วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม เวลาบ่ายสี่โมงเย็น
บนถนนทางเดิน ณ พื้นที่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน โมนิก้า และเลวอน กำลังก้าวเท้าอยู่เคียงข้างกัน หลังจากที่ทั้งคู่แวะเที่ยวชมตลาดใจกลางหมู่บ้านเพื่อซื้อของใช้สำคัญส่วนตัว เช่นอุปกรณ์เวทมนตร์ ตำราเรียน เป็นต้น
สองมือบางของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อน กำลังถือลูกแก้ววิเศษสีสันสวยงามลูกใหม่อย่างทะนุถนอม พลางจับจ้องมองมันอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะหันไปสนทนากับพ่อมดหนุ่ม ที่อยู่ทางฝั่งขวามือด้วยท่าทีเกรงใจ
“ขอบคุณมากนะคะที่ซื้อลูกแก้วพยากรณ์ให้ฉัน ว่าแต่จะดีเหรอคะ ทั้งที่เรื่องราวเมื่อวานซืนทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความเอาแต่ใจของฉันแท้ ๆ”
“นาน ๆ ทีผมเองก็อยากจะตอบแทนอะไรให้กับโมนิก้าบ้าง รวมถึงชดใช้ความผิดที่ผมทำให้เธอต้องได้รับบาดเจ็บเมื่อวันก่อนด้วย…”
เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลน หรือเลวอน ตอบกลับน้ำเสียงนุ่มลึก โดยที่นัยน์ตาสีอำพันเพ่งพินิจไปยังอุปกรณ์วิเศษชิ้นใหม่ซึ่งตนได้ซื้อให้เพื่อเป็นของขวัญแก่อีกฝ่าย เนื่องจากลูกแก้วดวงเก่าเสียหายจนใช้การไม่ได้แล้ว ก่อนจะสลับจับจ้องมองใบหน้าคู่สนทนาด้วยความรู้สึกสำนึกผิด
“โธ่ ก็บอกแล้วไงคะว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณเลวอนสักหน่อย”
โมนิก้าคิ้วขมวดพลางพองแก้มใส่เล็กน้อย เลวอนเผยรอยยิ้มจางแฝงไว้ซึ่งอารมณ์เศร้าสร้อย แล้วเหลือบสายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าตามปกติ จนทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง เนื่องจากไม่อาจสรรหาถ้อยคำใดมาต่อบทสนทนาในครั้งนี้ได้
ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว พ่อมดหนุ่มรูปงามก็ได้เกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบาเพื่อทำลายบรรยากาศความเงียบงัน พร้อมทั้งยกมือข้างถนัดขึ้นมาลูบสางปอยเปียผมข้างใบหน้าตนไปพลางด้วยความเหนียมอาย
“ที่จริงแล้ว ผมตั้งใจอยากมอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับเธอ เพื่อเป็นตัวแทนถ้อยคำสัญญาบางอย่างน่ะ”
“ถ้อยคำสัญญา?”
“สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้โมนิก้าต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอีก และจะคอยอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป”
สิ้นถ้อยคำจากเลวอน โมนิก้าก็ถึงกับแก้มแดงระเรื่อออกอาการประหม่ารีบจับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตื้นตันใจ ทว่าด้วยกิริยาท่าทีของเด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพซึ่งแสดงออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายนั้น ก็พลอยทำให้เด็กสาวเริ่มวางตัวไม่ถูก
สองพ่อมดแม่มดวัยเยาว์ต่างนิ่งเงียบทิ้งช่วงบทสนทนาอีกครั้ง ในระหว่างนั้นเองโมนิก้าได้พยายามรวบรวมความกล้าทั้งที่หัวใจเต้นรัว ขยับมือเล็กบางไขว่คว้าแขนเสื้อเลวอนพร้อมทั้งชะลอฝีเท้า จนอีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหวตามไปด้วย ก่อนจะกล่าวถ้อยคำอ้อนวอนออกไปอย่างแผ่วเบา
“คุณเลวอน ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้องค่ะ”
“อะไรเหรอ?”
“ต… ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ฉันขอเรียกคุณเลวอนว่าพี่ชายจะได้ไหมคะ?”
