ่ายค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาเธอ โดยที่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมรสทับทิมจากเรือนร่างเด็กสาวไปพลาง
เลวอนสังเกตเห็นดวงตาสีส้มของสเตฟาเนีย ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วเริ่มเกริ่นซักถามเธอด้วยความสงสัยตามประสาเด็กหนุ่มผู้ใสซื่อ
“จะว่าไปแล้ว ทำไมสเตฟก้าถึงต้องซ่อนสีของนัยน์ตาที่แท้จริงเอาไว้ด้วยล่ะ? ผมว่านัยน์ตาสีม่วงเหมาะกับใบหน้าเธอมากเลย แถมยังน่ารักชวนดึงดูดสายตาอีกด้วย”
“ดวงตาของฉันไม่ได้มีเสน่ห์อะไรขนาดนั้นหรอกนะคะ…”
สเตฟาเนียเบือนใบหน้าหนีเล็กน้อยด้วยท่าทีเหนียมอายหลังจากที่ได้รับคำชมเมื่อสักครู่ เธอหลับตาลงเพียงประเดี๋ยวหนึ่งแล้วค่อย ๆ เบิกเนตรขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้นัยน์ตาของเธอได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงสว่างสดใสขึ้นทันที
เลวอนจ้องมองไปยังดวงตาอันโดดเด่นของคู่สนทนาด้วยความหลงใหล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองเห็นโฉมหน้าแท้จริงของอีกฝ่ายแบบใกล้ชิดและชัดเจน ขณะเดียวกันเธอเริ่มเกริ่นถ้อยคำอีกครั้งโดยที่สองแก้มยังคงแดงฝาด
“คำพูดของรุ่นพี่เมื่อสักครู่นี้ฉันควรจะดีใจไหมนะ ทั้งที่เป็นดวงตาที่ได้มาจากฝั่งทางพ่อแท้ ๆ เพราะเดิมทีแม่ของฉันมีเรือนผมกับนัยน์ตาสีส้มน่ะ… แต่ถ้าหากว่าคุณชอบมันเข้าแล้วจริง ๆ ไว้ฉันจะหยวน ๆ เผยรูปลักษณ์แบบนี้ให้เห็นอีกตอนที่เราสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพังนะคะ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน…”
“ฮื่อ… อยากให้ผมทำอะไรเป็นการตอบแทนก็บอกมาได้เลย”
พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนตั้งใจรอฟังคำขอด้วยท่าทีกระตือรือร้น แม่มดสาวหันมาสบตามองเขาอีกครั้ง แล้วรวบรวมความกล้าเกริ่นข้อเสนอออกไปอย่างไม่รีรอ
“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ตอนที่ฉันกับรุ่นพี่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ฉันขอเรียกคุณว่า ‘เลฟ’ จะได้ไหมคะ? ในเมื่อเราสองคนเกิดห่างกันไม่ถึงปี ฉันเลยอยากจะสนิทสนมและทำความรู้จักกับคุณให้มากกว่านี้… ไม่ทราบว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปรึเปล่า… ที่จริงแล้วฉัน อยากจะเรียกคุณแบบนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ”
เนื่องจากเลวอนเกิดวันที่ 10 มกราคม ส่วนสเตฟาเนียเกิดวันที่ 2 ตุลาคมในปีคริสต์ศักราชเดียวกัน เธอเลยตัดสินใจอยากจะเรียกขานชื่อเล่นเขาอย่างเป็นกันเอง ทว่าอีกใจหนึ่งยังคงเคารพอีกฝ่ายในฐานะรุ่นพี่ จึงแอบคิดกังวลมาโดยตลอดว่าจะเป็นการก้าวก่ายหรือล้ำเส้นมากเกินไปหรือไม่
อย่างไรก็ดีบุรุษหนุ่มรูปงามกลับไม่ถือสาเอาความเธอแต่อย่างใด และรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครคนไหนเรียกชื่อเล่นเขาแบบนั้นเลย แม้แต่พ่อ แม่ หรือเพื่อนสนิทในสมัยเด็กอย่างมาเรียก็ตาม ตนจึงยอมรับคำขอจากคู่สนทนาอย่างเต็มใจด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“เรียกได้สิ อีกอย่างนี่ครั้งแรกในชีวิตเลยที่มีคนตั้งชื่อเล่นให้ผมแบบนี้… ดีใจจัง”
“…คุณคือเพื่อนคนที่สองที่ฉันมอบชื่อเล่นให้ ปกติแล้วฉันไม่เรียกคนอื่นแบบนั้นหรอกนะคะ”
