ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 439 หยุนชางช่วยคน (ค้นจวนรุ่ยอ๋อง)
หลังจากที่ลั่วชิงเหยียนกลับจวนมาในตอนกลางคืน หยุนชางก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังโดยละเอียด ลั่วชิงเหยียนนั่งขมวดคิ้วอยู่สักพัก แล้วจึงพูดขึ้นว่า “พวกเราในตอนนี้ก็เป็นเหมือนดั่งลูกพลับผลนิ่ม ใครๆก็อยากจะกดเล่น” พูดจบเขาก็จับตัวหยุนชาง “ช่วงนี้เจ้าหมั่นไปดูที่จวนกั๋วกงหน่อยก็แล้วกันนะ”
หยุนชางได้ฟังก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหวนอวี่ก็เคยบอกนางเช่นนี้ไว้เหมือนกัน นางพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา “หากท่านอ๋องเสด็จไปด้วยตัวเอง ผลลัพธ์อาจจะดีกว่าก็เป็นได้นะเพคะ”
เมื่อลั่วชิงเหยียนได้ฟัง เขาได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หยุนชางนั้นรู้ดีว่าเขาไม่ชอบฮวากั๋วกงที่ชอบวางอำนาจ เขาจึงให้นางไปจัดการเรื่องนี้ แต่กระนั้นแล้ว ลั่วชิงเหยียนก็ยิ้มไปกับคำพูดของหยุนชางด้วย
“เท่าที่หม่อมฉันดูบรรดานางสนมในวังมา หม่อมฉันคิดว่า คนที่หม่อมฉันส่งไปอยู่กับหนิงเชียน ตอนนี้ยังคงเงียบอยู่มิได้เปิดเผยสิ่งใดออกมา หนิงเชียนไม่เหมือนสนมคนอื่นๆที่มีครอบครัวที่มียศสูงและอำนาจมากคอยให้การหนุนหลัง นางจึงใช้ชีวิตในวังด้วยความยากลำบาก ตอนที่พวกเราเพิ่งมาอยู่ที่นี่ เราได้เลือกนางสนมที่ดูเข้าทีมาทำความรู้จัก หม่อมฉันได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆของแคว้นเซี่ยมาจากหนิงเชียนมากมายเลยเพคะ”
ลั่วชิงเหยียนพยักหน้าแล้วหัวเราะ “ข้ารู้ว่าทุกวันนี้เมื่อเจ้ากับหนิงเชียนได้เจอหน้ากันก็แทบจะเป็นคนไม่รู้จักกันเสียแล้ว เหมือนแมวที่คอยดักจับความคิดในใจเอาไว้ นี่เจ้ายังจะเอาข้ออ้างเช่นนี้มาพูดกับข้าอยู่อีกหรือ?”
หยุนชางได้ฟังก็ยิ้มด้วยความขวยเขิน นางทุบหน้าอกเขาเบาๆ ลั่วชิงเหยียนจับมือข้อมือของหยุนชางที่กำลังทุบหน้าอกเขา “เรื่องนี้ให้เจ้าไปทำเองน่ะดีแล้ว เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวเจ้า ข้ารู้ว่า เจ้าจะไม่มีวันทำร้ายข้าแน่นอน”
หยุนชางเงยหน้ามองเขา ดวงตาของนางทอประกาย นางพยักหน้าด้วยความมาดมั่น “เพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
วันต่อมา หยุนชางตามเสด็จจิ้งอ๋องเข้าวังมาอย่างสดใสตั้งแต่เช้าตรู่ หยุนชางไปที่ตำหนักเซียงจู๋เป็นที่แรก หนิงเชียนเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จและกำลังเดินเล่นอยู่ในตำหนัก นางได้เห็นหยุนชางเดินเข้ามาจากทางประตูใหญ่ นางนิ่งไปสักพัก แล้วมองไปที่นางกำนัลที่ยืนเฝ้าอยู่ทั้งสี่มุม หลังจากนั้นนางก็รีบเดินเข้าไปหาหยุนชาง “พระชายารุ่ยอ๋อง?”
หยุนชางยิ้มให้และทักทายนาง “เซียงกุ้ยผินจะไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งข้างในหน่อยหรือ?”
หนิงเชียนรีบพาหยุนชางเดินเข้าไปด้านใน หลังจากที่นางกำนัลยกน้ำชามาถวายเสร็จแล้ว ก็ให้นางกำนัลทั้งหมดถอยออกไปรอข้างนอก หนิงเชียนมองซ้ายมองขวา นางยังคงรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก จึงได้พูดกับหยุนชางว่า “ถ้าอย่างไร เชิญพระชายารุ่ยอ๋องไปนั่งคุยกับหม่อมฉันที่ริมทะเลสาบจวินจื่อดีไหม?”
