แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) - ตอนที่ 82: ในฐานะที่เป็นลูกสาวเหมือนกัน
- Home
- แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village)
- ตอนที่ 82: ในฐานะที่เป็นลูกสาวเหมือนกัน
“ฉันแค่อยากคิดหาวิธีที่จะรักษาอาการป่วยให้คุณเลวอนก็เท่านั้นเองค่ะ” สเตฟาเนียเงยหน้าให้คำตอบ “การที่วลาด เจ้าชายแห่งวาลาเคียได้รับคำสาปจากไซตอนจนกลายมาเป็นผีดูดเลือด แล้วตกทอดไปสู่คุณเลวอนโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่ตนเองควรรับผิดชอบในฐานะลูกสาวของจอมมาร…
วันแรกที่ฉันได้พบเห็นคุณเลวอนในตอนที่เขากำลังฝึกซ้อมการใช้เวท เพียงแค่ใช้ดวงตามองดูแวบเดียว ก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลพร้อมด้วยคำสาปรุนแรงชัดเจน ตัวเขายังมีกลิ่นอายของจอมมารไซตอนหลงเหลืออยู่ น่าจะเกิดจากการร่ายคาถาสาปแช่งใส่วลาด สีออร่าของคุณเลวอนนั้นหลากหลายและมีความสดใสเหมือนสีของสายรุ้ง แต่ก็ปะปนไปกับสีแห่งความมืดที่ค่อนข้างเจือจาง เพราะงั้นฉันถึงพยายามเข้าใกล้เขาเพื่อยืนยันให้แน่ใจค่ะ”
“อ… เอ๊ะ นี่เธอมองเห็นออร่าของจอมเวทคนอื่น ๆ ได้ด้วยเหรอ งั้นก็หมายความว่า…!”
ฮิคาริสะดุ้งตกใจต่อทักษะพิเศษของอีกฝ่าย สเตฟาเนียผงกศีรษะพลางยกนิ้วชี้ไปยังดวงตาของตน
“แม้แต่พลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวของรุ่นพี่ฮิคาริเองฉันก็มองเห็นมันนะคะ ด้วยเนตรมารคู่นี้ยังไงล่ะ”
“ให้ตายเถอะ รู้ทั้งรู้ว่าฉันเป็นใครแต่ก็ยังปิดปากเงียบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาโดยตลอดงั้นสินะ”
แม่มดสาวนัยน์ตาสีเทาถึงกับถอนหายใจเอือมระอา อย่างไรก็ตามยุวสตรีนักปรุงยายังคงสาธยายเรื่องราวของตนเองต่อไป ทว่าคราวนี้สีหน้าของเธอนั้นแสดงออกถึงความทุกข์กังวลอย่างชัดเจน พร้อมทั้งเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบระบายความในใจ
“ขอสารภาพตามตรงว่า สิ่งที่ฉันทำและมอบให้แก่คุณเลวอนไปทั้งหมดนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการชดใช้ความผิดในสิ่งที่จอมมารไซตอนเคยก่อไว้ แม้จะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยทางอ้อมก็ตาม แต่ในทุก ๆ ครั้งคุณเลวอนกลับมอบความใจดี ยอมเสี่ยงอันตรายทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง และคอยช่วยเหลือฉันอยู่เสมอ
มิหนำซ้ำยังยอมรับตัวตนที่แท้จริงของฉันโดยไม่นึกรังเกียจ เพราะงั้นฉันถึงอยากเรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขา… ไม่ว่าจะเป็นความหมายของการมีชีวิตอยู่ หรือแม้กระทั่งความสำคัญของมิตรภาพด้วย”
“น… นี่เธอ ตกหลุมรักเจ้าลูกแกะบ้านั่นเข้าให้แล้วใช่ไหมเนี่ย?”
“เอ๊ะ…!?”
