ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 4 ไฟลุกไหม้ ฝันพลันตื่น
ฟโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงตะโกนข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครรีบเข้ามาช่วยนาง หยุนชางหัวเราะเบาๆ แม้ว่ามันจะเป็นผลลัพธ์ที่นางคาดไว้แล้วก็ตามแต่นางก็ยังรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ควันลอยออกมาจากรอยแตกที่ประตูระหว่างตำหนักในและห้องโถง หยุนชางสำลักจนน้ำตาไหล ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงโครมครามที่หน้าต่าง หยุนชางหันศีรษะไปและเห็นทหารองครักษ์กลิ้งเข้ามาจากทางหน้าต่าง ควันค่อนข้างหน้าแน่น หยุนชางมองไม่เห็นใบหน้าของทหารผู้นั้น ได้ยินเพียงเขาพูดว่า "องค์หญิง ขออนุญาติ… "
หยุนชางรู้สึกว่าร่างกายของนางเบาหวิว นางถูกชายคนนั้นอุ้มขึ้นมาและออกไปทางหน้าต่าง
เมื่อองครักษ์วางหยุนชางลง นางยังไม่ทันยืนมั่นคงก็ถูกคนๆหนึ่งจับไหล่ไว้ "ชางเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่… "
เมื่อนางได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาและน้ำตาก็ไหลริน "เสด็จพ่อ… "
ในชาติก่อนของนาง เป็นเพราะนางหยิ่งยโสโอหัง เสด็จพ่อของนางจึงผิดหวังในตัวนางมาก หลังจากนางอายุสิบปี ทั้งสองก็เจอกันน้อยครั้ง เดิมทีวันนี้นางจุดไฟเพื่อจุดประสงค์อื่น แต่นางไม่ได้คิดว่าหลังจากที่ตนเองหนีออกมาได้ คนแรกที่นางเห็นกลับกลายเป็นเสด็จพ่อที่ผิดหวังในตัวนางในชาติที่แล้ว
หยุนชางมองผ่านหมอกควันไปที่ชายผู้อยู่สูงสุดในใต้หล้า แต่กลับเห็นว่าเขาไม่ได้น่าเกรงขามและเย็นชาอย่างที่นางจำได้ อาจเป็นเพราะเขารีบมา ผมของเขายุ่งเหยิง แม้แต่เสื้อคลุมมังกรก็สวมอย่างลวกๆ แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวล
หยุนชางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง
เมื่อเห็นหยุนชางเป็นเช่นี้ ฮ่องเต้ก็คิดไปว่านางได้รับบาดเจ็บจึงรีบช่วยประคองนางและถามว่า "ชางเอ๋อร์บาดเจ็บตรงไหน? ให้พ่อดูหน่อย… "
หยุนชางส่ายหัวซ้ำๆ "ชางเอ๋อร์ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร"
ฮ่องเต้ไม่เชื่อ เขากำลังจะเรียกหมอก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงแว่วมา "เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆวังขององค์หญิงถึงไฟไหม้?"
