เด็กสาวหน้าตาสะสวย เจ้าของเรือนผมยาวประบ่ารวบหางม้ากับนัยน์ตาสีส้มวัยสิบสองปี ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกระโปรงแบบคอร์เซ็ท เธอได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานมาตั้งแต่กำเนิดพร้อมกับแม่เลี้ยงรายหนึ่ง ด้วยความที่เธอเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่และไร้ซึ่งเครือญาติ
แรกเริ่มเดิมที “ยาโรสลาฟ คอนวาลินกา” บุรุษจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในฐานะผู้นำของหมู่บ้าน ได้พบเจอทารกน้อยแรกเกิดเพศหญิงบนตะกร้าสาน ถูกซ่อนเอาไว้ในป่าทึบด้วยเวทมนตร์อำพรางสายตา ราวกับถูกปล่อยทิ้งไว้ให้อดตายอย่างโดดเดี่ยว เขาสังเกตเห็นนัยน์ตาสีม่วงของเธอก็ทราบได้โดยทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรับตัวมาเลี้ยงดูพร้อมทั้งให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ก่อนจะส่งตัวให้กับผู้ที่ต้องการจะมีบุตรแต่ไม่สามารถอุ้มครรภ์ได้มารับตัวไป
จนกระทั่ง “อเล็กซานเดรีย ซาวาดสกา” แม่ม่ายสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีดำมันวาวกับนัยน์ตาสีน้ำทะเล ในชุดพื้นเมืองชาวสลาวิกวัยยี่สิบแปดปี ได้เกริ่นอาสาขอรับเด็กทารกไว้เลี้ยงดู ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้เองเธอเพิ่งจะรับตัวลูกน้อยวัยสามเดือนคนหนึ่งซึ่งถูกทิ้งเอาไว้ในป่ามาดูแลด้วยเช่นเดียวกัน
มิหนำซ้ำอเล็กซานเดรียยังเคยอุ้มท้องลูกแฝดเพศหญิงมาก่อน ทว่าเนื่องจากสภาพร่างกายนั้นไม่แข็งแรงเพราะป่วยด้วยโรคต้องคำสาปเลยทำให้ตนแท้งลูก และเพื่อเป็นการชดเชยแผลใจที่เพิ่งสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป ยาโรสลาฟจึงยินดีที่จะฝากฝังภาระหน้าที่นี้ให้
ในตะกร้าสานมีชื่อของทารกน้อยเขียนเอาไว้บนกระดาษด้วยหมึกสีดำ ยาโรสลาฟและอเล็กซานเดรียเห็นดังนี้ก็รู้แจ้งได้โดยทันทีว่าเป็นลูกใคร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบร้ายแรงในภาคภายหน้า บุรุษจอมเวทพาลาดินจึงเสกคาถาลงผนึกบางอย่างเอาไว้ ทำให้นัยน์ตาของเด็กกำพร้าตัวน้อยกลายเป็นสีส้ม
ส่วนแม่ม่ายได้มอบชื่อให้แก่สมาชิกครอบครัวคนใหม่ อันมีนามว่า “สเตฟาเนีย เลฮารอฟว่า” โดยใช้นามสกุลเก่าก่อนแต่งงานของตนลงท้าย
อเล็กซานเดรียคอยเลี้ยงดูสเตฟาเนียกับทารกน้อยอีกหนึ่งคนจนทั้งคู่เติบใหญ่ แม้นจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่เธอกลับทำหน้าที่แม่ได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งมอบความรักความอบอุ่นให้กับสองเด็กหญิงเสมือนดั่งลูกแท้ ๆ ในอ้อมอก ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเริ่มแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงสิบสองปีเต็ม
“สลาติก้า ซาวาดสกา” เด็กสาวลูกครึ่งปีศาจเจ้าของผมสีแดงฉานกับนัยน์ตาสีอำพัน ปลายใบหูแหลมเรียวเล็กน้อยแตกต่างจากคนอื่น สำหรับสเตฟาเนียแล้ว อีกฝ่ายถือเป็นทั้งเพื่อนสนิทและพี่สาวคนสำคัญของตน ไม่ว่าเมื่อไหร่ทั้งคู่ก็มักจะทำกิจกรรมร่วมกันเสมอ
