ตอนที่ 7.2 ชาดำเย็นกับเมฆฝนที่ก่อตัว 2
บทที่ 7.2 ชาดำเย็นกับเมฆฝนที่ก่อตัว (2)
ผมรวบรวมความกล้าเพื่อออกไปหาอาสึกะที่ห้องสอง แต่น่าเสียดายที่เหมือนจะออกไปแล้ว
สุดท้ายแล้วตัวผมสุดจะน่าเศร้าที่ตัดสินใจจะกินข้าวคนเดียวก็ไปที่โรงอาหาร
ถ้าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่แออัดแบบนั้นละก็ ถึงจะกินข้าวคนเดียวก็ไม่เด่นแล้ว
ถ้านั่งตรงกลางอาจจะเด่นอยู่หน่อย ถ้าไปตรงริม ๆ ก็คงไม่เป็นไร
แต่จริง ๆ แรกเริ่มเดิมทีถ้าไม่ใช่คนรู้จักกันก็ไม่มีใครมานั่งสนใจกันหรอก
แล้วยิ่งเป็นคนเพื่อนน้อยอย่างผมแล้วด้วยยิ่งไม่ได้ดึงดูดใครเข้ามาได้เลย
ถึงจะเป็นความจริงที่ชวนเหงาไปหน่อย แต่สถานการณ์แบบนี้ก็ต้องบอกว่าช่วยได้เยอะ
ผมยืนอยู่ที่เครื่องกดบัตรอาหารระหว่างที่คิดเรื่องนี้ไปด้วย
ที่เครื่องนี้มีนักเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสามต่อคิวตัดยาวเหยียด อาจจะรู้สึกว่าผิดพลาดนิดหน่อยที่มันมีแค่สองเครื่องเท่านั้น
ถ้ามีสักสี่เครื่องคนก็คงไม่แออัดขนาดนี้ แต่ก็ใช้แค่ตอนพักกลางวันอย่างเดียวนี่นะ จะมาเพิ่มจำนวนก็คงเปลืองงบน่าดู
บวกกับที่ห้องเรียนไม่มีเครื่องปรับอากาศด้วย การตั้งสมมติฐานของผมต้องถูกต้องแน่นอน
ผ่านไปห้านาทีในที่สุดแถวแสนยาวก็จบลง ผมมายืนอยู่ตรงหน้าเครื่องกดบัตรอาหารสักที
เมนูแนะนำก็จะมี เซตโคร็อกเกะ เซตเนื้อย่าง ราเมงแล้วก็เท็นชินฮัง
อยากจะตั้งใจเลือกอยู่หรอกแต่ยังมีคนต่อแถวอยู่เลยรีบกดปุ่มราเมงออกมา
ทั้งที่กดไปอย่างไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างน่าประหลาด
ผมไหลไปตามกระแสของผู้คน จากนั้นก็ยื่นตั๋วให้กับคุณป้าเจ้าหน้าที่ตรงนั้น
รอสักประมาณสองนาที ชิโอะราเมงก็ถูกวางบนเคาน์เตอร์
[เอ้า ชิโอะราเมงจ้า]
[ขอบคุณมากนะครับ…]
[ไม่ร่าเริงเลยนะหนู กินของอร่อยแล้วรีบกลับมาร่าเริงซะนะ!]
[ค ครับ]
ถึงคุณป้าเจ้าหน้าที่ดูจะหนักหน่วงกับการรับมือแถวยาวจนชวนให้ห่อเหี่ยว แต่ยังสามารถมอบความอบอุ่นให้กับพวกผู้คนได้ด้วยสินะเนี่ย
อารมณ์ของคนเราจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราคุยกับใครอยู่สินะ
ผมถอนหายใจของตัวเองด้วยความรู้สึกสบายใจ แอบรู้สึกยินดีที่ตัวเองกำลังตื่นเต้นกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เกิดความสนใจว่าอยากจะสนิทกับใครให้มากกว่านี้ไปอีก
อยากรู้จังเลยว่าเวลาใครต่อใครคุยกับผมแล้วคิดยังไงกับผมกันบ้าง
แต่จากที่ผมคุยกับคุณป้าเจ้าหน้าที่เมื่อกี้ สายตาของคนรอบ ๆ ก็มองไปในทางบวกนะ
หือ รุ่นน้องควบสถานแฟนที่เพิ่งจะคุยกันไประหว่างยามสายของเมื่อเช้า—ฟุเอโนะฮินะนี่
ตรงหน้าเธอมีอุด้งชามใหญ่วางอยู่ อยากจะถามเหมือนนะว่าจะยัดเข้าไปในร่างเล็ก ๆ นั่นได้ยังไง
พอฮินะสังเกตเห็นผมก็รีบลุกขึ้นมาโบกมือให้ทันที
[รุ่นพี่คะ! รุ่นพี่!]
[เอ๋ ฮินะเหรอ]
แอบเขินนิดหน่อยก็เลยตอบกลับไปแบบเก้ ๆ กัง ๆ
แอบจงใจนิดหน่อยน่ะนะ
แต่เหมือนฮินะจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่เลยพูดแค่ว่า [เชิญค่ะ!] แล้วก็ชี้ที่นั่งข้างหน้าให้ จัดแจงให้ผมเป็นอย่างดี
[ขอบใจนะ–]
ใจง่ายจังนะผม
ผมตำหนิตัวเองในใจแล้วนั่งตามที่ฮินะบอก
โต๊ะที่เรานั่งเป็นโต๊ะสำหรับสองคน ระยะก็เลยใกล้มากจนทำให้ผมเห็นหน้าฮินะได้ชัดเจนเลย
เป็นคนตาโตกว่าผมประมาณเท่านึงได้ แอบคิดแปลก ๆ นิดหน่อยว่าเป็นมนุษย์เหมือนหรือเปล่า
จมูกกลม ๆ เหมือนกับสัตว์ตัวเล็กที่พอรวมกับผมน้ำตาลบ็อบแล้วทำให้ดูน่ารักเข้าไปอีก
แต่ผมไม่สามารถที่จะบรรยายเรื่องนี้ออกมาเป็นคำพูดได้ เลยตัดสินใจวางตะเกียบไว้แล้วหยิบชามราเมงขึ้นมา
ซดน้ำซุปเข้าไป ตามด้วยหน่อไม้ แล้วตบท้ายด้วยเส้น
[อว่อ-อย…!]