สเตฟาเนียอธิบายเสริม มือขวาเล็กบางซึ่งลูบสางเรือนผมของบุรุษวัยเยาว์ได้ขยับเลื่อนมายังใบหน้าอันงดงามคมคาย แล้วใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มแก้มหยอกล้ออีกฝ่ายตามประสาเพื่อนสนิทหรือคนรู้ใจ โดยที่เลวอนไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านเธอแต่อย่างใด
“สเตฟก้าเป็นคนใจดีและอ่อนโยนเหมือนอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ปกติเห็นปากร้ายอย่างนี้แต่ก็ชอบช่วยเหลือพวกพ้องอยู่เสมอ ถ้าไม่ได้เข้ามาสัมผัสด้วยตัวเองก็คงไม่มีทางรู้ได้เลย”
เลวอนกล่าวชมเชย ทว่าสเตฟาเนียกลับแสดงสีหน้าท่าทีไม่ถูก เธอทั้งรู้สึกดีใจและเจ็บปวดในเวลาเดียวกันเนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง ก่อนจะตอบปฏิเสธอย่างถ่อมตนกลับไป
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจดีหรืออ่อนโยนเหมือนอย่างที่รุ่นพี่คิดหรอกนะคะ ฉันเองก็มีตราบาปร้ายแรงติดตัวที่ไม่อาจลบล้างได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำให้คนที่เป็นทั้งเพื่อนรักและครอบครัวคนสำคัญต้องเจ็บช้ำใจ จนถึงขั้นแตกหักมาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงเพราะฉันพูดโกหกเธอออกไป”
“เอ๊ะ…!?”
“และการที่ฉันได้ลืมตาเกิดมาในฐานะครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจโดยมีพ่อเป็นถึงจอมมารผู้ชั่วร้าย เท่านี้ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับตัวประหลาดที่อาจเป็นภัยต่อหมู่บ้านได้ทุกเมื่อแล้วล่ะค่ะ”
“ม-ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย สเตฟก้าน่ะ…!”
เด็กหนุ่มรีบเกริ่นแย้งด้วยสีหน้าน้ำเสียงกังวลใจ แต่ไม่ทันที่เขาจะอธิบายเพิ่มเติมเพื่อปลอบประโลมเธอ อีกฝ่ายกลับแย้มสรวลเศร้าสร้อยแฝงความรวดร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นบุตรีแห่งไซตอนก็ได้ซักถามบุรุษผู้เป็นที่รักไปดังนี้
“เลฟ… ตัวฉันมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้วรึยังคะ?”
“…!!”
ภายในใจเลวอนเองก็รู้สึกขุ่นมัวและเจ็บปวดไม่แพ้กัน ตอนนี้เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อบ้างแล้ว หากลองมองในมุมกลับดูสักครั้ง จะพบว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากลูกครึ่งจอมมารอย่างเธอสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากตนคือร่างสถิตของวลาด หรือราชาผีดูดเลือด ที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนหรือคนรอบข้างได้ทุกเวลา
“สเตฟก้า เธอเองก็เป็นมนุษย์ที่มีทั้งเลือดเนื้อและหัวใจเหมือนกันนะ ถึงแม้เธอจะเป็นลูกสาวของไซตอนผู้โหดเหี้ยม แต่สเตฟก้าก็คือสเตฟก้า คนที่คอยห่วงใยและใส่ใจความรู้สึกของพวกพ้องอยู่เสมอ ต่อให้กายเนื้อจะไม่ใช่คนปกติก็ตาม
ถ้าหากเธอยังคิดว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ ถ้างั้นตัวผมที่เป็นผีดูดเลือดเองก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก!”
บุรุษจอมดาบเวทระบายคำพูดภายในใจที่มีอยู่ออกไปจนหมดสิ้น เขาในตอนนี้ไม่อาจทนเห็นสีหน้าอันเศร้าสลดของสเตฟาเนียได้อีกต่อไปแล้ว แม่มดสาวที่คอยแนะนำให้คำปรึกษา คนที่เคยร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันครั้งหนึ่ง และผู้ที่คอยปลอบโยนมอบความอบอุ่นให้แก่ตนมาโดยตลอด ถ้าหากมีสิ่งใดที่เลวอนพอจะทำเพื่อรักษารอยยิ้มของเธอเอาไว้ได้ ต่อให้เป็นถ้อยคำฟังซึ่งดูไม่ค่อยสวยหรู เขาก็พร้อมใจกล่าวมันออกมาจากปากทันที
“น-น-น… นี่พวกนายสองคนมาแอบทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ กันแถวนี้เนี่ย!?”
