記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ - ตอนที่ 5.2 อริสึคาวะที่นั่งข้าง ๆ กัน 2
- Home
- 記憶喪失の俺には、三人カノジョがいるらしい . ตัวผมคนเดิมก่อนที่จะความจำเสื่อมนั้น ดูเหมือนว่าจะมีแฟนสาวอยู่สามคนครับ
- ตอนที่ 5.2 อริสึคาวะที่นั่งข้าง ๆ กัน 2
บทที่ 5.2 อริสึคาวะที่นั่งข้าง ๆ กัน (2)
ถือข้าวกล่องไว้ในมือแล้วมุ่งหน้าไปที่โถงทางเดิน
สลิปเปอร์สีแดงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นนักเรียนปีสอง ทุกครั้งที่เดินผ่านใครต่อใครก็จะหันมามองพวกเรากันหมด
เราเดินต่อกันไปจนถึงจุดที่สลิปเปอร์เปลี่ยนสีไป
[สลิปเปอร์สีฟ้านี่ของปีไหนเหรอ?]
[อืม~ ปีหนึ่งมั้งนะ ไม่รู้อะ]
[ทำไม่ถึงไม่รู้ละเนี่ย]
ถ้าไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นปีสองไม่เชื่อแล้วนะเนี่ย แต่ถ้าเป็นคนอย่างอริสึคาวะก็คงไม่แปลกละมั้ง
เพราะตัวเธอเองดูไม่สนใจอะไรเลยนี่นา
อริสึคาวะเป็นคนที่โดดเด่นจนมีคนเข้ามาหามากมาย นั่นคงทำให้ตัวเธอเองรู้สึกไม่สนใจใครขึ้นมาได้ไม่ผิดแน่
…คงจะไม่สนใจใครเลย อื้ม รู้สึกได้เลยว่าอริสึคาวะเป็นคนแบบนั้น
แล้วเพราะแบบนั้นก็เลยไม่ได้คิดมากกับการที่แฟนของตัวเองไปมีแฟนตั้งสามคนด้วยสินะ เข้ากันได้แปลกดีจริง ๆ
แต่จริง ๆ แล้วก็ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กันจริงจังเลยสักครั้ง ตีความแบบนี้เข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่านะ
ระหว่างที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่เราก็ผ่านโถงทางเดินของตึกเรียนตะวันออกและมุ่งสู่ตึกเรียนทางใต้จากนั้นก็ขึ้นบันไดวนไปจนเจอกับดาดฟ้าที่ประตูมันล็อคอยู่ ถึงจะเข้าไม่ได้แต่ตรงบริเวณรั้วมีที่พื้นที่อยู่พอสมควรเลย ถ้ามากันสองคนละก็นั่งได้พอดี
อริสึคาวะไปนั่งตรงพื้นที่นั้นแล้วห้อยขาลงบันได ส่วนผมเดินเข้าไปข้าง ๆ แล้วถามออกไป
[นี่ ถ้าถูกใครเจอในที่ที่ไม่ค่อยมีคนแบบนี้จะไม่แย่เอาเหรอ]
[ไม่เป็นไรหรอกจ้า ปกติพวกเราสนิทกันสุด ๆ เลยอยู่แล้วน่ะนะ แถมที่นี่คุณอาสึกะก็ไม่โผล่มาด้วยสิ]
ไม่ใช่ว่า “ใครคนไหน”จะมาเห็นแต่กำลังพูดถึงว่าถ้า “แฟนคนไหน” มาเห็นใช่ไหมละ อริสึคาวะเสริมว่าแบบนั้น
[แต่ว่า…มั่นใจแบบนี้จะดีเหรอ?]
[อื้อ ก็ที่นี่เป็นรังรักของเรานี่นะ]
[อย่าพูดอะไรแปลก ๆ น่า!]