เหมือนจะกะพลาดไปหน่อยนึง เส้นเต็มปากเลย
…สงสัยต้องใช้เวลาเคี้ยวนานหน่อยแฮะ
[ลักษณะท่าทางของรุ่นพี่เนี่ย เลอค่าสุด ๆ เลยนะคะ…]
[…]
[หุหุ เริ่มด้วยซุปแล้วตามด้วยหน่อไม้ เข้าใจเลยค่ะเข้าใจเลย ก่อนอื่นก็ต้องกินเครื่องเคียงก่อนสินะคะ]
[…]
[อ๊ะ จะว่าไปแล้วก็กินถั่วงอกเข้าไปพร้อมกับเส้นจำนวนมากเลยสินะคะ แต่ไม่ใช่แค่นั้นยังเหลือนารูโตะเอาไว้ตบท้ายอีกก็สมกับเป็นรุ่นพี่เลยค่ะ วันนี้ก็เหลือไว้อีกใช่ไหมละคะ?]
[…]
[ถึงเส้นของที่นี่เป็นเส้นแบบหนาแต่ก็อร่อยเหมือนกันสินะคะ หนูคิดว่ารุ่นพี่จะชอบแบบเส้นบาง ๆ มากกว่าอีก แต่เห็นว่าสั่งบ่อยขนาดนี้ก็สแดงว่าเส้นของที่นี่คือดีมากเลยสินะคะเนี่ย]
อึก
[ทำไมพูดคนเดียวอยู่ละเนี่ย!? กลัวจนกินไม่ลงเลยนะ!? ]
พอกลืนเสร็จผมก็วางตะเกียบลง
ทันใดนั้นฮินะก็กระพริบตารัว ๆ ใส่ผม
ทำไมถึงทำเหมือนผมพูดอะไรแปลก ๆ ละเนี่ย
[เอ๋ กินต่อไปเลยก็ได้นะคะ? หนูแค่ดูเฉย ๆ เอง]
[ไอนั่นแหละที่น่ากลัวที่สุดเลยนะ…?]
พอผมไม่หยิบตะเกียบขึ้นมา ฮินะก็ยิ้มออกมาเหมือนกับจะรู้สึกผิด
[ก็แบบว่านะคะ คือหนูนั่งกินข้าวเดียวมาตลอดเหงามากเลยละค่ะ ถ้าไม่ได้เสพรุ่นพี่หนูก็จะกลายเป็นกระต่ายเฉาเอานะคะ อ๊ะ ความหมายก็คือถ้ารุ่นพี่ไม่มีรุ่นพี่อยู่คือตายสถานเดียวค่ะ อา~ พระเจ้าขา ช่วยให้หนูกดกาชาได้รุ่นพี่มาทีเถอะค่ะ]
[ฮินะไม่มีเพื่อนเลยเหรอ?]
[ไม่มีนะคะ?]
[ไม่มีจริงเหรอเนี่ย!]
ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยเหรอเนี่ย
พูดออกมาได้ลื่นไหลเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแฮะ
[งั้นที่วันนี้มาสายก็เพราะเหตุผลนี้เหรอ]
[ไม่ใช่แล้วค่ะ เพราะอยากเจอรุ่นพี่ต่างหากละคะ! จะให้ต้องพูดอีกครั้งคะเนี่ย เอเฮะเฮะเฮะ]
[…]
[ถูกโยงมั่วแบบนี้น่าเศร้าจังเลยค่ะ…]
[ตามอารมณ์ไม่ทันแล้ว…]
ผมตักซุปเข้าปากไปอย่างเงียบ ๆ ความเหนื่อยล้าที่มีก็ค่อย ๆ ละลายหายไป
[นี่ เมื่อเช้ารอจนเวลาขนาดนั้นเนี่ยไม่รู้สึกแย่เหรอ ถ้าไลม์มาก็จะหาเวลาให้เจอกันได้นี่]
[แต่คนที่มาสายคือรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอคะ]
[จะว่าไปก็ อื้ม ….ขอโทษนะ]
คำตอบเมื่อกี้ทำเอาผมเผลอขอโทษออกมาเลยแฮะ
ฮินะหัวเราะคิกคักออกมาแล้วพูดต่อ
[หนูน่ะ จะตอนไหนถ้าไม่ได้เจอรุ่นพี่ก็รู้สึกแย่เหมือนกันหมดแหละค่ะ]
[ถ้านอกเหนือจากเรื่องฉันละ]
[บู-]
ฮินะทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจแล้วก็ทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
[อื~ม…ถ้าไม่ใช่เรื่องของรุ่นพี่หนูโอเคไปหมดนะคะ ชอบกลิ่นของแม่น้ำ หรือการใช้ชีวิตสบาย ๆ แบบนี้ก็ชอบค่ะ]
หลังฮินะพูดเสร็จในที่สุดก็ยอมกินอุด้งสักที
ตั้งแต่ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ฮินะก็ไม่แต่อุด้งเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เป็นคนที่หางตาตกแล้วก็ขนตายาวดีแฮะ
ตัวผมคนเดิมที่หลอกล่อรุ่นน้องแบบนี้มาเนี่ยก็ควรโดนทัณฑ์สวรรค์จริง ๆ แหละ
เพราะงั้นผมก็เลยมาตกอยู่ในสภาพนี้ไง
ระหว่างที่ผมกำลังเถียงกับตัวเองอยู่ก็เห็นด้วยกับฮินะเหมือนกัน
[เข้าใจเลย ฉันก็ด้วย เวลาได้ฟังเสียงแม่น้ำไหลผ่านทำให้รู้สึกสงบใจมากเลยละ]
[เอะเฮะเฮะ นั่นสินะคะ! จุดร่วมเพิ่ม 1 แต้ม ค่าความสนิทเพิ่ม 1 แต้ม!]
[บอกว่าอย่าคำนวณอะไรแบบแปลก ๆ นั้นออกมาไง!]
[หัวหนูเป็นโปรแกรมเอ็กเซลน่ะสิคะ…]
[อย่าดูถูกโลกแห่งเอ็กเซลนะ!]
