อดีตกาลทหารแกร่ง สตรีกล้าแห่งสกุลมู่ - ตอนที่ 25 คิดได้
มู่หยางหลิงตื่นขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินลงจากเตียง ส่วนซู่หว่านเหนียงก็กำลังร่อนถั่วอยู่หน้าบ้าน เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในบ้าน ก็รีบเดินเข้ามาดู นางพบว่าลูกสาวคนโตกำลังจะล้มตัวลงนอนต่อ “ยังไม่รีบลุกขึ้นอีกเหรอลูก นี่ตะวันก็คล้อยจนจะแยงก้นเจ้าแล้ว น้องชายเจ้าก็อ่านหนังสือจบไปแล้วรอบนึง”
มู่หยางหลิงได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นแต่โดยดี “แล้วท่านพ่อล่ะจ้ะ?”
“พ่อเจ้าเข้าเมืองไปแล้วล่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมา”
“ทำไมวันนี้ท่านพ่อกลับเร็วจังล่ะท่านแม่?” มู่หยางหลิงประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่ายังต้องเข้าไปล่าสัตว์ในหุบเขาอีกหรือจ้ะ?”
“มีเหยื่อมาติดกับดักที่เจ้าวางไว้เมื่อคราวก่อนน่ะ พ่อเจ้าก็เลยรีบเอาไปส่งหอเพียวเซียงในเมือง ก่อนไปพ่อเจ้าก็เอากระต่ายป่ากับไก่ป่ากลับมาไว้ที่บ้านไว้ให้พวกเจ้ากินด้วยนะ แต่แม่ว่าพวกเจ้ากับพ่อคงจะกินกันไม่หมดหรอก เราแบ่งไปขายที่ตลาดด้วยดีไหม”
แล้วมู่หยางหลิงก็หวนนึกถึงตอนที่นางได้เจอกับย่าใหญ่เมื่อวานนี้ นางจึงตอบกลับไปทั้ง ๆ ที่ยังเหม่อลอยอยู่ว่า “นอกจากจะเก็บไว้กินเองที่บ้านแล้ว ถ้าจะเอาไปฝากใครสักคนด้วย จะได้ไหมจ้ะท่านแม่?”
“อยากจะเอาไปให้ใครหรือ?” แม้ว่าคนในหมู่บ้านมากกว่าครึ่ง ล้วนเป็นญาติมิตรของตระกูลมู่ และทุกคนก็สนิทสนมเข้ากันได้ดี แต่ซู่หว่านเหนียงก็ไม่ลืมว่าสามีของตนนั้นไม่ค่อยจะคบหาสมาคมกับใครเท่าไหร่ เห็นจะมีเพียงแค่บ้านของน้าชายมู่หยางหลิงเท่านั้น ที่มู่ฉือยังเอาของไปฝากอยู่บ้างหลังจากที่ซู่หว่านเหนียงแต่งงานมาอยู่กินกับเขา
แต่คนตระกูลหลิวก็ไม่ค่อยได้มาที่นี่กันบ่อยนัก นางกับสามีเองก็ไม่ค่อยอยากไปรบกวนอะไรที่บ้านตระกูลหลิว มีเพียงลูก ๆ ของนางเท่านั้นที่ชอบวิ่งไปเล่นกับเด็ก ๆ บ้านนั้น พอถึงวันฉลองขึ้นปีใหม่ มู่ฉือก็จะวานให้ลูก ๆ เอาของไปฝากบ้านตระกูลหลิวในทุก ๆ ปี
แล้วถ้าวันไหนที่สองพ่อลูกล่าสัตว์มาได้เยอะเกินจนขายไม่หมด มู่ฉือก็จะนำเนื้อสัตว์ที่เหลือจากตลาดไปตากแห้ง จากนั้นจึงนำไปฝากบ้านตระกูลหลิว ซึ่งครอบครัวนั้นค่อนข้างลำบากกว่าครอบครัวมู่มาก
ปกติแล้วมู่ฉือจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับบ้านตระกูลหลิวบ่อยนัก แต่บ้านตระกูลหลิวก็ยกย่องบ้านตระกูลมู่ว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักของครอบครัวพวกเขา เมื่อได้ยินข่าวดีข่าวร้ายอะไร เป็นต้องรีบมาเตือนบ้านตระกูลมู่ให้รู้ล่วงหน้าอยู่เสมอ อีกทั้งยังช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับตระกูลมู่ ในระหว่างที่หัวหน้าครอบครัวอย่างมู่ฉือไม่อยู่บ้านอีกด้วย และถ้าบ้านตระกูลมู่มีเรื่องเดือดร้อนอันใด มู่ฉือเองก็พร้อมจะเข้าช่วยเช่นกัน
