อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ - ตอนที่ 26 หมู่บ้านซีซาน
ภูเขาที่อยู่หลังบ้านตระกูลมู่ มีชื่อว่าเขาฉูซาน และพื้นที่ทั้งหมดของเขาฉูซานยังล้อมรอบพื้นที่ประมาณครึ่งนึงของอำเภอหมิงสุ่ยอีกด้วย บนเขาฉูซานจะมีป่าที่ค่อนข้างลึกและทึบมาก ทำให้เขาฉูซานมีความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาพันธุ์และผลไม้ป่าหลากหลายชนิด โดยในบรรดาผลหมากรากไม้ที่ขึ้นอยู่ในเขาฉูซานแห่งนี้ ต้นพุทราป่าคือผลไม้ที่ขึ้นต้นอยู่มากที่สุดในหุบเขาแล้ว เขาฉูซานแห่งนี้ไม่เพียงแต่ล้อมรอบอำเภอหมิงสุ่ยเท่านั้น แต่ยังเป็นขุมทรัพย์ความอุดมสมบูรณ์ของชาวบ้านอีกด้วย
เขาฉูซานที่อยู่หลังบ้านตระกูลมู่นั้น ทอดตัวยาวตั้งแต่ฝั่งตะวันออกและมาสิ้นสุดที่หมู่บ้านซีซาน ดังนั้นคนที่อยู่ในอำเภอหมิงสุ่ยก็จะเรียกภูเขาลูกสุดท้ายว่าเขาซีซานหรือว่าเขาหาง เนื่องจากเขาลูกนี้เป็นเขาลูกสุดท้ายตามแนวแถวของเขาฉูซาน หรือเรียกได้ว่าเป็นช่วงหางของภูเขาลูกแรกนั่นเอง
ในวันนี้ มู่หยางหลิงจะต้องเดินทางจากหมู่บ้านหลินซานไปยังหมู่บ้านซีซานเพียงลำพัง นางแค่ต้องเดินข้ามเขาลูกสุดท้ายเท่านั้น แล้วนางก็จะถึงหมู่บ้านซีซานทันที ในอดีต ชาวบ้านจากทั้งสองหมู่บ้าน จะใช้เส้นทางเล็ก ๆ แคบ ๆ ในหุบเขาเพื่อเดินทางไปมาหาสู่กัน เพราะมันสะดวกกว่าการใช้เส้นทางถนนใหญ่ที่ต้องเดินอ้อมเขาซีซานนานนับชั่วโมง
และด้วยความที่มู่หยางหลิงเดินเลาะเขาบ่อยจนชิน นั่นทำให้นางไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องเดินข้ามเขาลูกนี้เพียงลำพัง นางค่อย ๆ เดินขึ้นไปเบา ๆ ทั้งที่ด้านหลังยังมีตะกร้าที่สูงพอ ๆ กับตัวนางมาด้วย ยามเบื่อหน่ายนางก็จะเด็ดดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ริมทางขึ้นมาโบกสะบัดแล้วฮัมเพลงแก้เหงา
ทางที่มู่หยางหลิงเดินอยู่นี้ เป็นทางที่ผู้คนสมัยนี้ไม่ค่อยใช้กันแล้ว ดังนั้นจึงมีพวกหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นสูงลิ่วจนแทบมองไม่เห็นรอยเดินเก่า แต่ยังดีที่มู่หยางหลิงเป็นเด็กช่างสังเกต นางจึงสามารถมองเห็นรอยจาง ๆ ที่ยังเหลืออยู่ และเดินตามรอยนั่นไปอย่างมั่นใจ
พอเดินพ้นหุบเขาออกมา มู่หยางหลิงก็มองเห็นหมู่บ้านที่อยู่ตรงตีนเขาเข้าจริง ๆ แถมยังมองเห็นควันฟืนจากบ้านแต่ละหลังที่ลอยสูงขึ้นฟ้ามาแต่ไกลด้วย มู่หยางหลิงเงยหน้ามองดูพระอาทิตย์ และนางก็รู้ได้ทันทีเลยว่า เวลานี้ยังคงเป็นช่วงเวลาสาย ๆ ของวัน คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาประมาณ 11 โมงเห็นจะได้
มู่หยางหลิงก้มหน้าลงแล้วกระชับตะกร้าด้านหลังจนแน่นขึ้นก่อนจะพูดขึ้นกับตัวเองว่า “เป็นเวลาที่เหมาะเหม็งจริง ๆ เลยเชียว”
มู่หยางหลิงเดินทางมาถึงหมู่บ้านซีซานทั้งที่ไม่รู้ว่าบ้านย่าใหญ่อยู่ส่วนไหนของหมู่บ้าน นางจึงแบกตะกร้าลงจากเขา และเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อจะถามชาวบ้านในนั้นดู
