Dungeon Defense (WN) - ตอนที่ 87 ยุคสมัยแห่งแผนการ(2)
ไพมอนหันหน้ากลับไปดูแผนที่ต่อ
สิตริรู้สึกไม่สบอารมณ์ เธอนั้นมาหาไพมอนเพราะเบื่อที่จะมีเซ็กส์กับเซนทอร์ทั้ง 3 ตัวตลอดเวลาแล้ว
สิตรินั้นเป็นตัวแทนถึงความปรารถนาทางเพศ แต่ไพมอนก็น่าประทับใจในแบบของเธอเช่นกัน
เธออยากจะจะใช้เวลาที่ลามกและงดงามร่วมกันกับไพมอนให้นานที่สุด แต่เธอก็ต้องผิดหวัง ไพมอนเอาแต่มองดูแผนที่เงียบๆต่อไป
สิตริก็พร่ำบ่นออกมา
“ฮึ มันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่า ท่านคิดอะไรอยู่ คิดว่าฉันโง่รึยังไง?”
“แหม ที่รัก”
ไพมอนหัวเราะคิก
‘ดูเหมือน เธอจะเริ่มพูดพล่ามออกมาเพราะดิฉันไม่ยอมเล่นกับเธอ แหม ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้’
ถ้าอย่างนั้นดิฉันก็ควรฟังเธอสักหน่อย
ไพมอนคิดเช่นนั้นแล้วมองกลับมาที่สิตริ ใบหน้าของสิตรินั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“คนอื่นอาจจะเรียกว่า อีโง่ แต่ฉันก็เป็นถึงจอมมารลำดับ 12 ด้วยตัวเอง ฉันสามารถคิดได้เหนือกว่าที่คนทั่วไปคิด”
“แหมที่รัก แหม แหม ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า สิตริของพวกเราจะฉลาดขนาดนั้น”
“อะแฮ่มม⎯ ท่านน่ะพยายามทำอะไรสักอย่างใช่ไหมล่ะ? แบบยืมดาบข้างคนใช่ไหม”
รอยยิ้มที่ริมฝีปากไพมอนนั้นกลับแข็งทื่อ
ยืมดาบฆ่าคน ไม่ใช่ ยืมดาบข้างคน แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปชี้ข้อผิดพลาดนั่น
เธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่า สิตริจะพยายามพูดอะไร
พอไพมอนเงียบ สิตริก็ยืนยันได้แน่ชัดและพูดออกมาอย่างตื่นเต้นทันที
“พวกเรากำลังใช้โอกาสที่เราได้มาจัดการกับนังชั่วบาร์บาทอสที่โคตรน่ารำคาญนั่น
ตอนที่มันใช้พลังทั้งหมดสู้กับมนุษย์ แล้วเราจะได้บุกไปอัดมันได้โดยง่าย ใช่ไหม ฉันพูดถูกใช่ไหม?”
เธอทำตัวเหมือนหมาที่รอเจ้าของชื่นชม นั่นเป็นภาพที่ไพมอนเห็น
“เธอน่ะ ถูกครึ่งผิดครึ่งนะ”
“ห้ะ-หาาา?”
สิตริขมวดคิ้ว เธอดูเหมือนสิงโตทะเลที่กำลังเผชิญภัยคุกคามชีวิต
“ถูกครึ่ง……และผิดครึ่งเหรอ? ก็ถ้าถูก ก็ถูกสิ แล้วถ้ามันผิดก็ต้องผิดสิ ใช่ไหม?
อ่ากกกก แล้วฉันจะมาถูกครึ่งผิดครึ่งได้ยังไงกัน?”