ส่วนซู่หว่านเหนียงเองก็รู้อยู่ว่าสามีของตนเคยมีเรื่องบาดหมางกับตระกูลหลิวอย่างไรบ้าง เพียงแต่ว่าเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว และสามีของนางก็ไม่อยากจะพูดถึงมันอีก นางจึงไม่กล้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องราวชีวิตของนาง ที่สามีของนางไม่คิดจะถาม เพราะรู้ว่านางไม่อยากพูดถึงอีกเหมือนกัน
สำหรับพวกเขาทั้งคู่ เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแค่เพียงอดีต และทั้งสองคนก็ตั้งปณิทานไว้ว่า จะพยายามทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตของครอบครัวที่สดใส
มู่หยางหลิงเห็นแม่เหมือนกำลังนั่งคิดอะไรอยู่ นางจึงรีบใส่เสื้อผ้า แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าอาจจะเอาไปฝากย่าใหญ่หน่อยจ้ะ เพราะครั้งก่อนที่ข้าพบย่าใหญ่ในเมือง ข้าได้รู้มาว่าย่าใหญ่ต้องอยู่อย่างยากลำบากมาก”
ซู่หว่านเหนียงขมวดคิ้วแน่น “ท่านย่างั้นรึ? พ่อเจ้าดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบนางหนิ?” ซู่หว่านเหนียงนึกว่าเป็นย่ารองที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน รายนั้นพอเจอกันก็จะพยักหน้าทักทายกันแค่นั้น
“ย่าใหญ่นะท่านแม่ ไม่ใช่ย่ารอง”
แล้วซู่หว่านเหนียงก็นึกถึงท่านป้าของสามีขึ้นมา นางเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก แล้วนางก็ดีกับมู่ฉือมาโดยตลอด ในปีนั้นที่ซู่หว่านเหนียงคลอดมู่หยางหลิงออกมา นางก็มาดูแลซู่หว่านเหนียงอยู่ 3 วัน 3 คืน แต่ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้พวกนางแทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย
ซู่หว่านเหนียงเริ่มนั่งไม่ติด “ย่าใหญ่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เราส่งข้าวสารไปให้นางดีไหม? แม่เองก็ลืมไปเยี่ยมเยียนนางมาตั้งหลายปี”
มู่หยางหลิงรู้ดีว่าพ่อของนางไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับญาติ ๆ บ่อยนัก ส่วนญาติในหมู่บ้านเดียวกัน เขาก็จะคอยเอาใจใส่ดูแลเพียงแค่พี่น้องของปู่แท้ ๆ ของเขาเท่านั้น “ไม่เป็นไรหรอกท่านแม่ อีกประเดี๋ยวข้าจะไปหานางเอง”
“หมู่บ้านซีซานอยู่ตั้งไกล เจ้าเองก็ไม่ค่อยชำนาญทาง ให้พ่อเจ้าไปดีกว่านะ”
มู่หยางหลิงแอบหัวเราะเบา ๆ และไม่ตอบอะไรกลับไป
ถ้าหากท่านพ่อแบกของพวกนี้ไปให้ ย่าใหญ่ต้องไม่รับของพวกนี้ไว้เป็นแน่ นางจึงคิดว่า นางจะเป็นคนนำไปส่งให้ด้วยตนเอง อีกอย่าง ท่านพ่อก็เคยบอกไว้ว่า ให้นางเดินข้ามเขาซีซานไป แล้วนางจะเจอหมู่บ้านซีซานอยู่ตรงตีนเขา และมันก็เป็นเพียงแค่เนินเขาเล็ก ๆ เองด้วย คงจะเดินถึงที่นั่นเร็วกว่าเดินเข้าเมืองแน่ ๆ