แม้ว่าสเตฟาเนียจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกับพ่อแม่ที่แท้จริง แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังใช้ชีวิตร่วมกับแม่เลี้ยงและพี่สาวบุญธรรมอย่างมีความสุข ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดความอบอุ่นหรือเป็นเด็กมีปัญหาแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังมีนิสัย ร่าเริงไร้ซึ่งเดียงสา น้ำใจงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส และหัวเราะเก่งตามประสาเด็กสาวทั่วไป
อย่างไรก็ดีช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมักไม่จีรังยั่งยืนเสมอ วันหนึ่งสุขภาพร่างกายของอเล็กซานเดรียค่อย ๆ ย่ำแย่ลง ต่อให้ตามหมอประจำหมู่บ้านมาช่วยรักษาก็มิอาจบรรเทาอาการลงได้ แม้แต่ยาโรสลาฟผู้เป็นมหาจอมเวทพาลาดินเองยังต้องมืดแปดด้าน ประจวบกับเมื่อสิบสองปีก่อนผู้คนในหมู่บ้านบางส่วนเริ่มล้มป่วยและตายจากไปด้วยโรคไข้ปริศนา ต่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวจะมีเพียงแค่ไม่กี่สิบคน แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชาวบ้านมากพอสมควร
อเล็กซานเดรียคือหนึ่งในผู้ที่ประสบกับเคราะห์ร้ายดังกล่าว เพราะโรคภัยแห่งคำสาปนี้มีผลต่อมนุษย์ทั่วไปที่ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากเหล่าพ่อมดแม่มดบริสุทธิ์ โชคร้ายที่เธอล้มป่วยลง ทำให้ต้องละเว้นจากงานเก็บเกี่ยวสมุนไพรตามป่าอย่างไม่มีกำหนด และต้องอยู่บ้านพักรักษาตัวแบบประคับประคองเพื่อไม่ให้อาการทรุดหนักลง
สเตฟาเนีย และสลาติก้าต่างกังวลถึงสุขภาพของแม่เลี้ยงเป็นอย่างมาก ทั้งคู่จึงตัดสินใจทำงานรับจ้างค้นหาสมุนไพรและพืชพรรณตามป่าเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายทางครอบครัว และนำเงินมารักษาอเล็กซานเดรียให้หายจากอาการป่วย ต่อให้หนทางการใช้ชีวิตจะยากลำบากแสนเข็ญสักเพียงใดก็ตาม
แต่ถึงกระนั้นอาชีพดังกล่าวก็ไม่ได้ยั่งยืน หรือรับประกันได้ว่าจะมีงานให้ทำตลอดทุก ๆ สัปดาห์
ในขณะที่กำลังก้มหน้าเก็บเกี่ยวสมุนไพรกลางป่าทึบในช่วงเวลาเช้าตรู่ สลาติก้าในชุดลำลองเสื้อเชิ้ตกับกระโปรงแบบคอร์เซ็ท ก็ได้เงยศีรษะเกริ่นสนทนาด้วยสีหน้าท่าทีฮึดสู้
“สเตฟก้า ปีนี้ฉันตั้งใจว่าจะสอบชิงทุน เรียนต่อที่โรงเรียนเวทมนตร์ในเมืองลอนดอนล่ะ”
“อ-เอ๊ะ จริงเหรอ!?” เด็กสาวนัยน์ตาสีส้มรีบหันหน้าอุทานอย่างประหลาดใจ “ได้ยินมาว่าที่นั่นเปิดรับเฉพาะนักเรียนจอมเวทระดับหัวกะทิเท่านั้นนี่นา แล้วทำไมสลาติก้าถึงได้…?”
“ฉันอยากจะเป็นศาสตราจารย์เพื่อนำเอาวิชาความรู้ทั้งหมดมารักษาคุณแม่น่ะ ถ้าหากเรานำเอาวิทยาการทางแพทย์สมัยปัจจุบันมาประยุกต์ใช้กับศาสตร์แห่งเวทมนตร์ล่ะก็ จะต้องค้นพบหนทางที่ทำให้คุณแม่หายป่วยได้แน่…!”
