หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 937 บทบาทเชลย (2)
ตอนที่ 937 บทบาทเชลย (2)
หงหลิ่วยิ้มอย่างยินดีออกมาทังที “แม่นางวางใจได้เลย หากต้องการสิ่งใดข้าจะช่วยอย่างเต็มที่” แม้ว่าจะเป็นเพียงก้อนทองเล็กๆ สองก้อน แต่ก็หนักถึงห้าตำลึง หากไปแลกเปลี่ยนเป็นตำลึงเงินก็ได้มากถึงห้าสิบตำลึงเงิน นี่ยังเป็นแค่มัดจำเท่านั้น มีเงินพวกนี้แล้ว ไยนางกับน้องสาวจะต้องไปเป็นสาวใช้ผู้อื่นอีกเล่า
ด้านนอก เงาดำสายหนึ่งก็พุ่งพรวดเข้ามา “จวิ้นจู่!”
เป็นซิงเวยที่เข้ามา เอ่ยเสียงทุ้มพลางโค้งเคารพต่อหนานกงมั่ว “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ซิงเวยเอ่ยตอบ “ทหารที่ประจำการรอบหุบเขาฟู่อวิ๋นเพิ่มขึ้นอีกแล้ว อีกทั้งยังมีทหารบางส่วนเริ่มเข้าไปในหุบเขาแล้ว ดูท่าคงคิดจะหาทางเข้าทางอื่น คุณชายบอกว่าเวลานี้อีกฝ่ายยังไม่สามารถยกทัพบุกได้ จึงขอให้จวิ้นจู่กลับมาก่อน ทางด้านท่านอ๋อง…เกรงว่าจะรอมิไหวแล้ว ส่วนคุณชายลิ่น คุณชายคิดวิธีช่วยได้แล้วขอรับ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว คิดอยู่ชั่วครู่ “จวินมั่วคิดจะแลกเปลี่ยนตัวเชลยหรือ” เรื่องเพิ่มกองกำลังทหารมิได้เหนือความคาดหมายของนางนัก อีกฝ่ายจับลิ่นฉังเฟิงไปเช่นนี้ย่อมรู้ว่าพวกนางมาถึงแล้ว
ซิงเวยพยักหน้า “คุณชายตกลงแล้วขอรับ คุณชายเว่ยใช้เป็นหย่งคังโหว อีกฝ่ายก็ตอบตกลงเช่นกัน”
“แลกเปลี่ยนกันที่ใด”
“นอกเมืองไปสามลี้ขอรับ”
หนานกงมั่วคิดทบทวนอยู่นาน จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “ดียิ่ง เช่นนั้นเอาเยี่ยงนี้ เมื่อถึงเวลาแล้วเจ้านำคนไปดูการแลกเปลี่ยนของทั้งสองฝ่ายสักหน่อยแล้วกัน”
ซิงเวยชะงักไป “จวิ้นจู่ ท่าน?”
หนานกงมั่วหลบสายตา “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ หลังจัดการเรียบร้อยแล้วจะกลับไปทันที”
ซิงเวยลำบากใจแต่อย่างไรเขาก็นับเป็นคนของหนานกงมั่ว อย่างไรก็ตามเขาต้องถือคำสั่งหนานกงมั่วเป็นสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความสามารถของจวิ้นจู่นั้น เขารู้ดีว่าอย่างน้อยๆ นางก็สามารถเอาตัวรอดได้ไร้ปัญหาใดๆ จึงพยักหน้าลง เอ่ย “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง”
หนานกงมั่วพึมพำอย่างไม่คิดจะใส่ใจ “หย่งคังโหว…แม้ว่าจะไม่ได้เก่งกาจเท่าเซ่าจง แต่ความสามารถก็มิอาจดูแคลนได้ ปล่อยพยัคฆ์คืนถิ่นย่อมมิใช่เรื่องดี”
เช้าตรู่วันถัดมา นอกเมืองซื่อหยางห่างออกไปสามลี้ ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้าเว้นระยะห่างกันราวเจ็ดแปดจั้ง คุณชายเว่ยมองลิ่นฉังเฟิงที่ถูกคนพาออกมานิ่งๆ ลิ่นฉังเฟิงมีสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก เขาสำนึกรู้ตนดีที่ประมาทดูถูกเมืองเล็กๆ อย่างซื่อหยางจนพลาดท่า เป็นเรือที่ล่มในหนองน้ำ แล้วไยเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วยังคิดจะช่วยเขาอยู่อีกเล่า
ข้างกายเว่ยจวินมั่ว มีทหารขนาบซ้ายขวาคอยคุมตัวหย่งคังโหว ถังเจิง