“เอ๊ะ!?”
“ม… ไม่ใช่ว่าฉันคิดกับคุณเลวอนเป็นเพียงแค่พี่ชายหรอกนะคะ ฉันแค่รู้สึกว่าตัวคุณมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับพี่มิคาอิลก็เท่านั้นเอง… นี่เราพูดอะไรออกไปเนี่ย งี่เง่าชะมัดเลย”
น้ำเสียงของยุวสตรีฟังดูตะกุกตะกักขาดความมั่นใจ แอบนึกกลัดกลุ้มอยู่ไม่ใช่น้อยว่าความเอาแต่ใจของเธอนั้น อาจสร้างความน่ารำคาญให้แก่บุรุษหนุ่มผู้เป็นที่รักหรือไม่อย่างไร พลางก้มศีรษะหลบสายตาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด
สำหรับโมนิก้าแล้ว เลวอนมีความคล้ายคลึงกับมิคาอิล หรือพี่ชายผู้ล่วงลับของเธออยู่หลายประการ ทั้งความอ่อนโยน ลักษณะท่าทาง หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงในการพูดจา สิ่งเหล่านี้ทำให้ตนหวนรำลึกถึงคนสำคัญในครอบครัวขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายที่เธอแอบหลงใหลมาเนิ่นนาน ครั้นจะนำมาเปรียบเทียบกันก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจเสียเปล่า
โชคดีที่เลวอนหาได้ถือสา เขาแย้มสรวลมุมปากให้กับโมนิก้าอย่างอบอุ่น เลื่อนมือขวาอันหนาสากเข้าไปสัมผัสกับมือเล็กบางเธอที่กำลังดึงแขนเสื้อตนอยู่ แล้วเริ่มบรรยายความรู้สึกออกไปโดยปราศจากความเสแสร้งใด ๆ ทั้งสิ้น
“พูดตามตรง ที่ผ่านมาผมเองก็อยากมีน้องสาวแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่อยากจะได้ลูกชายเพียงคนเดียวมากกว่า… ที่สำคัญผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นตัวแทนพี่ชายของโมนิก้าได้เลย เพราะงั้นอยากให้เธอช่วยมองผมในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เหมือนอย่างที่ผมมองโมนิก้าในฐานะผู้หญิงคนสำคัญยังไงล่ะ”
“…!!”
แม่มดสาวออกอาการแก้มร้อนผ่าวจนถึงใบหู ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง ด้วยถ้อยคำอันแสนเรียบง่ายเพียงเท่านี้ก็ทำให้เธอปลื้มปีติและไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้ว นอกเหนือจากการที่ตนได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เด็กหนุ่มมีความสุขที่สุดในชีวิตเท่านั้น
บุรุษจอมดาบเวทยังคงสบสายตามองยุวสตรีร่างเล็กอย่างรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะเกริ่นขึ้นอีกครั้งด้วยความเขินอายตามประสาเด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพ
“แต่ถ้าหากโมนิก้าอยากจะเรียกผมแบบนั้นจริง ๆ ผมก็ยินดีนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ พี่ชาย!”
โมนิก้ารีบโผเข้ากอดแขนร่างสูงโปร่งด้วยความดีใจ ทั้งที่มือซ้ายยังคงถือประคองลูกแก้วพยากรณ์อยู่ มิหนำซ้ำหน้าอกขนาดย่อมคู่นั้นยังเข้าเบียดชิดแนบแน่น จนฝ่ายตรงข้ามสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่ม เลวอนแสดงสีหน้าท่าทีตะลีตะลานเล็กน้อยต่อเหตุการณ์ฉุกละหุก ทว่าไม่นานนักพ่อมดหนุ่มก็ได้ฉีกยิ้มออกมาจาง ๆ ด้วยความเปี่ยมสุข
โมนิก้าแหงนหน้าสบสายตามองคนรักของตนด้วยท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขย่งสองปลายเท้าเชิดตัวขึ้นสูงตามด้วยปิดเปลือกตาลง ก่อนจะยื่นริมฝีปากเข้าหาบุรุษหนุ่มเพื่อแสดงถึงความต้องการอะไรบางอย่าง เลวอนเห็นดังนั้นจึงเข้าใจได้ถึงความปรารถนาจากอีกฝ่าย
ก่อนที่เขาและเธอจะตอบสนอง โดยการโน้มศีรษะเข้าใกล้หมายจะจุมพิตกันอย่างลึกซึ้ง หาได้สนใจสายตาของเหล่าบรรดาชาวบ้านโดยรอบที่กำลังคอยลุ้นเอาใจช่วยพวกตนอยู่ห่าง ๆ เลยแม้แต่น้อย
“อะแฮ่ม!”