ฮินะรินน้ำใส่แก้วเปล่าแล้วส่งมาให้ผม จากนั้นก็กลับไปกินต่อตามปกติ ส่วนผมก็พยายามไม่พูดอะไรแปลก ๆออกไป
[ขอบคุณนะ]
[หุหุ ขอบคุณที่พูดคำว่าขอบคุณให้นะคะ]
[อะไรละนั่น ตอบกลับได้วิเศษจริง]
[ฟุหวา…ระ รุ่นพี่บอกว่าหนูวิเศษด้วย]
ฮินะจะชอบตอบกลับผมมาด้วยอะไรแปลก ๆ อย่าง [อุหวา!] [ฟุเอ๊!] ราว ๆ นี้ประจำเลย
อยู่สวนสัตว์หรือไงเนี่ย
ระหว่างที่คิดอยู่ผมก็หันไปมองข้างหลัง
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงเหมือนกับเด็กปีหนึ่งแบบเดียวกับฮินะเลย
เป็นเสียงของกลุ่มเด็กผู้ชายที่พูดกันประมาณว่า [พวกรุ่นพี่ปีสองนี่] [เห โคตรน่ารักเลย!] ด้วยอารมณ์สนใจ
พอไล่สายตาตามไปก็เจอกับคนสองคนที่คุ้นตากำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร
เป็นคนที่ทั้งงดงามและและดูสดใส
[ว้าว…]
ผมเผลอส่งเสียงร้องแบบเดียวกับนักเรียนปีหนึ่งก่อนหน้านี้
สองคนนั้นก็คือหัวหน้าของสามฝ่ายใหญ่ อริสึคาวะกับอาสึกะนั่นเอง
ถึงจะมองจากไกล ๆ ก็ยังรู้เลยว่าสุดจะเด่น
ตอนที่สองคนนั้นเดินมาคู่กันแบบนี้บรรยากศเหมือนกับว่าทุก ๆ ที่ที่ผ่านกลายเป็นเหมือนปูพรมแดงอยู่เลย
ถึงแผนกที่เกี่ยวกับวงการบันเทิงจะหายไปแล้ว แต่สองคนนั้นก็สร้างบรรยกาศให้เหมือนกับมันยังไม่ได้หายไป
นักเรียนปีสองกับปีสามคงจะชินกันแล้วเลยมองกันแค่ผ่าน ๆ ไป แต่เด็กใหม่อย่างปีหนึ่งที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็จ้องกันตามไม่วางเลย
…. แต่พอเห็นอริสึคาวะกับอาสึกะมาที่โรงอาหารก็ทำเอาผมอดกังวลไม่ได้
มันทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนไปเหมือนตอนอยู่ที่ห้องก่อนหน้านี้ทันที
อาสึกะทำหน้าเหมือนกำลังสำนึกอผิดอะไรสักอย่างอยู่ อยากเชื่อเหมือนกันว่าจะไม่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น
เหมือนตอนนี้ทั้งคู่จะยังไม่สังเกตเห็นผมเลยเดินไปนั่งที่โซนตรงข้ามกับทางนี้
ระยะห่างกันประมาณสักยี่สิบเมตรได้ ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นผมถือว่าน้อยมาก
[รุ่นพี่..ไม่ต้องไปเหรอคะ?]
ฮินะถามผมด้วยอาการกระอักระอ่วน
[เอ๋? อื้ม ก็นะ]
ที่อริสึคาวะบอกว่ามีนัดก็คือมากับอาสึกะนี่เอง
ถึงได้ไม่เจอกับอาสึกะสินะ เพราะจังหวะที่อริสึคาวะออกไปก็พอดีด้วย
แถมอาสึกะก็ไม่ได้บอกอะไรมาเพราะงั้นคิดว่าคงอยากใช้เวลาด้วยกันสองคนนั่นแหละ กลับกันถ้าผมไปหาน่าจะโดนหงุดหงิดใส่นะ ไม่สิ ต้องโดนหงุดหงิดใส่แน่นอน
[ไม่ต้องไปน่ะดีแล้ว]
[…งั้นเหรอคะ เอเฮะเฮะ ขอบคุณนะคะ]
ฮินะยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุข
เป็นร้อยยิ้มที่สดใสไร้มลทินจริง ๆ
เด็กผู้หญิงที่ใส่ซื่อขนาดนี้…มาเป็นแฟนของผมนี่มัน
ทันใดนั้นหน้าอกพลันเจ็บปวดขึ้นมา
[ขอโทษนะ…ที่มีแฟนแบบนี้]
[เอ๋?]
ฮินะกระพริบตาหนึ่งครั้ง
หลังจากหายใจเข้าออกหนึ่งครั้งก็ส่ายหน้า
[ไม่ ไม่ใช่สักนิดเลยค่ะ! กลับกันหนูที่มาใหม่ที่สุดนี่แหละที่รบกวนทุกคนที่สุด! แค่หนูได้อยู่ข้าง ๆ รุ่นพี่ที่มีตัวตนอยู่จริงไม่ใช่ของหลอกลวงแค่นี้ก็มีความสุขสุดล้นพ้นแล้วค่ะ !]
ฮินะจัดเรียงคำพูดของตัวเองแล้วพูดออกมาในคราเดียวจากนั้นก็พูดต่อว่า [เพราะฉะนั้น]
[แค่ได้เข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์ของพวกรุ่นพี่หนูก็ถือว่าโชคดีมากแล้วค่ะ]
ผมวางถ้วยของผมลงแล้วพูดตอบกลับ
[…อย่าพูดอะไรแบบนั้นเลยนะ]
[เอ๊ะ?]
ตอนนี้ผมไม่มีคุณสมบัติในการเป็นกำลังให้ใครทั้งนั้น
แค่เพราะผมความจำเสื่อม แค่เพราะกำลังเข้ารับการรักษา แค่เพราะสภาพแวดล้อมที่ซ้อนสาม แค่เป็นตัวตนที่เผลอหลุดเข้ามาในนี้เท่านั้น
ผมเป็นแค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่อ้างนู่นอ้างนี่เอาแต่ตัวเองเป็นหลักเท่านั้นเอง
“เพียงแต่” “แต่ถึงอย่างนั้น”—“ก็ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้” แค่คำเหล่านี้ผมยังพูดออกมาไม่ได้เลย
และคนที่ยังไงผมก็รู้สักว่ายังไงก็ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ ณ ที่นี้มีอยู่คนหนึ่ง
[ฮินะ ถ้าฉันไม่อยู่แล้วจะเสียใจหรือเปล่า?]
[ค่ะ ถึงตายได้เลยนะคะ]
[เรื่องนั้นก็อาจจะเกินไปหน่อย แต่ก็นะ พูดแบบง่าย ๆ ก็คือถ้าฉันไม่อยู่แล้วก็จะเศร้าใช่ไหมละ? ฉันก็เหมือนกัน ถ้าฮินะไม่อยู่ก็คงจะเศร้า แล้วก็คิดว่าทุกคนก็คงเป็นแบบนั้นเหมือนกัน]
พอพูดรัวคำพูดจนจบ ฮินะก็ทำตาโตเป็นประกาย
เป็นประกายจนเหมือนเห็นดาวอยู่ในตาเลยละ
[ระ ระรุ่นปี้…อย่างเท่เลยค่า สุดยอดเซอร์วิสจากโอชิเลยนะคะเนี่ย!]
[อะไรละนั่นน่ะ! นี่ฉันจริงจังนะ!]
[เข้าใจนะคะเข้าใจเลยค่ะ เพราะงั้นก็เลยดีใจน่ะสิค๊า แต่ว่านะคะรุ่นพี่ “ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้” เนี่ย เขาเอาไว้พูดกันในฐานะคนรักกันหรืออะไรแบบนั้นสินะคะเนี่ย]
[กะ ก็จริงอยู่ เหมือนจะข้ามขั้นไปไกลเลยสินะ…ขอโทษด้วย]
[ไม่เลยค่ะไม่เลย ดีใจสุด ๆ เลยค่ะ!]
ผมรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับการตอบสนองนั้น เลยเกาหัวหนึ่งทีแล้วกลับไปหาราเมงอีกครั้ง
พอตักหมูชาชูในชามเข้าปากไปก็รู้สึกถึงรสชาติของน้ำซุปและตัวเนื้อทำให้รู้สึกมีความสุขขึ้น
[ถามแบบนี้อาจจะดูแย่ไปหน่อย แต่ฮินะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวฉันคนเดิมบ้างไหม?]
ฮินะหยุดการกระทำอื่น ๆ แล้วหันมาเอียงคอใส่ผม
[หมายถึงอะไรเหรอคะ? บุคลิกอะไรแบบนี้น่ะเหรอคะ?]
[ไม่ใช่ ๆ ประมาณว่าชื่อเสียงละมั้งนะ พอดีอยากจะรู้ว่าตัวฉันเองถูกใครคิดยังไงกันบ้างน่ะ ถ้ารู้ว่าเป็นยังไงคิดว่าจะดีกับตัวเรากว่าน่ะนะ]
[อย่างนี้นี่เอง!]
[แต่ว่าอยู่คนละชั้นปีกันคงไม่รู้เท่าไหร่สินะ]
[พอรู้อยู่นะคะ?]
[รู้งั้นเหรอ!?]
ผมที่กำลังว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยนเรื่องก็วางตะเกียบลง
ส่วนฮินะหลังจากที่กินอุด้งเสร็จแล้วก็พยักหน้าให้ผม
[รุ่นพี่น่ะเป็นคนดังมากเลยนะคะ สนิทกับคุณอาสึกะแล้วก็รุ่นพี่อริสึคาวะด้วยสิ แบบว่าโดดเด่นสุด ๆ เลยค่ะ]
[คนดัง? ความสัมพันธ์ของพวกเราดังไปถึงเด็กปีหนึ่งเลยเหรอ?]
เพราะอริสึคาวะกับอาสึกะเป็นคนดังงั้นสินะ
ไม่เห็นรู้มาก่อนเลย คิดว่ารู้กันแค่ในชั้นปีเท่านั้นเอง
พอผมถามกลับไปฮินะก็พยักหน้าให้ผม
[ถ้าผ่านม.ต้นโรงเรียนนี้มาก็ต้องรู้กันหมดนั่นแหละค่ะ ทั้งรุ่นพี่อริสึคาวะแล้วก็คุณอาสึกะถือว่าเป็นของสูงที่ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันเลยนะคะ หนูเองก็กับรุ่นพี่แล้วก็เหมือนกัน]
พอฮินะพูดเสร็จก็กินอุด้งต่อ
ส่วนผมก็ได้แต่เก็บความสับสนเอาไว้แล้วก็นั่งมองไปอย่างเงียบ ๆ
[ใบหน้าของรุ่นพี่มันช่าง…ยอดเยี่ยม & เลอค่าเลยค่ะ…]
[ช่างเถอะน่า พูดต่อไปซิ]
[ค่าขอโทษค่า!]
ฮินะเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจแล้วอธิบายต่อ
[อย่างที่รู้กันนะคะว่าโรงเรียนยูซากิของเราเคยมีแผนกการบันเทิงจนถึงเมื่อสามปีก่อน แล้วก็ด้วยอิทธิพลของศิษย์เก่าทำให้อัตราส่วนผู้หญิงของที่นี่เยอะกว่าผู้ชายค่ะ เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าเรื่องมาตรฐานหน้าตาของนักเรียนโรงเรียนเราเลยสูงกว่าที่อื่นน่ะค่ะ…]
ผมฟังในขณะที่กินราเมงไปด้วย แต่รู้สึกไม่ค่อยรู้รสนัก
ข้อมูลที่อยู่ตรงหน้านี้น่าสนใจกว่าเยอะเลย
[แล้วในหมู่นักเรียนปีสองน่ะนะคะ เทียบกับตอนที่มีแผนกการบันเทิงถือว่ามีการทวี*ถึงและโด่งดังในอินสตราแ*รมเยอะกว่ามาก ถึงกับมีตั้งกันเลยนะคะว่าเป็นยุคทองของโรงเรียนเลยค่ะ]
[อะไรกันน่ะ…ไม่มีพูดถึงผู้ชายเลยนะ]
[เพราะว่ามีคนน่ารัก ๆ อยู่เยอะน่ะสิคะ พวกผู้ชายเลยมองว่าให้ผู้หญิงมีอัตราส่วนมากกว่าก็ดีแล้ว อะไรแบบนี้น่ะค่ะ ถึงจะเข้าใจความรู้สึกก็เถอะนะคะ…]
ทำไมฮินะถึงได้รู้เยอะจังเลยเนี่ย หรือต้องบอกว่าผมรู้น้อยไปมากกว่าละมั้ง
[แล้วในยุคทองนี้ก็จะมีคนที่โดดนเด่นปรากฏตัวขึ้นมาค่ะ! ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะได้ยินข่าวลือหนาหูอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของสามฝ่ายใหญ่นั่นเองค่ะ!]
[อา…]
ผมที่ฟังเรื่องหลาย ๆ อย่างจนเผลอหรี่ตาลง ฮินะก็พองแก้มใส่
[ตอบสนองได้น้อยไปแล้วนะคะรุ่นพี่! เซตติ้งอย่างกับเกมจีบหนุ่ม…ไม่สิอย่างกับเกมจีบสาวขนาดนี้จะทำตัวไม่สนใจแบบนี้ไม่ได้นะคะ!]
ฮินะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก ๆ แล้วพูดต่อเหมือนจะไม่รอให้ผมอธิบายอะไรต่อ
[คนที่หนึ่งก็คือ! คนที่ไม่มีใครไม่รู้จัก นางแบบคนดังรุ่นพี่อริสึคาวะนั่นเองค่ะ! เป็นคนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นและไม่ได้สังกัดอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ด้วยความนิยมที่มีมากล้นทำให้ถูกเรียกว่าเป็นฝ่ายขึ้นมาค่ะ]
สรุปง่าย ๆ ก็คืออริสึคาวะเป็นฝ่ายที่มีแค่ตัวเองคนเดียวสินะ ไปค้นคำว่าฝ่ายมาใหม่จะกว่านะ แต่การที่แพร่กระจายได้ขนาดนี้น่าแปลกจริง ๆ ตัวอริสึคาวะคนเดียวสามารถทัดทานสู้กับอีกสองฝ่ายได้เลยสินะเนี่ย
[ต่อมาคือคนที่สอง! คนที่ถูกรุ่นพี่อริสึคาวะทาบทามให้ไปเป็นนางแบบอย่างไม่หยุดไม่หย่อน สมาชิกสภานักเรียนคุณอาสึกะนั่นเองค่ะ! โดยทั้งสองคนนี้ถูกผู้ชายหลายคนกล่าวไว้ว่าเป็นสาวสวยสุดเพอร์เฟคที่สุดในโรงเรียนนี้ค่ะ]
ฮินะเล่าให้ฟังอย่างเป็นธรรมชาติ
ส่วนตัวผมคิดว่าอริสึคาวะกับอาสึกะดูแล้วไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ แต่เหมือนฮินะจะไม่ได้คิดแบบนั้น
[ตามมาด้วยคนที่สาม! ก็คือรุ่นพี่ยูเมซากิค่ะ นั่นสินะคะ…จะว่ายังไงดี เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายอันดับหนึ่งเลยละค่ะ แถมเป็นกลุ่มใหญ่โตจริง ๆ สมกับคำว่าฝ่ายเลย แล้วก็ส่วนตัวหนูว่าคนกลุ่มนั้นน่ากลัวนะคะ]
ผมนึกไปถึงตอนนี้ที่กลุ่มคนที่มารับยูเมซากิที่อยู่ตรงโถงทางเดินเมื่อกี้เเลยแฮะ
เหมือนจะจริงที่ว่ามีแค่ยูเมซากิที่มีผู้ติดตามสินะ
[และสุดท้ายโอชิอันดับหนึ่งของหนู รุ่นพี่ซานาดะนั่นเองค่า! ชายชื่อดังที่ยืนอยู่ตำแหน่งที่เรียกว่าสนิทกับรุ่นพี่อริสึคาวะเพียงคนเดียว เพื่อนสมัยเด็กของคุณอาสึกะ แถมยังหน้าตาตรงสเป็คหนูด้วย มีบรรยากาศเฉพาะตัวสูงจนไม่อาจละสายตาได้! กลับกันต้องบอกว่าถูกดึงดูดเข้าไปต่างหาก เป็นแบบนั้นแหละค่ะ!]
[ทำไมเอาฉันเข้าไปรวมด้วยเนี่ย! แค่ความชอบส่วนตัวไม่ใช่หรือไงน่ะ!]
[เอาสนุกเฉย ๆ เลยค่า!]
ฮินะเนี่ยบางทีก็ไปเรื่อยเหมือนกันนะ
ผมกินราเมงเข้าไปด้วยพร้อมกับคิดถึงเรื่องที่ฟังมาเมื่อกี้ไปด้วย
เรื่องหน้าตาพักไว้ก่อนเพราะส่วนใหญ่เป็นความชอบส่วนของฮินะซะ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้อยู่ดีว่าคนอื่น ๆ คิดยังกันกับผม
ถ้าอย่างในห้องเรียนเนี่ยเคยได้ยินประมาณว่า “อยากจะลองคุยด้วยนะแต่ดูเข้าหายากจัง” อะไรประมาณ—-ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ
แต่ว่าเหตุแบบนี้ก็พอรับได้อยู่น่ะนะ
[ไม่ผิดจากที่คาดไว้ว่าตัวผมค่อนข้างมีชื่อจากการที่อยู่กับอริสึคาวะแล้วก็อาสึกะละนะ เรียกว่าเป็นผลพลอยได้เฉย ๆ สินะ]
แถมยังนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับยูเมซากิด้วย
[นั่นมัน—นั่นสินะคะ หนูเองก็อาจจะถูกสองคนนั้นดึงดูดเข้ามาก่อนก็ได้ค่ะ]
ฮินะยอมรับเรื่องอย่างตรงไปตรงแล้วเสริมต่อว่า
[แต่ถ้ามีคนสนใจมากกว่านี้เดี๋ยวจะมีคนโอชิเพิ่มอีก เพราะงั้นไม่ต้องเด่นไปกว่านี้เลยนะคะรุ่นพี่!]
พูดเสร็จฮินะก็กลับไปกินอุด้งต่อ
ท่าทางเหมือนสัตว์เล็ก ๆ แบบนี้นี่น่ารักสุด ๆ เลยแฮะ
แต่ในใจของผมกลับรู้สึกขุ่นมัวขึ้นมา
[ทั้งทีเพื่อนสักคนก็ไม่มีแท้ ๆ น่าสมเพชจังเลยนะ]
พอพูดจบผมก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
[รุ่นพี่?]
ก็ไม่ใช่ว่าต้นตอความคิดจะมาจากผู้หญิงแสนน่ารักตรงนี้หรอกนะ
แต่เพราะฟื้นขึ้นมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมแบบนี้เลยเคยชิน หรือจะเรียกว่ามีคนให้คุณค่ากับผมที่อยู่ตรงนี้มากกว่า
[ที่รุ่นพี่มาถึงจุด ๆ นี้ได้ก็เพราะว่าปฏิบัติตัวกับทุกคนอย่างเท่าเทียมและเปิดเผยนี่แหละค่ะ? รุ่นพี่ถูกคิดแบบนั้นนั่นนะคะ ]
[งั้นเหรอ อื้ม…หวังให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน]
ต้องขอบคุณที่ฮินะคอยตอบโต้กับผมด้วย ตอนนี้สายตาผมหันไปที่ชามราเมงต่อ
คนซุปไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ
จากนั้นก็หยืบตะเกียบขึ้นมาเตรียมพร้อมจะกิน จังหวะนั้นก็มีเงาคนผ่านสายตาผมไป
เงาที่ว่าค่อย ๆ เดินช้าลงเมื่อเข้ามาใกล้ ๆ ผม จากนั้นก็หยุดมองมา
เป็นเงาผู้หญิงสูงประมาณ 160 เซนติเมตร
ดวงตาสีม่วงกำลังแอบมองมาที่ผมผ่านขนตายาว ๆ นั่น
และที่สำคัญที่สุดก็คือผมสีแดงเพลิงสุดจะเด่นของเธอ
คนที่คุ้นเคยสุด ๆ หัวหน้าของชั้นเรียนปีสองห้องสาม
หนึ่งในหัวหน้าฝ่ายใหญ่ ยูเมซากิ เคียวโกะนั่นเอง
[อ้าว ซานาดะ ทำไมมากินข้าวอยู่นี่ละ?]
[หวา….]
