เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 1863 ค้นพบ
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1863 ค้นพบ
นิ้วมือลู่ฝานสั่นทันที
เงียบครู่หนึ่งจึงพูดว่า “คำสาปเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก แท่นหินอันเดียวจะสาปอะไรได้ ถึงจะจริง ใต้หล้ามียอดฝีมือเยอะขนาดนี้ คิดว่าทุกคนโง่จนไม่มีใครดูออกเลยเหรอ”
เห็นได้ชัดว่าเย่หนานเทียนก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้เหมือนกัน
เขาส่ายหน้าพูดว่า “ฉันบอกแล้วว่านี่แค่ความรู้สึกของฉันเท่านั้น คำถามของนาย ฉันไม่สามารถอธิบายได้หรอก”
ลู่ฝานหันมามองตาเย่หนานเทียนแล้วพูดว่า “แล้วความรู้สึกนายเคยผิดพลาดไหม”
เย่หนานเทียนยกยิ้มมุมปากแล้วตอบว่า “ไม่เคยผิดพลาด”
ลู่ฝานประสานมือแล้วครุ่นคิดเงียบๆ
เย่หนานเทียนกับน้องอวี๋เห็นลู่ฝานไม่พูดอะไร ทั้งสองคนจึงนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
น้องอวี๋พลิกดูของรอบๆ ไม่หยุด ส่งเสียงอุทานออกมาอย่างต่อเนื่อง
เย่หนานเทียนมองลู่ฝานอย่างประเมิน เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าลู่ฝานทำอะไรกันแน่
สิ่งเดียวที่เขาสามารถสัมผัสได้คือบนตัวลู่ฝานมีพลังแข็งแกร่งมาก
จู่ๆ เย่หนานเทียนรู้สึกว่าทุกอย่างรอบๆ กลายเป็นควันดำ ความมืดมิดทะลักมาจากทั่วทุกทิศ กลืนกินเขาอย่างรวดเร็ว
มีเพียงเงามืดที่อยู่ตรงหน้าเขา ที่เหมือนแสงสว่างในค่ำคืนอันมืดมิด
จู่ๆ เย่หนานเทียนตัวสั่นอีกครั้ง ครั้งนี้เหมือนเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ตัวเปียกซกไปด้วยเหงื่อของตัวเอง
เย่หนานเทียนหอบหายใจแรง แววตามีความหวาดกลัว
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ มันชัดเจนเหมือนม้วนภาพเปิดออกในสมองเขา
ลู่ฝานเห็นความผิดปกติของเย่หนานเทียน เขาถามว่า “เป็นอะไร”
เย่หนานเทียนส่ายหน้ารัว “เปล่า เราจะไปแล้ว”
พูดจบ เย่หนานเทียนดึงน้องอวี๋ขึ้นมาแล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่ลังเล
ลู่ฝานขมวดคิ้วพูดว่า “สหายเย่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เย่หนานเทียนไม่ตอบ เดินหายไปจากสายตาของลู่ฝานอย่างรวดเร็ว
ลู่ฝานขมวดคิ้วพึมพำว่า “เป็นคนที่แปลกจริงๆ”
ด้านนอก เย่หนานเทียนดึงน้องอวี๋ออกมาจากงานประมูล
น้องอวี๋พูดอย่างงุนงงว่า “พี่หนานเทียนเป็นอะไรไป เราไม่ซื้อของแล้วเหรอ”
เย่หนานเทียนหลับตาลง คิดถึงภาพที่เห็นเมื่อกี้