ผมบ่นไปอย่างนั้นแล้วก็หันสายตาไปมองข้าง ๆ
มองลงไปจากชั้นสี่ก็จะเห็นสนามกว้าง ๆ ได้อยู่ แต่ส่วนอื่นไม่เห็นเท่าไหร่
หากว่ามองไปไกล ๆ ก็จะเห็นหลังคาบ้านเรือนได้ด้วยแถมวิวของระเบียงบ้านก็ไม่เลวเลย
วิวทิวทัศน์ที่กำลังเห็นอยู่นี้เป็นอะไรที่คุ้นตาเอามาก ๆ
ที่ว่าเคยมาเนี่ยท่าทางจะจริงนะ แต่มากับอริสึคาวะด้วยหรือเปล่าอันนี้ไม่รูัแฮะ
[นี่ ชินกับโรงเรียนยัง]
[ไม่ถามกันเร็วไปหน่อยเหรอ? เพิ่งวันแรกเองนะ]
[พลังในการปรับตัวน้อยจังน้า]
[ฉันไม่ได้มีมาตรฐานติดบัคแบบเธอนะ….]
[เรื่องนั้นไม่เห็นเกี่ยวเลยนี่นา]
อริสึคาวะคลายริบบิ้นของตัวเองเพื่อคลายชุดของตัวเองออก สายตาผมหันไปที่ชุดชั้นในสีดำที่โผล่ออกมาทันที
ผมกลัวจะไม่เนียนก็เลยทำเป็นหาที่นั่งว่าง ๆ แต่พื้นที่ก็ไม่ได้เยอะอะไรเลยจบที่ลงไปนั่งข้าง ๆ อริสึคาวะ
อริสึคาวะก็เลยพูดว่า [ฟุฟุ ยินดีต้อนรับนะ] ออกมาแล้วสะกิดต้นขาของผม
กลิ่นหอม ๆ ลอยเข้ามาแตะจมูกทำเอาเผลอกระพริบตาหนึ่งที
[อริสึคาวะ ทำไมถึงชวนฉันมากินข้าวกลางด้วยกันละ?]
[เอ๋~ คำถามประหลาดจัง เป็นแฟนกันจะมาด้วยกันไม่ได้เหรอ?]
[ไม่ได้ ก็มีแฟนอยู่ตั้งสามคนนี่ ดูยังไงก็ไม่ได้]
[เหรอ ลำบากใจจังน้า]
อริสึคาวะพูดออกมาแล้วเอียงคอเหมือนไม่ได้ลำบากใจออกอะไร
[งั้นถ้าบอกว่าเป็นคนดูแลเธออยู่อันนี้ได้ไหม?]
[คนดูแล?]
พอถามย้อนไปอริสึคาวะก็พูดออกมาว่า [เจ๋งเลยเนอะ!] แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมา
ถึงจะน่าเศร้าที่ต้องพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่ท่าทางแบบนั้นคือน่ารักสุด ๆ เลยละ ไม่สิ ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น
[คุณครูเขาขอมาน่ะ แต่ก็แบบว่าแค่ได้อยู่กับเธอก็พอแล้วแหละ ถ้าไม่ใช่เธอก็คงปฏิเสธไปอะแหละ]
อริสึคาวะหรี่ตาลงเล็กน้อย
…แบบนี้อันตรายสุด ๆ
ถ้าถามว่าอันตรายอะไรละก็
อันตรายต่อหัวใจผมนี่แหละ
ตอนนี้ผมเผลอตอบกลับไปแบบลนลาน
[กะ กินข้าวกันเนอะ? กินกันเลยเนอะ ให้ไวเลย]
[เอ๋~ อย่าเร่งซี่ เมื่อกี้เขินเหรอ?]
