หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 877 พี่น้องรวมตัว (1)
ตอนที่ 877 พี่น้องรวมตัว (1)
หนานกงชวี่ไม่ใช่คนที่ถือดีคิดว่าตนเก่งกาจไร้ซึ่งเทียมทาน หากเปลี่ยนเป็นเซวียเจินหรือเฉินอวี้คนใดคนหนึ่ง หนานกงชวี่ก็คงจะไม่คัดค้านแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้นอกจากฐานะบรรดาศักดิ์ของเซียวเชียนเหว่ยแล้ว เขายังไม่มีความสามารถพอให้หนานกงชวี่ยอมจำนน เดิมทีก็ยังพออดทนอดกลั้นได้ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายยิ่งปะทะกันก็ยิ่งดุเดือดมากขึ้น ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่อการศึกสงครามด้วย สาเหตุการพ่ายแพ้ในครั้งก่อนก็เนื่องมาจากความไม่ลงรอยกันของหนานกงชวี่และเซียวเชียนเหว่ย พอเยี่ยนอ๋องทราบข่าวก็โมโหเป็นอย่างมาก ถึงขั้นลงมือโบยทั้งสองไปคนละห้าสิบครั้ง จากนั้นก็ส่งคนมาทุบตีเซียวเชียนเหว่ยไปยกใหญ่ เดิมทีการที่เยี่ยนอ๋องจัดการเช่นนี้ถือว่าเขายืนอยู่ฝั่งหนานกงชวี่ แม้ว่าเซียวเชียนเหว่ยจะรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ทำอันใดไม่ได้อยู่ดี เวลานี้หนานกงชวี่ไม่ได้สนใจต่อเรื่องจำพวกกลอุบายนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้เข้าร่วมกองทัพเพื่อสร้างคุณงามความดี จึงตอบกลับคนส่งสารของเยี่ยนอ๋องไปว่าขอลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่าความสามารถของเขาไม่เพียงพอ ไม่สามารถแบกรับภาระหน้าที่นี้ได้ ความหมายของคุณชายใหญ่หนานกงก็คือ ‘ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว’
แน่นอนว่าเยี่ยนอ๋องย่อมต้องโน้มน้าวเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหนานกงชวี่ได้ตัดสินใจชัดเจนแล้วว่าต้องการไปช่วยน้องสาวของเขาที่เฉินโจว เยี่ยนอ๋องจึงจำต้องปล่อยเขาไปด้วยความจนใจ เมื่อหันกลับมาก็ดุด่าเซียวเชียนเหว่ยด้วยความฉุนเฉียว ยังไม่ทันถึงไหนก็แย่งชิงอำนาจกันเสียแล้ว วันข้างหน้าจะขนาดไหน เยี่ยนอ๋องเป็นคนที่ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงราษฎรด้วยเหตุผลและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดมาโดยตลอด แต่กับบุตรชายของเขา หากไม่เชื่อฟังก็มักจะทุบตีและใช้ความรุนแรงอยู่เสมอ
“ในเมื่อพี่ใหญ่มาแล้วก็พักผ่อนสักวันสองวันดีหรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หนานกงชวี่ส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยตอบ “ข้าคอยสังเกตมาตลอดเส้นทาง เห็นมาก็ไม่น้อย มั่วเอ๋อร์ ทั้งที่เจ้าเป็นสตรี แต่กลับเก่งกาจกว่าข้าและพี่รองของเจ้าเป็นอย่างมาก”
หนานกงมั่วส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว ข้านำกองทัพทหารออกรบเองไม่เป็นสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องพวกนี้ข้าย่อมทำคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องที่ต้องควบคุมก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำ เกรงก็แต่ว่าข้าจะไปสั่งการซี้ซั้วจนก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นก็เท่านั้น”
“เจ้าทำได้ดีมาก” หนานกงชวี่เอ่ย มองน้องสาวด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ถึงแม้ตอนเด็กเขาจะไม่ได้ดูแลน้องสาวคนนี้ แต่หนานกงมั่วกลับเติบโตมาอย่างดี บิดาและมารดาที่จากไปแล้วคงจะภูมิใจในตัวนางไม่น้อย
“จวิ้นจู่” หลิ่วหันเดินมาจากด้านนอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“มีเรื่องอันใดหรือ” หนานกงมั่วเอ่ย ดูจากสีหน้าของหลิ่วหันแล้ว ย่อมคาดเดาได้ว่าไม่ใช่เรื่องร้าย
หลิ่วหันยิ้มพลางเอ่ย “เรียนจวิ้นจู่ คุณชายเว่ยให้คนมาส่งคุณชายรองหนานกงและฮูหยินเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินแล้ว หนานกงมั่วก็เลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วจึงหันไปเอ่ยกับหนานกงชวี่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “บังเอิญเสียจริง รีบไปเชิญพวกเขาเข้ามาเร็วเข้า”