ไม่ทันที่สองริมฝีปากจะสัมผัสแนบชิดกันด้วยระยะห่างเพียงแค่ปลายนิ้ว เสียงกระแอมของสองแม่มดสาวก็พลันดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้แก่เลวอนและโมนิก้ายิ่งนัก จนเขาและเธอต้องรีบถอยห่างออกจากกันพลางส่งเสียงร้องลั่นอย่างลนลาน
“เหวอ!? /ว้าย!?”
สองชายหญิงพลันตั้งสติแล้วหันไปเพ่งพินิจดู พบว่าสเตฟาเนีย และฮิคาริ กำลังจ้องเขม็งเล็งใส่ทั้งคู่อย่างเอือมระอาปนความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย พร้อมทั้งเอ่ยปากเกริ่นแซวตามลำดับ
“โมนิก้า ฉันไม่นึกเลยว่าเธอจะกลายมาเป็นเด็กใจแตกแบบนี้”
“ก็เพราะว่าคุณเลวอนเป็นเด็กไม่ดียังไงล่ะคะ รุ่นพี่ฮิคาริ”
“ฉ-ฉันไม่ใช่เด็กใจแตกนะคะ!”
โมนิก้ารีบตอบปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาด้วยความกระวนกระวายใจ ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุก เนื่องจากนึกละอายใจต่อสิ่งที่เพิ่งกระทำลงไปเมื่อสักครู่นี้ ต่อหน้าเหล่ามิตรสหายแห่งสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร
“ท… ทั้งสองคนกำลังจะเดินทางไปไหนเหรอครับ?”
เลวอนซักถามไปตามมารยาทเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีประหม่า ไร้ซึ่งท่าทีปฏิเสธหรือทัดทานต่อถ้อยคำของสเตฟาเนียแต่อย่างใด ฮิคาริจึงชี้แจงต่อเขาด้วยสีหน้าน้ำเสียงเข้มขรึมตามปกติ
“ว่าจะพาสเตฟาเนียไปที่บ้านพักสักเดี๋ยวเดียว พอดีเราสองคนมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องพูดคุยกัน”
“เห็นว่ารุ่นพี่ฮิคาริมีเครื่องเล่น Nintendo Switch ด้วย ก็เลยอยากจะไปลองเล่นดูสักครั้งน่ะค่ะ”
แม่มดสาวนักปรุงยากล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ซึ่งความตื่นเต้น ยุวสตรีองเมียวจิรีบหันไปทักท้วงพลางคิ้วขมวดใส่อย่างไม่รีรอเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดต่ออีกฝ่าย
“เดี๋ยวสิ นี่ฉันไม่ได้พาเธอไปที่บ้านพักเพื่อชวนเล่นเกมนะยะ”
“ทั้งสองคนดูท่าทางสนิทสนมกันดีจังเลยนะคะ” โมนิก้าพูดด้วยสีหน้ารอยเปื้อนยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ม… ไม่ได้สนิทสนมกันสักหน่อย!”
ฮิคาริหันมาส่งเสียงโต้แย้งโดยพลัน ในขณะที่สเตฟาเนียได้ให้คำตอบแตกต่างจากนี้โดยการผงกศีรษะตอบรับ ไม่นานนักเด็กสาวนัยน์ตาสีส้มก็ได้เริ่มต้นพูดคุยกับบุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งตามประสาคนคุ้นเคย
“ว่าแต่เย็นนี้คุณเลวอนมีวิชาที่ต้องฝึกซ้อมกับคุณอาเธอเรียใช่ไหมคะ?”