[ไม่ได้เขินสักหน่อย]
[หุ จะไม่ถามต่อแล้วกันเนอะ]
พออริสึคาวะตอบมาแบบนั้นผมก็ปล่อยผ่านแต่โดยดี จากนั้นเธอก็เอามือประสานกันแล้วกล่าวสั้น ๆ ว่า [กินละนะคะ]
เหมือนกับได้ยินเสียงแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้งเลยแฮะ
…สนิทกันจริง ๆ สินะ พวกเราเนี่ย
[ป๊อก]
เสียงเปิดข้าวกล่องดังขึ้น ของข้างในข้าวกล่องปรากฎออกมา
ตัวอาหารดูเหมือนเป็นของข้าวกล่องทั่ว ๆ ไปแต่ของอริสึคาวะมันดูเปล่งประกายออกมาและว่าภายนอกก็ดูแตกต่างจากปกติด้วยเหมือนกัน เป็นข้าวกล่องไม้ทรงแปดเหลี่ยมแล้วแบ่งออกมาเป็นสี่ช่อง ส่วนของผมเป็นกล่องพลาสติกธรรมดา ๆ ที่พอมาเทียบกันแล้วดูกระจอกสุด ๆ
พอเปิดของตัวเองก็มาก็เจอกับอาหารที่ทำเองที่ผสมกับอาหารแช่แข็งนิดหน่อย ไม่อยากจะเอาไปเทียบกับของอริสึคาวะเลย
อาสึกะเคยถามเหมือนกันว่า [ให้ทำข้าวกล่องให้ไหม?] แต่เห็นผลงานเมื่อวานแล้วเลยปฏิเสธไปว่าอยากทำเอง
ตอนที่ทำข้าวกล่องก็รู้สึกมีความสุขดีนะที่ได้ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาเลยแฮะ ถ้าซื้อข้าวกล่องที่มีขายทั่วไปอาจจะดีกว่าก็ได้
[ทานละนะครับ]
[อ๊ะ!?]
ชั่วพริบตา อริสึคาวะยื่นตะเกียบมาขโมยขนมจีบแช่แข็งแล้วเอาใส่ปากตัวเองอย่างรวดเร็ว
[หูย เย็นจัง อาหารแช่แข็งเหรอ?]
[ชะ ใช่น่ะสิ! ทำขนมจีบเองไม่เป็นนี่นา จะเป็นอาหารแช่แข็งก็ช่วยไม่ได้หรอก!]
[อ๊ะ ขอลองอันนี้ด้วย]
อริสึคาวะไม่สนใจคำแก้ตัวของผมแล้วหยิบเนื้อผัดซอส ที่ตัวเนื้อเป็นเนื้อลดครึ่งราคาจากร้านสะดวกซื้อผัดกับวัตถุดิบแช่แข็งธรรมดา ๆ เข้าปากไป
[อื้ม อร่อย นี่เป็นรสมือของยูกิคุงสินะ]
[อย่ายอกันน่า คนที่เอาอาหารหรูหราขนาดนั้นมาชมเนื้อลดครึ่งราคาแบบนี้มันรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย]
[มีช่องว่าง~]
[อะไรเนี่ย!?]
จู่ ๆ ก็พุ่งเข้ามาจับแก้มผม ทำเอาเกือบตกบันไดเลย
ผมขยับข้าวกล่องไม่ให้หล่นแล้วหันไปโวยวายใส่
[ทะ ทำอะไรเนี่ย! ถ้าข้าวกล่องตกจะทำยังไงเล่า]
[สำคัญมากเลยไม่ใช่เหรอ? ข้าวกล่องนั่นอะ]
[เอ๋?]
[ก็ เธอเป็นคนทำมันเองใช่ไหมละ เป็นความสำเร็จของเธอเลยนะ…เพราะงั้นมันถึงได้สำคัญไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นของสำคัญขนาดนั้นแล้วเราว่ามันก็ต้องอร่อยสิ เพราะฉะนั้นไม่ได้แค่ยอหรอกนะ]
อริสึคาวะพูดพลางหยิบไก่ทอดในกล่องของตัวเองมาใส่ให้ผม
[อันนี้น่าจะคุ้มพอจะแลกกันได้นะ รับไปทีสิ]
…เอ๋ แบบว่าดีใจจัง
คงจะอยากได้คำชมเชยที่ส่งมาถึงตัวผมในปัจจุบันมาตลอดเลยสินะ มีความสุขสุด ๆ
[ขอบคุณนะ มีความสุขจัง แต่ข้าวกล่องมันก็ต้องสำคัญอยู่แล้วนี่นา ก็เป็นข้าวกลางวันนี่]
พูดแล้วก็เอาอาหารเข้าปาก ส่วนอริสึคาวะก็บอกว่า [พูดมาได้น้า~] จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอาไก่ทอดมาให้ผมอีกสามชิ้น
…ยอมรับคำตอบแก้เขินของผมอย่างง่ายดายเลยแฮะ
อริสึคาวะเนี่ย ดีต่อใจจังเลย
รู้ได้เลยว่าตอนนี้ผมกำลังมีความสุขอยู่
[นี่ ทำไมถึงมาคบกับฉันเหรอ?]