เย่หนานเทียนกัดฟันพูดว่า “น้องอวี๋ เราห้ามเข้าใกล้คนที่ชื่อเงามืดอีกเด็ดขาด”
น้องอวี๋เลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “พี่ไม่ได้เห็นอะไรอีกใช่ไหม”
เย่หนานเทียนพยักหน้าพูดว่า “ใช่ ฉันเห็นความมืดไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็แสงสว่าง สรุปว่าอย่าเข้าใกล้เขา ไอ้หมอนี่เป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ”
น้องอวี๋มองเขาแล้วพูดว่า “ดูพี่ทำเข้าสิ แสร้งทำไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่อยากซื้อของให้ฉันใช่ไหม”
เย่หนานเทียนพูดเสียงดัง “จะแสร้งทำได้ยังไงกันล่ะ พรุ่งนี้เราค่อยมาใหม่”
น้องอวี๋ถอนหายใจ ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจแล้วรีบเดินออกไปข้างนอก
ขณะนั้นมีกลุ่มคนพูดคุยยิ้มแย้มเดินเข้ามาที่ประตู
“ศิษย์พี่ใหญ่เอาเงินมาพอหรือเปล่า อีกเดี๋ยวถ้าซื้อของไม่ได้สักอย่างจะขายหน้ามากนะ”
“วางใจเถอะ ศิษย์พี่ใหญ่อย่างฉันพอมีสะสมอยู่บ้าง นายน่ะสิ ศิษย์น้องหานเฟิงเอาเงินมาหรือเปล่า ตอนออกจากบ้านพ่อนายให้เงินเล็กๆ น้อยๆ หรือเปล่า”
“โอ๊ย อย่าพูดเรื่องที่ทำให้ฉันปวดใจได้ไหม ไอ้พ่อเวร ไม่ให้เงินฉันสักนิด ฉันสงสัยจริงๆ ว่าฉันใช่ลูกแท้ๆ หรือเปล่า ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ศิษย์น้องหลิงเหยา ให้ฉันยืมเงินหน่อยสิ ยังไงฉันก็ต้องซื้อสินค้าพื้นเมืองกลับไปสักหน่อย ถ้ามามือเปล่าแล้วกลับไปมือเปล่าอีก พวกสุ่ยเชียนโหรวต้องขำตายแน่ๆ”
“ไม่ให้ยืม!”
“ไม่มี!”
“ศิษย์พี่หานเฟิงหาวิธีเองเถอะ!”
กลุ่มคนเดินสวนกับเย่หนานเทียน
ตอนนี้เย่หนานเทียนสัมผัสถึงอะไรบางอย่างอีกแล้ว เขาสั่นไปทั้งตัว
น้องอวี๋เห็นอาการของเย่หนานเทียน จึงพูดอย่างดูหมิ่นอีกรอบ “สัมผัสอะไรได้อีกล่ะ”
เย่หนานเทียนหันไปมองพวกหานเฟิงแล้วพูดว่า “แปลกจัง มันผิดปกติมาก!”
เพิ่งพูดจบ ชายคนหนึ่งลงมาจากรถม้า ค่อยๆ เดินมายืนข้างเย่หนานเทียน
“ฉันชอบงานประมูล น่าสนใจมาก!”
เมื่อเย่หนานเทียนได้ยินเสียง เขาอดหันไปมองชายคนนี้ไม่ได้
จู่ๆ เย่หนานเทียนถอยไปด้านหลัง สีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นไม่หยุด
น้องอวี๋ทนดูไม่ไหวแล้ว เธอตบหน้าผากเย่หนานเทียนแล้วพูดว่า “ยังไม่จบไม่สิ้นอีก พี่เพี้ยนก็พูดมาตรงๆ เถอะ!”
เย่หนานเทียนมองชายคนนี้เดินเข้าไปในงานประมูล ริมฝีปากเขาสั่นเครือ จู่ๆ เย่หนานเทียนดึงน้องอวี๋แล้วพูดว่า “ฉันขี้เกียจคุยกับเธอแล้ว ไปๆๆๆ กินข้าวกันก่อน!”
