Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 342 ทําไมต้องโกหกล่ะ?
ตอนที่ 342 ทําไมต้องโกหกล่ะ?
ในอาคารหลักของสํานักงานข่าวกรองทางทหาร
หลังจากที่หลี่จู่ให้หลี่หยวนจือสรุปหลักฐาน พวกเขาจึงไปแจ้งความคืบหน้ากับสํานักงานตํารวจเขตเฟิงหลินโดยตรงเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรายงานความคืบหน้าของรูปคดีอาเซียวและคนอื่น
ที่ประตู
ฉินอวี่กังวลถึงความปลอดภัยของอาเซียว ดังนั้นหลังจากคุยกับเหนียนเล่ยเขาก็โทรหาเฒ่าหลี่ทันที
“ฮัลโหลลง ผมจะออกไปแล้ว”
“ฉินอวี่ นายคงจะเข้าใจนะว่าที่นายรอดมาได้เพราะโชคช่วยล้วนๆ” เฒ่าหลี่ซีพูดน้ําเสียงจริงจัง “ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเหนียนเลย ฉันก็หมดทางจะช่วยเหมือนกัน”
เฉินอวี่ก้มหน้าไม่พูดอะไร
“นายจะแพ้ไม่ได้ เข้าใจไหม?” เฒ่าหลี่กล่าวเสริม
“รู้แล้ว” ฉินอวี่พยักหน้าอย่างจริงจัง
“ที่นี้จะพูดอะไรก็พูดมาสิ”
“พวกเขากําลังทําอะไรอาเซียวเหรอลง?!” ฉินอวี่ถามทันที
เฒ่าหลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างใจเย็น “ฉันหาทางช่วยอยู่ นายไม่ต้องห่วงเรื่องเขาแค่รอรับสายจากฉันให้ดีก็พอ”
“ฉันขอไปด้วยได้ไหมลง?”ฉินอวี่ถามอย่างเร่งด่วน
“ไม่ได้!” เฒ่าหลี่ขมวดคิ้ว “ฉันจะจัดการเรื่องอาเซียวเอง แค่นี้แหละ!”
“ลุงหลี่…”
“ตุ๊ด!”
ก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบ เฒ่าหลีก็วางสายไปแล้ว
ฉินอวี่ตกตะลึงพลางครุ่นคิดอยู่นานในใจเขาก็มีคําถาม ในเมื่อเฒ่าหลี่ต้องการช่วยอาเซียว ทําไมถึงไม่ยอมให้เขาไปด้วยล่ะ?
หรือนี่…จะเป็นข้ออ้างของเฒ่าหลี่ที่เขาไม่สามารถแก้ไขเรื่องอาเซียวได้หรือไม่?
และแล้วเวลาก็ล่วงเลยไปถึงตีหนึ่ง
มีรถสํานักงานตํารวจเขตเฟิงหลินขับเข้าไปในค่ายกองทหาร จากนั้นรองผู้กํากับและหัวหน้าทีมก็เดินเข้าไปในอาคารหลักเพื่อพบกับหลี่หยวนจือ
“นี่คือขั้นตอนการส่งมอบ ช่วยเซ็นชื่อด้วย” หลี่หยวนจือหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาพลางกระซิบ “เรื่องข้อมูลสถานเลี้ยงเด็กนั่นไม่ควรจะรั่วไหลฉะนั้นช่วยดําเนินคดีให้เร็วที่สุดด้วย”
“ได้ อัยการและศาลก็ไปรอที่นั่นหมดแล้ว” รองผู้กํากับกระซิบ “งั้นก็ประหารชีวิตก่อน แล้วค่อยเพิ่มหลักฐานที่หลัง”
“ฟังดูดีเลยทีเดียว”
“งั้นฉันจะเซ็นนี่ก่อนนะ” หลังจากรองผู้กํากับก้มลงเซ็นชื่อในขั้นตอนการส่งมอบเรียบร้อย เขาก็เงยหน้าพูดทันที “พาตัวมันออกไป”
หลี่หยวนจือหันกลับไปตะโกน “นําพวกนั้นออกไปส่งมอบได้แล้ว!”