สเตฟาเนียออกอาการตาโตแก้มแดงระเรื่อชัดเจน ฮิคาริได้ทีจึงถือโอกาสนี้เกริ่นแซวโดยพลัน
“ไม่ต้องมาเอ๊ะเลย ผู้หญิงที่ยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ผู้ชายไปแบบนั้น ต่อให้อีกฝ่ายจะมีบุญคุณหรือเคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้ถึงสองสามครั้งก็เถอะ อาการแบบนี้ใครเขาก็ดูออกกันทั้งนั้นแหละย่ะ”
“ฉันยังไม่แน่ใจค่ะ ว่าความรู้สึกของฉันที่มีให้เขาในตอนนี้มันคือความรัก ความรู้สึกผิดจนอยากชดใช้มันเพื่อล้างบาป หรือเป็นเพียงแค่ความหลงใหลกันแน่ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่มั่นใจ นั่นก็คือฉันอยากอยู่เคียงข้าง และอยากได้ยินเสียงคุณเลวอนอีกครั้ง… เพื่อนชายคนแรกที่ยอมรับว่าฉันเป็นเพียงแค่เด็กสาวปากจัดคนหนึ่งเท่านั้น”
แม่มดสาวผมสีส้มก้มใบหน้าหลบสายตาเล็กน้อยพร้อมด้วยคำตอบที่ฟังดูคลุมเครือ ความไม่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้ฮิคาริรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายเคยกระทำให้ไว้ต่อเลวอนนั้นมันฟ้องสายตาต่อเหล่ามิตรสหายทุกคน ซามูไรสาวจึงเผยสีหน้าบึ้งตึงพอประมาณ ยกนิ้วชี้ขวาจิ้มไปยังกลางอกคู่สนทนาแล้วพูดจาแบบกำปั้นทุบดินทันที
“ฟังดูน่าหงุดหงิดก็จริง แต่นั่นแหละที่เขาเรียกว่าความรัก ว่าคนอื่นปากไม่ตรงกับใจแท้ ๆ แต่เธอกลับพยายามปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองซะงั้น ยอมรับความจริงสักทีเถอะน่า”
“แล้วทีรุ่นพี่เองล่ะคะ พยายามปกป้องและทำเพื่อคุณเลวอนถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าแอบสนใจเขาเหมือนกันหรอกเหรอ?” สเตฟาเนียรีบเงยหน้าสวนถ้อยคำกลับคืนไปแบบทันควัน
“ย… ยัยบ้า ฉันไม่ได้สนใจเจ้าคนปวกเปียกอย่างหมอนั่นสักหน่อย!” ฮิคาริพลันปฏิเสธอย่างตะลีตะลาน ใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุก “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะย่ะ คราวนี้ถึงตาฉันเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองให้เธอฟังแล้วใช่ไหม ถ้างั้นก็ตั้งใจฟังอยู่เงียบ ๆ ไปซะเพราะฉันจะไม่พูดซ้ำสองอีก!”
“อะฮ้า~ พยายามกลบเกลื่อนตัวเองอยู่งั้นสินะคะ เชิญเลยค่ะ ๆ”
บุตรีแห่งไซตอนกระหยิ่มยิ้มย่องพลางผายมือข้างถนัดไปยังอีกฝ่าย ยุวสตรีจอมดาบเวทส่งเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อตั้งสติสงบจิตใจลงได้แล้ว ฮิคาริจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของตนเอง รวมถึงภาพความทรงจำซึ่งเธอได้พบเห็นมันก่อนหน้านี้อย่างไม่รีรอช้า
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันโดดเดี่ยวของฮิคาริในสมัยที่ตนยังอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ความเก่งกาจเกินวัยจนได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ปราบมารแห่งสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกประจำกรุงโตเกียว ทำให้เพื่อนร่วมชั้นต่างกล่าวหาว่าเธอใช้เส้นสายของตระกูลเข้าช่วย เหตุการณ์ตอนที่สูญเสียแม่ผู้บังเกิดเกล้าจากการต่อสู้กับอสูรจิ้งจอกคลาส S หรือแม้กระทั่งตอนที่พ่อของเธอได้นำเอาดวงวิญญาณแห่งรากษสสีขาวผนึกลงยังร่างตน เพื่อใช้พลังในการกวาดล้างเหล่าบรรดาภูตผีปีศาจ