สิตรินั้นเป็นจอมมารระดับสูงที่ขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ด้วยพละกำลังและความเป็นผู้นำ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับความเชื่อมั่นในการรบ เธอยังคงขาดความฉลาดอยู่
เมื่อใดก็ตามที่เธอเข้าสู่สนามรบ ความโง่เขลาก็จะหายไปโดยไม่มีเหลือ เช่นเดียวกับสัญชาตญาณที่พร้อมพิชิตการต่อสู้ได้โดยสมบูรณ์
แต่ในสมรภูมิอื่นนอกการรบ ระดับสมองของเธอยังเป็นที่ชวนตั้งคำถาม
หากบาร์บาทอสนั้นเป็นนักรบที่ใช้พลังความฉลาดและการวางแผนเพื่อได้รับชัยชนะในสมรภูมิด้วยกลศึก
สิตริก็เป็นนักรบที่พิชิตสมรภูมิด้วยพละกำลังและสัญชาตญาณ เธอมีความสามารถในการสู้ในศึกมากกว่าสงคราม
ดังนั้นไพมอนจึงเชื่อว่า ทำไมเธอจึงสามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นได้
ไพมอนมองตัวเองในฐานะผู้ปกครองไม่ใช่แม่ทัพทหาร
“แล้วเธอคิดว่า โลกใบนี้จะเปลี่ยนไปเพียงเพราะกองทัพจอมมารพิชิตทวีปได้อย่างนั้นหรือ?”
“หือ? ก็ไม่ใช่ว่าโลกจะกลายเป็นสถานที่เผ่าปีศาจอยู่ได้อย่างมีความสุขเหรอ?”
ไพมอนหัวเราะออกมา คำตอบแสนใสซื่อของสิตริทำให้สดชื่นขึ้นมาทันที สิตริแก้มป่องทันทีเพราะคิดว่า ไพมอนกำลังแกล้งเธอเล่น
ไพมอนไม่หลบตาเธอ เธอมองสิตริด้วยดวงตาสีแดงสการ์เล็ท อย่างเป็นกันเอง
หลังจากที่เธอเลือกคำบางคำออกมาในหัว เธอก็พูดออกมาอย่างชัดเจนและนุ่มนวล
“ข้าขอโทษ มันนานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นใครที่ยังรักษาความใสซื่อเมื่ออยู่ในตำแหน่งเช่นเธอ
สิตริ ถึงข้าจะหัวเราะออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่มันก็เหมือนกับข้าได้เจอสาวแรกแย้มคนหนึ่ง”
“…….”
สิตริเบนสายตาไปทางอื่น ตอนที่เธอรู้ว่าตัวเองกำลังถูกชมเชย ใบหน้าของเธอนั้นกลายเป็นสีแดง ด้านนี้ของเธอมันไม่แฟร์เลยนี่ สิตริคิด
ไพมอนน่ะมองอีกฝ่ายด้วยความจริงใจเสมอ ความจริงใจอย่างนั้นที่แทบหาไม่ได้เลยจากจอมมารตนอื่น
ในขณะที่ทุกคนเอาแต่ทรยศและวางแผนชั่วใส่กัน ไพมอนเป็นเพียงตัวตนเดียวที่ขีดเส้นชัดระหว่างเพื่อนและศัตรู เธอปฏิบัติกับเพื่อนดังเช่นเพื่อน และกับศัตรูดังเช่นศัตรู
เธอไม่เคยปิดบังเรื่องที่ เธอรักมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่น
นี่คือสิ่งที่ไพมอนและบาร์บาทอสต่างกัน บาร์บาทอสนั้นแบ่งแยกเพื่อนและศัตรู แต่เธอพยายามปกครองเพื่อนในฐานะผู้นำ
ส่วนไพมอนนั้นปฏิบัติกับเพื่อนอย่างเสมอภาค นั่นคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมฝ่ายภูเขาจึงมีมากกว่าฝ่ายที่ราบ
“ถะ-ถึงอย่างนั้น! ท่านหมายความว่ายังไง ที่บอกว่า ถูกครึ่งผิดครึ่งน่ะ!?”