หยุนชางรับคำแล้วเดินไปที่ริมทะเลสาบจวินจื่อพร้อมกับหนิงเชียน ที่ทะเลสาบจวินจื่อมีระเบียงทางเดินทอดยาวไปจนถึงกลางทะเลสาบ ที่กลางทะเลสาบมีศาลาอยู่ 1 หลัง
หนิงเชียนพาหยุนชางไปนั่งที่ศาลาหลังนั้น หยุนชางมองไปรอบๆแล้วหัวเราะ นางหันมาพูดกับหนิงเชียนว่า “ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ เมื่อมีคนมาพวกเราก็สามารถมองเห็นได้ทันที หากมีใครคิดที่จะแอบฟังพวกเรา ก็คงต้องไปแอบฟังอยู่ใต้น้ำนี่แล้วล่ะ”
หนิงเชียนยิ้มและพยักหน้า นางจับมือหยุนชางเอาไว้แล้วถามว่า “วันนี้ท่านมาได้อย่างไร? ข่าวคราวเกี่ยวกับสนมในวังแพร่สะพัดออกไปเร็วมาก เกรงว่าไม่นาน คนในวังคงจะรู้กันหมด”
“กลัวอะไรล่ะ” หยุนชางหัวเราะ “ข้าคิดว่า การที่เรามาเจอกันซึ่งๆหน้า ก็เหมือนเป็นการกระชับความสัมพันธ์มิใช่หรือ?”
“ความสัมพันธ์?” หนิงเชียนนิ่งไปพักหนึ่งแล้วค่อยๆขมวดคิ้ว
หยุนชางพยักหน้า “ท่านเป็นสนมที่ไม่มีที่พึ่ง พวกเราเป็นสตรีในวังที่ไม่มีใครคอยให้การสนับสนุน พวกเราจะมาพบปะพูดคุยกัน ฮองเฮาหรือคนอื่นๆก็คงไม่คิดสงสัยอันใดหรอก
หนิงเชียนคิดตามแล้วก็เห็นด้วย “สิ่งที่พระชายาพูดมาก็มีเหตุมีผล แต่ว่าตอนนี้ ข้ายังมีองค์หญิงฉางอยู่ด้วย”
“องค์หญิงฉาง?” หยุนชางงุนงง แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อครั้งที่หนิงเชียนเพิ่งมาถึงแคว้นเซี่ย นางเข้าวังมาได้อย่างไร้อุปสรรค จนกลายมาเป็นสนมคนโปรดของเซี่ยหวนอวี่ ก็เพราะมีองค์หญิงฉางคอยให้การสนับสนุน
“ข้ามาอยู่แคว้นเซี่ยได้หลายวันแล้ว ทำไมข้าถึงยังไม่เคยได้พบองค์หญิงฉางเลยล่ะ?” หยุนชางขมวดคิ้ว นางรู้สึกแปลกใจมาก
“องค์หญิงฉางนับถือพระพุทธศาสนา เดือนที่แล้วนางได้เสด็จไปถือศีลอยู่ที่สำนักเชียนโฝ ยังมิได้เสด็จกลับมา ตัวข้าเป็นที่รู้จักในนามคนขององค์หญิงฉาง องค์หญิงฉางดูภายนอกเป็นคนรักสงบใจเย็น แต่ลึกๆแล้วนางก็ร้ายกาจไม่น้อยไปกว่าสตรีในวังคนอื่นๆเลย” หนิงเชียนแอบกระซิบ “ข้าเข้าวังมา แม้องค์หญิงฉางจะบอกว่านางทำไปเพื่อน้องชายของนาง ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยให้ข้าทำอะไรเป็นการตอบแทนนางเลย แต่ข้าก็เชื่อว่า คงจะอีกไม่ช้า นางคงมีเรื่องให้ข้าช่วยทำแน่ๆ”
หยุนชางเงียบไปสักพัก หากต้องเจอความน่าอึดอัดเช่นนี้ นางเองก็คงต้องคิดหนักอยู่บ้าง
หนิงเชียนเห็นว่าหยุนชางเงียบไป ก็รีบหัวเราะขึ้นมา “เรื่องนี้ท่านก็ลองเก็บไปคิดดูเถิด จริงสิ นี่เป็นข้อมูลที่ข้ารวบรวมมาได้ในช่วงนี้ มีบางส่วนมาจากคนที่ข้าได้ส่งไปสอดแนมภายในแคว้นเซี่ย หลังจากที่ท่านมาถึงแคว้นเซี่ยแล้ว ข้าก็เก็บข้อมูลพวกนี้ไว้กับตัวตลอด รอโอกาสที่จะได้มอบมันให้กับท่านเร็วๆ”
หยุนชางพยักหน้า นางหยิบของแล้วเก็บเข้าไปใต้แขนเสื้อ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “แม้ข้าจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ก็พอจะมองออก สตรีในวังแห่งนี้ร้ายกาจไม่เบา พวกนางร้ายกาจกว่าผู้หญิงของเสด็จพ่อด้วยซ้ำ แต่ข้าเชื่อว่าคนเก่งอย่างเจ้าจะรับมือได้ แต่ก็ขอให้ระวังตัวเอาไว้ด้วยล่ะ”