ฮิคาริได้อธิบายเรื่องราวอย่างหมดเปลือก สเตฟาเนียซึ่งนั่งสดับรับฟังตั้งแต่ต้นจนจบก็ถึงกับเผยสีหน้าเศร้าสลดอย่างเห็นใจ พร้อมทั้งเกริ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“……เพราะแบบนี้รุ่นพี่ถึงได้นึกเป็นห่วงคุณเลวอนงั้นสินะคะ”
“ที่ฉันเผลอทำเรื่องแบบนั้นกับเธอในวันนี้นั่นก็เพื่อตัวเลวอนด้วย ไม่อยากให้หมอนั่นต้องเดินทางซ้ำรอยเหมือนกับฉัน บางครั้งการมองโลกในแง่ดีมากเกินไปอาจทำให้รู้สึกผิดหวังในภายภาคหน้าได้ ถ้าหากคนรอบข้างใกล้ตัวเริ่มทรยศความเชื่อใจที่มีให้ต่อกัน
เอาเถอะ บางทีฉันอาจมองโลกในแง่ร้ายไปเองก็ได้ ยังไงซะฉันกับเลวอนต่างก็เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน หมอนั่นมีทั้งครอบครัวและพวกพ้องที่อบอุ่น แตกต่างจากฉันที่มีแต่คนคอยจ้องเอาผลประโยชน์จากวงศ์ตระกูล ไม่มีมิตรสหายที่เข้าใจถึงหัวอกฉัน แม้แต่ท่านพ่อเองก็ยังยัดเยียดความแค้นที่มีต่อเหล่าเผ่าอสูรให้กับฉัน โดยการมอบพลังแห่งรากษสเพื่อใช้มันในการกวาดล้างศัตรู
สำหรับฉันแล้วมีเพียงแค่เลวอนเท่านั้นที่ฉันพอจะเปิดใจยอมรับได้ในฐานะเพื่อนคนแรก เพราะเราสองคนล้วนมีชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่เส้นทางชีวิตของหมอนั่นมันดูโหดร้ายเกินไปหน่อย ฉันน่ะยังพอรู้วิธีควบคุมพลังแห่งรากษสได้อยู่ แต่กับเลวอนแล้วมันไม่ใช่เพราะมันคือคำสาป”
ฮิคาริเผลอกำหมัดที่วางอยู่บนหน้าตักตนเอาไว้แน่น สเตฟาเนียจึงพูดจาหยอกล้อเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความวิตกกังวลด้วยท่าทีสบาย ๆ
“หืม ที่แท้ก็ชอบคุณเลวอนตรงที่มีอะไรบางอย่างคล้าย ๆ กันนี่เอง”
“ก… ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไง!”
“ค่ะ ๆ เชื่อแล้วค่า~”
สเตฟาเนียส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็งด้วยความกระอักกระอ่วน ฮิคาริจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีประหม่าโดยไว
“จะว่าไปแล้วโรคแห่งคำสาปของเจ้าลูกแกะนี่ แม้แต่ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟเองก็ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้แบบนี้ ฟังดูน่าเหลือเชื่อจังเลยแฮะ ทั้งที่เขาเป็นถึงจอมเวทระดับชั้นพาลาดินแท้ ๆ พอได้ยินว่าอายุขัยของหมอนั่นเหลืออยู่อีกไม่ถึงสามปีก็รู้สึกใจหายพิกล เป็นฉันคงทำใจยอมรับไม่ได้ทันทีหรอก”
“แต่ฉันกลับไม่คิดแบบนั้นนะคะรุ่นพี่ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านปู่… ศาสตราจารย์ยาโรสลาฟจะไม่มีทางรักษาอาการป่วยของคุณเลวอนให้หายขาด เว้นเสียแต่จะเลี้ยงไข้เพื่อเหตุผลอย่างอื่น”
“บ-บ้าน่า หรือว่า…!?”