หม่าจางซื่อที่กำลังเดินถือกระจาดใส่ข้าวออกมาหน้าบ้าน เมื่อเห็นเด็กหญิงแปลกหน้ากำลังแบกตะกร้าใบใหญ่ลงมาถึงตีนเขา นางจึงหันไปมองอยู่สองสามที แต่ใครจะไปคิดล่ะ ว่าเด็กหญิงคนนั้นจะวิ่งเข้ามาหานางถึงหน้าบ้าน
หม่าจางซื่อจึงหยุดทำสิ่งตรงหน้า แล้วเด็กหญิงคนนั้นก็ยิ้มให้กับนางอย่างเป็นมิตร “ผู้อาวุโส ท่านพอจะรู้หรือไม่ ว่าบ้านย่าหลิวอยู่หลังไหน? นางคือคนจากหมู่บ้านหลินซาน ที่แต่งงานกับตระกูลหม่าและย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านซีซานแห่งนี้จ้ะ”
ถ้าเป็นหญิงจากหมู่บ้านหลินซานที่แต่งงานกับชายในหมู่บ้านซีซาน แถมยังใช้นามสกุลหม่าอยู่ตอนนี้อีก ก็ต้องเป็นป้าสะไภ้ของนางน่ะสิ?
หม่าจางซื่อนึกขึ้นได้ และมองเด็กหญิงอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะถามขึ้นว่า “เด็กน้อย เจ้ามาจากที่ใด? มีเรื่องอันใดกับป้าหลิวรึ?”
“ข้ามาจากหมู่บ้านหลินซาน ย่าหลิวคือย่าใหญ่ของข้าเอง ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่าบ้านของนางอยู่หลังไหน?” มู่หยางหลิงไม่ได้ตอบว่าตนมาที่นี่ทำไม นางเพียงแค่บอกสถานะของนางกับย่าใหญ่ไปเท่านั้น
“อ้อ รู้จ้ะ ที่แท้ป้าสะไภ้ของข้าก็คือย่าของเจ้าเองหรือ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ควรจะต้องเรียกข้าว่าป้าสะใภ้ถึงจะถูก เพราะย่าใหญ่ของเจ้าเป็นป้าสะใภ้ของข้าเอง” จากนั้นหม่าจางซื่อจึงรับอาสานำทาง “เจ้ารอข้าสักประเดี๋ยว ข้าเอาข้าวเข้าไปเก็บในบ้านก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปหานาง”
“ป้าสะใภ้ช่างมีน้ำใจ” มู่หยางหลิงยอมเรียกนางว่าป้าสะใภ้ในทันทีทั้งที่เพิ่งพบกัน
บ้านของหม่าจางซื่อหลังไม่ใหญ่มากนัก นางเดินเข้าไปได้ไม่นานก็เดินกลับออกมาทันที ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินไปบ้านย่าใหญ่ หม่าจางซื่อก็มองตะกร้าใบใหญ่ที่มู่หยางหลิงแบกอยู่ด้วยความสงสัยมาตลอดทาง“เจ้าแบกอะไรมางั้นหรือ?” ในขณะที่หม่าจางซื่อถาม นางก็ทำท่าจะยื่นมือมาที่ตะกร้าด้วย
มู่หยางหลิงสัมผัสได้ จึงเร่งฝีเท้าจนมือนางเอื้อมไม่ถึง แล้วมู่หยางหลิงก็ตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่ของดีอะไรหรอกจ้ะ แค่ของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ จากที่บ้านข้าเอง ท่านแม่ของข้าไม่ได้มาเยี่ยมเยียนย่าใหญ่นานแล้ว เลยให้ข้าเอาของพวกนี้มาฝากนาง”
โชคดีที่มู่หยางหลิงเอาใบไม้คลุมเนื้อสัตว์ไว้ เพราะเกรงว่าแสงแดดจะส่องถึง จึงทำให้หม่าจางซื่อมองไม่เห็นสิ่งของข้างในตะกร้าได้เลย
หม่าจางซื่อหน้าบึ้งเล็กน้อย แล้วถามขึ้นว่า “แม่เจ้าส่งผักดองมาให้นางงั้นรึ?” พอหม่าจางซื่อเห็นมู่หยางหลิงยิ้มงง ๆ นางก็ไม่ได้สนใจอะไร และพาเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “เจ้าบอกว่าป้าสะใภ้เป็นย่าใหญ่ของเจ้า แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้าเลยล่ะ?”
