เด็กสาวหน้าตาน่ารักชาวญี่ปุ่น เจ้าของเรือนผมยาวสลวยกับนัยน์ตาสีน้ำตาลวัยสิบสามปี ในชุดเครื่องแบบสีดำนิลตัดแถบแดงคล้ายกองทัพทหารในสมัยยุคจักรวรรดิ ได้ถูกทางสถาบันองเมียวจิโตเกียวเชิญตัวเพื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ปราบมารแห่งสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออก โดยที่ไม่จำเป็นต้องสอบคัดเลือกแต่อย่างใดในฐานะนักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่
ด้วยเหตุนี้เพื่อนร่วมชั้นที่มีเป้าหมายเดียวกันหรือไม่ผ่านบททดสอบจึงพากันริษยาเธอ นินทาให้ร้ายว่าเป็นเพราะเธอใช้เส้นสายของวงศ์ตระกูลฮาชิสึเมะ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสถาบันองเมียวจิและสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกโดยตรง เลยทำให้ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว
อีกทั้งยังมีพ่อเป็นผู้อำนวยการของสถาบันองเมียวจิโตเกียว ในขณะที่ปู่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการของสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากมีคนในครอบครัวพยายามผลักดันส่งเสริมลูกหลานของตนเองให้ได้ดิบได้ดี
ถึงกระนั้นแล้วเธอก็มิได้ให้ความสนใจต่อถ้อยคำใส่ร้ายป้ายสีจากผู้อื่นแต่อย่างใด
ทุกครั้งที่เด็กสาวรายนี้กำลังฝึกซ้อมดาบไม้ในลานประลองของสถาบันองเมียวจิ มักจะมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินถือดาบไม้เข้ามาทดสอบฝีมือเธออยู่เสมอ และไม่ใช่เป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่เธอกลับแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในการใช้ศัสตราวุธซึ่งผสมผสานกับคาถามนตรา โค่นล้มเหล่าผู้ท้าชิงให้ศิโรราบทุกครั้งไป
ถือเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนว่า ต่อให้ไม่ต้องใช้เส้นสายจากวงศ์ตระกูลเข้าช่วย ยังไงเสียตัวเธอนั้นก็มีทักษะที่ร้ายกาจพอ ๆ กับผู้ใหญ่อยู่ดี หรืออาจจะเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ปราบมารบางคนเสียด้วยซ้ำ
นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ฮาชิสึเมะ ฮิคาริ” ต้องโดดเดี่ยวไร้เพื่อนฝูง แม้แต่เพื่อนร่วมงานเองก็พากันเกลียดชังในพรสวรรค์ของเธอ คอยถูกทางเบื้องสูงจับตามองดูด้วยความคาดหวังตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นที่อิจฉาในบรรดาเพื่อนร่วมอาชีพหรือเหล่านักเรียนองเมียวจิทั่วไป บ้างก็มีคนพยายามหลอกใช้เพื่อหวังพึ่งเส้นสายจากตน จนเธอไม่อาจเปิดใจเชื่อมั่นในตัวใครได้อีกมาเป็นเวลานานนับสี่ปี
ทว่าอย่างน้อย ๆ แล้ว เด็กสาวยังคงมีความสุขดีภายใต้ครอบครัวอันแสนอบอุ่น เนื่องจากมีพ่อแม่ ลูกพี่ลูกน้อง และปู่ต่างรักใคร่เอ็นดู จนเธอตัดสินใจได้ว่าต่อให้ไม่มีมิตรสหายสักคนก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้ที่เอาแต่จ้องหวังผลประโยชน์จากพวกตน
ที่ผ่านมาฮิคาริมักใช้คำพูดทิ่มแทงว่ากล่าวใส่ผู้ที่พยายามจะเข้ามาตีสนิทกับเธออยู่เสมอ เพื่อปิดกั้นไม่ให้คนภายนอกเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัว ทว่าหลังจากที่เด็กสาวได้เดินทางมายังหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน จนกระทั่งพบเจอกับ “เลวอน ทาวิเทียน” เธอก็เริ่มผ่อนคลายความเย็นชาลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังมีท่าทีแข็งกระด้างอยู่บ้างก็ตาม
สำหรับฮิคาริแล้ว พ่อมดหนุ่มรูปงามผู้นี้คือเพื่อนคนแรกอย่างเป็นทางการ ที่เปิดใจยอมเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองให้เธอฟัง อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย
“ทำไมถึงทำดีกับฉันขนาดนี้ นายก็รู้นี่ว่าฉันมีนิสัยใจคอยังไง แถมยังชอบพูดจาเย่อหยิ่งเอาแต่ใจอีกด้วย แล้วแบบนี้นายยังอยากจะเป็นเพื่อนกับฉันอยู่อีกเหรอ?”