“โลกที่เผ่าปีศาจสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข ตรงนั้นถูก มันอาจเกิดขึ้นได้
แต่ถึงอย่างนั้น หากเธอมองในมุมอื่นดู มันก็จะเป็นโลกที่มนุษย์ยากที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้”
ไพมอนลากฝ่ามือของเธอไปทั่วทั้งแผนที่ทวีป
“แต่ดูนี่สิ มีมนุษย์อยู่มากมายเลย แม้กองทัพจอมมารจะสามารถพิชิตทั้งทวีปได้ พวกเขาก็ไม่อาจฆ่าล้างมนุษย์ให้หมดไปได้อยู่ดี
มนุษย์นั้นจะเป็นเหมือนทาสและตกอยู่ในชนชั้นที่ต้องรับใช้สังคมของเผ่าปีศาจ”
“หืมมม แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะ? ก็เป็นปกติธรรมชาติอยู่แล้วที่ผู้อ่อนแอต้องรับใช้ผู้แข็งแกร่งนี่”
ไพมอนมองสิตริด้วยแววตาสิ้นหวัง
“มันอาจจะเป็นความจริงในโลกของปีศาจนะ? สิตริ
แต่ข้าไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ข้าไม่เชื่อว่า นั่นเป็นโลกสำหรับเผ่าปีศาจ มันเป็นโลกสำหรับจอมมารต่างหาก”
“เอ๋?”
“จอมมารนั้นสามารถอ่านอารมณ์ของปีศาจได้ ดังนั้นเผ่าปีศาจจึงไม่อาจเป็นอื่นไปสำหรับจอมมารได้
ตัวตนของบุคคลที่สามารถปฏิบัติกับผู้อื่นได้เหมือนกับตัวเอง นั่นคือ สิ่งที่เป็นนิยามของ จอมมาร
…….ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วที่จอมมารจะเป็นผู้เดียวที่ปกครองเหล่าปีศาจทั้งหลาย ทุกคนต่างเชื่อแบบนั้น”
จอมมาร เผ่าปีศาจ และยังมีเผ่าอื่นที่ทำเหมือนเรื่องนั้นเป็นความจริง
แม้จอมมารจะไม่สามารถเป็นเผด็จการอำนาจเบ็ดเสร็จได้อย่างแท้จริง แต่ปีศาจทั้งหลายต่างเชื่อในอุดมคติการอยู่ใต้การนำของจอมมาร
ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับอุดมคตินั่นหรือไม่ พวกเขาต่างก็รู้แน่ว่านั่นเป็นทิศทางที่ถูกต้อง
ไพมอนก็เคยเป็นแบบนั้นเช่นกัน ความจริงแล้วเธอเชื่อมั่นในอุดมคตินั่นยิ่งกว่าใครๆทั้งปวง ในช่วงระดมกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 1 ไม่มีจอมมารตนไหนที่ขยันขันแข็งเท่าเธอเลย
ในตอนนั้นไพมอนกับบาร์บาทอสนั้นเป็นสหายที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน เหมือนอย่างที่จอมมารเป็น
แต่ถึงอย่างนั้น พอเกิดสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 2 ไพมอนเริ่มมีข้อสงสัย
มันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า?
โลกที่ตกอยู่ใต้การนำของจอมมารเป็นเส้นทางที่ถูกต้องจริงหรือไม่?
เธอนั้นคิดแล้วคิดอีก จอมมารนั้นพยายามที่จะกวาดล้างชาติมนุษย์เพราะเหตุผลง่ายๆคือ ไม่สามารถอ่านอารมณ์ของพวกเขาได้
มนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอะไรมากเกินไปกว่าอุปสรรคที่ขัดขวางการสร้างสังคมที่สมบูรณ์แบบ
แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากผ่านการต่อสู้ที่รุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า
ไพมอนก็ได้เป็นประจักษ์พยานว่า เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจนั้นไม่แตกต่างกันเลย
ต่อมาใน ทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 3 ไพมอนและบาร์บาทอสแตกหักกัน
‘แกพูดอะไรของแกวะ?’