หลังจากนั้นแปดนาที ชายห้าคนรวมทั้งอาเซียวถูกใส่กุญแจมือ และนําตัวออกจากอาคารหลักของสํานักงานข่าวกรองทางทหาร
ระหว่างลงบันได อาเซียวแหงนมองท้องฟ้า “เวรจริงๆ มีดอีกแล้ว”
“ดูให้ออกสิ ขนาดฉันยังดูออก” หลี่หยวนจือพูดเยาะเย้ยพลางตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ “บอกแล้วว่าให้ความร่วมมือแต่โดยดี ที่งี้เป็นไงล่ะ…คนที่มีผู้หนุนหลังก็ทิ้งพวกแกไว้ให้เป็นหมาหัวเน่าซะ แล้ว”
อาเซียวเหลือบมองเขาโดยไม่พูดอะไร
“เอาตัวไป เร็วเข้า!” รองผู้กํากับโบกมือสั่ง
ด้านหน้าของอาคารหลักหลี่จู่ก้มศีรษะจุดบุหรี่ เขาเหลือบมองหน้าอาเซียวด้วยรอยยิ้มสะใจและเยาะเย้ยอีกฝ่าย
ทั้งห้าคนถูกลากเข้าไปในรถโดยจับให้นั่งแยกกัน
“กรึง!”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
หลี่จู่ก็มไปหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดรับสายด้วยความประหลาดใจ “ฮัลโหล…ฮัลโหล? นี่ใคร? หึม…ว่าไงนะ?!”
ไม่กี่วินาทีต่อมาหลี่จู่ก็วางโทรศัพท์ด้วยใบหน้าบูดบึง ก่อนจะตะโกนอย่างหงุดหงิด “หยุดก่อน!”
“มีอะไรเหรอครับหัวหน้า?” หลี่หยวนจือถามด้วยความสงสัย
“ฉันเชื่อเลย! ไอ้เวรพวกนี้มันไม่ยอมจบ!” หลี่จี้ก่นด่า ก่อนชี้ไปยังฝูงชนพลางพูด “พวกแก อย่าเพิ่งไปไหน! รอฉันที่นี่ ฉันจะออกไปเคลียร์บางอย่าง”
หลังจากพูดจบหลี่จู่ก็เดินไปในลานจอดรถอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขึ้นรถประจําตําแหน่งและรีบขับรถออกจากลานจอดอย่างรวดเร็ว
ห้าถึงหกนาทีต่อมา
บนถนนทางซ้ายของสํานักงานทหาร หลี่จู่ลดหน้าต่างลงพร้อมตะโกนด้วยไปหน้าไม่สบอารมณ์ “ขึ้นมา!”
“ไม่ล่ะ คุณสิต้องลงมา” เฒ่าหลี่ยนตอบกลับท่ามกลางหิมะโปรยปราย
จากนั้นไม่นานหลี่จู่ก็เปิดประตูลงจากรถไป เขายืนพูดอยู่ข้างถนน “ถ้าไม่มีอะไรดีๆ จะพูด ผมก็จะกลับไปและคุณคงช่วยอะไรพวกนั้นไม่ได้อยู่ดี”
“คุณมีโทรศัพท์ไหม?” เฒ่าหลี่ถาม
หลีฉ่ตอบอย่างงุนงง “หมายความว่ายังไง?”
“เอาโทรศัพท์มาให้ผม” เฒ่าหลี่แบมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งหลี่จู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ปลดล็อกหน้าจอแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
เฒ่าหลี่ก้มหน้ากดหมายเลขแล้วโทรออกอย่างระมัดระวัง
สิบวินาทีต่อมาอีกด้านหนึ่งก็กดรับสาย “สวัสดีครับลุง”
“ให้เขาพูด” เฒ่าหลี่กระซิบก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้หลี่จู่ “คุยกับเขาสิ”
หนุ่มองหน้าเฒ่าหล่อย่างงงงวย ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์พลางพูดอย่างไม่มั่นใจ “ฮัลโหล?”
“หลี่ฉ ฉันซื้อเหมาจ๋อ!” หลังอีกฝ่ายกล่าวคําทักทายซื้อเหมาจ่อก็พูดอย่างรวดเร็ว
หลี่จู่ได้ยินดังนั้นจึงหยุดนิ่งในทันที
ฉัน..ฉันอยู่ในซ่งเจียง” ชื่อเหมาจ่อพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉันถูกจับอยู่ไปไหนไม่ได้ ช่วยคุยกับคนที่โทรมาหน่อยนะ!”