“ข้าเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกน่ะ ไม่แปลกหรอกจ้ะที่ป้าสะใภ้จะไม่เคยเจอข้ามาก่อน” แล้วมู่หยางหลิงก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามขึ้นว่า “ป้าสะใภ้ บ้านของย่าใหญ่ยังอีกไกลหรือไม่?”
“อีกนิดเดียวจ้ะ นั่นไง เห็นบ้านอิฐ 2-3 หลังที่อยู่ติดกันนั่นไหม ตรงนั้นแหละจ้ะ”
มู่หยางหลิงเงยหน้าขึ้นดูก็ต้องชะงักทันที เพราะนั่นคือบ้านอิฐที่โทรมที่สุดที่นางเคยเห็นจริง ๆ บ้านอิฐสามหลังที่อยู่ติดกัน แถมตามผนังยังโปะดินเหนียวไว้เป็นจุด ๆ เหมือนว่าอุดรอยผุพังตามตัวบ้านเอาไว้ นางอดคิดไม่ได้เลยว่า ถ้าหากมีพายุลูกใหญ่พัดมา บ้านสามหลังนี้ต้องอยู่ไม่ติดกับที่แน่นอน แถมหน้าบ้านยังมีดินโคลนจำนวนมากที่แทบจะล้นเข้าไปในบ้านอยู่รอมร่อ
มู่หยางหลิงคิดไม่ถึงเลยว่าสภาพที่อยู่อาศัยของย่าใหญ่จะกันดารขนาดนี้ เพราะถึงแม้ว่าในหมู่บ้านหลินซานจะไม่ได้อยู่กันอย่างหรูหร่าโอ่อ่า แต่ในหมู่บ้านหลินซานก็ไม่มีบ้านหลังไหนที่กันดารเท่านี้อยู่เลยแม้แต่หลังเดียว
หม่าจางซื่อเดินนำหน้ามู่หยางหลิงไปต่อ ทั้งที่นางเองก็ไม่รู้ว่ามู่หยางหลิงยืนอึ้งอยู่ด้านหลัง “ไปกันเถอะ ตอนนี้ย่าใหญ่ของเจ้าน่าจะยังอยู่ในทุ่ง ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าลูกพี่ลูกน้องของเจ้าจะอยู่ข้างในบ้านหรือไม่”
ด้วยความที่ร่างกายของมู่หยางหลิงนั้นแข็งแรงพอตัว เพราะนางจะหมั่นฝึกฝนวรยุทธ์อยู่เป็นประจำไม่ขาด จึงทำให้รูปร่างของนางดูโตกว่าเด็กหญิงอายุ 9 ขวบทั่ว ๆ ไป ถ้าหากว่าอยู่ในชนบทกับในเมือง ผู้คนจะดูไม่ค่อยออกนักว่ารูปร่างแบบนี้มีอายุเพียงแค่ 9 ขวบ เพราะเด็กตัวโต ๆ เท่ากับนางมีอยู่มากโข หม่าจางซื่อจึงนึกว่ามู่หยางหลิงอายุ 11-12 ปี และถึงแม้ว่ารูปร่างของนางจะดูผอมแห้ง แต่ส่วนสูงของนางในตอนนี้นั้นเทียบเท่ากับเด็กวัย 11-12 ปีจริง ๆ
หม่าจางซื่อเดินเข้าไปผลักประตูบ้านของย่าใหญ่เบา ๆ แล้วตะโกนเรียกใครบางคน “ซิ่วหลาน ซิ่วหลานเอ้ย เจ้าอยู่บ้านหรือไม่? มีแขกมาบ้านเจ้าน่ะ”
แล้วทันใดนั้น เด็กหญิงตัวเล็กผอมกะหร่องก็วิ่งออกมาจากครัว แต่สีหน้าตอนที่นางมองมาที่หม่าจางซื่อนั้น ทำให้รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่แผ่ซ่านออกมาเล็กน้อย มู่หยางหลิงเห็นหน้าเด็กหญิงคนนั้น ก็จำได้ทันทีเลยว่า นางคือเด็กคนเดียวกันกับที่เจอเมื่อไม่กี่วันก่อน
นางเป็นเด็กหญิงอายุ 7 ขวบที่มีรูปร่างเหมือนเด็กวัย 5 ขวบ ดวงตากลมโตบนใบหน้าเรียวเล็กนั้น จ้องมองหม่าจางซื่อด้วยความวิตกอะไรบางอย่าง จนทำให้มู่หยางหลิงรู้สึกตงิดใจขึ้นมา