‘พวกเราไม่อาจอ่านอารมณ์ของพวกเขาได้ แล้วมันมีอะไรที่แตกต่างกันล่ะระหว่างมนุษย์กับปีศาจ?
บาร์บาทอส พวกเขาก็มีเลือดมีเนื้อ พวกเขาก็รู้จักเจ็บจักปวด พวกเขาก็รู้จักความสุขเหมือนกัน
ยิ่งกว่านั้นพวกเขาสามารถติดต่อสื่อสารกับเราได้ด้วย”
“แล้วไง? แม่งเอ๊ย แล้วมันยังไงล่ะ?’
แม้บาร์บาทอสจะมองด้วยสายตาดุดัน แต่ไพมอนก็ยังคงยืนยันหลักการตนเอง
‘ลองคิดให้ดีๆสิ…….โลกจะเป็นยังไงหากไม่มีตัวตนจอมมารอยู่ล่ะ?
ถ้าสิ่งเดียวที่ต่างกันระหว่างมนุษย์กับปีศาจคือการที่จอมมารอ่านอารมณ์ได้หรือไม่ได้ล่ะ
……หากเป็นอย่างนั้น มนุษย์กับปีศาจก็ไม่ต่างกันเลยนี่ ถ้าไม่มีจอมมารอยู่น่ะ?
บาร์บาทอส ไม่ใช่พวกเราเหล่าจอมมารเองน่ะเหรอที่เป็นผู้มาเยือนผู้แปลกแยกของโลกนี้ไม่ใช่พวกมนุษย์น่ะ?’
นั่นเป็นประโยคที่ตัดสินชี้ขาด
หลังจากวันนั้นบาร์บาทอสก็แยกตัวจากไพมอน จากมุมมองบาร์บาทอสนั้น เธอไม่สามารถยอมรับแนวคิด ของไพมอนที่ตั้งคำถามการมีตัวตนอยู่ของจอมมารได้
โลกปีศาจนั้นแห้งแล้งอยู่แทบตลอดเวลา
ความฝันของปีศาจจึงการมีชีวิตอยู่อย่างเท่าเทียมกันบนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ จอมมารเป็นผู้เดียวที่แบกรับความฝันนั้น
บาร์บาทอสนั้นเป็นผู้แบกรับความฝันนั้นและเชื่อว่า การกำจัดมนุษย์ทิ้งไปเป็นการสร้างสังคมเท่าเทียมกัน
จอมมารเป็นผู้เดียวที่เหมาะสมในการดูแลอารมณ์ของปีศาจนับหมื่นตัว…….
ในอีกแง่หนึ่ง ไพมอนยังคงสงสัย ถ้ามนุษย์กับปีศาจไม่ต่างกัน แล้วจะมีสิทธิ์ในการกวาดล้างเผ่ามนุษย์เพื่อสร้างสังคมอุดมคติได้อย่างไรกัน?
แล้วมันจะไม่มีสังคมอุดมคติเป็นโลกที่ มนุษย์ ปีศาจและเผ่าอื่นต่างอยู่ด้วยกันได้อย่างเท่าเทียมกันเหรอ?
ด้วยความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน เพราะมีจอมมาร จึงกลายเป็นเหตุให้มนุษย์และปีศาจนั้นปฏิบัติต่อกันราวกับเป็นคนละเผ่าพันธุ์
สังคมที่เป็นอุดมคตินั้นควรเป็นสถานที่ที่ทุกคนเท่าเทียมกันโดยไม่มีจอมมาร…….
นั่นเป็นชั่วขณะที่ชี้ขาดเลยว่า ฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขาจะแยกทางกัน
“ความเท่าเทียมใต้การบัญชาการของจอมมาร ฟังดูอาจจะเป็นโลกที่ดี
แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงมันเป็นอย่างนี้ต่างหาก จอมมารเป็นผู้ปกครองเหนือทุกสิ่ง และมนุษย์ก็รับใช้ราวกับเป็นทาสอยู่ใต้ทุกคน
เลดี้ผู้นี้ยากที่จะเชื่อว่า โลกแบบนั้นมันใช่โลกอุดมคติจริงหรือ”
“…….”