“อ๊ะ…!?”
ทว่าในจังหวะนั้นเอง น้ำเสียงอันคุ้นเคยของเด็กสาวปริศนารายหนึ่งพลันดังขึ้น เลวอนและสเตฟาเนียต่างสะดุ้งตกใจรีบถอยหลังออกห่างจากกันทันที โดยที่แม่มดสาวรีบกะพริบตาเพื่อปรับเปลี่ยนนัยน์ตาให้กลายเป็นสีส้มตามปกติ
ทั้งสองคนหันไปมองดูทางต้นเสียง แล้วพบว่าฮิคาริ วีรสตรีจอมดาบเวท คือผู้ที่เข้ามาทักท้วงขัดจังหวะช่วงเวลาสำคัญ โดยอยู่ห่างจากจุดนี้ราวสองเมตร กิริยาท่าทีของแม่มดสาวผมสีขาวโพลนแกมม่วงในตอนนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่สบอารมณ์ผ่านทางสีหน้าคิ้วขมวดชัดเจน พร้อมด้วยสายตาที่จ้องเขม็งเล็งใส่ทั้งคู่ ไม่รอช้าเธอก็รีบเกริ่นเทศนาตักเตือนเลวอนทันที
“แทนที่จะสะสางปัญหาเสร็จสิ้นแล้วกลับมาช่วยพวกเราทำความสะอาดต่อ แล้วทำไมถึงพาสเตฟาเนียมายืนหลบอยู่ในมุมอับสายแบบนี้ด้วยล่ะยะ นอกจากจะอู้งานแล้วยังคิดแอบทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกันอีก ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบ ไร้ยางอาย บ้ากามที่สุด!”
“ข… เข้าใจผิดครับ พวกเราก็แค่…!”
เลวอนพยายามแทรกคำพูดหมายจะอธิบายความจริงออกไป ถึงกระนั้นแล้วฮิคาริยังคงดุด่าว่ากล่าวต่อไปโดยไม่ยอมฟังความ คราวนี้เธอได้ยืนเท้าเอวหันหน้าชี้นิ้วใส่สเตฟาเนียพร้อมทั้งพูดจาด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เธอเองก็เหมือนกันสเตฟาเนีย สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นไม่พอ แถมยังทำให้เจ้าลูกแกะต้องพลอยบ้าจี้เข้ามาสะสางปัญหาของเธออีก นี่ยังแอบนึกกลุ้มใจอยู่เลยว่าถ้าหากเรื่องมันเลยเถิดขึ้นมา ถึงตอนนั้นพวกเราควรจะเข้าไปช่วยเหลือพวกเธอยังไงดี!”
“ก็ไม่ได้ขอร้องให้พวกคุณมาช่วยนี่ค่ะ เดิมทีนี่ก็เป็นปัญหาส่วนตัวของฉันอยู่แล้ว”
สเตฟาเนียโต้ตอบด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ เลวอนที่เพิ่งยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอก่อนหน้านี้ได้ยินดังนั้นกลับไม่รู้สึกขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด เขาเข้าใจดีว่าเหตุที่อีกฝ่ายพูดจาตัดพ้อปฏิเสธน้ำใจออกไปแบบนั้น เป็นเพราะไม่อยากให้พวกพ้องต้องโดนติฉินนินทา หรือถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีตามเธอไปด้วยนั่นเอง
ทว่าซามูไรสาวกลับไม่คิดเช่นนั้นเลย เธอรู้สึกโกรธแค้นต่อประโยคที่ทิ่มแทงใจจากสเตฟาเนียเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งส่งเสียงกัดฟันดังกรอดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็ไม่อาจสรรหาถ้อยคำใด ๆ มาโต้เถียงอีกฝ่ายได้ จึงรีบก้าวเท้าเข้าใกล้แล้วหันไประบายอารมณ์ใส่พ่อมดหนุ่มผู้ยลโฉมแทน
“เจ้าลูกแกะ คราวหน้าถ้าหากยัยนี่มีปัญหาอะไรกับใครที่ไหนอีก ก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งแล้วนะ!”