มู่หยางหลิงจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วถามว่า “น้องสาว เจ้าจำข้าได้หรือไม่? เราเจอกันในเมืองเมื่อ 2 วันก่อนไง”
เมื่อหม่าซิ่วหลานหันมามองมู่หยางหลิง แววตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที นางพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะตอบกลับเสียงเบา ๆ “ท่านคือลูกพี่ลูกน้องของข้า”
แล้วมู่หยางหลิงก็ยิ้มแป้น “น้องสาวความจำดีจริง ๆ แม่ข้าให้ข้ามาเยี่ยมย่าใหญ่ เพราะว่าครั้งก่อนเนี่ย พ่อข้ากลับไปเล่าให้นางฟังว่าได้เจอกับย่าใหญ่ในเมือง นางจึงนึกขึ้นได้ว่าผักดองกับถั่วดองฝีมือย่าใหญ่อร่อยมาก นางเคยกินสมัยที่ยังท้องข้าอยู่น่ะ ก็เลยติดใจในรสมือย่าใหญ่จริง ๆ แถมบังเอิญตอนนี้นางก็กำลังท้องแก่อยู่ด้วย นางจึงให้ข้ามาถามย่าใหญ่หน่อย ว่ายังพอมีเหลืออยู่บ้างไหม”
หม่าจางซื่อได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วและมองมู่หยางหลิงด้วยสายตาดูถูกทันที นางคิดทันทีเลยว่า ที่มู่หยางหลิงทำทีแบกตะกร้าใบใหญ่มา แล้วเอาใบไม้ปิดไว้นั้น
ที่แท้ก็ไม่ได้เอาอะไรมาให้บ้านตระกูลหลิวหรอก แต่นางมาเพื่อขออาหารมากกว่า หม่าจางซื่อเริ่มกระจ่างแก่ใจแล้ว ว่าทำไมมู่หยางหลิงถึง
ไม่ยอมให้นางดูว่าข้างในตะกร้านั้นมีอะไร
นางหมดความสนใจและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ ทันทีว่า “ข้ามาส่งเจ้าถึงที่นี่เรียบร้อยแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อนล่ะนะ”
เมื่อหม่าซิ่วหลานเห็นว่าหม่าจางซื่อเดินกลับไปแล้ว นางก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะหันมายิ้มให้มู่หยางหลิง “พี่สาว ท่านนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปตามท่านย่ากับพี่สาวข้าให้กลับมาที่บ้านประเดี๋ยวนี้เลย”
มู่หยางหลิงจับแก้มของหม่าซิ่วหลานเบา ๆ “ไม่ต้องไปตามพวกนางหรอก ข้าว่าเวลานี้พวกนางคงจะกำลังกลับมากันแล้ว เจ้ากำลังทำกับข้าวอยู่หรือ? เดี๋ยวข้าช่วย”
หม่าซิ่วหลานเริ่มเป็นกังวล เนื่องจากในทุก ๆ วัน ครอบครัวนางจะกินแค่โจ๊กกับผักดองประทังชีวิตไปเท่านั้น จึงไม่มีเนื้อหรือกับข้าวดี ๆ จะมารองรับได้เลย พี่สาวเป็นถึงแขกของบ้าน จะให้นางกินกับข้าวพวกนี้ได้อย่างไร?
ทันใดนั้นเอง มู่หยางหลิงก็หยิบตะกร้าใบใหญ่มาวางไว้ตรงหน้าหม่าซิ่วหลาน แล้วนางก็หยิบใบไม้ที่คลุมอยู่ข้างในนั้นออกมาจนหมด จากนั้นนางก็หยิบไก่ป่าตัวใหญ่ขึ้นมา 1 ตัว “บ้านของเจ้ามีผักดองอยู่เยอะใช่หรือไม่?”
หม่าซิ่วหลานยืนจ้องมองเนื้อสัตว์ในตะกร้าที่ยังมีอีกมากมายอย่างตะลึงพรึงเพริด พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่และไม่ได้ยินเสียงพูดของมู่หยางหลิงอีกแล้วในวินาทีนี้