เว่ยจวินมั่วกวาดมองฝ่ายตรงข้าม “เซียวเชียนเยี่ยหาคนนำทัพไม่ได้จนครั้งนี้ถึงกับต้องส่งเต่าหัวหดมาเลยหรือ”
รองแม่ทัพที่ยืนอยู่ข้างกายลิ่นฉังเฟิงยิ้มเย็น “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องลำบากท่านแม่ทัพควบม้าออกมาหรอก ตรงกับข้ามกับคุณชายเว่ย ที่แม้แต่แลกตัวเชลยเล็กๆ น้อยๆ ยังต้องลงมาทำเองเช่นนี้ ข้างกายคงไม่มีผู้ใดใช้ได้เลยกระมัง”
ลิ่นฉังเฟิงลอบมองรองแม่ทัพขี้คุยอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลอบถอนใจในอกให้เขาอย่างเงียบๆ
“แฮ่มๆ ข้าว่า…ท่านทั้งสองคุยกับพอหอมปากหอมคอแล้วกระมัง พวกเรามาเริ่มตกลงกันเลยดีหรือไม่” ลิ่นฉังเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนขึ้นมา
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว “ลิ่นฉังเฟิง เป็นเช่นไรบ้าง”
ลิ่นฉังเฟิงยิ้มขื่น “ยังดีอยู่ ถูกคนแกล้งนิดๆ หน่อยๆ ไม่สะเทือนอันใด” อีกฝ่ายคิดจะกำจัดวรยุทธ์ของเขาเท่านั้น มิได้คิดจะทำให้เขาพิการอันใด
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า คนของอีกฝ่ายย่อมมิได้อ่อนแอแน่นอน “หย่งคังโหวยังอยู่ดีหรือไม่” การแลกเปลี่ยนตัวเชลยต่างคนต่างอยากได้คนของตนกลับไปแบบสมบูรณ์ทั้งนั้น ใครเล่าจะแลกเปลี่ยนเอาคนพิการกลับมา ใบหน้าถังเจิงพลันนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า “สบายดี” เขามิใช่ลิ่นฉังเฟิง หน้าเขามิได้หนาถึงเพียงนั้น ถูกคนจับมาแล้วต้องลำบากคนอื่นยื่นมือมาช่วยเหลือด้วยการแลกเปลี่ยนกับเชลยศึกเช่นนี้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
“เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถิด” เว่ยจวินมั่วก็ไม่อดทนรอ เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
ทหารของทั้งสองนั้นไม่ได้ต่างกันมาก เบื้องหลังถัดไปไปสามลี้ก็เป็นเมืองซื่อหยาง เช่นเดียวกับเบื้องหลังของเว่ยจวินมั่วและคนของเขาเป็นกองกำลังเฉินโจวหลายหมื่นนาย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมิมีผู้ใดไว้ใจอีกฝ่ายทั้งสิ้น
ทหารทั้งสองเริ่มพาลิ่นฉังเฟิงและถังเจิงออกมาพร้อมกัน ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้วพลางค่อยๆ เดินไปข้างหน้า ถังเจิงก็มุ่งไปข้างหน้าเช่นเดียวกัน แต่ว่าระยะเพียงเจ็ดแปดจั้ง กลับรู้สึกว่าเท้าของเขาหนักอึ้งจนไม่อาจเดินไปถึงได้เลย จนในยามที่ทั้งสองเดินสวนกันนั้น ทุกคนต่างอดลุ้นระทึกขึ้นมาไม่ได้ ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้วพลางยิ้มให้ถังเจิง จากนั้นจึงค่อยๆ เดินผ่านไป
“ยิงได้!” พลันเสียงดุดันสั่งขึ้นทันที
“ข้าเอง!” คุณชายฉังเฟิงกระตุกยิ้ม ก่อนจะพุ่งตัวไปหาถังเจิง ร่างกายพลันมีเรี่ยวแรงขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เส้นสายพลันยืดขยายตัวออก