“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วล่ะ อีกอย่างคุณฮาชิสึเมะเองก็เป็นคนที่มีจิตใจดีด้วย ไม่งั้นคุณคงไม่ก้มหัวขอโทษผมหรอกครับ”
นั่นคือหนึ่งในประโยคสำคัญ ที่ฮิคาริได้สนทนากับเลวอนในวันที่พบเจอกันครั้งแรก ทุกวันนี้เธอยังคงจดจำเหตุการณ์คราวนั้นได้ดี แถมยังเก็บรักษาพวงกุญแจรูปลูกแกะขนสีขาวฟู ซึ่งพ่อมดหนุ่มเป็นคนซื้อและมอบให้แก่ตน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีราคาแพงหรือหรูหรามากมายนัก แต่สำหรับเธอแล้วมันคือของขวัญอันล้ำค่าที่มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งล่วงรู้เรื่องราวและได้รับความใจดีจากเลวอนมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้ความหลงใหลของฮิคาริถลำลึกมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกถ้าหากว่าเธอรู้สึกนึกเป็นห่วงเพื่อนคนสำคัญคนแรกขึ้นมา
ฮิคาริไม่ได้มีเพื่อนฝูงมากมายและมักถูกผู้คนอิจฉาริษยาอยู่ก็จริง แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้เธอกลายเป็นเด็กสาวผู้มีนิสัยไม่ยอมเชื่อใจใครง่าย ๆ และเกลียดชังต่อเหล่าบรรดาอสูรปีศาจร้ายด้วยความเคียดแค้นโดยที่ไม่อาจให้อภัยได้
ความทรงจำได้วกย้อนกลับมายังอดีตอีกครั้ง ฮิคาริในวัยสิบสี่ปีกำลังยืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของโลงศพ ซึ่งประดับไปด้วยดอกไม้สีขาวสวยสดงดงาม พิธีถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติในอาคารแห่งหนึ่งของสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกประจำกรุงโตเกียว โดยมีเจ้าหน้าที่ปราบมารหลายร้อยคนเข้าร่วมงานเพื่อไว้อาลัย และอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารสีดำ
กรอบรูปใบใหญ่ที่ตั้งประดับถัดจากโลงศพไปนั้น เผยให้เห็นถึงภาพของสตรีวัยสามสิบปีตอนปลายรายหนึ่ง เจ้าของเรือนผมกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูโดดเด่นภายใต้ใบหน้าอันงดงาม ในชุดเครื่องแบบปฏิบัติการสีดำนิลแถบแดง เธอคนนี้คือแม่บังเกิดเกล้าของฮิคาริ หรือ “ฮาชิสึเมะ อากิระ” นั่นเอง
อากิระได้เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติภารกิจ เธอต่อสู้กับอสูรจิ้งจอกคลาส S เพื่อช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มหนึ่งให้รอดพ้นจากอันตราย ณ หมู่บ้านชนบทในฮอกไกโด แต่กลับพลาดท่าไปเสียก่อน การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับนั้นได้สร้างความสะเทือนใจต่อเหล่าสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกไม่ใช่น้อย
ทว่าความเศร้าของพวกเขามิอาจเทียบได้กับจิตใจที่แตกสลายของฮิคาริ รวมไปถึงคนในครอบครัวของเธอ
ในขณะที่ฮิคาริกำลังยืนไว้อาลัยต่อหน้าโลงศพด้วยอาการสำรวม โดยที่น้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้มด้วยความโศกศัลย์ “ฮาชิสึเมะ โซอิจิโร่” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าคมคาย ผมสั้นสีดำแซมขาวนัยน์ตาสีเข้ม ในชุดเจ้าหน้าที่สีดำตัดแดงประดับเครื่องหมายชั้นยศ ตรงแก้มซ้ายมีรอยแผลเป็นจากคมดาบคาตานะชัดเจน ได้เดินเข้ามายืนอยู่เคียงข้างลูกสาวตน เนตรคู่นั้นซึ่งเปรอะเปื้อนหยาดน้ำตาจับจ้องมองไปยังรูปถ่ายของอากิระอย่างอาลัยอาวรณ์
“หลับให้สบายนะอากิระ พวกเราขอสัญญาว่าจะกวาดล้างเผ่าพันธุ์อสูรที่ชั่วร้ายนั่นให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้ เพื่อล้างแค้นให้เธอเอง…!”