แม่มดสาวผมยาวสลวยสีแดงฉานชี้แจง สายตาของเธอทอดมองไปยังเบื้องหน้าอย่างมีความหวัง สเตฟาเนียเห็นท่าทีดังนั้นจึงแย้มสรวลจาง ๆ อย่างชอบใจ ก่อนจะขยับฝีเท้าเข้าใกล้คู่สนทนา แล้วเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอนาคตของตนให้ฟังเช่นกัน
“ดีจังที่สลาติก้ามีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนแบบนี้ ถ้างั้นฉันขอเป็นคุณหมอนักปรุงยา คอยศึกษาค้นคว้าเรื่องสมุนไพรแล้วนำมารักษาอาการป่วยของคุณแม่บ้างดีกว่า จะได้ใช้ศาสตร์แห่งวิชาปรุงยาที่ร่ำเรียนมาจากคาบชมรมมาช่วยดูแลท่านด้วย”
“ไม่เลวนี่ ว่าแต่คิดดีแล้วเหรอ เกิดฉันสอบชิงทุนได้แล้วต้องเดินทางไปอังกฤษขึ้นมาจริง ๆ มีหวังคนแถวนี้คงได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนกระต่ายขี้เหงาแน่ ๆ เพราะที่หอพักในโรงเรียนเขาห้ามใช้อุปกรณ์สื่อสารติดต่อกัน อนุญาตแค่ให้เขียนจดหมายพูดคุยเท่านั้น”
สลาติก้าเผยสีหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม ทว่าสเตฟาเนียกลับยกสองแขนขึ้นมากอดอกราวกับผู้มีชัย
“ใครกันแน่ที่เป็นกระต่ายขี้เหงา อย่างน้อยฉันยังได้อยู่ดูแลคุณแม่ที่นี่นะ”
“หน็อย อย่าได้ใจนักเลย~!”
เด็กสาวลูกครึ่งปีศาจเอื้อมสองมือบางเข้าไปบีบดึงแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ตามประสาพี่น้อง แม่มดฝึกหัดเจ้าของนัยน์ตาสีส้มแสดงสีหน้าคิ้วขมวดบึ้งตึงใส่เล็กน้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา
หลังจากที่ทั้งสองคนหยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอ สลาติก้าจึงละมือออกจากใบหน้าน้องสาวบุญธรรม แล้วกล่าวฝากฝังร้องขอโดยที่รอยยิ้มสื่อให้เห็นถึงความเศร้าสร้อย ราวกับรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าในเร็ววันนี้เธออาจจะต้องเดินทางออกจากที่นี่ไปเป็นเวลานับแรมปีอย่างแน่นอน
“ตอนที่ฉันไม่อยู่ ช่วยฝากดูแลคุณแม่แทนฉันด้วย”
“อื้อ สลาติก้าเองก็ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ ไว้ฉันจะเขียนจดหมายส่งถึงเธอนะ”
สเตฟาเนียตอบปากรับคำพลางยื่นนิ้วก้อยขวาเข้าหาอีกฝ่าย สลาติก้าคลายความกังวลใจพร้อมทั้งยกมือขึ้นมาเกี่ยวก้อยสัญญากัน สองพี่น้องต่างแย้มสรวลให้กันอย่างอบอุ่นท่ามกลางแสงแดดยามเช้าซึ่งสาดส่องลงมายังผืนป่า และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของทั้งคู่
ภาพความทรงจำของสเตฟาเนียเริ่มเปลี่ยนไป สถานที่ยังคงเป็นป่าลำเนาไพรนอกเขตหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานเช่นเดิม ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบแลดูมืดสลัว มีเพียงแค่กองไฟที่ถูกจุดด้วยฟืนกับใบไม้แห้งคอยให้แสงสว่างทั่วบริเวณในยามค่ำคืน กับเหล่าชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่สี่คนกำลังรุมล้อมฉีกกระชากชุดแต่งกายของเด็กสาววัยสิบสามปีอย่างทารุณ
สเตฟาเนียถูกบุรุษเหล่านี้ล่อลวงให้ค้นหาพืชพรรณสมุนไพรหายากตามป่า เนื่องจากพวกเขาอ้างว่าจะให้ค่าตอบแทนในราคาที่สูง บวกกับความปรารถนาของเธอที่ต้องการนำเงินมารักษาอเล็กซานเดรียให้หายป่วย จึงตอบรับงานในครั้งนี้
โชคร้ายที่ยุวสตรีนั้นไร้เดียงสาและเชื่อใจผู้คนมากเกินไป อีกทั้งสลาติก้าเองก็ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้แล้ว ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอจึงต้องทำงานหาเลี้ยงชีพเพื่อครอบครัวเพียงลำพัง มิหนำซ้ำเด็กสาวยังอยู่ในช่วงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ทั้งสรีระร่างกาย ทรวดทรงองค์เอว พร้อมด้วยใบหน้าสะสวยน่าเอ็นดู สิ่งเร้าเย้ายวนใจเช่นนี้คงยากที่เหล่าบรรดาบุรุษจะหักห้ามใจไหว จึงตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างที่เห็น
“พ… พวกลุงจะทำอะไรน่ะ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ! คุณแม่ สลาติก้า ใครก็ได้ช่วยหนูด้วย!”