“หึ!” คุณชายเว่ยส่งเสียงเย็นชา ลูกธนูที่พุ่งทะยานไปยังลิ่นฉังเฟิงนั้นถูกปัดทิ้งไป ขณะเดียวกันทหารที่อยู่เบื้องหลังของเว่ยจวินมั่วต่างก็ยกคันธนูที่ขึ้นลูกธนูไว้เรียบร้อยเพื่อเตรียมตอบโต้อีกฝ่ายทันที
เพียงได้ยินคำว่ายิงได้ ถังเจิงก็รีบวิ่งไปยังฝั่งคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับลิ่นฉังเฟิงแล้วเขายังคงรวดเร็วกว่า เมื่อเห็นว่าไม่อาจไล่ตามได้ทัน อีกทั้งลูกธนูระลอกใหม่กำลังจะมา ลิ่นฉังเฟิงจึงเขวี้ยงมีดสั้นใส่แผ่นหลังของถังเจิงอย่างไม่ลังเล
“หย่งคังโหว ระวัง!” รองแม่ทัพฝั่งศัตรูอดไม่ได้ที่จะร้องเตือน แต่น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว ด้วยระยะห่างเช่นนี้ลิ่นฉังเฟิงจะลงมือพลาดได้เช่นไร
ถังเจิงพลันร้องเสียงดังลั่น ก่อนจะทรุดคว่ำลงกับพื้น ด้านหลังเป็นมีดสั้นที่แทงทะลุหัวใจจนมิดด้าม เหลือให้เห็นเพียงด้ามจับเท่านั้น
“เว่ยจวินมั่ว!” รองแม่ทัพศัตรูโกรธแค้นจนอดที่จะคำรามออกมาไม่ได้
“หึ” คุณชายเว่ยยิ้มอย่างไม่แยแส เสียงคำรามดุจฟ้าผ่าของรองแม่ทัพอีกฝ่ายไม่สะเทือนอันใดสำหรับเขาเลย หากแต่มองไปทางเขาคนนั้นที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลมากนัก “ในเมื่อมาแล้ว จะแอบอยู่ไยเล่า ออกมาเถิด”
คนด้านหลังมิได้ออก มีเพียงเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นกรุ่นโกรธดังออกมา “เว่ยจวินมั่ว เซียวโยวมันต้องตาย และเจ้าต้องชดใช้ให้ข้า!”
ลิ่นฉังเฟิงถอยกลับไปยืนข้างกายเว่ยจวินมั่ว เอ่ยยิ้มๆ “จวินมั่ว เจ้าช่างเป็นเพื่อนที่ดีเสียจริง แต่ว่าข้าก็ไม่ได้ทำให้เจ้าขาดทุนใช่หรือไม่เล่า” เขามิอาจปล่อยให้ถังเจิงกลับไปอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่ายได้เด็ดขาด ดังนั้นแล้วเว่ยจวินมั่วจะไม่คิดแผนให้เขาได้อย่างไร
เว่ยจวินมั่วเหลือบมองอย่างเฉยชา “เดิมทีข้าคิดจะใช้ถังเจิงให้เป็นประโยชน์อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เป็นเพราะเจ้าจึงได้เสียเปล่าเช่นนี้แล้ว”
“เอ่อ…” คุณชายฉังเฟิงรู้สึกถึงลมเย็นยะเยือกสัมผัสผ่านหลังคอตน จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลบเกลื่อน
ทั้งสองฝ่ายต่างมีกองกำลังทหาร แต่ก็ไม่อาจได้เปรียบไปกว่ากันได้ สุดท้ายไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องยอมถอยออกมา
จวนว่าการในเมือง หนานกงมั่วยังคงแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินอ่อนของสาวใช้ เข้าไปในห้องหนังสือที่มีข้าวของม้วนหนังสือตั้งอยู่บนโต๊ะ ยักไหล่อย่างผิดหวังเล็กน้อย ห้องหนังสือพวกนี้สะอาดเสียจริง แม้จะไม่เจออันใดที่มีประโยชน์ แต่ในเมื่อเข้ามาได้แล้วย่อมต้องเจอบางอย่างที่ใช้ได้บ้างสิ?
เมื่อเดินออกจากห้องหนังสือมุ่งหน้าไปยังห้องถัดไป นางพลันได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากจากด้านนอก หนานกงมั่วตกใจรีบกระโดดขึ้นไปอยู่บนคานห้อง พอดิบพอดีกับที่คนจากข้างนอกเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับขุนพลสี่ห้านายตามหลังมาอีกเป็นพรวน