น้ำเสียงแผ่วเบากับใบหน้าคิ้วขมวดของโซอิจิโร่ที่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราดนั้น กลับทำให้ฮิคาริถึงกับขนลุกซู่อย่างหวาดผวา ดูเหมือนว่าคนที่กำลังจมปลักลงสู่ห้วงแห่งความอาฆาตพยาบาทนั้นคงจะไม่ใช่ตัวเธอเสียแล้ว แต่กลับกลายเป็นพ่อของตนเองต่างหาก
นับตั้งแต่วันที่อากิระจากโลกนี้ไป ฮิคาริก็ไม่ได้พบเห็นรอยยิ้มของโซอิจิโร่อีกเลย ผู้เป็นพ่อได้แปรเปลี่ยนไป จากคนที่มีนิสัยเข้มงวดแต่ใจดีกลับกลายเป็นบุคคลผู้บ้าอำนาจใฝ่เผด็จการ กวาดล้างเผ่าพันธุ์อสูรซึ่งหลบซ่อนอยู่ในดินแดนญี่ปุ่นอย่างไร้ความปรานี แม้แต่เหล่าบรรดาปีศาจบางตนที่ประพฤติตนดีมาโดยตลอดยังต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยแค้น จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวเริ่มลดทอนลงไปเรื่อย ๆ และในที่สุดช่วงเวลาแห่งการแตกหักก็ได้มาเยือน
ภาพความทรงจำของฮิคาริถูกเปลี่ยนฉากอีกครั้ง จากที่ยืนอยู่ต่อหน้าโลงศพในงานพิธีอวมงคล กลับกลายเป็นว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายใต้ห้องอันมืดสลัว มีเพียงแค่แสงจากเปลวเทียนบนพื้นตามมุมห้องเท่านั้นคอยมอบความสว่างไสวให้ มิหนำซ้ำยังถูกพันธนาการด้วยเชือกไม่สามารถขยับตัวหนีไปได้ ทั่วร่างกายและบริเวณโดยรอบมีแผ่นยันต์นับร้อยแปะติดเอาไว้ ซึ่งอักขระถูกเขียนขึ้นมาด้วยเลือด ราวกับกำลังเตรียมการเพื่อทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง
“น… นี่มันอะไรกัน ที่นี่ที่ไหน!?”