ใบหน้าเรียบเฉยของหนานกงชวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย บางทีหนานกงชวี่อาจจะรู้สึกสนิทสนมกับหนานกงฮุยมากกว่าหนานกงมั่วกระมัง ไม่ใช่เพียงเพราะหนานกงชวี่ดูแลหนานกงฮุยมาตั้งแต่เด็กจนโตเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับน้องสาวที่ฉลาดหลักแหลมและมากความสามารถแล้ว เขาย่อมรู้สึกเป็นห่วงหนานกงฮุยน้องชายคนนี้มากกว่า สามพี่น้องตระกูลหนานกง ในแง่ของคุณสมบัติ หนานกงฮุยถือว่าค่อนข้างด้อย และด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนานกงชวี่ยิ่งรู้สึกห่วงใยน้องชายคนนี้มากกว่า
ผ่านไปเพียงครู่เดียว หลิ่วหันก็พาหนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์เดินเข้ามา เมื่อเห็นหนานกงชวี่นั่งอยู่ด้านในด้วย หนานกงฮุยก็ชะงักไปชั่วขณะ “พี่…พี่ใหญ่หรือ”
หนานกงชวี่พยักหน้าเบาๆ มองหนานกงฮุยอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ย “ดูท่าแล้ว สองปีมานี้เจ้าคงจะสบายดี”
เมื่อได้ยินวาจาของหนานกงชวี่ ดวงตาของหนานกงฮุยก็แดงก่ำขึ้นมาทันที ตอนที่พี่ชายของเขาถูกจับขังคุกและถูกเนรเทศ เขากลับได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อตาของเขาอย่างสุขสบายโดยลำพัง แม้แต่ครั้งนี้ก็เป็นหนานกงมั่วที่ไหว้วานเว่ยจวินมั่วให้ช่วยพวกเขาออกมา เวลานี้เมื่อได้เห็นหน้าพี่ใหญ่และน้องสาว ในใจของหนานกงฮุยจึงท่วมท้นด้วยความละอายใจ
“พี่ใหญ่…มั่วเอ๋อร์…”
หนานกงชวี่เอ่ยขึ้นเสียงจริงจัง “เจ้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้วแท้ๆ ไยถึงยังร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนี้”
หนานกงมั่วเองก็ยิ้มพลางเอ่ย “พี่รอง เนี่ยนเอ๋อร์ เดินทางราบรื่นดีหรือไม่”
หนานกงฮุยรีบส่ายหน้า เอ่ยตอบว่า “เดินทางราบรื่นดี มั่วเอ๋อร์ ข้า…” หนานกงมั่วรู้ว่าเขากำลังจะเอ่ยสิ่งใดจึงยกมือห้ามเขาไว้ จากนั้นก็หันไปกุมมือของซังเนี่ยนเอ๋อร์พลางถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เนี่ยนเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เจ้าสบายดีหรือไม่” ซังเนี่ยนเอ๋อร์ที่เอาแต่เป็นห่วงบิดาของนางมาตลอดทางก็อดยิ้มไม่ได้ เอ่ย “ข้าสบายดี เป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่เสียมากกว่า ตอนนี้ชื่อเสียงเรียงนามของท่านถือว่าเลื่องลือไปทั่วหล้าแล้ว” เดิมทีหนานกงมั่วก็มีชื่อเสียงอยู่แล้ว สามารถเอ่ยได้ว่าตั้งแต่คุณหนูใหญ่หนานกงปรากฏตัวในเมืองจินหลิง ชื่อเสียงเรียงนามของนางก็ไม่เคยเงียบหายไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นางเข้าสู่กองทัพเพียงลำพัง ได้รับตำแหน่งจวิ้นจู่ หรือจะเป็นการรับมือและจัดการกับปัญหาต่างๆ ในเมืองหลิงโจวและวังหลวงในเมืองจินหลิง ก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับซิงเฉิงจวิ้นจู่ในปัจจุบันนี้ที่ดูแลทั้งเย่ว์โจว เฉินโจว และจิ่นโจวทั้งสามแห่งในฐานะสตรี แม้จะไม่โดดเด่นแต่กลับเป็นผู้พิทักษ์ชายแดนอย่างแท้จริง
หากเป็นในราชสำนัก ขุนนางแต่ละฝ่ายคงจะกีดกันนางออกไปตั้งนานแล้ว แต่สถานที่เหล่านี้ในตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำสั่งของคุณชายเว่ยเพียงคนเดียว คุณชายเว่ยเป็นหลานชายของเยี่ยนอ๋อง เขาฟังเพียงคำสั่งจากจวนเยี่ยนอ๋องและโยวโจวเท่านั้น ดังนั้นนอกจากเยี่ยนอ๋องและคุณชายเว่ยแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะเอ่ยอันใดล้วนไม่สำคัญทั้งนั้น