คราวนี้ซามูไรสาวเผยสีหน้าเคร่งเครียด ดูเหมือนเธอจะเข้าใจในสิ่งที่บุตรีแห่งไซตอนเกริ่นมาได้โดยทันที สเตฟาเนียจึงผงกศีรษะยืนยันคำตอบ พร้อมทั้งชี้แจงข้อสันนิษฐานด้วยทางท่าน้ำเสียงจริงจัง
“อย่างที่รุ่นพี่ฮิคาริคิดนั่นแหละค่ะ บางทีศาสตราจารย์ยาโรสลาฟคงต้องการจะทดลองอะไรบางอย่างกับร่างกายของคุณเลวอน โดยตัดสินใจปล่อยให้เขี้ยวที่ฝังอยู่ข้างในหัวใจเขาทำงานต่อไป ทั้งที่การใช้วิชาขับไล่วิญญาณซึ่งสถิตอยู่ในร่างของมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสำหรับจอมเวทชั้นพาลาดิน ต่อให้วลาดจะมีพลังเทียบเท่าพ่อมดชั้นสูง แต่ก็เป็นได้แค่เพียงดวงวิญญาณที่ต้องอาศัยร่างผู้อื่น”
“ทำให้เจ้าลูกแกะนั่นกลายเป็นจอมเวทชั้นพาลาดินด้วยวิธีการสั้นที่สุด เพื่อต่อกรกับจอมมารไซตอนในภายภาคหน้างั้นเหรอ บ้าบอเกินไปแล้ว! แบบนี้หมอนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับหนูทดลองของศาสตราจารย์เลยน่ะสิ แล้วอีกอย่างเจ้าวิญญาณผีดูดเลือดบ้านั่นก็จ้องจะฉวยโอกาสยึดร่างเลวอนเพื่อล้างแค้นศัตรูด้วย…!”
“ตัวฉันเองถึงแม้จะรู้จักกับศาสตราจารย์มาเป็นเวลานาน แต่ก็มีอยู่หลายครั้งที่อ่านความคิด หรือคาดเดาการกระทำของเขาไม่ออกเหมือนกัน ฉันว่าพวกเราอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปไปเลยค่ะ มาช่วยคิดหาวิธีรักษาอาการป่วยของคุณเลวอนกันดีกว่า รวมถึงหยุดยั้งความทะเยอทะยานของวลาดด้วย”
“จะบอกว่าให้ปล่อยไปก่อนงั้นสินะ แต่ถ้าหากศาสตราจารย์คิดหลอกใช้เจ้าลูกแกะนั่น เพื่อเป็นอาวุธมนุษย์ในการทำสงครามกับจอมมารไซตอนจริง ๆ ถึงตอนนั้นฉันคงต้องขอคัดค้านอย่างสุดกำลัง จะไม่ยอมให้หมอนั่นต้องมีชะตากรรมซ้ำรอยเหมือนอย่างที่ฉันกำลังเป็นอยู่โดยเด็ดขาด”
“เห็นด้วยค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากให้คุณเลวอนต้องถูกวลาดเข้าครอบงำเพื่อใช้ร่างเขาในทางที่ผิดเช่นเดียวกัน แค่ได้รู้ว่าโมนิก้าเสียท่าให้กับผีดูดเลือดพรรค์นั้นจนทำให้คุณเลวอนคิดสั้นฆ่าตัวตาย ก็เล่นทำเอาฉันฉุนสุด ๆ ไปเลยล่ะ”
สเตฟาเนียกล่าวสนับสนุน ฮิคาริผงกศีรษะเห็นพ้องก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นยืน พลางยกชูสองแขนเหยียดตึงบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า แล้วจึงกวาดสายตามองดูบริเวณโดยรอบภายในห้องเก็บของ ซึ่งกระจัดกระจายไปด้วยเศษกระดาษนับร้อยพันชิ้น กล่องลัง แผ่นโฟม ชั้นวางของที่ล้มครืนลงมา รวมถึงผนังกำแพงแตกเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ อันเป็นผลมาจากการทะเลาะกันแบบวินาศสันตะโรของทั้งคู่นั่นเอง
แม่มดสาวผมสีขาวโพลนสังเกตเห็นสภาพดังนั้นก็ถึงกับเอ่ยน้ำเสียงละเหี่ยใจออกมา
“ที่แน่ ๆ พวกเรารีบกลับไปทำความสะอาดทางเดินระเบียงกันต่อเถอะ รวมถึงเคลียร์ห้องนี้ให้เรียบร้อยด้วย ทั้งฉันและเธอต่างก็ส่งเสียงอาละวาดใส่กันเละเทะ มีหวังคงถูกพวกนักเรียนที่อยู่ข้างนอกพากันสงสัยแหง ๆ”
“เรื่องนั้นอย่าได้กังวลไปเลยค่ะ”
สเตฟาเนียตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว พยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้วนำหมวกแม่มดสวมบนศีรษะตนให้เรียบร้อย จากนั้นเลื่อนมือข้างถนัดหยิบนาฬิกาเวทมนตร์เรือนสีทองขึ้นมาเปิดฝา หมุนปุ่มเม็ดมะยมให้ชิ้นส่วนกลไกภายในพร้อมทั้งเข็มชี้บนหน้าปัดเดินถอยหลัง จนอุปกรณ์วิเศษได้เริ่มต้นการทำงาน
แกร๊กแกร๊ก… วูบบบบ…!