ฮิคาริออกอาการกระสับกระส่ายทันทีเมื่อลืมตาฟื้นขึ้นมา หลังจากนอนสลบไสลมาเป็นเวลาครึ่งวันเนื่องด้วยฤทธิ์ของยาสลบ เธอสังเกตมองสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยความสงสัย ก่อนจะพบเห็นเงาของชายฉกรรจ์รายหนึ่งอยู่ตรงเบื้องหน้าเธอ เขาได้ย่างเท้าเข้ามาใกล้ ๆ จนเผยรูปลักษณ์ชายฉกรรจ์วัยกลางคนผมสั้นสีดำแซมขาวนัยน์ตาสีเข้ม ผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมพร้อมรอยแผลเป็นตรงแก้มซ้ายชัดเจน เขาคือ “ฮาชิสึเมะ โซอิจิโร่” นั่นเอง
“ห้องทดลองใต้ดินสำหรับผู้ต้องหาคดีร้ายแรง ใต้อาคารหลักของสมาคมเวทมนตร์ยังไงล่ะ”
“ท่านพ่อจับตัวหนูมาที่นี่ทำไม หนูไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงสักหน่อย!” เด็กสาวรีบซักไซ้อย่างลนลาน
“ใช่ แกไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ฉันมีภารกิจอันยิ่งใหญ่จะมอบให้แก ทั้งนี้ก็เพื่ออากิระ… ไม่สิ เพื่อทุก ๆ คนในวงศ์ตระกูลฮาชิสึเมะ แกจะต้องสืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากฉัน”
สิ้นเสียงคำตอบ โซอิจิโร่จึงคลี่ผ้ายันต์สีดำที่อยู่ในมือออกซึ่งจารึกตัวหนังสือสีทองคล้ายอักษรเทวนาครี ปรากฏให้เห็นเขาคู่โค้งเรียวงามสีเผือกคล้ายลักษณะงวงช้างความยาวเกือบหนึ่งไม้บรรทัด แล้วเริ่มสาธยายความเป็นมาเกี่ยวกับวัตถุสิ่งนี้ให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
“นี่คือเขาของอสูรรากษสสีขาวซึ่งเก็บรักษามานานกว่าพันปี ว่ากันว่าเมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่ พลังของมันเป็นที่น่าสะพรึงพอ ๆ กับนิสัยที่ดุร้าย แม้แต่เหล่าบรรดาปีศาจด้วยกันเองยังต้องกลัว… ในเขาคู่นี้มีดวงวิญญาณของรากษสสิงสถิตอยู่ ฉันจะนำมันฝังเข้าไปในร่างของแกซะ”
“ย-อย่านะคะท่านพ่อ การใช้คาถาผนึกวิญญาณอสูรใส่ร่างมนุษย์ถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงนะ!”
“ฉันรู้!” ผู้เป็นพ่อตะคอกใส่ลูกสาวพร้อมทั้งเผยท่าทีรุนแรง “แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่เราจะต่อกรกับพวกอสูรชาติชั่วได้ การจะเอาชนะพวกมันมีแต่ต้องครอบครองพลังที่เหนือกว่า อย่าลืมสิว่าแม่แกตายเพราะอะไร ถ้าคิดอยากจะล้างแค้นเพื่อแม่แกล่ะก็หยุดพูดแล้วนั่งดูอยู่เงียบ ๆ ไปซะ!”
“ท่านพ่อก็แค่ยัดเยียดความแค้นให้กับหนูเท่านั้น สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อท่านแม่ ไม่ใช่เพื่อวงศ์ตระกูลฮาชิสึเมะ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวท่านพ่อเองต่างหาก ถ้าหากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเองก็คงต้องพูดแบบนั้นเหมือนกันแน่!”
“…!!”
ประโยคสุดท้ายของฮิคาริได้สร้างความบอบช้ำทางจิตใจให้แก่โซอิจิโร่ อย่างไรก็ดีต่อให้ต้องรู้สึกโกรธแค้นสักเพียงใด เขาก็ไม่อาจทุบตีหรือทำร้ายลูกสาวเพื่อระบายอารมณ์เคียดแค้นได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตนกำลังจะลงมือทำต่อไปนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งก็ตาม
โซอิจิโร่ยื่นมือขวาจับกลางศีรษะของฮิคาริ พลางจ้องเขม็งเล็งอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแววตาน่ากลัว แล้วกล่าวพรรณนาร่ายคาถาอัญเชิญดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในเขาแห่งอสูรอย่างชัดถ้อยคำ เพื่อเริ่มต้นพิธีกรรมต้องห้ามอันศักดิ์สิทธิ์
“On namu dai rasetsu (โอม ข้าขอนมัสการแด่มหารากษส) ”
——เปรี๊ยะเปรี๊ยะ!