สิตริไม่อาจเข้าใจคำพูดของไพมอนได้ดี
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอก็รู้สึกว่า คำพูดที่ออกมาจากปากของไพมอนช่างยอดเยี่ยมนัก
“ในการระดมกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งนี้ ฝ่ายภูเขาของเราจะต้องเผชิญกับทั้งราชอาณาจักรทิวทันและสาธารณรัฐบัตตาเวียน
อาจเป็นโชคชะตาก็ได้ ที่ท่านบาอัลนั้นตั้งใจจะบอกเตือนกับเลดี้ผู้นี้…….
ท่านได้ให้โอกาส ข้าร่วมมือกันกับสาธารณรัฐบัตตาเวียน …….
นี่กลายเป็นว่า ข้านั้นติดหนี้ท่านบาอัลเสมอมา แม้เขาจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของใบมอนหายวับไปในชั่วพริบตา
คิ้วของสิตริขมวดขณะที่มองไปที่ไพมอน แล้วจึงพูดออกมาตรงๆ
“ขอโทษ ฉันไม่เข้าใจเลยว่า พี่สาวกำลังพูดถึงอะไรอยู่”
“สุดท้ายแล้ว มีหนทางเดียวที่มนุษย์และปีศาจจะอยู่ด้วยกันอย่างเท่าเทียม
สิตริ ข้าไม่ได้หมายถึง การที่เป็นสมบูรณญาสิทธิราช(Absolute Monarchy)โดยมีจอมมารเป็นศูนย์กลาง
แต่ข้าหมายถึง ประเทศที่ทุกคนต่างมีอำนาจอธิปไตย
พูดง่ายๆคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยต่างหาก คือ คำตอบเดียว”
สาธารณรัฐบัตตาเวียนนั้นเป็นสาธารณรัฐแห่งเดียวในทวีปมนุษย์ แนวคิดสาธารณรัฐนั้นแพร่ไปยังชาติอื่นได้อย่างกว้างขวาง
ไพมอนตั้งใจร่วมมือกับฝ่ายสาธารณรัฐเพื่อสู้กับฝ่ายสนับสนุนระบอบราชา
สมาชิกระดับสูงของมนุษย์โดยมากก็เป็นผู้สนับสนุนระบอบราชาทั้งนั้น
พวกเขาส่วนมากต่างเป็นผู้ที่ได้รับการคุกคามจากกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ฝ่ายปีศาจเองก็เช่นกัน
ไม่ว่าจะด้วยความจงใจหรือบังเอิญ ฝ่ายที่ราบผู้มีบทบาทสำคัญในสงครามนั้น สนับสนุนระบอบราชาธิปไตย
‘สุดท้ายแล้ว’
ไพมอนแอบนึกเย้ยหยันในใจ
‘เหล่าผู้ยึดมั่นในระบอบราชาธิปไตยกลับต้องมาห้ำหั่นกันและกัน’
กองกำลังจอมมารและผู้สนับสนุนระบอบราชาต่างฟาดกันอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันฝ่ายภูเขาก็ได้ให้การสนับสนุนฝ่ายสาธารณรัฐ
เป็นที่ชัดเจนเลยว่า กลุ่มที่สนับสนุนราชาธิปไตยทั้งฝ่ายกองกำลังปีศาจและฝ่ายทหารมนุษย์สุดท้ายแล้วก็จะอ่อนแอลงมากหลังจบสงคราม
ไพมอนจะฉวยอากาสนั้น ฝ่ายภูเขาของเผ่าปีศาจและฝ่ายสาธารณรัฐของฝ่ายมนุษย์จะทำงานร่วมกัน แล้วพลิกสถานการณ์ ชิงโอกาสมาทันที!