[เอ๋ เขินจังเลย น่าอายจังเลยเนอะ?]
อริสึคาวะยิ้มให้แล้วหันไปทอดมองท้องฟ้า
[คงเพราะว่าไม่ได้สนใจน่ะ]
[….เพราะไม่ได้สนใจก็เลยมาคบกันเหรอ?]
ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเธอเป็นพวกไม่สนใจใครสักคนเลยซะอีกแต่เหมือนจะกลับด้านกันแฮะ เพราะงั้นผมจึงตั้งใจที่พูดต่อ
อริสึคาวะพยักหน้าลงหนึ่งที
[ก็แบบ คืองี้ เราน่ะเป็นหนึ่งในสามราชินีใหญ่อะนะ เป็นคนดังมากในโลกเลยละ รอบ ๆ ตัวเลยมีทั้งคนที่มอบความรักให้ แล้วก็บางคนที่เกลียดกันด้วย เพราะงั้นเราเลยไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไงเลย]
อริสึคาวะไม่ได้อายจะต้องพูดออกมาเลย ราวกับว่ากำลังขับขานบทเพลงอะไรบางอย่างอยู่
[วัน ๆ มีแต่สายตาแปลก ๆ จ้องมองมา บางทีก็สรรเสริญกันซะมากมาย แต่ว่าเธอน่ะทำเหมือนเราเป็นคนธรรมดา เรื่องนั้นดีใจมาก ๆ เลยละ]
[เห เหตุผลแปลกดีจัง เพราะแบบนั้นก็เลยมาคบกันงั้นเหรอ?]
[ฟุฟุ เหตุผลนั้นละจ้า]
อริสึคาวะยิ้มแบบเขิน ๆ แล้วกลับไปกินข้าวต่อ เพิ่งเห็นอาการแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยแฮะ
ผมเองก็เอาไก่ทอดเข้าปากเหมือนกัน พอกัดเข้าไปคำแรกความฉ่ำก็กระจายเข้ามาในปากของผม ตามด้วยรสชาติที่รู้เลยว่านี่เป็นระดับอาหารชั้นสูง
สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิผัดผ่านหัวใจไปทำให้รู้สึกอบอุ่น ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้กำลังดำเนินต่อไปอยู่
ทุกคนให้ความสนใจกับอริสึคาวะกันหมด ยกเว้นตัวผมคนเดิมงั้นเหรอ
ผมกำลังกินข้าวกล่องไปได้ครึ่งนึงระหว่างที่กำลังคิดถึงตัวเองคนเดิมไปด้วย
จากนั้นก็ผละสายตาออกจากข้าวกล่องแล้วมองไปข้าง ๆ ณ ตรงนั้นสายตาของอริสึคาวะก็สบกลับมา บรรยากาศดูอึดอัดขึ้นมาหน่อย ๆ แฮะ
ผมจึงถามอะไรบางอย่างไปเพื่อลบความอึดอัดนั้น
[นี่ สามราชินีใหญ่ที่พูดถึงเนี่ยคืออะไรเหรอ?]
ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลผมไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่นัก แต่อาสึกะเคยพูดไว้ว่าโรงเรียนนี้มันมีแบ่งฝ่ายอะไรด้วยนี่สิ
เป็นอารมณ์แบบว่ายึดพื้นที่กันแล้วประกาศตัวงั้นเหรอ เลยอยากถามเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เรียกตัวเองว่าราชินี
[อ้าว คุณอาสึกะยังไม่ได้บอกเหรอ?]
[อืม~ ให้ฟังเรื่องคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมมันรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ แต่ถ้ามาถามอริสึคาวะเองอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรก็ได้]
[ถ้าไม่มีประโยชน์อะไรก็จะไม่บอกน้า]
[ขอโทษครับ!]
อริสึคาวะหัวเราะคิกคักตอนที่ผมเผลอก้มหัวลงไป
[คือ~ว่านะ เรา คุณยูเมซากิ คุณอาสึกะ เราทั้งสามคนเป็นหัวหน้าของฝ่ายแต่ละฝ่ายน่ะ]
[หา อาสึกะด้วยเหรอ!]