ส่วนเสี่ยวปั๋วเหวิน เมื่อเห็นว่าพี่สาวลุกขึ้นจากเตียงแล้ว เขาก็รีบวางหนังสือลงทันที จากนั้นเขาก็เดินมายืนดักอยู่ข้างหลังมู่หยางหลิง
จนมู่หยางหลิงเกือบสะดุดล้ม แต่นางก็ไม่ได้ว่าอะไรน้อง “เจ้าไปหาอะไรเล่นไปพลาง ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ค่อยไปเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
แต่เสี่ยวปั๋วเหวินยังยืนอมยิ้ม และมองหน้าพี่สาวด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
มู่หยางหลิงรู้ในทันทีเลยว่าน้องชายของนางคิดอะไรอยู่ “เจ้าอยากจะกินลูกอมล่ะสิ? เดี๋ยวรอพี่ล้างหน้าแปรงฟันก่อน แล้วพี่จะเอาให้เจ้ากิน เจ้าไปเล่นอะไรรอพี่ไปพลาง ๆ ก่อน”
เสี่ยวปั๋วเหวินจึงยอมนั่งลงคอยอย่างใจเย็น แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงมองตามพี่สาวไม่เลิก
มู่หยางหลิงรีบแปรงฟันล้างหน้า จากนั้นนางก็เข้าไปหยิบลูกอมจากถุงกระดาษในห้องนอนออกมาให้น้องกิน 1 เม็ด เสี่ยวปั๋วเหวินจึงจะยอมนั่งอ่านหนังสือต่ออย่างว่าง่าย
เมื่อมู่หยางหลิงนั่งกินข้าวเช้าจนเสร็จ มู่ฉือก็กลับมาพอดี อีกทั้งยังมีกระต่ายป่ากับไก่ป่าอย่างละ 2 ตัวอยู่ในตะกร้าใบใหญ่ด้านหลังอีกด้วย มู่ฉือยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่นาน ก่อนจะเข้าห้องนอนไปหยิบเหรียญออกมา 5 อีแปะ แล้วเดินมาหาลูกสาว “หาทางเอาเงินนี่ให้ย่าใหญ่ของเจ้าให้ได้ ถ้านางไม่อยากได้จริง ๆ ก็เอากลับมา แล้วเมื่อวานเจ้าซื้อลูกอมมา 3 ถุงไม่ใช่หรือ? เอาออกมาถุงนึงสิ เอาไปฝากลูกพี่ลูกน้องของเจ้าด้วย” มู่ฉือกระซิบลูกสาว
แต่ลูกอมพวกนั้นนางตั้งใจซื้อมาฝากเสี่ยวปั๋วเหวินนี่นา
เมื่อนางนึกถึงแววตาที่เปล่งประกายนั้นของเสี่ยวปั๋วเหวิน มู่หยางหลิงก็กลัวว่าจะทำให้น้องผิดหวัง แต่พอคิดอีกแง่นึง ถ้าพรุ่งนี้เข้าป่าไปล่าสัตว์ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ค่อยซื้อมาเพิ่มให้น้องอีกถุงก็ได้นี่นา
มู่หยางหลิงคิดได้อย่างนั้นก็รีบเดินเข้าห้องนอนไปหยิบถุงลูกอมใส่ตระกร้าด้านหลัง 1 ถุง และนางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองน้องชายของนางที่ตอนนี้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย โชคดีที่เมื่อวานนางบอกน้องไปว่ามีลูกอมเพียงแค่ถุงเดียว ถ้าเขารู้เข้าว่ายังมีอีกถุงที่เป็นของเขาแต่พี่สาวดันเอาไปให้คนอื่นกินแทนละก็ มีหวังได้โกรธจัดไม่ยอมคุยกับนางไปสิบวันเป็นแน่
“เอาล่ะ รีบไปเถอะ ไปดูหน่อยสิ้ ว่าในหมู่บ้านซีซานมีคนแกล้งย่าใหญ่ของเจ้ารึไม่ ถ้าหากว่ามีละก็ รีบกลับมาบอกพ่อเลยนะ พ่อจะพาเหล่าปู่ ๆ ของเจ้าไปถล่มที่นั่นเลย”
ซู่หว่านเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ลูกไม่ชำนาญทาง ใยเจ้าถึงให้ลูกไปคนเดียวเล่า?”