ยูเมซากิกับ ผู้ติดตามอีกสองคน
บรรยากาศตอนนี้คือเหมือนเจอกับเดอะกลุ่มสุดยอดหญิงแกร่งยังไงยังงั้นเลย
คนอื่นนอกจากยูเมซากิเป็นสาวทรงแกลผมน้ำตาลยาวกันสาวผมดำสั้นที่ดูหน้าตึง ๆ หน่อย
อาจเป็นเพราะผมเพิ่งจะรู้เรื่องรู้ราวสามฝ่ายใหญ่เมื่อกี้นี่หรือเปล่า แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้คือคนกลุ่มนี้เหมือนกลุ่มคนในมังงะที่ผมอ่านตอนเข้าโรงพยาบาลเลย อารมณ์แบบว่าโดดออกมาในโลกความเป็นจริงอะไรแบบบนั้น
หลังจากหยุดยืนอยู่สักพักก็เดินมาใกล้ ๆ กับโต๊ะเรา
[อีกอย่าง ทำไมถึงมาอยู่กับฟุเอโนะด้วย]
[รุ่นพี่…ยูเมซากิ]
ยูเมะซากิไม่สนใจคำตอบกลับใด ๆ ของฮินะ
ดูท่าทางสองคนนี้จะรู้จักกันมาก่อน แต่คงไม่ถูกเท่าไหร่หรือเปล่านะ
ยูเมซากิยังคงจ้องอยู่ที่ผมแล้วถามอะไรกับฮินะต่อไป
[ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้างละฮินะ?]
พูดถึงพวกงานพาร์ทไทม์งั้นเหรอ
พอโดนรุ่นพี่ชั้นสูงที่เป็นถึงหัวหน้าฝ่ายอย่างยูเมซากิถามเข้า ฮินะก็ทำได้แค่อ้าปากค้างเท่านั้น
ไม่รู้ว่าอาการขี้อายกลับมาหรือโดนยูเมซากิกดดันอยู่กันแน่หรือว่าจะ
[…กะ กำลังตั้งใจพักอยู่น่ะค่ะ]
[เหรอ งั้นจะพักต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้เหรอ? แล้วไม่มีงานอื่นเข้ามาเลยหรือไง?]
[พะ พอดีบอกไปว่าไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ…]
[เห…อื้ม งั้นหายไว้ ๆ แล้วกัน]
ถึงคำพูดจะดูเป็นห่วงกัน แต่น้ำเสียงที่ใช้นั้นเย็นชากว่าที่ใช้ในห้องเรียนหลายขุมเลย
ส่วนทาคาโอะนี่ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีสายตาเย็นชาอะไรแบบนั้นเลยแฮะ
อื้ม สองคนนี้คงไม่ถูกกันนั่นแหละ
[นี่ หรือว่าทั้งสองคนจะคบกันอยู่เหรอ? แหม ยอดเลยนะ]
ผู้ติดตามที่ผมดำสั้นคนนั้นเป็นคนถามแล้วคนผมน้ำตาลยาวก็เสริมต่อ
[จะว่าไปวันนี้เราเองก็มาสายเหมือนกันน่ะ เห็นสองคนนี้มาโรงเรียนด้วยกันด้วยนะ]
ยูเมซากิตอบสนองต่อคำพูดนั้นแล้วขยับเข้าไปใกล้ฮินะ
รู้สึกว่าบรรยากาศจะมาคุขึ้นมาเลย
แล้วบรรยากาศมาคุที่ว่านี่น่าอยู่แค่ตรงจุดนี้จุดเดียวไม่ผิดแน่
[ก่อนหน้านี้เคยพูดแล้วใช่ไหม เข้าใจหรือเปล่าน่ะ?]
[ค่ะ จะจำใส่ใจไว้ค่ะ]
ฮินะเม้มปากแล้วก้มหน้าลงไป
ความร่าเริงที่มีค่อย ๆ หายไป หรือจะบอกว่าห่อเหี่ยวไปแล้วก็ได้
ผมทนดูอะไรแบบนั้นไม่ไหวก็เลยพูดแทรกเข้าอย่างไม่คิด
[นี่ ยูเมซากิ…แบบว่าดูแปลก ๆ ไปนะ?]
ยูเมซากิหันกลับมามองผมด้วยสายตาที่เย็นชากว่าที่เคยได้รับในห้องเรียน
[แปลก ๆ ไป? พูดเหมือนรู้จักกันมานานเลยนะ]
[นั่นมัน…ก็ใช่แหละ]
ก็จริงที่ผมเพิ่งจะได้คุยกับยูเมซากิเมื่อวานนี้เองนี่นะ
เป็นคนรู้จักกันได้แค่วันสองวัน จะพูดอะไรแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจริง ๆ นั่นแหละ
[…เฮ้อ พอแล้ว]
เหมือนยูเมซากิจะคิดอะไรได้บางอย่าง เลยลดตัวเข้ามาใกล้ ๆ แล้วจ้องไปที่ชามราเมงที่เหลือครึ่งนึงของผม
[ซานาดะไม่ชอบหน่อไม้สินะ]
[เอ๋? ก็นะ แบบว่าไม่อยากคีบขึ้นมาเลยละ]
[งั้นขอนะ]
ยูเมซากิหยิบตะเกียบอันใหม่ขึ้นมาแล้วกินหน่อไม้เข้าไป
ฮินะที่นั่งอยู่ข้างหน้าเผลอส่งเสียง [อ๊ะ] ออกมาเบา ๆ แต่เหมือนยูเมซากิจะไม่รู้ตัว
ผมกำลังคิดว่าจะตอบไปยังไงดี แต่เอาเป็นว่าพูดขอบคุณไปแล้วกัน
[ขะ…ขอบใจนะ]
[อื้ม ขอโทษที่ทำให้บรรยากาศไม่ดีนะ]
ยูเมซากิยิ้มให้แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมจากนั้นก็กวักมือให้ผมเข้าไปใกล้ ๆ
ถ้าไม่ตอบรับคงดูแปลกแน่ ๆ เลยขยับตัวขึ้นไปตามคำเรียก
พอขยับเข้าไปใกล้ ผู้หญิงผมดำข้างหลังก็พูดขึ้นว่า [เอ๋ ท่าทางจะมีอะไรดี ๆ นะ] ออกมาด้วยความสนใจ
ซานาดะ ยูกิ—-ชายผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้าฝ่ายใหญ่ทั้งสาม
ถ้าลองคิด ๆ ดูแล้วการสนิทกับสองคนนั้นก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่
พอผมขยับตัวเข้าไปห่างกันไม่กี่เมตร ยูเมซากิก็หันมาพูดกับผม
[ซานาดะ เลือกคนที่จะกินข้าวด้วยให้ดีกว่านี้หน่อยนะ]
[เอ๋?]