ตกใจจนข้าวแทบตก
ยูเมซากิ เคียวโกะก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นอยู่แล้วน่ะนะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นอาสึกะอีกคน
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่แปลกใจนะ ทั้งท่าทางทั้งคำพูดก็ดูโดดเด่นด้วยนี่นา เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ถ้ารู้มาก่อนอะนะ
[แต่ถึงจะเรียกว่าฝ่ายแต่ก็ไม่ได้ตีกันหรืออะไรด้วยสิ เลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายเท่าไหร่นี่เนอะ]
[อะไรกัน งั้นเหรอ ดีใจที่ไม่ได้มีความรุนแรงอะไรกันนะ กำลังอยู่เลยว่าถ้าเป็นแนวตีกันจะทำยังไงดี!]
[ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนนักเลงน้า]
พูดแล้วก็อริสึคาวะก็อ้าปากแล้วกินกุ้งเข้าไป
ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะถามได้อีกสักคำถามนะ
เพราะจะบอกว่าอริสึคาวะเป็นคนดังอันนี้ไม่แปลกเลย แต่เห็นบอกว่าดังไปทั่วโลกนี่มันชวนให้ติดใจเหมือนกัน
[ขอถามอีกคำถามได้ไหม]
[ได้สิ~]
[อริสึคาวะเป็นคนดังเหรอ?]
ถึงจะภายนอกจะไม่ได้ดูอะไร แต่หลังจากฟังคำถามแล้วก็เบิกตาขึ้น พอเคี้ยวกุ้งที่ในปากเสร็จก็เปล่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
[เอ๋ เพิ่งจะรู้เหรอ? ไม่ใช่ว่าเราเคยบอกแล้วหรือไงนะ!]
[กะ ก็เคยบอกมาอยู่แหละ แต่คนดังที่ว่าเนี่ย คือแบบคนรู้จักทั่วโลกเลยเหรอ?]
พอพูดจบอาริสิคาวะก็ชี้ไปที่กระเป๋าของตัวเอง พอผมทำหน้าไม่รู้ว่าคืออะไรก็พูดขึ้นมาว่า [หยิบสมาร์ทโฟนออกมาให้ทีสิ]
[เดี๋ยวสิ ไม่หยิบเองเล่า]
[ดูสิ มือเราตอนนี้ไม่ว่างหรอกนะ ข้าวกล่องอยู่ในมือนี่นา]
พูดเสร็จอริสึคาวะก็ยกตะเกียบกับข้าวกล่องขึ้นมาให้ดู อยากจะบอกให้วางไว้ที่ขาก่อนเหมือนกันแต่ก็ช่างเถอะ
ช่วยไม่ได้แฮะ ผมยื่นมืออกไปด้วยความละเหี่ยใจ
[งะ งั้นรบกวนด้วยนะครับ]
[ว้าย ลามก]
[ตอบกลับแบบพวกโชวะเรอะ]
[ผิวเนียนมากเลยเนอะ?]
[อย่าพูดออกมาเองสิ!]
ผิวฝั่งนี้คือฝั่งที่โดนแดดมาด้วยนะ แต่เนียนใสไม่มีคล้ำตรงไหนเลย ส่วนเรื่องหน้าตาไม่ต้องพูดถึงว่าดีแน่นอนอยู่แล้วอะนะ คิดว่าคงดูแลมาดีตั้งแต่เกิดแน่นอนเลย
แต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้สักหน่อย
[ดูอีกไหม?]
[ไม่ดูหรอก!]
อริสึคาวะชี้ตะเกียบไปที่คอตัวเอง ผมเผลอก้มลงไปทำให้เจอกับสมาร์โฟนของอริสึคาวะ
พอหยิบออกมาก็พบว่าสมาร์ทโฟนเครื่องนี้เป็นแบรนด์ดัง ทำเอามือสั่นเลยถ้าหล่นต้องพังแน่
[รหัสผ่านคือ 3154 นะ]
[เป็นคนดังแท้ ๆ แต่พูดรหัสออกมาง่ายจังนะ…]
[ก็เธอเป็นแฟนฉันนี่ ไม่เห็นเป็นไรเลย เร็ว ๆ สิ เข้าไปในหน้าโปรไฟล์อินสตาแ*รมเลย]
[ใจเย็น ๆ นะ ไหนนะ อินสตาแ*รมเหรอ…]
「Saki Arisukawa การติดตาม-205 ผู้ติดตาม 245605」
[หาาา สองแสนสี่!? สองแสนสี่หมื่น…ห้าพัน!?]