ยืมดาบฆ่าคน
นี่คือ สาเหตุว่าทำไมสมมุติฐานของสิตริถึงได้ถูก
ตัวเธออาจไม่ได้ให้มนุษย์ต่อสู้กับฝ่ายที่ราบ
พูดให้ตรงกว่านั้น เธอกำลังทำให้ผู้นิยมระบอบราชาของฝ่ายมนุษย์กับฝ่ายที่ราบรบกัน
ด้วยการให้ข้อมูลต่อเจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กเรื่องทัพพันธมิตรก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นเอง
เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น เจ้าหญิงลำดับสามก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยกอำนาจทางการทหารให้กับผู้สืบทอดโดยชอบธรรม อย่างเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง
และไม่มีทางที่มกุฏราชกุมารจะปล่อยให้เจ้าหญิงอยู่สบายหลังได้อำนาจทางการทหารมาแล้ว
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง
…….ไพมอนคาดการณ์คร่าวๆแล้วว่า เจ้าหญิงจะเลือกตัดสินใจทางไหน ไม่สิ ไพมอนตั้งใจจะหลอกล่อให้เจ้าหญิงเลือกเส้นทางนั้นเองต่างหาก
ไพมอนม้วนแผนที่เก็บ
“เรามาจบประเด็นหนักๆกันตรงนี้เถอะ สิตริ แล้วเรามาใช้เวลาสบายๆด้วยกัน”
“อ๋า? แน่นอนค่ะ ฮี่ฮี่ วันนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ พี่คะ ฉันจะพาพี่ไปถึงสวรรค์”
สิตริอุ้มไพมอนอย่างแข็งขันเหมือนกับรอเวลานี้อยู่แล้ว
จากนั้นเธอก็วางตัวไพมอนลงบนเตียงในหัวมุมห้อง ไพมอนหัวเราะออกมา
“แหม ที่รัก เลดี้ผู้นี้ไม่ชอบการถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงเลย…….”
“นั่นก็เพราะเธอน่ะไม่รู้ว่า ความรุนแรงมันมีพลังแค่ไหนน่ะสิ เอาล่ะ นับจากนี้เรียก ข้าว่า มาสเตอร์”
“นี่เราจะโรลเพลย์กันเหรอ? แบบนั้นข้าก็ว่าดีนะ มาสเตอร์ ได้โปรดปฏิบัติกับเลดี้ผู้นี้อย่างใจดีด้วย”
“โอ้ ? นี่แกเป็นแค่สาวใช้กล้าดียังไงมาร้องขอความใจดีน่ะ!?
ยินดีเสียเถอะที่รูสกปรกของแกจะเติมเต็มไปด้วยสมาชิกผู้สูงส่งของข้า”
สิตริลงมือจัดการกับไพมอนทั้งที่ยังเปลื้องผ้าของไพมอนยังไม่ทันเสร็จด้วยซ้ำ
ไพมอนนั้นยังคงครุ่นคิดกับตัวเองทั้งที่ยังได้เพลินกับสัมผัสอันรุนแรง
แม้เธอจะหวังให้มนุษย์กับจอมมารต่อสู้กันอย่างรุนแรง
ดันทาเลี่ยน ชายคนนั้นที่ใช้แผนการประหลาด เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะสามารถพิชิตภูเขาดำได้เพียงแค่การใช้ทหาร 2,000 นาย
เธอได้เตือนพวกมนุษย์ให้ระวัง จอมมารดันทาเลี่ยน
เธอคิดว่าจะบอกกับพวกเขาในตอนที่กำลังถูกถอนลำออก
เธอพ่นลมหายใจอันร้อนแรงออกมา
“ดะ-เดี๋ยวก่อน ฮึก นายท่านรุนแรงเกินไปแล้ว! ได้โปรดเบาลงหน่อย……!”
“หุบปากซะ โฮ่ แต่ดูเหมือนปากล่างของแกจะแฉะแล้วนี่”
“อู้วว อ๊าาาาา!”
……ไว้หลังจากนี้จบ เธอค่อยคิดถึงมันต่อดีกว่า ไพมอนบอกกับตัวเองอย่างนั้น