เด็กสาวผู้โชคร้ายรู้สึกแสบชาไปทั่วร่างราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อตใส่ หลังจากที่รูปวงแหวนเวทสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกสีแดงฉาน ซึ่งถูกวาดเขียนอย่างประณีตด้วยเลือดพลันส่องสว่างวูบวาบขึ้นมากลางพื้นห้อง แม้จะสะบัดศีรษะหรือขยับตัวดิ้นรนสุดฤทธิ์เพื่อต่อต้านอีกฝ่ายสักเท่าใดก็มิอาจทำได้ดั่งใจนึก
“ม-ไม่เอา! หยุดนะท่านพ่อ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ อย่า!!”
ต่อให้ฮิคาริจะส่งเสียงร้องขอความเมตตาสักเพียงใด โซอิจิโร่ก็ไม่ยอมรับฟังคำพูดจากปากลูกสาวอยู่ดี ชายฉกรรจ์ร่างสูงแกร่งยังคงใส่พลังเวทเพื่อร่ายคำสั่งต่อไปด้วยน้ำเสียงดุดัน ภายใต้กระแสลมซึ่งพัดปะทะร่างของทั้งสองคนไปมาราวกับพายุ คอยโบกสะบัดปลายเส้นผมและชุดแต่งกายจนพลิ้วไหว
“ดวงวิญญาณแห่งรากษสเอ๋ย จงมาสถิตยังร่างสังเวยเพื่อมอบโทษทัณฑ์เหล่าคนบาปลงสู่ขุมนรก!”
สิ้นเสียงประโยคสุดท้าย ดวงไฟปริศนาสีขาวรูปร่างลักษณะไม่แน่นอน ก็พลันปรากฏขึ้นมาอยู่เหนือเขาคู่แห่งอสูรร้ายในอุ้งมือซ้ายของโซอิจิโร่ ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นดวงวิญญาณยักษ์รากษสเจ้าของนัยน์ตาสีโลหิต พร้อมทั้งใบหน้าอันแสนดุร้าย แล้วพุ่งเข้าสิงสู่กลางอกของฮิคาริทันที
——สวบ เปรี๊ยะเปรี๊ยะเปรี๊ยะ!!
“อ๊าาาาาาาาาาาา!!”
เด็กสาวเผยสีหน้าตาโตพลางแผดเสียงกรีดร้อง เธอรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่ากำลังถูกฉีกกระชากให้ขาดเป็นชิ้น ๆ จนน้ำตาไหลอาบสองแก้ม สองมือบางคู่นั้นซึ่งถูกมัดไขว้เข้ากับพิงพำนักเก้าอี้ได้กำหมัดแน่นจนปลายเล็บแหลมจิกเข้าเนื้อพร้อมทั้งเลือดไหลซิบ แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความทรมานที่ตนกำลังเผชิญอยู่อย่างแสนสาหัส
สีของปลายเส้นผมและนัยน์ตาเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ต่างจากสีของดวงวิญญาณแห่งรากษสที่เพิ่งสิงสู่เข้ามายังร่างของเธอ ในขณะที่ทั่วบริเวณห้องพลันสว่างวาบจนร่างของสองพ่อลูกได้จมหายไปท่ามกลางความขาวโพลน
มันคือสีขาวอันบริสุทธิ์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชังอย่างแท้จริง
********************
“เฮือก…!!”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตตอนที่โซอิจิโร่กำลังจะยื่นมือขวาเข้ามาจับกลางศีรษะของฮิคารินั้น ได้ซ้อนทับกับสถานการณ์ปัจจุบัน หรือช่วงวินาทีที่แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มกำลังเอื้อมแขนเข้ามาหาตนพอดี ความกลัวที่จะถูกข่มเหง ความแค้น ความสิ้นหวัง รวมทั้งอารมณ์แง่ลบต่าง ๆ ได้ปลุกเร้าบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในร่างของซามูไรสาวให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งภวังค์
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!!”
ฮิคาริแผดเสียงกึกก้องหลังจากได้สติกลับคืนมา พร้อมทั้งปลดปล่อยคลื่นพลังจิตสังหารกระแทกใส่ร่างสเตฟาเนียซึ่งอยู่ตรงเบื้องหน้า ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียวสันหลังวาบรีบก้าวเท้าถอยหลังทิ้งระยะห่าง ด้วยความหวาดกลัว พลางยกแขนทั้งสองขึ้นมาตั้งการ์ดเตรียมรับมือคู่ต่อสู้
“อ-อะไรน่ะ…!?”