[ปังสุดเลยใช่ไหมล่า สมกับเป็นนางแบบคนดังเลยเนอะ]
[สุดยอดเกินไปแล้ว ผู้ติดตามตั้งขนาดนี้เลยนะ!? สมกับเป็นคนดังจริง ๆ ด้วย!]
ผมเพิ่งรู้สึกตัวเลยว่าคนที่นั่งข้าง ๆ ผมตอนนี้เป็นคนดังมากจริง ๆ หัวใจเต้นระรัวเลย
อริสึคาวะทำแก้มแปลก ๆ คล้ายจะไม่พอใจในการตอบสนองของผมเท่าไหร่
[ก็ใช่น่ะสิ ได้เป็นเจ้าของเราเนี่ยสุดยอดเลยใช่ไหมละ]
[สุดยอดเลยน่ะสิ…แต่ว่า ไม่ได้แปลว่าจริง ๆ แล้วคบกับฉันแค่เล่น ๆ หรือเปล่า?]
[ไม่ใช่น่ะสิ เราไม่คบกับใครแบบไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรอกนะ]
[อ่า พูดแบบจริงจังเลยสินะ…แต่ว่านะ เธอเนี่ยสุดยอดมากจนฉันตกใจเลยละ]
จะมีใครไม่ตื่นเต้นกับการได้อยู่กับอริสึคาวะแบบนี้บ้างนะ ขนาดตัวผมในตอนนี้ยังอึ้งอยู่เลย
แอบสงสัยนิดหน่อยว่าผมไปทำอะไรมาเหมือนกัน
[เพราะมีอาสึกะคอยอยู่ด้วยหรือเปล่านะ]
พอแสดงความรู้สึกสุดจะเสียมารยาทนี่ออกไปแล้ว อริสิคาวะก็พองแก้มอย่างไม่พอใจ
[อ๊ะ พูดชื่อแฟนอีกคนออกมาแบบนี้เลยน้า จะตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่าเป็นพ่อหนุ่มไม่ละเอียดอ่อนแล้วกัน]
[ไม่ คือว่า…]
เดิมทีคนที่ห้ามไม่ให้ผมเลิกกับใครมันก็อริสึคาวะเองนี่นา
ผมชะงักซะก่อนที่จะพูดคำนั้นออกมา เพราะถ้าพูดออกไปแล้วผมจะต้องรับผิดชอบต่อตัวผมคนเดิมด้วย
[ขอโทษนะ จะระวังให้มากกว่านี้]
[ให้เดาไหมว่าคิดอะไรอยู่?]
[เอ๋?]
[เดิมทีคนที่ห้ามไม่ผมเลิกกับใครมันก็อริสึคาวะเองนี่ แต่ไม่ใช่หรอก สาเหตุมันก็มาจากที่ผมเองซ้อนสามนี่นา…พอก่อน ๆ หยุดคิดก่อนละกัน ตรงจุดนี้ควรจะทำตัวนิ่ง ๆ แอบขอโทษในใจ เก็บมันไว้ก่อนจนกว่าจะความทรงจำจะกลับมาดีกว่า ส่วนระหว่างนั้นก็จะไม่ไปตกใครที่ไหนอีก ไม่สิ ถ้าเกิดมีเหยื่อมาอีกก็รับไว้เถอะ! ….ประมาณนี้ใช่ไหม?]
[ครึ่งหลังไม่ใช่แล้วนะ ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว!]
[แสดงว่าครึ่งแรกถูกใช่ม้า]
[โธ่ ฉันนี่มันบ้าจริง!]