“ท… ทั้งสองคนอย่าพูดจาโหดร้ายใส่กันแบบนั้นสิครับ!”
เลวอนพยายามไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้สองเด็กสาวต้องมีปากเสียงกัน ระหว่างนั้นเองสเตฟาเนียได้สืบเท้าเข้าไปใกล้บุรุษวัยเยาว์อีกครั้ง นำปลายนิ้วชี้ขวาแตะยังริมฝีปากเขา แล้วค่อย ๆ ลูบไล้ลงมายังปลายคาง ลำคอ แผงอก และหน้าท้อง โดยมีเสื้อเชิ้ตสีขาวผืนบางกั้นไว้จนกระทั่งไล่มาถึงหัวเข็มขัด ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงฟังดูยั่วยวนพลางสบสายตามองเขา ทั้งที่ตอนนี้เธอกำลังสนทนากับฮิคาริอยู่แท้ ๆ
“ว่าแต่น่าเสียดายแทนรุ่นพี่ฮิคาริจังเลยนะคะ ถ้าหากมาช้ากว่านี้อีกสักสิบนาที คุณคงจะได้เห็นหนังสดระหว่างฉันกับคุณเลวอน ที่กำลังพลอดรักกันอย่างดุเดือดราวกับคู่สัตว์ป่าในช่วงฤดูผสมพันธุ์อย่างแน่นอนค่ะ”
“ต่อให้เป็นแบบนั้นฉันก็ไม่ยอมทนยืนดูอยู่เฉย ๆ หรอกย่ะ หยุดพูดจาลามกได้แล้วยัยบ้ากาม!”
องเมียวจิสาวรีบเกริ่นแย้งพลางหน้าแดงก่ำ พลันนำสองมือบางจับแยกเลวอนและสเตฟาเนียให้ออกห่างจากกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พ่อมดหนุ่มผู้ใสซื่อรู้สึกหัวใจเต้นโครมครามพลางกลืนน้ำลายลงคอ เนื่องจากถูกแม่มดนักปรุงยาแสนซนคอยหว่านเสน่ห์ใส่เมื่อสักครู่นี้
เมื่อต่างฝ่ายต่างสงบสติอารมณ์ลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮิคาริจึงวกกลับเข้าสู่ประเด็นสำคัญ โดยหันไปพูดคุยกับเลวอนด้วยสีหน้าท่าทีจริงจังตามปกติ
“จะอะไรก็ช่าง นายน่ะรีบกลับไปหาพวกวัตสันก่อนที่เจ้าพวกนั้นจะโวยวายใส่เถอะ”
“เข้าใจแล้ว ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณฮิคาริต้องออกตามหาผมแบบนี้”
เด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพตอบรับคำสั่งก่อนจะเร่งฝีเท้าเตรียมออกจากพื้นที่แห่งนี้ไป แต่ในจังหวะนั้นเองซามูไรสาวได้แอบส่งเสียงพึมพำเล็ก ๆ ออกมาจนยากที่ใครจะได้ยิน
“ให้ตายเถอะ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นมันก็ดีอยู่หรอก แต่หัดใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างซะบ้างสิ”
“เอ๊ะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรเหรอครับ?”
เลวอนชะงักฝีเท้ารีบหันมาซักถามอย่างฉงน ฮิคาริถึงกับหน้าแดงแจ๋สะบัดนิ้วไล่เขาให้ออกไปจากที่นี่อย่างเหนียมอายด้วยสีหน้าคิ้วขมวด ดูเหมือนเธอจะเผลอปล่อยใจไปตามอารมณ์จนลืมรักษาภาพลักษณ์ในมาดอาจารย์ผู้ฝึกสอนดาบ ต่อหน้าลูกศิษย์คนโปรดเข้าเสียแล้ว
“ม… ไม่มีอะไรย่ะ รีบ ๆ กลับไปได้แล้ว!”
“ค-ครับผม!”
พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนขานรับคำบัญชาอีกครั้งอย่างหวั่นเกรง ทว่า ณ ช่วงวินาทีเดียวกันนั้นเอง เขาพลันฉุกคิดนึกถึงบทสนทนาสำคัญระหว่างตนกับสเตฟาเนียขึ้นมาได้ จึงหันมาส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นให้แก่เธอ พร้อมทั้งมอบถ้อยคำปลอบโยนออกไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกค้างคาใจ
“อ๊ะจริงสิ ที่สเตฟก้าถามผมมาเมื่อสักครู่นี้ ถ้าจะให้ตอบแบบสั้น ๆ ล่ะก็ ในสายตาของผมแล้วเธอเป็นเพียงแค่เด็กสาวน่ารักธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่มีนิสัยใจดีและชอบพูดจาตรงไปตรงมาเท่านั้น เพราะงั้นร่าเริงเข้าไว้นะ… ผมขอตัวไปทำงานต่อล่ะ!”
ทันทีที่พูดจบ เลวอนก็รีบโบกมืออำลาแล้วหันหลังวิ่งจากไป สเตฟาเนียยกมือโบกอำลาตอบกลับด้วยสีหน้าแย้มสรวลจาง ๆ โดยที่สองแก้มแดงระเรื่อ เพียงแค่ถ้อยคำสุดแสนธรรมดาจากปากของเขา ก็วิเศษมากเพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ระดับหนึ่งแล้ว
ก่อนที่แม่มดสาวจะเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางจับจ้องมองแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มที่ค่อย ๆ ลับสายตาไปอย่างหลงใหล
“ไปดีมาดีนะคะ…”
“ฮึ พักนี้พวกเธอสองคนทำตัวสนิทสนมจนเข้าขากันได้ดีเชียวนะ ถึงขนาดเลิกเรียกเจ้าลูกแกะนั่นว่ารุ่นพี่แล้วนี่ กำลังคบหาดูใจกันอยู่รึไง?”
ฮิคาริกล่าวเหน็บแนมใส่พร้อมทั้งสะบัดใบหน้าหนีเล็กน้อย สเตฟาเนียจึงหันมาโต้ตอบกลับด้วยสีหน้าน้ำเสียงเย็นชา
“ถ้าหากฉันกับคุณเลวอนแอบคบหาดูใจกันอยู่จริง ๆ คุณจะรู้สึกลำบากใจงั้นเหรอคะ?”
“ยัยบ้า แล้วทำไมฉันจะต้องลำบากใจด้วย!? ต่อให้หมอนั่นอยากจะทำตัวเจ้าชู้หรือแอบไปคบหาดูใจกับผู้หญิงคนอื่น มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันอยู่ดี!”
ในท้ายที่สุดแล้ว สตรีจอมดาบเวทก็พลันหันหน้ามาปฏิเสธเสียงแข็ง แม่มดสาวนักปรุงยาแอบส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกสนุกที่ได้กลั่นแกล้งอีกฝ่าย ไม่นานนักสเตฟาเนียจึงวกกลับเข้าสู่ประเด็นสำคัญด้วยท่าทีจริงจัง
“อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ คงไม่ใช่แค่ออกตามหาคุณเลวอนงั้นสินะคะ?”
“เข้าใจสถานการณ์ได้เร็วดีนี่… ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะถามเธอ เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงและเป้าหมายที่ซุกซ่อนอยู่เป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
“เห~ นึกไม่ถึงเลยนะคะว่ารุ่นพี่ฮิคาริเองก็แอบสนใจในตัวฉันเหมือนกัน”
สเตฟาเนียพูดจายียวนกวนประสาทพอหอมปากหอมคอ โดยยังคงความเยือกเย็นผ่านทางสีหน้าท่าทีอันราบเรียบได้อย่างสมบทบาท ทว่าครั้งนี้ฮิคาริไม่คิดที่จะแสดงอาการรับมุกหรือทำตัวไร้สาระอีกต่อไปแล้ว สายตาของเธอจับจ้องมองอีกฝ่ายแบบไม่ลดละ พร้อมที่จะเค้นหาความจริงหรือเตรียมประจันหน้ากับคู่สนทนาได้ทุกเมื่อ
และแล้ววีรสตรีจอมดาบเวทก็ได้ตั้งคำถามต่อแม่มดสาวนักปรุงยาผู้ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาดังนี้
“สเตฟาเนีย… ไม่สิ บุตรีแห่งไซตอน ระหว่างพวกเรากับจอมมารไซตอนแล้ว เธอน่ะเลือกที่จะอยู่ฝ่ายไหนกันแน่?”
MANGA DISCUSSION