[คงไม่อยากให้คนรอบ ๆ มองตัวเองไม่ดีใช่ไหมละ? ฉันเองก็เหมือนกัน เพราะงั้นจะแนะนำอะไรสักอย่างให้นะ]
…อะไรละนั่น
รู้สึกไม่สบายใจเลย แต่จะแสดงออกมาไม่ได้
[…ไม่ค่อยเข้าใจที่จะสื่อเลย การอยู่กับฮินะจะทำให้โดนมองไม่ดียังไงเหรอ]
พอผมถามแบบนั้นผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังก็หัวเราะเสียงสูงออกมา
[น้องคนนั้นขึ้นชื่อเรื่องหลอกคนไปทั่วเลยน่ะน้า~ ก็เลยไม่ใครกล้าเข้าใกล้เรื่องแค่นี้ไม่รู้เหรอ?]
ยูเมซากิพยักหน้าเบา ๆ แล้วถอนหายใจ
[ประมาณนั้นแหละ ทำไมถึงไม่รู้ได้เนี่ย บ้าจริง]
[ไม่หรอกน่า…เรื่องไม่รู้เนี่ยก็จริงอยู่หรอก แต่บอกว่าชอบหลอกคนไปทั่วเนี่ยดูเกินไปหรือเปล่า…]
[มาโรงเรียนด้วยกันจริงสินะเนี่ย]
ผู้ติดตามที่ผมน้ำตาลยาวพูดแล้วหัวเราะออกมา
ยูเมซากิถอนหายใจอย่างไม่พอใจแล้วหันกลับมาพูดต่อ
[เอาเป็นว่าวันนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายที่ไปยุ่งกับเธอแล้วกันนะ…แล้ว วันนี้มาโรงเรียนด้วยกันนี่จริงเหรอ?]
[…อื้อ เรื่องจริงเลย]
[…เหรอ]
เหมือนจะเห็นสีหน้าไม่พอใจของผม ยูเมซากิเลยถอยห่างออกมา
ผมมองไปด้านหลังแล้วคิดว่า
—ยูเมซากิเป็นคนอารมณ์ร้อน
จะบอกว่าถ้าเป็นหัวหน้าจะมีอารมณ์แบบนี้ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ แต่คิดว่าพื้นฐานน่าจะมาจากศักดิ์ศรีที่สูงลิ่วของเธอเองด้วย
อย่างบางครั้งอาสึกะก็แสดงความเข้มแข็งให้ดูบ้างแต่พื้นฐานแล้วเป็นคนที่สดใสดี
ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอาสึกับอริสึคาวะไม่ค่อยพูดถึงยูเมซากินัก เพราะแบบนี้นี่เอง
****
ผมออกมาจากโรงอาหารผมก็มาแวะที่ตู้กดน้ำเพื่อซื้อน้ำส้ม
พอกดเสร็จก็หันไปหาฮินะที่อยู่ข้างหลัง
[ฮินะจะเอาอะไรไหม?]
[ขะ ของหนูเหรอคะ?]
[แถวนี้มีคนอื่นอีกหรือไงเล่า]
พอผมยิ้มให้ฮินะก็ดูผ่อนคลายลง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าออกสตางค์ออกมาแล้วส่งเงินให้ผมหนึ่งร้อยยี่สิบเยน
[นี่ค่ะ เอาชาดำนะคะ]
[ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเลี้ยงเอง]
[ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่อยากเป็นภาระให้รุ่นพี่เท่าไหร่ แต่ว่าก็ใฝ่ฝันอยากจะได้อีเว้นต์ที่โอชิอย่างรุ่นพี่ซื้อของให้เหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นเอาเงินหนูไปใช้เถอะนะคะ!]
[งะ..งั้นเหรอ]
กรึก เสียงเครื่องกดน้ำทำงาน
ผมรับขวดชาดำมาไว้ในมือ เย็นจังนะ
[เมื่อกี้คุยอะไรกับรุ่นพี่ยูเมซากิเหรอคะ?]
[เอ๊ะ? …ไม่มีอะไรหรอก]
ผมพยายามปิดบังในทันที ฮินะก็ยิ้มออกมา
[กะแล้วเชียวรุ่นพี่นี่ใจดีจังเลยนะคะ]
[ทะ ทำไมคิดงั้นละ]
[คือว่า…กำลังปิดบังเรื่องที่คนคนนั้นนินทาให้ฟังใช่ไหมละคะ หนูน่ะรู้อยู่แล้วว่ารุ่นพี่ยูเมซากิคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาค่ะ]
ฮินะรับชาดำมาจากผมแล้วออกเสียง [ฮึบ] หนึ่งครั้งแล้วเสียงฝาเปิดก็ดังขึ้น
ฮินะกลืนน้ำลายหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อ
[คงเล่าเรื่องไม่ดีของหนูให้ฟังสินะคะ ขอโทษด้วยค่ะ เพิ่งจะกลับมาเรียนได้ไม่นานแท้ ๆ ]
[ไม่เอาสิ ฮินะจะขอโทษทำไมเล่า]
ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยแล้วเอาขวดน้ำส้มใส่กระเป๋า ถึงเพิ่งจะซื้อมาเมื่อกี้แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะดื่มแล้ว
[การเข้ามายุ่มย่ามแบบนี้ ไม่คิดว่าไม่สมเหตุสมผลบ้างเหรอ?]
พอผมถามฮินะก็กระพริบตาหนึ่งที
[ไม่สมเหตุสมผล…ยังไงเหรอคะ? คิดว่าคนเราก็เป็นแบบนี้กันนะคะ….]
[แต่ว่า นั่นมันไม่สมเหตุสมผลเลยนะ อย่างน้อยฉันก็คิดแบบนั้นคนนึงแหละ]
[เอ๊ะ รุ่นพี่โกรธอยู่เหรอคะ?]
[จะเรียกว่าโกรธ…ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันไม่ชอบใจสิ่งที่ยูเมซากิทำเลย]
[…จะพูดแบบนั้นไม่ได้นะคะ หนูไม่ได้คิดมากอะไรด้วย อย่าไปต่อต้านเลยจะดีกว่าค่ะ]
ฮินะยิ้มเหย ๆ ให้ผมแล้วยกชาขึ้นมาดื่ม
จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส่อีกครั้ง ราวกับเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
[ฮ่า~ อร่อยจริง ๆ ด้วยนะคะ]
[ทะ ทำไมถึงยิ้มนั้นกันละ]
[อะ ขอโทษนะคะ ชาดำที่ได้มาจากรุ่นพี่มันสุดยอดไปหน่อยค่ะ]
ฮินะดื่มเข้าไปได้ประมาณครึ่งขวดแล้วจึงปิดฝา
อีกไม่นานเสียงกริ่งบอกเวลาพักกลางวันกำลังจะดังในอีกไม่กี่นาทีแล้ว
[….หนูดีใจมากเลยนะคะที่รุ่นพี่เป็นห่วง อยู่ ๆ ก็เกิดอีเว้นต์แบบนี้โดยบังเอิญแบบนี้ โรงเรียนเนี่ยดีจังนะคะ]
[อีเว้นท์?]