“อื้อ ว่าจะขอคำชี้แนะเพิ่มเติมจากคุณอาเธอเรียสักหน่อย เกี่ยวกับวิชามวยแปดปรมัตถ์น่ะ”
“อ… เอ๊ะ สเตฟก้าไม่เรียกคุณเลวอนว่า ‘รุ่นพี่’ แล้วงั้นเหรอคะ?”
โมนิก้าถือวิสาสะขัดกิจกรรมบทสนทนาด้วยความประหลาดใจ สเตฟาเนียผงกศีรษะด้วยสีหน้าท่าทีราบเรียบ เมื่อเห็นดังนั้นแม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนจึงเกริ่นน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล
“ม… ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่ประหลาดใจนิดหน่อย ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะคะ”
“ทางนี้ต่างหากค่ะที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ในหลาย ๆ ความหมายเลย…”
สเตฟาเนียกล่าวพลางหลบสายตาโมนิก้าแต่พองาม ฮิคาริไม่ต้องการให้บรรยากาศการสนทนาในครั้งนี้ต้องดูกร่อยลงจึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย ชี้นิ้วไปยังลูกแก้วทรงกลมแวววาวที่อยู่ในมือเด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้า แล้วเอ่ยซักถามด้วยความสนอกสนใจ
“เลิกพูดคุยเรื่องชวนเครียดสักทีเถอะ ว่าแต่ลูกแก้วใบนั้นคือ…?”
“ลูกแก้วพยากรณ์ค่ะ พอดีของเก่ามันแตกจนซ่อมแซมหรือใช้การไม่ได้อีกแล้ว ฉันเลยต้องซื้อใบใหม่ที่มีประสิทธิภาพทนทานและใช้งานได้ดีกว่ามาแทน” โมนิก้ากล่าวชี้แจงพลางยื่นอุปกรณ์เวทมนตร์ซึ่งอยู่ในมือตน เพื่อให้เหล่าผองเพื่อนได้รับชมถึงความงดงามของมันอย่างชัดแจ้ง
“คุณเลวอนเป็นคนซื้อให้งั้นสินะคะ” แม่มดสาวนักปรุงยาใช้ดวงตาสีส้มจับจ้องมองเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์พลางสาธยายข้อมูลโดยสังเขป “เท่าที่ฉันทราบ ราคาของลูกแก้วใบนี้ค่อนข้างแพงมาก ชนิดที่นักเรียนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้เนื่องจากใช้คริสตัลชั้นดีเป็นวัสดุหลัก ทำให้พลังเวทแสดงศักยภาพได้ดียิ่งขึ้น ราคาคงน่าจะสักประมาณหนึ่งแสนโครูนาเช็กเลยกระมัง”
“น… หนึ่งแสนโครูนาเช็ก!? เจ้าลูกแกะ นี่นายมีเงินเก็บเท่าไหร่กันแน่เนี่ย!?”
ฮิคาริส่งเสียงประหลาดใจก่อนจะหันไปซักถามเลวอนด้วยความกังขา เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนนึกลังเลใจเพียงครู่หนึ่ง พลางกวาดสายตามองดูสามแม่มดสาวอย่างกระอักกระอ่วนใจ จากนั้นจึงหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงสแล็คเพื่อเปิดแอปพลิเคชัน แสดงให้เห็นถึงจำนวนเงินฝากในธนาคารซึ่งเก็บออมสะสมอยู่ แล้วเริ่มอธิบายให้ทุกคนได้สดับรับฟัง
“พ่อผมเป็นจอมเวทนักปราบมาร ส่วนแม่เคยเป็นหมอนักปรุงยา คอยรักษาผู้คนตั้งแต่สมัยตอนที่พวกท่านอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเวทมนตร์ประเทศอาร์มีเนีย ก็เลยมีเงินเก็บเหลือพอที่จะแบ่งให้ผมใช้ได้ในแต่ละปี ที่เห็นอยู่นี่คือจำนวนหนึ่งในสิบของรายได้ครอบครัวทั้งหมดน่ะครับ”
โมนิก้าและฮิคาริโน้มศีรษะเข้าใกล้หน้าจอมือถือ กวาดสายตามองดูจำนวนเงินซึ่งเก็บสะสมในบัญชีออมทรัพย์ พลางส่งเสียงพึมพำนับตัวเลขไปตามลำดับ จนกระทั่งสองแม่มดสาวเริ่มออกอาการตาโตด้วยความหวั่นสะพรึง เพราะไม่นึกว่าเลวอนจะมีทรัพย์สินส่วนตัวมากถึงเพียงนี้
“หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน… ล้าน…! ล-หลักสิบล้าน!?”