หนิงเชียนยิ้มแล้วตอบกลับ “ข้าเข้าใจแล้ว”
สองคนนั่งพูดคุยกันต่อสักพักแล้วจึงเดินออกมาจากศาลา พวกนางกลับมายังตำหนักเซียงจู๋ หยุนชางนั่งพักสักครู่แล้วจึงกล่าวลาเพื่อกลับจวน นางอยู่ที่จวนได้ไม่นานก็รีบออกไปที่จวนกั๋วกงอีก
หยุนชางไม่เคยมาที่จวนกั๋วกง ที่ตั้งของจวนอยู่บนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดทางตะวันออกของเมือง เฉี่ยนอินเดินไปเคาะประตู เมื่อประตูถูกเปิด นางก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเรามาจากจวนรุ่ยอ๋อง พวกเราเป็น……”
พูดยังไม่ทันจบ ผู้ที่มาเปิดประตูก็พูดแทรกเฉี่ยนอินขึ้นมา เขาเอ่ยถาม “นี่คือพระชายารุ่ยอ๋องใช่หรือไม่?”
หยุนชางพยักหน้าเล็กน้อย เขาตอบกลับมาว่า “ท่านฮูหยินได้สั่งเอาไว้ หากรุ่ยอ๋องหรือพระชายาของเขามา ไม่จำเป็นต้องไปขออนุญาตเข้าพบ พระชายารุ่ยอ๋องเชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
หยุนชางอึ้ง แต่ก็เข้าใจความหมายและพยักหน้า นางเดินตามคนเฝ้าประตูเข้ามาในจวนกั๋วกง “ตอนนี้ท่านฮูหยินกำลังตรวจดูผลงานการเรียนหนังสือของพวกคุณชายอยู่ เชิญเสด็จทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
จวนกั๋วกงตกแต่งได้อย่างสวยงาม แม้จะไม่หรูหรามากนัก ทว่าศาลาและมุมต่างๆของจวนก็ดูเรียบง่ายแต่สง่างาม หยุนชางเดินตามเขามาที่ชั้นสองของเรือนแห่งหนึ่ง ชายผู้นั้นพาหยุนชางมาที่ประตูทางเข้าแล้วพูดกับสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงนั้น “รบกวนพี่สาวช่วยเข้าไปรายงานที ตอนนี้พระชายารุ่ยอ๋องได้เสด็จมาแล้ว”
สาวใช้นางนั้นมองดูหยุนชางสักพักแล้วยิ้มออกมา “รายงานอะไรกัน ไม่ต้องรายงานหรอก พระชายารุ่ยอ๋องเชิญเสด็จด้านในเพคะ”
หยุนชางยิ้มให้ชายที่พานางมาส่งแล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน ด้านในมีการตกแต่งอย่างเรียบง่าย เครื่องประดับตกแต่งมีไม่มากนัก ในนั้นมีเก้าอี้อยู่ไม่กี่ตัว และมีโคมไฟแขวนอยู่ ตรงทางเข้ามีแจกันลายครามใส่ดอกไม้ตั้งประดับไว้ ด้านในสุดเป็นเก้าอี้ไม้สีดำ
ด้านในเต็มไปด้วยเสียงร้องที่ร่าเริงสดใส “ท่านย่า ท่านย่า ดูนี่สิ เหยียนเอ๋อร์เขียนตัวอักษรตัวนี้สวยหรือเปล่า? เมื่อวานนี้ท่านครูชมเหยียนเอ๋อร์ด้วยนะขอรับ”
“ดีมาก ดีมาก” กั๋วกงฮูหยินพูดอย่างอารมณ์ดี “เจ้าเขียนอักษรตัวนี้ได้ไม่เลวเลย แต่ว่าย่าไม่รู้จักน่ะสิ”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงเด็กคนหนึ่งล้อเลียนขึ้นมาว่า “ฮาๆๆ ข้าบอกท่านแล้วไง อักษรตัวที่ท่านเขียนน่ะเป็นตัวไก่เขี่ยอะไรก็ไม่รู้ ท่านครูก็แค่ฝืนใจชมท่านเล็กน้อยก็เท่านั้น ท่านยังจะคิดจริงจังไปได้ ท่านครูยังบอกด้วยว่า คุณชายเหยียนน่ะน่าจะเหมาะกับการฝึกอาวุธมากกว่า”