[ใช่ค่ะใช่ค่ะ]
ฮินะพยักหน้าให้ผม
[พวกเกมจีบหนุ่มน่ะนะคะ มักจะมีวิธีการให้เข้าสู่อีเว้นต์ต่าง ๆเช่นแบบนี้อยู่น่ะค่ะ แต่หลังจากนี้หนูก็คาดหวังให้มีอะไรแบบนี้อีกนะคะ]
หลังจากนี้ที่ว่าหมายถึงอะไรกันหว่า
แต่ดูจากท่าทางกับสีหน้าที่เป็นประกายแบบนั้นแล้วน่าจะเกี่ยวกับความรักงั้นสินะ
หรือก็คือกับผมงั้นเหรอ
[เพราะงั้นนะคะรุ่นพี่ หนูน่ะไม่เป็นไรหรอกค่ะ? คือเรื่องของหนูกับรุ่นพี่ยูเมซากิก็เป็นแบบนี้มานานแล้วค่ะ ถึงเรื่องแบบนี้เพิ่งจะเกิดเป็นครั้งแรกก็เถอะค่ะ ….แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ยังสนุกดีค่ะ]
[…ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ–]
[หุหุหุ ถ้าได้เจอกันตอนสุดสัปดาห์ก็คงจะดีนะคะ เดี๋ยวจะไลม์ไปหาค่ะ แต่ว่านะคะรุ่นพี่ ถ้าไม่รีบกลับไปตอนนี้จะแย่เอานะคะ!]
จังหวะนั้นฮินะก็วิ่งออกไป ผมเลยตามไปอย่างเงียบ ๆ
ผมมองไปที่แผ่นหลังของฮินะก่อนจะแยกไปอีกตึกเรียนนึง ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้
ปลายผมบ็อบสีน้ำตาลเด้งไปเด้งมา ไม่เห็นภาพของเธอที่เผชิญหน้ากับยูเมซากิอีกแล้ว ที่พูดไว้ว่าเป็นไม่ได้คิดมากคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ
ไม่สิ แบบนั้นไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย
คิดว่าแค่คงจะชินกับมันเท่านั้นเอง
…ผมต้องคิดว่าวิธีการคุยของยูเมซากิกับฮินะเป็นเรื่องปกติงั้นเหรอ?
แต่ว่า ผมเองก็ถูกขอไม่ให้เข้าไปก้าวก่ายเสียด้วย
ยิ่งกว่านั้น ถ้าผมเอาตัวเข้าแทรกไปจะดีหรือเปล่า
ผมมีคุณสมบัติพอหรือเปล่า
ผมด้านหลังค่อย ๆ ปลิวไสว
[…ความสัมพันธ์ของมนุษย์เนี่ยเข้าใจยากเกินไปแล้วนะ]
ดูเหมือนตัวผมคนเดิมคงจะชอบอยู่คนเดียว
พอเข้าไปพัวพันกับเรื่องยาก ๆ แบบนี้มากเข้า ก็เลยชอบอยู่คนเดียวงั้นเหรอ
ผมถอนหายใจหนึ่งครั้้งแล้วหันไปมองท้องฟ้า
ทั้งที่เมื่อวานไม่มีเมฆเลยแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับมีเมฆฝนก่อตัวขึ้นทั้ง ๆ ที่ฟ้าโปร่งอยู่
อีกเดี๋ยวฝนคงจะตกหนักแน่ ๆ ผมเผลอเม้มปากตัวเองแน่นอย่างไม่ตั้งใจ
TL: ผมแปลต้นฉบับเสร็จหมดแล้วนะครับ ตั้งแต่นี้จะทยอยลงวันละบทไปเลยนะครับ
Chapters
Comments
- ตอนที่ 11 บทส่งท้าย (จบเล่ม 1) พฤษภาคม 29, 2023
- ตอนที่ 10 สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ พฤษภาคม 27, 2023
- ตอนที่ 9.3 การใคร่ครวญของยูเมซากิ 3 พฤษภาคม 26, 2023
- ตอนที่ 9.3 การใคร่ครวญของยูเมซากิ 2 พฤษภาคม 26, 2023
- ตอนที่ 9.1 การใคร่ครวญของยูเมซากิ 1 พฤษภาคม 26, 2023
- ตอนที่ 8 ตัวผมคนก่อน ตัวผมคนนี้ พฤษภาคม 25, 2023
- ตอนที่ 7.2 ชาดำเย็นกับเมฆฝนที่ก่อตัว 2 พฤษภาคม 24, 2023
- ตอนที่ 7.1 ชาดำเย็นกับเมฆฝนที่ก่อตัว 1 พฤษภาคม 23, 2023
- ตอนที่ 6.3 กิจกรรมโอชิของฮินะ 3 พฤษภาคม 22, 2023
- ตอนที่ 6.2 กิจกรรมโอชิของฮินะ 2 พฤษภาคม 22, 2023
- ตอนที่ 6.1 ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ กิจกรรมโอชิของฮินะ 1 พฤษภาคม 20, 2023
- ตอนที่ 5.3 อริสึคาวะที่นั่งข้าง ๆ กัน 3 พฤษภาคม 19, 2023
- ตอนที่ 5.2 อริสึคาวะที่นั่งข้าง ๆ กัน 2 พฤษภาคม 18, 2023
- ตอนที่ 5.1 อริสึคาวะที่นั่งข้าง ๆ กัน 1 พฤษภาคม 18, 2023
- ตอนที่ 4.2 ไปโรงเรียนครั้งแรก 2 พฤษภาคม 18, 2023
- ตอนที่ 4.1 ไปโรงเรียนครั้งแรก 1 พฤษภาคม 18, 2023
- ตอนที่ 3 มินาโตะ อาสึกะ พฤษภาคม 15, 2023
- ตอนที่ 2.4 แฟนสาวสามคน 4 พฤษภาคม 13, 2023
- ตอนที่ 2.3 แฟนสาวสามคน 3 พฤษภาคม 12, 2023
- ตอนที่ 2.2 แฟนสาวสามคน 2 พฤษภาคม 12, 2023
- ตอนที่ 2.1 ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ แฟนสาวสามคน 1 พฤษภาคม 11, 2023
- ตอนที่ 1.3 ความจำเสื่อม 3 พฤษภาคม 10, 2023
- ตอนที่ 1.2 ความจำเสื่อม 2 พฤษภาคม 9, 2023
- ตอนที่ 1.1 ความจำเสื่อม 1 พฤษภาคม 8, 2023
- ตอนที่ 0 บทนำ พฤษภาคม 8, 2023
MANGA DISCUSSION