เพียงไม่กี่อึดใจ สิ่งของต่าง ๆ รอบตัวที่ได้รับความเสียหายทั่วทุกตารางนิ้ว พลันสมานตัวเข้าหากันกลับคืนสู่รูปร่างเดิม พร้อมทั้งประจำยังตำแหน่งซึ่งเคยตั้งวางอยู่ตามปรกติ สภาพแวดล้อมภายในห้องเก็บของแห่งนี้ถูกย้อนเวลา ให้เหมือนกับก่อนหน้าที่สเตฟาเนียและฮิคาริจะย่างกรายเข้ามาที่นี่ โดยปราศจากร่องรอยหรือซากปรักหักพังใด ๆ อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง
ยุวสตรีนัยน์ตาสีเทาหันมาจับจ้องมองนาฬิกาเวทมนตร์ที่อยู่ในมือแม่มดสาวแสนซน สลับกับเหล่ตามองอีกฝ่ายอย่างเอือมระอา พร้อมทั้งกล่าวเปิดโปงถึงกลวิธีที่สเตฟาเนียได้ใช้มันในศึกต่อสู้ครั้งนี้ไปพลาง
“เป็นไอเท็มที่สะดวกสบายดีจังนะ ตอนที่เธอใช้วิชาลำนำสัประยุทธ์เข้าประชิดตัวใส่ฉัน ดูเหมือนว่าจะสั่งให้มันทำงานเพื่อหยุดห้วงเวลาทุกสรรพสิ่ง และลดความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดภายในห้องนี้ด้วยใช่ไหมล่ะ พอดีฉันสัมผัสได้ถึงพลังเวทอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่จากตัวเธอน่ะ”
“อ๊ะ รู้สึกตัวด้วยเหรอคะเนี่ย?”
สเตฟาเนียประหลาดใจเล็กน้อย ฮิคาริยกสองมือขึ้นกอดอกพลางเชิดใบหน้าพอประมาณด้วยท่าทีหยิ่งผยอง ก่อนที่สองแม่มดสาวจะแยกย้ายเดินไปหยิบอาวุธประจำตัวซึ่งนอนอยู่บนพื้นระเบียงขึ้นมา ยุวสตรีจอมดาบเวทนำคาตานะสอดลงในฝักดาบให้เรียบร้อย ส่วนบุตรีแห่งไซตอนได้เนรมิตให้เคียวเล่มใหญ่กลับคืนสู่สภาพกลายเป็นไม้กวาดด้ามยาวตามเดิม
ในระหว่างนั้นเอง ฮิคาริสังเกตเห็นปีกสีดำนิลสามคู่ของสเตฟาเนียซึ่งสยายอยู่บนแผ่นหลังอย่างโดดเด่น จนอดที่จะให้ความสนใจไม่ได้ เธอจึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ พลางยกมือชี้ไปยังปีกอันแสนงดงามของอีกฝ่าย แล้วเริ่มซักถามออกไปด้วยความกระหายใคร่รู้ทันที
“ปีกนั่นน่ะ ถ้าไม่รังเกียจฉันขอลองจับดูหน่อยจะได้รึเปล่า?”