สองพ่อลูกไม่กล้าปริปากบอกซู่หว่านเหนียง ว่ามู่หยางหลิงวางแผนอยากจะฝึกเดินข้ามเขาด้วยตนเองมานานแล้ว มู่ฉือจึงพูดให้ภรรยาสบายใจไปว่า “ลูกสาวของเรารู้จักทางดีแล้ว……”
ซู่หว่านเหนียงได้ยินดังนั้นก็สบายใจขึ้นมาหน่อย นางจึงคิดว่ามู่ฉือคงจะเคยพาลูกสาวแวะไปหมู่บ้านซีซานมาแล้วแน่ ๆ เลยไม่ถามอะไรให้มากความอีก จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในครัว หยิบของว่างใส่ตระกร้าที่ลูกสาวกำลังสะพายอยู่ “ไปกลับทีนึงก็ใช้เวลาตั้งเกือบ 2 ชั่วโมง เอานี่ไปไว้กินระหว่างทางนะลูก รีบกลับมาด้วยล่ะ”
มู่หยางหลิงแบกตระกร้าขึ้นหลังแล้วพยักหน้าตอบรับคำสั่งของแม่
ซู่หว่านเหนียงยืนมองลูกสาวคนโตเดินจากไปก่อนจะหันมาตำหนิสามี “อาหลิงเพิ่งจะ 9 ขวบ เจ้าไม่ต้องทำเหมือนลูกเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ นางมีพละกำลังมากพอแล้วก็จริง แต่นางก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนึงเท่านั้น เจ้าวางใจให้นางเดินทางไกลขนาดนั้นคนเดียวได้อย่างไร”
“เด็กในหมู่บ้านเราที่อายุพอ ๆ กับมู่หยางหลิงก็รู้จักทำมาหากินเหมือนผู้ใหญ่กันหมดแล้วนะ แล้วลูกสาวของเราก็เฉลียวฉลาด มีไหวพริบดีกว่าใครอีกต่างหาก อีกอย่าง นั่นก็เป็นทางลัดไปบ้านท่านป้าใหญ่เอง ไม่เป็นไรหรอกน่า”
แต่ซู่หว่านเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ พลันนึกถึงตัวเองในวัยเก้าขวบที่ยังใส่ชุดต่อจากพี่สาวอยู่เลย แต่ลูกสาวของนางกลับต้องมารับภาระเลี้ยงดูครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย
ซู่หว่านเหนียงคิดแล้วก็น้ำตาไหล เนื่องจากนางสามารถรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนได้ไม่มาก ทำให้ภาระของสองพ่อลูกต้องเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เมื่อมู่ฉือเห็นน้ำตาของภรรยา เขาก็ลุกขึ้นเช็ดน้ำตาให้นางทันที จากนั้นเขาก็พูดกับนางว่า “ข้าไม่ดีเอง เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว เมื่อครู่ข้าพูดเสียงดังเกินไปหน่อย หลังจากนี้ข้าจะไม่ให้ลูกเดินทางไปไหนมาไหนเองคนเดียวอีก ถ้าเจ้ายังไม่สบายใจ ข้าจะไปตามนางกลับบ้านมาเดี๋ยวนี้แหละ”
ต่อไปในภายภาคหน้า ถ้ามู่หยางหลิงต้องออกเหย้าออกเรือนไป นางจักต้องเหมือนตัวข้าเองที่ทำอะไรไม่เป็นซักอย่างงั้นหรือ? แม้แต่ยามที่สามีต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เขาก็ต้องคอยเป็นห่วงเป็นกังวล กลัวว่าเราจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่เองได้แบบนี้
ซู่หว่านเหนียงคิดแล้วก็ส่ายหัว “เจ้าพูดถูก ข้าประคบประหงมลูกมากเกินไปเอง”
มู่ฉือได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจ เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ภรรยาของเขาเลี้ยงลูกให้อยู่แต่บ้านเหมือนอย่างครอบครัวอื่น