พูดจบ เย่หนานเทียนดึงน้องอวี๋ออกมา
หลังจากพวกเขาออกมา ผู้ฝึกชี่สองสามคน ทำตัวลับๆ ล่อๆ เดินตามพวกหานเฟิงเข้าไปในงานประมูล
ด้านหลังผู้ฝึกชี่พวกนี้ยังมีชายหน้าตาน่ากลัวสิบกว่าคนเดินตามเข้าไปตามลำดับ
……
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง
ในตำหนักบัวดำ ผู้อาวุโสซู่มั่นเล่นป้ายหัวหน้าสำนักในมือ ใบหน้าราบเรียบ นัยน์ตาเป็นประกายเล็กน้อย
จู่ๆ ม่านแสงปรากฏในตำหนักบัวดำ
เป็นเงาของผู้อาวุโสคนอื่น
ผู้อาวุโสซู่มั่นโยนป้ายในมือออกไปแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน เงามืดสำนักที่ 15 ฆ่าหลวี่เหวยโดยพลการ ฉันปลดตำแหน่งหัวหน้าสำนักเขาแล้ว ทุกคนคิดว่าควรจัดการเขายังไง”
พวกผู้อาวุโสมองป้ายหัวหน้าสำนักที่ลอยอยู่ผ่านม่านแสง
ผู้อาวุโสที่มีเคราพูดว่า “ไม่สนใจคำสั่งของผู้อาวุโสขนาดนี้ สมควรลงโทษ!”
ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าซีกเดียวพูดว่า “ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ยโสอวดดี จะเกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย ควรไล่ออก!”
ผู้อาวุโสถือไม้เท้าหัวงูพูดว่า “ไม่เห็นแก่ส่วนรวมในช่วงเวลาสำคัญ ทำอะไรบุ่มบ่าม ควรขัดขวาง!”
ผู้อาวุโสคนอื่นพยักหน้า จู่ๆ ทำแบบนี้กับเขาถือว่าไม่เกินไป แต่เขายังต้องทำภารกิจให้สำเร็จ”
ผู้อาวุโสที่มีเคราพูดเสียงดังว่า “งั้นก็ให้เขาทำภารกิจให้สำเร็จก่อน”
ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าซีกเดียวพูดเสียงดังว่า “ถ้ามีข้อผิดพลาดอีกก็ฆ่าทิ้งซะ!”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดว่า “งั้นปล่อยเขาไปก่อนสักพัก ให้เขาเป็นหัวหน้าสำนักต่อเหรอ”
พวกผู้อาวุโสเงียบไม่พูดอะไร
จู่ๆ ผู้อาวุโสชุดม่วงพูดว่า “ผู้อาวุโสซู่มั่น เขาเป็นคนที่ผู้อาวุโสแนะนำมา ผู้อาวุโสตัดสินใจเองเถอะ แต่ถ้าเขาทำลายเรื่องใหญ่ ผู้อาวุโสก็จัดการเอง!”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพยักหน้าเบาๆ ม่านแสงหายไปทีละอัน
ผู้อาวุโสซู่มั่นเห็นพวกเขายอมรับโดยปริยาย เธอยิ้มบางๆ แล้วดึงป้ายกลับมาในมืออีกครั้ง
ผู้อาวุโสซู่มั่นหัวเราะเบาๆ แล้วพึมพำว่า “ไม่รู้ว่าปกป้องเด็กอย่างนาย คือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า ฉันมีลางสังหรณ์ว่านายจะทำลายความพยายามสิบปีของฉัน หรือไม่นายก็จะช่วยทำความฝันฉันให้สำเร็จ”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดแล้วยื่นนิ้วมือออกมา ดีดเบาๆ ลงบนป้ายหัวหน้าสำนัก
เสียงครางเบาๆ ก้องอยู่ในตำหนักใหญ่
ตอนนี้มีม่านแสงปรากฏในป้าย เป็นภาพที่ลู่ฝานฆ่าจางเยว่หานด้วยความโมโห
ผู้อาวุโสซู่มั่นมองดูเงียบๆ
เมื่อผู้อาวุโสซู่มั่นเห็นตอนที่มุกของจางเยว่หานหล่นลงมา เธอเบิกตาโตด้วยใบหน้าไม่อยากเชื่อ
“มุกเม็ดนี้คือ……”
ผู้อาวุโสซู่มั่นอึ้งอยู่กับที่ เหมือนเธอพบเรื่องบางอย่างที่สุดยอดมาก