“เชิญเลยค่ะ… อ๊ะ รบกวนช่วยจับแบบทะนุถนอมด้วยนะคะ”
สเตฟาเนียยอมรับคำขออย่างว่าง่าย ขยับปีกส่วนล่างทางฝั่งซ้ายยื่นให้อีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ ฮิคาริได้เอื้อมสองมือบางเข้าไปสัมผัสถึงความนุ่มสลวยประดุจดั่งขนนกพร้อมทั้งลูบสางไปมา ก่อนจะพูดจายอกย้อนพลางคิ้วขมวดใส่
“พูดออกมาได้หน้าตาเฉยเชียว ทั้ง ๆ ที่หล่อนเกือบจะฆ่าฉันด้วยปีกคู่นี้เนี่ยนะ”
“ก็เพราะว่ารุ่นพี่มีฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจมากเกินไป ฉันเลยออมมือให้ไม่ได้น่ะสิคะ สมแล้วที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ปราบมารแห่งสมาคมเวทมนตร์ตะวันออกทั้งที่อายุยังน้อยแท้ ๆ”
“ย… อย่ามาทำเป็นชมกลบเกลื่อนนะยะ!”
“อะไรกัน ปกติฉันไม่ใช่คนที่ชอบประจบสอพลอคนอื่นหรอกนะคะ”
ในขณะที่สองสาวจ้าวเสน่ห์กำลังโต้วาทีใส่กันพอหอมปากหอมคอ อาภรณ์สีดำทมิฬของสเตฟาเนียก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นชุดเสื้อเชิ้ตกับกระโปรงคอร์เซ็ทตามปกติ ปีกสามคู่แห่งเทวทูตเซราฟิมเองก็พลันหุบตัวกลับคืนสู่แผ่นหลังตน มิหนำซ้ำดวงตายังกลายเป็นสีส้มเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมา
เธอในตอนนี้ไม่อาจต้านทานผนึกของยาโรสลาฟไว้ได้อีก เป็นเพียงแค่แม่มดธรรมดาคนหนึ่ง ที่ทิ้งตัวทรุดเข่านั่งลงกับพื้นด้วยความอ่อนเพลียเท่านั้น
“ด… เดี๋ยวสิ แล้วไหงถึงได้ทำตัวหมดแรงแบบนั้นกันเล่า!?”
ฮิคาริรีบเข้าไปประคองร่างอีกฝ่ายทันที สเตฟาเนียนำมือซ้ายโอบไหล่ซามูไรสาวเอาไว้ เพื่อพยุงตนเองให้ยืนขึ้นอย่างมั่นคง ส่วนมือข้างถนัดยังคงกำด้ามไม้กวาดแม่มดคู่ใจไม่ยอมปล่อยห่าง พร้อมทั้งเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างเหน็ดเหนื่อย
“เป็นเพราะฝืนปลดผนึกของศาสตราจารย์ยาโรสลาฟมากเกินไป โชคดีจริง ๆ ที่ฉันยังไม่สลบไสลในระหว่างการต่อสู้ อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่รบกวนช่วยแบกฉันออกไปจากห้องนี้ที”
“ฮึ ถ้าหากว่าฉันคิดอยากลงมือฆ่าเธอที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ขึ้นมาล่ะจะทำยังไง?”
“ถ้ามันทำให้ความโกรธแค้นของรุ่นพี่บรรเทาเบาบางลงได้ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันพูดจากวนประสาทใส่คุณ แต่ฉันเองก็ไม่ชอบให้ใครมาด่วนสรุปตัดสินตัวฉันเหมือนกัน” สเตฟาเนียพึมพำก่อนจะพองแก้มใส่
“เชอะ ทีแบบนี้ทำเสียงออดอ้อนเชียว… เอาเถอะ ฉันเองก็อารมณ์ร้อนเกินไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะ เพราะงั้นเราสองคนหายกัน”
ฮิคาริเองก็แสดงสีหน้าท่าทีแง่งอนเล็กน้อย พลางหลบสายตาไปทางอื่นด้วยความเหนียมอายเช่นเดียวกัน ไม่นานนัก สเตฟาเนียจึงเริ่มเกริ่นซักถามถึงเจตนารมณ์ของแม่มดองเมียวจิด้วยความกังวลใจ
“จะไม่จับฉันส่งไปที่กระทรวงเวทมนตร์แล้วเหรอคะ?”