สเตฟาเนียส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์หวังจะสลัดตนให้หลุดไปจากน้ำมือของสี่ชายฉกรรจ์ ทว่าด้วยเรี่ยวแรงและจำนวนคนของอีกฝ่ายซึ่งมีมากกว่า ทั้งเรือนร่างอันบอบบางและแขนขาคู่นั้นจึงถูกกดทับลงกับพื้นดินยากที่จะขัดขืน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตคอปก กระโปรงคอร์เซ็ท หรือแม้แต่ชุดชั้นในต่างถูกฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ เผยให้เห็นสรีระเปลือยเปล่าอันงดงามชัดเจน ดูเหมือนว่าคำอธิษฐานที่กู่ก้องร้องออกไปจะไม่บังเกิดผลเข้าเสียแล้ว
“นังหนูเอ๊ย ตะโกนให้ตายยังไงก็ไม่มีใครผ่านมาได้ยินหรอก มาสนุกกับพวกลุงดีกว่า”
“ให้ตายสิวะ นังเด็กนี่หุ่นดีน่าฟัดชะมัด”
“ใช่ไหมล่ะ? ดีกว่าไปปลดปล่อยกับอีแก่ที่บ้านตั้งเยอะ”
“เฮ้ยพวกแก รอบนี้ฉันขอเป็นคนเปิดก่อนนะเฟ้ย อัดอั้นมาตั้งหลายวันแล้วขอสักทีเถอะน่า”
สี่สหายโจรปล้นสวาทต่างหัวเราะเริงร่าหลังจากพูดจบ แล้วเริ่มนำมือหนาสากลูบไล้ไปยังตามส่วนต่าง ๆ บนเรือนร่างอันเย้ายวนของสเตฟาเนีย สลับกับโน้มใบหน้าซอกไซ้เพื่อใช้ปลายลิ้นโลมเลียอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเนินอก บั้นท้าย ต้นขา หรือแม้กระทั่งจุดสงวนตรงหว่างขาก็ตาม ในขณะที่พวกเขาคอยเสพสำราญอย่างหื่นกระหาย นงเยาว์ผู้น่าสงสารก็ได้แต่ร้องไห้ส่ายศีรษะไปมาด้วยความหวาดผวา ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจอเรื่องราวเลวร้ายอะไรแบบนี้
เมื่อเหล่าบุรุษลวนลามทรวดทรงองค์เอวของเพศตรงข้ามจนสาแก่ใจ ชายร่างแกร่งหน้าตาดุดันรายหนึ่งได้รูดซิปปลดกางเกงลงเพื่อควักอาวุธประจำกายออกมา นำสองมือหนาจับแยกขาเรียวบางพร้อมทั้งแทรกร่างแกร่งเข้าไปเตรียมลงมือขืนใจเด็กสาว แล้วให้พวกพ้องที่เหลืออีกสามคนจับกดแขนและไหล่ผู้เคราะห์ร้าย จากนั้นเกริ่นน้ำเสียงแหบแห้งชวนขนลุกซู่หวังจะให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกต่อถ้อยคำตนจนถึงที่สุด
“ขอรับครั้งแรกของเธอไปล่ะ!”
