หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 936 บทบาทเชลย (1)
ตอนที่ 936 บทบาทเชลย (1)
เรือนตะวันออกมิใช่ตัวเรือนหลักของจวนว่าการ แต่กลับเป็นที่ที่นับว่าไม่เลวเลย หลังกำแพงของจวนอยู่ห่างจากทะเลสาบออกมา เดิมตั้งอยู่ด้านหลังจวนว่าการ ต่อมามีการขยับขยายออกจึงมีการสร้างเรือนติดทะเลสาบขึ้น แต่หากคิดว่าทะเลสาบแห่งนี้มีไว้พักผ่อนหย่อนใจล่ะก็นับว่าผิดมหันต์อย่างยิ่ง นอกจากมีทหารประจำการอยู่ในเมืองแล้วก็ยังมีการลาดตระเวนแถวทะเลสาบด้วย ด้วยภูมิทัศน์ที่เป็นทะเลสาบเวิ้งว้างเช่นนี้จึงมองเห็นได้ทั่วไร้ซึ่งสิ่งบดบัง จึงเป็นเรื่องยากนักที่ชาวบ้านธรรมดาจะเข้าใกล้ทะเลสาบได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรือนที่อยู่ลึกเข้าไปในทะเลสาบเลย
ฝั่งในกำแพงสูงก็ไม่ต่างกัน ประตูด้านหลังของเรือนตะวันออกที่ติดกับทะเลสาบถูกปิด มีเพียงเส้นทางคดเคี้ยวทางเดียวที่จะไปยังทะเลสาบได้ ซึ่งมีไว้ให้เดินไปหาผู้ที่อยู่ด้านในตัวเรือนยามที่ถูกเรียกเข้าพบ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามที่คิดจะเข้าไปย่อมต้องถูกเหล่าทหารที่ลาดตระเวณริมทะเลสาบยิงธนูจนร่างพรุนอย่างแน่นอน
ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนตะวันออกนั้นยิ่งน่าสนใจ แตกต่างจากทหารคนอื่นๆ ในกองทัพอย่างสิ้นเชิง ไม่ร่วมสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่อื่นๆ ไม่กินเหล้าสังสรรค์ และมิได้หาหญิงสาวมาอิงแอบข้างกายด้วย เอ่ยได้ว่าหากไม่มีสงคราม เขาก็คงเฉาตายอยู่ในเรือนไปแล้ว
หนานกงมั่วขบคิดอยู่เนิ่นนาน การป้องกันแน่นหนาเกินไป คิดจะแอบเข้าไปตรวจสอบสอดแนมก็มิอาจทำได้ มิใช่ว่านางกลัวจะเอาตัวรอดไม่ได้ ทว่า…หากนางโดนจับขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะลงมือฆ่าลิ่นฉังเฟิงทิ้ง เป็นกับดักจริงๆ ด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้น หนานกงมั่วจึงถือโอกาสช่วงที่ได้ออกไปซื้อข้าวของข้างนอกขอลากลับบ้าน
หงหลิ่วกับหงเซียงไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่ขายชีวิตให้ ฉะนั้นจึงสามารถขอลากลับบ้านของพวกนางที่ตั้งอยู่ในสลัมทางด้านตะวันตกของเมืองได้เป็นบางครั้งบางคราว บ้านหลังเล็กๆ ที่ดูโกโรโกโส และเมื่อผลักประตูเข้าไปก็พบแต่ความเงียบสงัดและความมืดมิด รวมถึงกลิ่นอับจางๆ ลอยคลุ้งในอากาศ หนานกงมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยๆ เดินไปที่ประตูแล้วผลักเปิดออกก่อนจะเดินเข้าไป
“จวิ้นจู่”
ภายในห้อง มีบุรุษในชุดชาวบ้านสองคนยืนรออยู่นานแล้ว ถัดจากชายหนุ่มทั้งสองเป็นหญิงสาวสวมชุดธรรมดานั่งอยู่ หากพิจารณามองดูให้ดีก็จะพบว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่นั้นมีหน้าตาคล้ายคลึงหนานกงมั่วในตอนนี้อยู่สองส่วนเลยทีเดียว
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยถาม “ซิงเวยไปไหนเล่า”
บุรุษผู้นั้นคำนับด้วยความเคารพ เอ่ยตอบ “ใต้เท้าซิงเวยเพิ่งออกไปเองขอรับ”
หนานกงมั่วหันมองหญิงสาวที่จ้องเขม็งมองพวกนางอย่างไม่ยินยอมด้วยความสนใจ ก่อนจะนั่งลงตรงกันข้ามกับนางและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่าจ้องข้าเช่นนั้นสิ อย่าลืมเล่า…น้องสาวของเจ้ายังอยู่ในกำมือข้านะ”
หญิงสาวพลันชะงักนิ่งงันไป ขบเม้มริมฝีปากแน่น “พวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ พวกเขา…พวกเขาเรียกเจ้าว่าจวิ้นจู่?”