หยุนชางหรี่ตาลงเล็กน้อย นางหันศีรษะไปและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในเสื้อผ้าหรูหราเดินเข้ามาตามด้วยนางกำนัลสี่คน หยุนชางมองอย่างไม่ใส่ใจ หนึ่งในนั้นเป็นใบหน้าคนคุ้นเคยในตำหนักหนีชางของเธอ
"ฮองเฮา… " เมื่อฮ่องเต้ที่อยู่ข้างๆนางมองเห็นผู้หญิงคนนั้น เขาก็มองเธออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ปล่อยมือที่จับหยุนชางไว้ หยุนชางตกตะลึงเล็กน้อย มีบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดของนาง แต่มันเร็วมากจนนางจับความไม่ได้ นางไม่กล้าที่จะคิดเรื่องนี้ต่อไป นางเพียงเบะหรี่ปากและร้องไห้งอแงกับฮองเฮาอีกครั้ง "เสด็จแม่ ทำไมมาช้าขนาดนี้? หากไม่ใช่เพราะองครักษ์ของเสด็จพ่อมาช่วยชางเอ๋อร์ไว้ ชางเอ๋อร์คงถูกไฟคลอกตายไปแล้ว ไฟไหม้โหมแรงมาก เสด็จแม่… "
เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ชะงักฝีเท้าลง เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ด้านหลังหยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจึงยิ้มพร้อมก้าวไปข้างหน้าและคว้ามือของหยุนชางพลางพูดอย่างนุ่มนวล "สองวันก่อนที่ชางเอ๋อร์หกลงบาดเจ็บ ข้าสวดมนต์ขอพรให้เจ้าอยู่ที่วังชีอู๋กงมาโดยตลอด เพราะกลัวว่าจะถูกรบกวนข้าจึงสั่งไม่ให้ใครเข้าเฝ้าเลยรู้ช้าไปสักหน่อย ชางเอ๋อร์ตกใจมากใช่หรือไม่? มันเป็นความผิดของข้าเอง… "
หยุนชางหรี่ตาลงเล็กน้อย นางก้มศีรษะลง มีประกายล้ำลึกในดวงตาของนาง "ทั้งหมดเป็นความผิดของชางเอ๋อร์… " นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดด้วยรอยยิ้ม "ชางเอ๋อร์ไม่เป็นไร เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้เสด็จแม่สวยจังเลยเพคะ… มวยเมฆลอยวันนี้เกล้าได้งดงามจริงๆ ปี้หยุนคงต้องใช้เวลานานมาก ช่างเหมาะกับเสด็จแม่ยิ่งนัก… "
ฮองเฮารู้สึกได้ว่ามีสายตากวาดมองมาที่ร่างของนาง ในใจจึงเริ่มไม่สบอารมณ์ เกิดอะไรขึ้นกับหยุนชาง ทำไมถึงรู้สึกว่าทุกคำพูดของนางกำลังโจมตีตัวเธออยู่ แต่ว่า…
ฮองเฮาก้มลงมองหญิงสาวตรงหน้าก็เห็นเพียงแววตาไร้เดียงสาของนาง บนแพขนตายังเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำตา แต่กลับดูไม่เหมือนกำลังเสแสร้ง ความหงุดหงิดในใจก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหยุนชางตกลงมาจากตำหนักด้านบน แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขากลับรักษาระยะห่างกับนางมากขึ้น วันนี้ถูกหยุนชางก่อเรื่องเช่นนี้อีก เกรงว่าเขาคงจะยิ่งไม่พอใจนาง
หยุนชางมองไปที่ใบหน้าของฮองเฮา นางรู้สึกขบขันอยู่ในใจและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง "เสด็จแม่ มีบางคนต้องการทำร้ายข้า มีคนต้องการทำร้ายข้า ข้าเห็นเงาดำแต่หยุนชางกลัวจึงไม่กล้าร้องออกมา ต่อมาไฟก็ลุกขึ้น ไฟใหญ่มาก หยุนชางกลัว… "
ฮองเฮาย่นคิ้ว เมื่อกำลังจะพูดขึ้น นางก็ได้ยินเสียงอันโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ "มีเรื่องเช่นนี้? หนิงอี จับตัวทุกคนในตำหนักหนีชางและคุมตัวไปให้สำนักตรวจการสอบสวน… "