“ถึงจะไม่มากเท่าครอบครัวของคุณคลาร่าที่เป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน แต่ก็ถือว่ามีกินมีใช้คนเดียวตลอดทั้งชาติได้สบาย ๆ เลยนะคะ”
สเตฟาเนียซึ่งยืนมองดูตัวเลขจากทางเบื้องหลังของโมนิก้าและฮิคาริเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ ทั้ง ๆ ที่ภายในใจเธอเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ในขณะที่เลวอนกำลังนำสมาร์ตโฟนเก็บใส่ลงในกระเป๋ากางเกงสแล็คตามเดิม ซามูไรสาวก็ได้ขยับตัวทำท่ายกมือกระซิบกระซาบ ใช้สายตาจับจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างหวาดระแวงพลางกล่าวหยอกล้อเขาไปตามประสาเพื่อน
“ใช้ชีวิตอยู่อย่างธรรมดาแต่มีเงินเก็บมากมายขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าครอบครัวนายแอบไปทำเรื่องที่ผิดกฎหมายมา?”
“ใช่ซะที่ไหนกันล่ะครับ!”
เลวอนปฏิเสธทันควันอย่างท่าทีตะลีตะลาน โมนิก้าซึ่งยืนมองดูสองหนุ่มสาวคอยรับส่งมุกกันอยู่ก็ถึงกับยกมือปิดปากส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
ขณะนั้นเองสเตฟาเนียกำลังแอบครุ่นคิดอะไรบางอย่างภายใต้สีหน้าราบเรียบเย็นชา เธอสังเกตเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเลวอนกับโมนิก้าซึ่งมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ก่อนจะหันไปเกริ่นแซวต่อฮิคาริโดยหมายจะกลั่นแกล้งยั่วยุอีกฝ่ายให้อารมณ์เสียเล่น ๆ
“ว่าแต่เล่นซื้อของขวัญให้โมนิก้าคนเดียวแบบนี้ รุ่นพี่ฮิคาริคงแอบน้อยใจน่าดูเลยล่ะค่ะ”
“พ-พูดอะไรของเธอ ฉันไม่มีวันน้อยใจเพราะเรื่องแค่นี้หรอกย่ะ ดูนี่ซะก่อน!”
ฮิคาริรีบลบคำสบประมาท หยิบสมาร์ตโฟนของตนขึ้นมาจากกระเป๋ากระโปรง โดยที่อุปกรณ์สื่อสารมีพวงกุญแจรูปลูกแกะขนสีขาวฟูประดับอยู่ ขนาดใกล้เคียงเท่าลูกปิงปองดูน่ารักน่าชัง สิ่งนี้คือของขวัญที่ระลึกจากร้านอาหารลูกแกะหลงทาง ซึ่งเลวอนเป็นคนซื้อและมอบให้เธอในเดทแรก หรือวันที่ทั้งคู่ได้พบเจอกันครั้งแรกนั่นเอง
“น… นี่มันของที่ระลึกหายากจากร้านอาหารลูกแกะหลงทางนี่นา?”
“เห… คงได้มาจากตอนที่คุณเลวอนชวนรุ่นพี่ฮิคาริออกเดทครั้งแรกงั้นสินะคะ”
โมนิก้าจับจ้องมองดูเครื่องประดับชิ้นนั้นพร้อมทั้งอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ สเตฟาเนียผู้มีนิสัยช่างสังเกตก็ได้สันนิษฐานถึงที่มาไปตามปกติ ส่วนเลวอนยกมือขวาขึ้นมาลูบสางปอยเปียผมเพื่อกลบซ่อนอาการเหนียมอายอย่างเงียบขรึม ในขณะที่ฮิคาริยังคงให้การปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่แก้มแดงก่ำ
“ช-ใช่ซะที่ไหนกันเล่า เจ้าลูกแกะแค่พาฉันเดินเที่ยวชมตามสถานที่ต่าง ๆ ในหมู่บ้านก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้นแหละย่ะ!”