นางเป็นเพียงหญิงสาวรับใช้ธรรมดาๆ ในห้องครัวของจวนว่าการ มิแปลกอันใดที่จะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของซิงเฉิงจวิ้นจู่ ต่อให้รู้ก็ย่อมไม่เคยพบเห็นหนานกงมั่วมาก่อน หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “ฟัง วันนี้ข้าอยู่ในครัวได้มาข่าวนึง ได้ยินมาว่า…เจ้าอยากจะเข้าไปในเรือนตะวันออก…หืม?”
หญิงสาวพลันหน้าขาวซีด จ้องมองหนานงกงมั่วอย่างโกรธเคือง “แล้วมันเช่นไรเล่า!” นางก็เพียงอยากจะทำให้ตนเองและครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น มีอันใดผิดกัน
หนานกงมั่วลอบถอนหายใจเบาๆ “อย่าขุ่นเคืองไป ข้ามิได้หมายความว่าจะเย้ยหยันเจ้า แต่ว่า…ข้าอยากรู้ คนที่อยู่ในเรือนตะวันตก…รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร”
“เจ้าคิดจะทำอันใด” หญิงสาวยังคงจ้องหนานกงมั่วอย่างหวาดระแวงระคนสงสัย
หนานกงมั่วยิ้มเย้ย “ข้าคิดจะทำอันใด เจ้าก็ย่อมต้องร่วมมืออยู่ดีมิใช่หรือ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะชอบคนผู้นั้นจริงๆ?” ใบหน้าของหญิงสาวเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดงก่ำสลับเปลี่ยนไปมา พลางขบฟันแน่น “ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” หนานกงมั่วถอนหายใจ “นับตั้งแต่ที่ข้าปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าจนถึงตอนนี้ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน ดังนั้น…เจ้าก็ลองร่วมมือกับข้าเสียหน่อย หลังจบเรื่องแล้วข้าสัญญาว่าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม หรือจะให้ข้าสังหารปิดปากเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ให้เจ้ามาสร้างปัญหาวุ่นวายแก่ข้าดี”
ใจของหญิงสาวพลันกระตุก อดไม่ได้ที่ก้มตัวลง นางสัมผัสได้ว่าที่หญิงสางตรงหน้าตนเอ่ยเรื่องสังหารปิดปากนั้นย่อมมิใช่เรื่องล้อเล่นอย่างแน่นอน
ลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง หญิงสาวพลันเอ่ย “ถ้าข้าบอกเจ้า… เจ้าจะไม่ทำร้ายข้ากับอาเซียงใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ข้ารับปากว่าจะไม่ฆ่าผู้ใดทั้งนั้น ไม่เพียงเท่านั้น หลังจบเรื่อง ข้าจะมอบรางวัลให้เจ้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าเจ้าและครอบครัวจะคิดทำการค้าเล็กๆ หรือจะออกจากซื่อหยางตั้งรกรากเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ย่อมไม่มีปัญหาทั้งสิ้น”
หงหลิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง “ข้าเชื่อเจ้า” แท้จริงแล้ว นางไม่ได้เชื่อแต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้ ตอนนี้นางตกอยู่ในกำมือคนพวกนี้ ไหนจะน้องสาวคนเดียวของนางก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด นอกจากเชื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านางผู้นี้แล้วนางจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า
หนานกงมั่วยกยิ้มมุมปาก “ผู้ที่อยู่เรือนตะวันออกผู้นั้น รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร”