ผมเอามือตีหน้าผากตัวเองไปหนึ่งที
จริง ๆ ก็อยากจะเอาสมาร์ทโฟนของอริสึคาวะมาตีอะนะ แต่กลัวว่าจะเจ็บก็เลยไม่เอาดีกว่า
[ครึ่งหลังนั่นพูดเล่นเฉย ๆ น่ะนะ แต่ว่าตัวเธอในตอนนี้ที่จำอะไรไม่ได้เลยเนี่ยไม่เห็นต้องรู้สึกรับผิดชอบอะไรเลย ไม่คิดแบบนั้นเหรอ? แค่สนุกให้เต็มที่ก็พอแล้วน่า]
[ไม่หรอก ปกติก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วสิ ถ้าจะความจำเสื่อมแต่ความจริงที่ว่าตัวฉันยังเป็นฉันก็ไม่ได้หายไปนี่นา ยังไงก็คิดว่าต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่สนหรอกว่าใครจะคิดยังไงกันหรอก]
[ยอดเลยน้า มาสก์ไ*เดอร์ก็พูดแบบนี้เหมือนกันนะ]
[นี่ล้อเลียนกันอยู่เรอะ!]
ถึงจะเป็นคำพูดของพวกฮีโร่จริง ๆ ก็เถอะ แต่เรื่องนี้ผมจริงจังนะ
ผมถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วหันไปบอกอริสึคาวะ
[ที่ตัวฉันเองยังคงดำเนินความสัมพันธ์นี้ต่อไปก็เพื่อรอให้ความทรงจำกลับมาเท่านั้น ทั้งอาสึกะเองแล้วก็ฮินะเองก็คงจะยอมรับได้แน่นอน]
แฟนทั้งสามคนนี้เป็นของตัวผมคนเดิมนี่นา ตัวผมในตอนนี้น่ะมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูความทรงจำก็พอแล้ว
อริสึคาวะหันออกไปมองที่ด้านนอก แล้วก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง
[แล้วหมอบอกมาว่า’ไงเหรอ เรื่องวิธีฟื้นฟูความทรงจำอะ?]
พอได้ยินคำถามที่ถามด้วยเสียงสบายหูเข้ามาทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้
ตอนที่อยู่โรงพยาบาลผมได้รับคำปรึกษากับมาหลายต่อหลายครั้งเลย แล้วคำอธิบายก็คือประมาณนี้
[…การที่จะทำให้ความทรงจำกลับมาได้นั้น โดยปกติแล้วก็แค่ให้ตัวเองกลับเข้าไปสู่สภาพแวดล้อมเดิม และการไม่หนีคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย ประมาณนี้น่ะ]
[งี้นี่เอง ถ้าเกิดว่าไม่ได้คงสถานะนี้ไว้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ เพราะงั้นถ้าได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมก็จะปลดปล่อยตัวเองออกมาได้ ยอดเลยอะ งั้นคบกันไปทั้งชีวิตเลยเนอะ]
[ทั้งชีวิตก็เกินไปมั้ง! เห็นอนาคตแปลก ๆ เลยนะ!]
ผมทำเชิงหันหน้าไปอีกข้าง อริสึคาวะก็เข้ามาดึงหูผม
[ฟุฟุฟุ]
[…อะ อะไรเล่า]
[อื้ม กะแล้วเชียวว่าเธอน่ะถึงจะไม่มีความทรงจำอยู่แล้วแต่ก็ยังเป็นเธอคนเดิมเลย]
[ดูยังไงถึงได้เห็นเป็นแบบนั้นละเนี่ย…]
[ก็เธอไม่สนใจในตัวเราเลยนี่นา ตอนที่เขินหรืออะไรก็แค่ตอนเฉพาะคนน่ารักอย่างเราแกล้ง นอกนั้นก็ไม่ได้สนใจกันเลยอะ]
พอได้ฟังอะไรแบบนั้นผมก็กระพริบตาหนึ่งที
[ไม่หรอกน่าเรื่องแบบบนั้นน่ะ]
[สำหรับตัวเราแค่นั้นก็โอเคแล้วนะ อีกอย่างเคยบอกแล้วด้วยสิ ว่าแค่ถอยมาหน่อยเท่านั้นเอง]
[เอ๋?]