“อย่าเข้าใจผิดสิ ใช่ว่าฉันจะไว้ใจในคำพูดของเธอเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์สักหน่อย จากนี้ไปฉันจะจับตาดูการเคลื่อนไหวของเธอทุกฝีก้าว ถ้ายังไม่อยากโดนเชือดล่ะก็จงพิสูจน์คำพูดด้วยการกระทำออกมาซะ …อ้อ ขืนแพร่งพรายความลับของฉันให้ทุกคนรู้เข้าล่ะก็ ต่อให้เธอตายไปฉันก็ไม่มีวันยกโทษให้แน่”
“ถ้างั้นมาเกี่ยวก้อยสัญญากันเถอะค่ะ ฉันขอสาบานว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้โดยเด็ดขาด”
สเตฟาเนียยื่นนิ้วก้อยขวาเข้าหาอีกฝ่ายทั้งที่ยังถือด้ามไม้กวาดอยู่ในมือ ฮิคาริแสดงอาการกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย นึกลังเลที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอจากแม่มดสาวแสนซน ทว่าตัวเธอเองก็ไม่อยากทำให้น้ำใจไมตรีจิตซึ่งได้รับมาต้องสูญเปล่าไปเช่นกัน ก่อนจะกล่าวน้ำเสียงฟังดูลนลานออกไป
“นี่มันเลยวัยที่จะต้องมาเกี่ยวก้อยกันแล้วนะยะ…! แต่ก็เอาเถอะ รักษาสัญญาด้วยล่ะ”
และแล้วสตรีแห่งรากษสก็ได้ยื่นมือซ้ายเกี่ยวก้อยสัญญากับบุตรีแห่งไซตอน แม้จะไม่ใช่มือข้างถนัดก็ตาม
“ว่าแต่ทำไมรุ่นพี่ถึงยอมรับฉันง่าย ๆ แบบนี้ล่ะคะ?”
สเตฟาเนียกล่าวสงสัยอีกครั้ง ในขณะที่ฮิคาริกำลังพยุงร่างเธอไปยังหน้าประตูเพื่อเดินทางออกจากห้องเก็บของแห่งนี้ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีขาวโพลนอมม่วงชะลอฝีเท้าหยุดเคลื่อนไหว นัยน์ตาสีเทาจับจ้องมองใบหน้าคู่สนทนาอย่างแน่วแน่บริสุทธิ์ใจ ก่อนจะเปิดเผยถึงความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้ต่ออีกฝ่าย
ในฐานะ “มิตร” และ “ศัตรู” ผู้ซึ่งพอจะไว้เนื้อเชื่อใจได้ในระดับหนึ่ง
“คงเป็นเพราะว่าเราสองคนมีอะไรบางอย่างคล้ายกันล่ะมั้ง ตรงที่ฉันกับเธอต่างก็เป็นลูกสาวที่ต่อต้านความดื้อรั้นและความทะเยอทะยานของพ่อ… อีกอย่างถ้าหากฉันตัดสินไปว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ ก็เท่ากับว่าตัวฉันได้ปฏิเสธความเป็นมนุษย์ที่อยู่ภายในจิตใจของตัวเองไปด้วย”
“…!”
สเตฟาเนียถึงกับตาโตด้วยความตะลึงเพียงชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอาไว้ได้อีกเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยอมเปิดใจให้ตน จึงรีบขยับเรือนร่างเข้าประชิดตัวฮิคาริ แล้วสวมกอดให้กระชับอย่างไม่รีรอด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขอบคุณมากนะคะรุ่นพี่”
“ด-เดี๋ยว อย่ากอดแน่นสิยะ มันร้อนนะจะบอกให้”
ฮิคาริพยายามสลัดตัวสเตฟาเนียให้ออกห่างจากตนอย่างร้อนรนใจแต่ก็ไม่เป็นผล จึงต้องตัดใจยอมปล่อยไปตามเลย มิหนำซ้ำยังแอบแย้มสรวลจาง ๆ ต่อความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย ตอนนี้เธอแจ้งใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า บุตรีแห่งไซตอนเองก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนกันกับตน เพียงแต่มนุษย์เราไม่อาจเลือกเกิดได้เท่านั้นเอง
บทลงโทษในช่วงเวลาอันแสนสงบสุขสำหรับทีมประกาศิตแห่งมังกรนั้นยังคงดำเนินต่อไป