หงหลิ่วขบคิดทบทวนชั่วครู่ “คนผู้นั้น…ดูแล้วน่าจะอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ แต่ว่า…ผมกลับเป็นสีขาวทั่วทั้งศีรษะแล้ว รูปร่างผ่ายผอมอีกทั้งยังเย็นชา ผู้คนหวาดกลัวและผวาเขา”
หนานกงมั่วนึกถึงเหล่าแม่ทัพขุนพลแนวหน้าของจินหลิงทั้งหมดในใจ ก็ไม่พบว่าผู้ใดเป็นอย่างที่หงหลิ่วกล่าว นางสบตาหงหลิ่วเงียบๆ หงหลิ่วอดไม่ได้ที่จะกระอักกระอ่วนออกมา “ข้ามิได้มีชีวิตหรูหราฟู่ฟ่าเช่นพวกเจ้านี่ ข้าคิดอยากจะติดปีกบ้างจะผิดอันใดกัน!” นางพึ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีแต่กลับมาตกหลุมรักตาเฒ่าวัยห้าสิบหกสิบ นางรู้ดีว่าย่อมถูกผู้คนเหยียดหยาม แต่แล้วมันจะทำไมเล่า อย่างไรตาแก่นั่นก็เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง ดีกว่าเป็นสาวใช้อยู่ในห้องครัวให้โดนโขกสับ ดีกว่าไอ้พวกสำมะเลเทเมา ดีกว่าอยู่ใต้อำนาจของนายอำเภอที่จ้องเอาเปรียบมากกว่าเป็นไหนๆ
หนานกงมั่วกุมขมับ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าคิดจะถามเจ้าว่าใบหน้าเขาไม่มีสิ่งใดสะดุดตาเป็นเอกลักษณ์เลยหรือ”
หงหลิ่วส่ายหน้า “ข้าแค่โชคดีที่วันนั้นบังเอิญเดินผ่านเรือนตะวันออกจึงได้พบ แต่ท้องฟ้ายามนั้นมืดสลัวจึงทำให้ไม่อาจเห็นได้ชัดเจน แต่จำได้ว่า…เหมือนเขาจะตัวสูงมากทีเดียว”
หนานกงมั่วถอนหายใจ นอกจากอายุของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่ได้เงื่อนงำอันใดเพิ่มเติมอีกเลย
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ หงหลิ่วก็พลันร้อนรน “เดี๋ยว! เจ้ารับปากข้าแล้ว ที่ข้ารู้ก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว เจ้าอย่ากลับคำเด็ดขาด”
หนานกงมั่วโบกมือ “ข้ารู้แล้ว เจ้าอยู่ในจวนว่าการซื่อหยางมากี่ปีแล้ว”
หงหลิ่วผงะไปแล้วจึงเอ่ยตอบ “ตอนข้าอายุสิบสองปีก็เข้าไปแล้ว ใกล้จะหกปีแล้วกระมัง”
หนานกงมั่วพยักหน้า “เช่นนั้นพอจะรู้วิธีที่เข้าไปในจวนว่าการแบบไม่ประเจิดประเจ้อหรือไม่ โดยเฉพาะแถวเรือนตะวันออก”
หงหลิ่วก้มหน้าลงคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ “เรื่องนี้ข้าไม่รู้หรอกว่าได้หรือไม่…แต่ข้าเคยได้ยินพวกคนในห้องครัวเอ่ยว่าในลานของเรือนตะวันตกมีสระบัวเชื่อมกับทะเลสาบด้านนอกอยู่ เดิมทีเรือนตะวันออก ก็สร้างขึ้นมาโดยการถมดินลงไปในทะเลสาบ ดังนั้นหากลงไปในบ่อน้ำข้างต้นหลิ่วใหญ่ในสวนดอกไม้ ก็อาจจะไปโผล่ที่สระบัวในลานได้ แต่ว่า…ถึงจะได้ยินมาเช่นนั้น แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดทำมาก่อน ล้วนเป็นเรื่องราวซุบซิบในหมู่คนรับใช้เท่านั้น”
หนานกงมั่วก้มหน้าลงขบคิดเรื่องนี้ ในที่สุดก็พยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว ขอบคุณแม่นางมาก เกรงว่าจะต้องรบกวนแม่นางอีกสักสองวัน ก่อนหน้านี้ล่วงเกินแม่นางแล้ว” นางเปิดถุงเงินออกแล้วหยิบก้อนทองเล็กๆ ออกมาสองก้อนแล้ววางไว้บนโต๊ะ “นี่คือมัดจำของแม่นาง สำหรับไม่กี่วันที่ผ่านมานี้…”