ฮองเฮาตกใจมากเมื่อได้ยินดังนั้น แม้ว่าองค์หญิงหยุนชางจะได้รับการเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของนาง แต่ว่าแต่ก่อนฮ่องเต้ก็เอ็นดูองค์หญิงมาก กว่าจะส่งคนมาเป็นหูเป็นตามาแทนที่ในตำหนักหนีชางได้ก็ต้องใช้เล่ห์กลอย่างหนัก ในช่วงหลายปีมานี้หยุนชางก็ค่อยๆกลายเป็นคนเอาแต่ใจ น้ำหนักของนางในหัวใจของฮ่องเต้ก็ค่อยๆน้อยลง สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลงานของคนในวังแห่งนี้ หากพวกเขาทั้งหมดถูกจับไปอย่างนี้คงจะเป็นเรื่องยากหากจะนำคนของนางแทรกเข้ามาอีก
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้ฮองเฮาก็รีบพูด "ชางเอ๋อร์เพิ่งได้ความกระทบกระเทือนใจมาก หากไม่มีคนดูแลข้างกายเลยก็คงจะไม่เหมาะ หากทุกคนถูกนำตัวไปแล้ว ใครจะคอยรับใช้ชางเอ๋อร์กัน… "
ความตั้งใจวันนี้ของหยุนชางไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้รับประโยชน์เช่นนี้ ในใจจึงดีใจมาก นางจะยอมให้ฮองเฮาทำลายมันอย่างง่ายดายได้อย่างไร หยุนชางคิดและจงใจดึงมือของฮองเฮาด้วยความน้อยใจ "เสด็จแม่ ชางเอ๋อร์ไม่ต้องการให้พวกเขารับใช้ มีคนต้องการทำร้ายชางเอ๋อร์ ชางเอ๋อร์กลัว ชางเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ใครมารับใช้… "
ดวงตาของฮองเฮาฉายแววความโกรธ แม้เพียงพริบตาเท่านั้น แต่กลับถูกหยุนชางเห็นเข้าและในใจของหยุนชางก็รู้สึกสบายจนแทบทนไม่ไหว คิดไม่ถึงจริงๆว่านางจะกำจัดคนสอดแนมของฮองเฮาออกไปได้ในครั้งเดียว แต่ก่อนนางยังอายุน้อยและไม่รู้ความจึงถูกหลอกใช้ ตอนนี้แม้ว่าเธอจะยังดูเหมือนเด็ก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าวิญญาณของเธอได้ผ่านมาถึงสองภพแล้ว เรื่องหลายเรื่องก็กระจ่างแล้ว การแก้แค้นของเธอเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ฮองเฮา พวกเจ้าสองแม่ลูกต้องได้รับมันอย่างดี…
"ติงอี นำตัวไป วันนี้หยุนชางจะตามเจิ้นไปพักผ่อนที่วังว่านโซ่ว เจิ้นยังมีเรื่องที่ต้องทำอีก ดังนั้นเจิ้นจะพักผ่อนที่ตำหนักฉินเจิ้ง พรุ่งนี้ให้หัวหน้าขันทีพาชางเอ๋อร์ไปเลือกนางกำนัลและขันทีที่นางพอใจอีกสองสามคน ตำหนักหนีชางก็ถูกเผาไปแล้ว คงไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ชั่วคราว ส่วนชางเอ๋อร์จะไปอยู่ที่ใดพรุ่งนี้ข้าค่อยตัดสินใจ ดึกมากแล้ว ฮองเฮารีบกลับวังไปพักผ่อนเถอะ ปิ่นพวงฟีนิกซ์เหล่านี้เลิกใช้เสียเถอะ จะได้ไม่สูญเสียมันไปในความมืด" พูดแล้วเขาก็หมุนตัวเดินไปที่ประตู "ชางเอ๋อร์ ตามเจิ้นกลับวัง"
หยุนชางคาดไม่ถึงมาก่อนว่าฮ่องเต้จะให้นางตามกลับไปวังว่านโซ่ว นางทั้งตกใจและประหลาดใจ แต่นางก็รีบพูดกับฮองเฮาว่า "เสด็จแม่ ชางเอ๋อร์ขอตัวก่อนนะเพคะ พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมเสด็จแม่" แล้วนางก็ตามฮ่องเต้ไป
ฮองเฮาย่อตัวลงพร้อมกล่าว "ส่งเสด็จ" ก็ยืนตรงอีกครั้ง เงาร่างขององค์จักรพรรดิและหยุนชางเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆและค่อยๆหายไปกับสีราตรี ฮองเฮาหรี่ตาลงอยู่ครู่ใหญ่ แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังแล้วก็ค่อยๆจางหายไป หลังจากนั้นอยู่นานนางก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม "กลับวัง… "
ในราตรีอันมืดมิด คืนนี้ ในพระราชวังหลวงแห่งนี้กลับมีหลายคนนอนไม่หลับ