“มาลองคิด ๆ ดูอีกที คนที่ได้รับของขวัญจากคุณเลวอนไปแล้วก็มีทั้งซิสเตอร์เวสน่า รุ่นพี่ฮิคาริ และโมนิก้านี่นา… ชอบหว่านเสน่ห์ผู้หญิงไปทั่วเชียวนะคะคุณเลวอน”
แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มหันไปเกริ่นแซวพ่อมดหนุ่มรูปงาม พลางหรี่ตาเขม็งเล็งภายใต้สีหน้าน้ำเสียงราบเรียบ โมนิก้าเองเองก็ทำท่าคิ้วขมวดพองแก้มใส่สุภาพบุรุษจอมเจ้าชู้อย่างไม่พึงพอใจด้วยเช่นกัน ทำให้เลวอนไม่อาจสบสายตามองคู่สนทนาได้ตามปกติ
เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูดคุยหวังหลีกเลี่ยงสถานการณ์กดดัน ใช้นิ้วสะกิดไหล่โมนิก้าเพื่อเตือนให้รู้สึกตัว แล้วกล่าวต่อสเตฟาเนียและฮิคาริด้วยน้ำเสียงและท่าทีร้อนรนใจ
“ย… แย่ล่ะสิ ขืนไม่รีบล่ะก็มีหวังโดนคุณอาเธอเรียโกรธแน่ ถ้างั้นพวกผมขอตัวล่วงหน้าไปก่อน ไว้เจอกันใหม่นะครับ!”
“ตั้งใจฝึกซ้อมเข้าล่ะ เสร็จธุระแล้วเดี๋ยวพวกฉันจะตามไปทีหลัง”
ฮิคาริเกริ่นพลางนำสมาร์ตโฟนเก็บใส่ลงในกระเป๋ากระโปรงตามเดิม เลวอนและโมนิก้าโค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นการอำลาแล้วก้าวเท้าวิ่งออกจากพื้นที่แห่งนี้ไปอย่างเร่งรีบ ปล่อยให้วีรสตรีจอมดาบเวทกับแม่มดสาวนักปรุงยายืนอยู่กันตามลำพัง
ช่วงวินาทีที่สเตฟาเนียกำลังจับจ้องมองแผ่นหลังของเลวอนซึ่งค่อย ๆ ลับสายตาออกไปนั้น ฮิคาริได้สบโอกาสนี้เกริ่นแซวใส่หมายยั่วยุให้อีกฝ่ายหัวร้อนพูดจาประชดประชันใส่ตน
“ว่าแต่เธอเถอะสเตฟาเนีย เคยได้ของขวัญอะไรจากเจ้าลูกแกะบ้างไหม?”
“…นั่นสินะคะ ถ้าหากเป็นสิ่งของเหมือนอย่างที่รุ่นพี่ฮิคาริ โมนิก้า และซิสเตอร์เวสน่าได้รับมาจากคุณเลวอนแล้วล่ะก็ คงไม่มีหรอกค่ะ”
ทว่าคำตอบของแม่มดสาวนักปรุงยานั้น กลับสื่อถึงความเหงาซึ่งแอบซุกซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ ผ่านทางแววตาเหม่อลอยและน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าสิ่งที่เธอกำลังปรารถนาอยู่นั้นไม่มีวันสมหวังหรือกลายเป็นจริง มันคือความน้อยใจที่ไม่สามารถระบายให้คนรอบข้างรับฟังได้
สเตฟาเนียเองก็ต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเลวอนเช่นกัน เหตุผลที่ต้องเก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้ เป็นเพราะไม่อยากให้เขามองว่าเธอทำตัวน่ารำคาญนั่นเอง ต่อให้ต้องโหยหาในความอบอุ่นมากเพียงใดก็ตาม
เมื่อฮิคาริเห็นเด็กสาวพราวเสน่ห์ตกอยู่ในห้วงอารมณ์เช่นนี้ จึงตัดสินใจไม่พูดจาหยอกล้อใด ๆ อีก
MANGA DISCUSSION