“ไม่เอา ขอร้องล่ะอย่าทำแบบนี้ อย่า!!”
——พรึ่บ สวบสวบสวบ!!
สิ้นเสียงกรีดร้องของสเตฟาเนีย ร่างกายของสามบุรุษที่กำลังพันธนาการตัวเธออยู่ก็พลันฉีกขาดสะบั้นชั่วพริบตาเดียว เงาจากพื้นดินแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นคมมีดเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวและอิสระประดุจความเร็วแสง ทั้งศีรษะ แขนขา หรืออวัยวะส่วนต่าง ๆ ของพวกเขาถูกแยกส่วนด้วยการโจมตีที่มองไม่เห็นจนหยาดเลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ และดับสลายไปพร้อมกับลมหายใจแห่งชีวิตทันที
“เหวออออ!!”
โจรปล้นสวาทซึ่งเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย กลับกลายเป็นฝ่ายตะโกนลั่นแสดงสีหน้าหวาดผวาเสียเอง พร้อมทั้งรีบถอยหลังกรูออกห่างจากตัวเด็กสาวผมสีส้มอย่างตะลีตะลาน ลักษณะบางอย่างของสเตฟาเนียในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาของเธอเป็นสีม่วง เล็บมือทั้งสองข้างแหลมยาวกว่าปกติเล็กน้อย อีกทั้งฟันเขี้ยวคมกริบคล้ายผีดูดเลือด ไม่ต่างอะไรกับอมนุษย์หรือลูกครึ่งปีศาจเลยสักนิดเดียว
ไม่สู้ก็ต้องตาย ต่อให้วิ่งหนีไปก็คงไม่รอด ชายฉกรรจ์ตัดสินใจหยิบมีดสั้นซึ่งเหน็บซ่อนไว้หลังเข็มขัดขึ้นมา หมายจะปักกลางอกเธอเพื่อปลิดชีพ ทั้งที่ร่างกายของเขาสั่นเทาและอาบเหงื่อด้วยความเกรงกลัว พลางแผดคำรามสบถถ้อยคำใส่อีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่วลำเนาไพร
“ย… ยัยปีศาจ!!”
ฉึก สวบสวบสวบ!!
ในท้ายที่สุด ผู้ร้ายรายนี้ก็ได้พบกับจุดจบซึ่งไม่ต่างจากเหล่ามิตรสหายของตน อวัยวะแทบทุกส่วนถูกฉีกกระชากออกจากกัน ราวกับถูกของมีคมนับสิบเล่มเข้าเชือดเฉือนภายใต้มรสุมเงาแห่งความหายนะ
เมื่อทุกอย่างพลันเงียบสงบลง สเตฟาเนียจึงรีบขยับตัวลุกขึ้นในท่านั่งคอยกวาดสายตามองดูทุกสรรพสิ่งที่อยู่โดยรอบ พบว่าบนผืนแผ่นดินภายใต้แสงจากกองไฟนั้นเจิ่งนองไปด้วยโลหิตสีแดงฉานปะปนเข้ากับเศษเนื้อ ถือเป็นภาพที่สยดสยองและชวนสะเทือนใจยิ่งนัก
“น… นี่ฉันทำอะไรลงไป… อ๊อก!”