ไม่ทันที่แม่มดสาวผู้ใช้อาคมจะแสดงอาการตกตะลึงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น วีรสตรีจอมดาบเวทผู้ห้าวหาญก็พลันยื่นมือขวาชี้ไปยังมุมห้อง เพียงแค่เสี้ยววินาทีดาบคาตานะคู่ใจที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้ได้พุ่งกลับคืนสู่เจ้าของเดิมอย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องร่ายคาถาใด ๆ ทั้งสิ้น สร้างความประหลาดใจให้แก่บุตรีแห่งไซตอนยิ่งนัก
สเตฟาเนียสัมผัสได้ถึงลางร้ายซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เธอยื่นแขนขวาชี้ไปยังไม้กวาดด้ามยาวที่นอนแผ่หลาอยู่ตรงมุมห้องเพื่อเรียกมันกลับคืนมา ทว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว ในจังหวะนั้นเองฮิคาริได้ชักดาบคาตานะออกมาจากฝัก สะบัดศัสตราวุธไปยังเบื้องหน้าด้วยการฟาดฟันแบบแนวระนาบเพียงครั้งเดียว
โดยที่สายตาไม่อาจจับจ้องมองดูการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วและน่าเหลือเชื่อได้ทันท่วงที
——เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง ตู้ม ครืนนนน!!
“กรี๊ดดดดด!!”
เพียงแค่หนึ่งตวัดกวัดแกว่งเท่านั้น ร่างกายของยุวสตรีนัยน์ตาสีม่วงก็เต็มไปด้วยบาดแผลนับสิบ คล้ายกับถูกของมีคมเชือดเฉือน ชุดแต่งกายเกิดรอยฉีกขาดพร้อมทั้งเลือดไหลอาบ ถึงแม้บาดแผลจะไม่ลึกมากนัก แต่การถูกโจมตีใส่ฉับพลันเช่นนี้ก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ก่อนจะถูกพัดปลิวพุ่งเข้าชนกับกำแพงอีกฝั่งหนึ่งเสียงดังโครม ท่ามกลางฝุ่นควันที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ทั้งผนังห้อง พื้นระเบียง เพดาน ชั้นวางของต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งกลุ่มแท่นเสาศิลาซึ่งสเตฟาเนียเคยเสกมันขึ้นมาก่อนหน้านี้ ต่างได้รับความเสียหายจากการฟาดฟันโดยปรากฏให้เห็นถึงรอยคมดาบนับไม่ถ้วน ในขณะที่กระดาษเอกสาร หนังสือพิมพ์ กล่องลังเก่าซึ่งไม่ได้ใช้แล้ว กลับกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยโปรยปรายลงมาจากกลางอากาศ เสมือนดั่งเกล็ดหิมะร่วงหล่นสู่ผืนปฐพี
“บัตโตจุตสึ (วิชาชักดาบเร็ว) สายฮาชิสึเมะรูปแบบที่สาม – ลงทัณฑ์พันพิรุณ…!”
ฮิคาริเรียกขานนามแห่งกระบวนท่าเมื่อสักครู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงไว้ซึ่งแรงบันดาลโทสะที่พวยพุ่งออกมาผ่านรังสีแห่งการฆ่าฟัน รูปลักษณ์ของเด็กสาวแปรเปลี่ยนไปจากเดิมแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ตรงบริเวณเหนือหน้าผากปรากฏเขาคู่อสูรสีขาวอันบริสุทธิ์ นัยน์ตากลายเป็นสีแดงฉานประดุจเลือดพร้อมด้วยเขี้ยวฟันแหลมคม แทบไม่ต่างอะไรจากยักษาผู้บ้าคลั่งที่ใคร่กระหายสงครามเลยแม้แต่น้อย
บัดนี้สตรีแห่งรากษสได้ลืมตาตื่นขึ้นเพื่อลงทัณฑ์ศัตรูแล้ว
MANGA DISCUSSION