ขณะที่ผมกำลังงุนงงอยู่นั้น อริสึคาวะก็เอามือทัดผมไว้ที่หูแล้วพูดต่อ
[สำหรับเราน่ะนะ ไม่ว่าเธอจะมีความทรงจำหรือไม่มีมันก็ไม่ได้สำคัญนักหรอก เพราะไม่ว่ายังไงเราก็อยากจะสานสัมพันธ์กับเธอต่อไป แค่นั้นก็พอใจแล้ว]
อริสึคาวะยิ้มออกมาให้ผม
[หลังจากนี้ก็เริ่มสู้ใหม่ได้นี่นา กลับกันดูได้เปรียบกว่าเดิมเยอะเลย ที่ผ่าน ๆ มาเราเป็นได้แค่ที่สอง เจอโอกาสที่คุณอาสึกะจะแพ้แล้วละ]
[จะว่ายังไงดี…คนที่สองอะไรกัน เรื่องที่คบกันแบบนี้ก็มาจากพวกเธอเห็นตรงกันไม่ใช่เหรอ]
[อื้ม ที่เธอพูดก็ถูก ถ้าเลิกกับเราแล้วจะยุ่งยากหรือเปล่านะ? คุณอาสึกะจะรับได้หรือเปล่าก็ไม่รู้สิ]
ผมไม่สามารถตอบอะไรกับอริสึคาวะที่กำลังกินข้าวอยู่นี้ได้เลย
แล้วตัวอริสึคาะวะเองก็ไม่ได้อยากได้คำตอบอะไรด้วย
ผมควรจะตอบอะไรไปบ้าง แต่กินข้าวอยู่นี่สิ
ผมรู้ดี
ว่าการไม่ยอมตอบอะไรไปตอนนี้เหมือนเป็นการหนีความจริงเท่านั้น
แต่อริสึคาวะก็ไม่ได้สนใจอะไร ทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เท่านั้น
เมื่อผมก้าวเข้ามาสู่เรื่องของตัวเองแล้ว ผมก็ควรเคารพตัวผมเองให้มากที่สุด
…ถ้าทุกอย่างที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เป็นการแสดงละก็แสดงว่าผมเข้าใจอริสึคาวะผิดอย่างใหญ่หลวงเลยละ
อริสึคาวะไม่ได้เป็นคนที่เชื่อในตนเองอย่างเดียว แต่เป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นอีกด้วย
[เราลืมบอกอะไรไปอย่าง]
อริสึคาวะพึมพำอะไรบางอย่าง
[ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกมาก็ตาม เราจะเป็นคนรับฟังเองนะ]
ไม่รู้ทำเพราะว่าพูดอะไรที่ดูมีสามัญสำนึกมากไปหรือเปล่า อริสึคาวะเลยดูต่างจากปกติไปนิดหน่อย
ถ้างั้นก็มีอย่างนึง เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลยแค่เพียงอย่างเดียว
พอผมคิดได้แล้วผมก็ลองถามดู
[งั้น ขอสักอย่างได้หรือเปล่า]
[อา-ไรเหรอ?อยากก้าวข้ามบันไดสู่การเป็นผู้ใหญ่แล้วเหรอ?]
[ไม่ใช่น่า…จะบอกว่าตอนอยู่โรงเรียนช่วยทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนกันทีได้ไหม]
[หือ ช่วยจูบฉันทีได้ไหมเหรอ?]
[ได้ยินไปทางนั้นได้ยังไงเนี่ย!]
[หุ..โธ่ น่าเบื่อจังน้า]
อริสึคาวะพูดแบบออกมาแบบไม่พอใจนิดหน่อยแล้วปิดข้าวกล่องของตัวเองลง
[ถ้าอยู่กับฉันละก็คิดว่ามีโอกาสอีกเยอะเลยละน้า จะรับไว้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ]
พักกลางวันจบลงแล้ว
สำหรับตัวผมที่ไม่มีความทรงจำนั้น ขอเก็บคำพูดแสนสงบนี้เอาไว้ในใจแล้วกัน
TL: ยุคโชวะหมายถึงช่วงค.ศ. 1926 -1989 ตัวมุกให้นึกถึงเวลาที่มีตัวละครผู้ชายไล่จับก้นสาวแล้วจะมีเสียงว้ายประมาณนี้ออกมาครับ
TL: 接してくれ。อ่านว่า せっしてくて(Sasshitekute) 接吻してくれ。อ่านว่า せっぷんしてくれ(Sappunshitekure) อ่านออกเสียงคล้ายกัน ทำให้ในช่วงท้ายอริสึคาวะแกล้งฟังผิดได้