สเตฟาเนียถึงกับอาเจียนออกมาเพราะกลิ่นคาวเลือด ใบหน้าและเรือนร่างของเธอเองก็ถูกแปดเปื้อนไปด้วยโลหิตของเหล่าชายฉกรรจ์ หลังจากที่อาการคลื่นไส้เริ่มบรรเทาลง แม่มดสาวจึงร้องไห้น้ำตาคลอรีบยกสองมือขึ้นมาสวมกอดตัวเอง ไม่ใช่เพราะเศร้าสลดเสียใจหรือสำนึกผิดในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับโล่งใจที่เธอสามารถปกป้องตนเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันแสนเลวร้ายนี้ไปได้ต่างหาก
นี่เป็นครั้งแรกของสเตฟาเนียที่ได้ลงมือสังหารผู้คนถึงสี่ราย แม้นว่าเจตนาเดิมทีนั้นตั้งใจจะสลัดตัวหนีให้พ้นจากเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตนเอง หาได้มีความประสงค์หมายจะพรากชีวิตอีกฝ่ายก็ตาม เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงกลายเป็นที่มาอย่างชัดเจนว่า เพราะเหตุใดเธอถึงได้มีนิสัยไม่ค่อยถูกกับเพศตรงข้าม อีกทั้งยังใช้คำพูดเสียดแทงใส่เพื่อสร้างระยะห่างต่อคู่สนทนาที่เป็นบุรุษหนุ่มด้วย
ความทรงจำอันดำมืดของสเตฟาเนียยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้ ภาพเหตุการณ์ในอดีตถูกเปลี่ยนไปอีกครั้ง ทว่าสถานที่แห่งนั้นกลับกลายเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน ปรากฏให้เห็นแท่นสุสานหลุมฝังศพนับร้อยประดับเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้แสงแห่งอัสดง
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมและนัยน์ตาสีส้มวัยสิบสี่ปีกำลังนั่งพับเข่าบนพื้น เสื้อผ้าของเธอเปรอะเปื้อนมีรอยฉีกขาดจากการถูกเผาไหม้ มิหนำซ้ำร่างกายยังเต็มไปด้วยบาดแผลและตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอม พร้อมทั้งแสดงสีหน้าเจ็บปวดใจต่อความรู้สึกผิดบาป
พื้นหญ้าบริเวณโดยรอบลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง มิได้แตกต่างจากสีของท้องฟ้าในเวลานี้ เบื้องหน้าของสเตฟาเนียมีแม่มดสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีโลหิตรายหนึ่งผู้ซึ่งคุ้นเคย ในชุดเครื่องแบบสีดำคล้ายชุดทหารกำลังยืนอยู่ โดยที่นัยน์ตาสีอำพันกำลังจับจ้องเขม็งเล็งมาทางนี้อย่างเดือดดาลราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เธอคือ “สลาติก้า ซาวาดสกา” พี่สาวบุญธรรมของสเตฟาเนียนั่นเอง
“นึกอยู่แล้วว่ามันต้องลงเอยแบบนี้ ฉันน่ะได้ยินข่าวลือมาว่า “สเตลล่า พาเวลโควา” แม่ที่แท้จริงของหล่อนแอบคิดการใหญ่ สร้างคาถาโรคภัยแห่งคำสาปขึ้นมาเพื่อใช้ทดลองกับผู้คนในหมู่บ้านเมื่อสิบสี่ปีก่อน และคุณแม่ก็คือหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องสังเวยชีวิตไป!”
“ม… มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ!”
สเตฟาเนียรีบให้การปฏิเสธ แต่สลาติก้ากลับไม่สนใจพร้อมทั้งระบายความเคียดแค้นต่อไปทั้งน้ำตา
“ที่ผ่านมาหล่อนเอาแต่ปิดบังฉัน ไม่ยอมเขียนจดหมายเล่าความจริงเกี่ยวกับอาการป่วยของคุณแม่ที่ทรุดหนักลงให้ฉันได้รู้ จนสุดท้ายท่านต้องตายจากไป ก่อนเดินทางมาถึงที่นี่ฉันยังอุตส่าห์เชื่อใจคิดว่าหล่อนจะไม่ทรยศหักหลังพวกฉัน เหมือนอย่างที่แม่ของหล่อนเคยทำกับทุกคนในหมู่บ้านจนถึงวินาทีสุดท้าย แต่ฉันมันโง่เองที่คิดผิดหลังจากได้เห็นหลุมศพของท่าน…! ไหนบอกว่าจะช่วยดูแลคุณแม่ให้ดี ๆ ยังไงล่ะ!?”
“คุณแม่ไม่อยากให้สลาติก้าต้องลำบากใจจนเสียสมาธิในการเรียน เพราะงั้นท่านเลยขอร้องให้ฉันปิดบังเรื่องนี้เอาไว้จนกว่าเธอจะเรียนจบ ทั้งที่ฉันอยากเขียนจดหมายเพื่อเล่าความจริงออกไป แต่ฉันกลับปฏิเสธความตั้งใจของคุณแม่ไม่ได้เลย ขืนเล่าความจริงออกไปจนเธอยอมลาออกจากโรงเรียนเพื่อกลับมาดูแลคุณแม่ล่ะก็ ท่านคงต้องโกรธและรู้สึกผิดหวังในตัวพวกเรามาก ๆ แน่ แล้วจะให้ฉันทำยังไงกันเล่า!”