หนานกงมั่วยิ้มกว้างพลางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าหยอกล้อข้าเก่งเสียจริง ตอนนี้จวนว่าการเฉินโจวไม่มีคน หากพวกท่านไม่รังเกียจก็พักที่นั่นเถิด รอหาเรือนได้แล้วค่อยย้ายออก เพียงแต่ว่า…” หนานกงมั่วยิ้มให้ทั้งสองพลางเอ่ย “หากพวกท่านทั้งสองอยากใช้ชีวิตแบบส่วนตัวตามลำพัง ข้าจะให้เหลียนซิงรีบไปเตรียมเรือนให้พวกท่านเดี๋ยวนี้เลย” เพราะไม่คาดคิดว่าเว่ยจวินมั่วจะพาพวกเขาทั้งสองกลับมาเร็วเพียงนี้ จึงยังไม่ทันได้จัดเตรียมเรือนรับรองหนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์ แม้แต่หนานกงชวี่ยังต้องพำนักอยู่จวนว่าการสักระยะหนึ่งก่อน
ใบหน้าของซังเนี่ยนเอ๋อร์แดงก่ำขึ้นมาทันที ตาโตใส่หนานกงมั่วด้วยความเขินอายพลางเอ่ย “ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยุ่งกันทั้งนั้น อาศัยอยู่ด้วยกันออกจะครึกครื้นเสียมากกว่า เจ้ามีลูกแล้วยังชอบล้อเล่นเช่นนี้อีก”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องลูก หนานกงฮุยก็เบิกตากว้างทันที “หลานทั้งสองของข้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว หน้าตาน่ารักน่าชังหรือไม่” หนานกงฮุยเอ่ยพลางจ้องมองไปยังพี่ใหญ่ของเขาด้วยสีหน้าอิจฉา เพราะพี่ใหญ่ของเขาเคยได้เจอหน้าหลานทั้งสองแล้ว อีกทั้งยังเคยอุ้มหลานทั้งสองแล้วด้วย คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือเขา…ผ่านมานานเพียงนี้ แม้แต่หน้าหลานก็ยังไม่เคยได้เห็นสักครั้ง
เมื่อเอ่ยถึงเด็กๆ รอยยิ้มบนใบหน้าหนานกงมั่วพลันอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด “น่ารักน่าชังมาก เด็กๆ ทั้งสองหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ”
คุณชายรองหนานกงได้ยินแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น เด็กสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเป็นเช่นไรกันนะ หน้าตาจะหล่อเหลาคมคายเหมือนเช่นเว่ยจวินมั่ว หรือใบหน้าสวยสดงดงามเหมือนเช่นหนานกงมั่ว หรือว่าจะหลอมรวมทั้งความสวยความหล่อของทั้งสอง หน้าตาของเด็กๆ จึงยิ่งดีเข้าไปใหญ่ บางทีอาจเป็นเพราะหนานกงฮุยแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเกินไป หนานกงมั่วจึงตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตอนนี้เด็กๆ อยู่ที่โยวโจว แต่สามารถเจอหน้ากันได้ ว่าแต่พวกท่านทั้งสองเถิด แต่งงานมาก็ร่วมสองปีแล้ว ไม่คิดจะมีลูกสักคนหรือ”
ซังเนี่ยนเอ๋อร์อดแอบหยิกแขนหนานกงมั่วเบาๆ ไม่ได้ หนานกงมั่วจึงเลิกคิ้วขึ้นสูง เอ่ยว่า “ข้าไม่เอ่ยแล้วก็ได้ ข้าให้คนไปเตรียมที่พักให้พวกท่านก่อน”
ทั้งสองเร่งเดินทางตั้งแต่เอ้อโจวจนถึงเฉินโจว หนานกงฮุยยังดูพอมีแรง แต่ซังเนี่ยนเอ๋อร์นั้นอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก หลังจากสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ชวีเหลียนซิงก็เข้ามารายงานว่าได้จัดเตรียมที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงตามชวีเหลียนซิงไปยังที่พักเพื่อกลับไปพักผ่อน เหลือเพียงหนานกงชวี่ หนานกงฮุย และหนานกงมั่วสามพี่คนน้องอยู่พูดจาถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบกัน
ขณะนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ สามพี่น้องกลับเงียบงันไม่เอ่ยวาจา จะว่าไปแล้วถึงแม้ทั้งสามจะมีบิดาและมารดาคนเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยนั่งคุยกันอย่างสงบเช่นนี้มาก่อน หนานกงฮุยจ้องมองหนานกงชวี่อยู่ครู่หนึ่ง อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านควรอยู่ที่โยวโจวมิใช่หรือ” หนานกงชวี่โบกปัดมือเบาๆ เขาเองไม่ต้องการเอ่ยถึงความขัดแย้งระหว่างเขาและโยวโจว จึงเอ่ยเพียงว่า “มั่วเอ๋อร์และเจ้าต่างก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าย่อมต้องมาเยี่ยมหาพวกเจ้าเป็นธรรมดา” หนานกงฮุยก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอายใจ “ข้าทำให้พี่ใหญ่และมั่วเอ๋อร์เป็นห่วงแล้ว” หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “พี่รองเอ่ยเช่นนี้ เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลหรือเช่นไรกัน”