“นายนี่มันงี่เง่าจริงๆ” หลี่จี้ก่นด่าด้วยดวงตาแดงก่ํา
เฒ่าหลี่กําลังมองดูท่าทีของหลี่จู่ ก็มีรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากเขา
ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดยังมีหิมะขาวโพลนโปรยปรายในบางแห่ง
“เอียด!”
เสียงเบรกดังขึ้น รถออฟโรดก็หยุดอยู่ริมถนน
ฉินอวี่หันไปเจอหลินเหนียนเลยซึ่งกําลังวิ่งลงมาจากเบาะรถ ใบหน้าน้อยๆอันสวยงามทุ่งนําเข้ามาด้วยรอยยิ้มดีใจพลางเอื้อมมือไปจับแขนอีกฝ่าย “นายปลอดภัยดีใช่ไหม?!”
ในรถหลินเซียวทําสีหน้าที่ไม่พอใจนักกับท่าที่ใกล้ชิดเกินไป ระหว่างน้องสาวของเขาและฉินอวี่ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
“พี่กลับไปซะ เดี๋ยวฉันจะไปกับเขา” หลินเหนียนเลยตะโกนอย่างชัดเจน
หลินเซียวทําได้เพียงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ําเสียงที่สุดจะทน “ก็คุยกันไปสิ! ฉันไม่ได้สนใจอยู่แล้วนี่นา…ฉันจะรอในรถ”
“น่ารําคาญจริงๆ นี่เพราะพี่ก็เป็นพวกทหารด้วยล่ะสิ?!” หลินเหนียนเลยพูดถากถางพวกทหาร “กลับไป แล้วไม่ต้องบ่น!”
หลินเซียวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนเสียงดัง “เออ! สนใจแต่กับหมอนั่นไปเถอะยัยป้อง!”
“น่ารําคาญ!” ใบหน้าหลินเหนียนเล่ยแดงขึ้นทันที
“บรื้น!”
หลินเซียวเหยียบคันเร่ง ขับรถออกไป
“นี่ ไปเดินเล่นกับฉันไหม?” หลินเหนียนเลยมองไปที่ฉินอวี่
จากนั้นไม่นานฉินอวี่ก็ก้มหน้าพลางพูดอย่างกังวล “เธอโกหกฉันอยู่รึเปล่า?”
“เป็นอะไร?” หลินเหนียนเลยถามกลับพลางหัวเราะเบาๆ
“ไหนเธอบอกฉันว่าสภาพครอบครัวอยู่ในระดับปานกลาง และความสัมพันธ์หลักก็คือ ครอบครัวของลงเธอไม่ใช่รึไง?” ฉินอวี่ถามด้วยเสียงแผ่วเบา “นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกเหรอ?”
“โอเคๆ งั้นฉันจะไม่แกล้งอีกแล้ว” หลินเหนียนเล่ยตอบอย่างสนุกสนาน “ยังไงฉันก็เป็นคนที่นายชอบดูถูกบ่อยๆ นี่นา”
“ทําไมต้องโกหกด้วยล่ะ?”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจน่ะ..” หลินเหนียนเล่ยเกาหัว “ฉันแค่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าครอบครัวฉันเป็นยังไง…พวกเขาจะได้มองฉันในอีกมุมมองหนึ่งเพื่อชีวิตปกติในฮ่งเจียงของฉันไงล่ะ”
ฉินอวี่ได้ยินหลินเหนียนเล่ยอธิบายอย่างตรงไปตรงมา เขาจึงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี นมาในใจอย่างอธิบายไม่ได้
ที่ข้างถนน
หลังจากหลี่จ่วางสายไป เขาก็พูดด้วยความโกรธ “คุณใช้เงินไปเท่าไหร่กับอันธพาลพวกนี้?!”
“อาเซียวจะตายไม่ได้” เฒ่าหลี่ก้มหน้าลงแล้วพูด “ยังไงฉันก็ต้องปกป้องเขา”