“นังตอแหล ยัยชาติชั่ว! คุณแม่กับศาสตราจารย์ยาโรสลาฟไม่น่าเก็บคนอย่างหล่อนมาเลี้ยงดูเลย ผู้หญิงปลิ้นปล้อนชอบหลอกลวงคนอื่นอย่างหล่อนน่ะตายไปซะได้ก็ดี!!”
ยุวสตรีผมสีโลหิตแผดเสียงสบถ พลางแสดงกิริยาก้าวร้าวทำตาถมึงทึงใส่ แม้ว่าอีกฝ่ายพยายามอธิบายเหตุผลไปแล้วก็ตาม ประโยคดังกล่าวได้เหยียบย่ำหัวใจของสเตฟาเนียอย่างแสนสาหัส ถือเป็นคำพูดที่เธอยังคงจดจำได้ดีตราบจนถึงทุกวันนี้
น้องสาวบุญธรรมจึงทำได้แค่เพียงก้มศีรษะร้องไห้ด้วยความเศร้าสลดเท่านั้น
“เลิกแสร้งทำเป็นบีบน้ำตาสักที!” สลาติก้ารีบตะเบ็งเสียงอีกครั้ง “ถ้าหากสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ก็รีบเอาชีวิตของคุณแม่กลับคืนมาซะสิ… เอาคืนมา เอาคืนมาเดี๋ยวนี้!!”
“ฉ-ฉันขอโทษสลาติก้า… ฉันขอโทษ!”
สเตฟาเนียตกอยู่ในอาการสะอึกสะอื้น ไม่อาจเงยหน้าสบสายตาคู่สนทนาได้อีก สลาติก้าเห็นดังนั้นถึงกับรู้สึกสมเพชในตัวอีกฝ่าย ต่อให้เธอร่ายคาถาโจมตีใส่เพื่อระบายความอาฆาตแค้นที่ฝังรากลึกอยู่ภายในอกออกไป หรือหมายจะทรมานให้จำเลยเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็นอีกสักกี่ครั้ง ก็ไม่อาจชดใช้หรือทำให้อเล็กซานเดรียฟื้นขึ้นมาจากความตายได้อยู่
สลาติก้าตัดสินใจชี้ปลายนิ้วขวาไปยังสเตฟาเนียซึ่งอยู่ห่างจากตนไม่เกินสี่เมตร ปรากฏเปลวเพลิงสีชาดลุกโชนอย่างแรงกล้าพร้อมแผดเผาทุกสิ่งที่ขวางหน้า มิได้สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงสมาชิกในครอบครัวคนสำคัญ แม้จะเคยผูกพันหรือผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันก็ตาม
สิ่งที่พอจะชำระล้างความโกรธของสลาติก้าได้ มีเพียงแค่ความตายของสเตฟาเนียเท่านั้น
“ในเมื่อเอากลับคืนมาไม่ได้ ก็จงชดใช้ด้วยชีวิตของหล่อนซะ!!”
สิ้นเสียงคำพิพากษา บุตรีแห่งเอรินยีส หรือจ้าวปีศาจแห่งเพลิงนรกก็พลันสาดเวทมนตร์อัคคีขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่อดีตน้องสาวบุญธรรมอย่างไม่ลังเล แม่มดสาวเรือนผมสีส้มยินดียอมรับบทลงทัณฑ์ครั้งนี้โดยปราศจากท่าทีต่อต้าน เธอค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงทั้งที่หยาดน้ำแห่งความโศกศัลย์ยังคงไหลอาบสองแก้ม พร้อมทั้งระลึกถึงความทรงจำอันอบอุ่นในช่วงสิบสี่ปีที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย
ทุกสิ่งโดยรอบกลายเป็นสีขาวโพลน ก่อนที่จะมืดดับและจมลงสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่าในที่สุด
MANGA DISCUSSION