หมอหญิงยอดมือสังหาร - ตอนที่ 876 แม้แต่คนตายก็ไม่ละเว้น (3)
ตอนที่ 876 แม้แต่คนตายก็ไม่ละเว้น (3)
หนานกงฮุยมองไปยังราชทูตที่กำลังร้องเสียงหลงอย่างที่ไม่ใส่นัก แล้วจึงหันไปมองเว่ยจวินมั่วที่กำลังไล่ฆ่าองครักษ์ที่พากันวิ่งหนีเตลิด หนานกงฮุยเตะไปยังราชทูตที่กำลังกรีดร้องสองสามครั้งเบาๆ เสียงกรีดร้องจึงค่อยๆ หยุดลง ทว่าเมื่อเขาเห็นศพเกลื่อนกลาดของเหล่าบรรดาองครักษ์บนพื้นไม่ห่างจากเขานัก เพียงชั่วอึดใจเขาก็กระโจนเข้าไปกอดขาหนานกงฮุยไว้แน่นพร้อมกับขอร้องวิงวอน “คุณชายหนานกง ช่วยข้าด้วย”
หนานกงฮุยจึงตอบกลับว่า “ข้าสู้เขาไม่ได้”
“แต่…แต่…ท่านเป็นพี่ภรรยาของคุณชายเว่ยมิใช่หรือ เขามาที่นี่ก็เพราะพวกท่านมิใช่หรือ ข้าน้อยขอร้องท่านเถิด ก่อนหน้านี้ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ใต้เท้าคุณธรรมสูงส่ง ปล่อยข้าน้อยไปเถิด”
“…” เรื่องเช่นนี้ เอ่ยกับข้าไปก็ไรเประโยชน์ เว่ยจวินมั่วย่อมไม่ฟังเขาอยู่แล้ว แต่ความรวดเร็วในการเปลี่ยนท่าทีของคนผู้นี้ทำให้หนานกงฮุยรู้สึกทึ่งไม่น้อย
เว่ยจวินมั่วกลับมาอย่างรวดเร็ว บนร่างกายของเขาไม่มีคราบเลือดติดเลยแม้แต้นิดเดียว เขากวาดตามองผู้คนที่กำลังนั่งคุกเข่าเรียงรายอยู่กับพื้นครู่หนึ่ง จากนั้นเว่ยจวินมั่วพลันเอ่ยถาม “พวกท่านทั้งสองวางแผนเช่นไร” หนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์หันมาสบตากันโดยไม่ได้เอ่ยอันใด ทั้งที่เขาลงมือฆ่าคนไปแล้ว แต่กลับมาถามว่าตนวางแผนเช่นไร เขาคิดจะให้ทั้งสองวางแผนจริงๆ น่ะหรือ
อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คุณชายเว่ยเอ่ยต่อไปว่า “หากไม่มี ก็ไปกับข้า”
“เอ่อ…คือ มั่วเอ๋อร์ขอให้ท่านมาหรือ” หนานกงฮุยคิดออกเพียงนี้จริงๆ
นัยน์ตาเย็นชาของเว่ยจวินมั่วมีประกายขึ้น “ท่านคิดว่ายังมีเหตุผลอื่นที่มีค่าพอให้ข้าต้องมาที่นี่ด้วยตนเองหรือเยี่ยงไรกัน”
หนานกงฮุยกัดฟันกรอด “ข้าคือบุตรเขยของแม่ทัพกุยฮว่า” คิดว่าเขาโง่เขลานักหรือเยี่ยงไรกัน หุบผาอี๋เซี่ยนง่ายต่อการป้องกันแต่ยากต่อการโจมตี เขาไม่เชื่อว่าเว่ยจวินมั่วไม่คิดจะโจมตีกำลังทหารพ่อตาของเขา คุณชายเว่ยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “นั่นมันหน้าของแม่ทัพซังหรง เกี่ยวอันใดกับท่าน”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนลมหายใจออกมา แม้ว่าบุคลิกของเขาจะสุขุมแต่นิสัยใจคอของคุณชายรองตระกูลหนานกงก็ไม่ได้ถือว่าอ่อนโยน ทว่าเมื่อเห็นปลายกระบี่ของคุณชายเว่ยยังคงมีเลือดหยด หนานกงฮุยจึงอดทนไว้ น้องสาวมีสามีนิสัยแย่เช่นนี้ คงจะลำบากไม่น้อย
“ไปกันเถิด” เห็นหนานกงฮุยไม่เอ่ยอันใดอีก เว่ยจวินมั่วก็ตัดบทสนทนาด้วยเสียงเคร่งขรึม
“เช่นนั้น คนผู้นี้เล่า” หนานกงฮุยเอ่ย ไหนจะองครักษ์ที่วิ่งหนีกันคนละทิศละทางอีก หากคนเหล่านี้มีคนใดคนหนึ่งหนีไปถึงจินหลิงได้ พ่อตาของเขาจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่แท้
ราชทูตที่คุกเข่าอยู่บนพื้นยังไม่ทันจะได้เอ่ยอันใด ก็เห็นเพียงเงาสะท้อนกระบี่ของเว่ยจวินมั่วที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ราชทูตคนนั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจกลัวพร้อมจ้องกระบี่ด้ามยาวที่เสียบทะลุท้องของเขา ร่างของราชทูตล้มไปกองกับพื้นโดยที่ไร้เสียงร้องเลยแม้แต่นิดเดียว เว่ยจวินมั่วโน้มตัวพร้อมกับล้วงหยิบบางสิ่งออกมาจากเสื้อของราชทูตมาเก็บไว้ในแขนเสื้อของเขา พลางเอ่ย “ไปกันเถิด ที่เหลือจะมีคนมาจัดการ”
“แม้แต่คนตาย ท่าน…ท่านก็ไม่ละเว้นรึ” เห็นได้ชัดว่าหนานกงฮุยมองเห็นเว่ยจวินมั่วหยิบตั๋วเงินปึกหนาใส่เข้าไปในแขนเสื้อของเขา มูลค่าคงจะหลายหมื่นตำลึงอยู่กระมัง
เว่ยจวินมั่วหันกลับไปมองหนานกงฮุยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “มิน่าเล่า หลังจากที่ท่านออกมาจากตระกูลหนานกงแล้วถึงได้ยากจนเช่นนี้”
“…” เขาดูจากตรงไหนถึงได้หาว่าข้ายากจน ช่างเถิด คนก็ตายไปแล้ว มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะปล่อยให้ตั๋วเงินเหล่านี้ถูกเผามอดไหม้หรือถูกฝังไปพร้อมกับศพ
เว่ยจวินมั่วเป็นคนทำอันใดง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เขาฆ่าคนในขบวนจนหมด จากนั้นก็หาศพชายผู้หนึ่งและหญิงผู้หนึ่งมาแทนหนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์ สร้างหลักฐานปลอมว่าถูกปล้นฆ่าโดยโจรในพื้นที่ เพราะอย่างไรระยะนี้ทั่วยุทธภพก็เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายอยู่แล้ว พวกกบฏและโจรท้องถิ่นก็มากมายเกลื่อนเมือง หากไปพบเจอเข้าก็ถือว่าดวงซวยไป ถึงแม้จะมีคนสงสัยว่าเป็นฝีมือของเว่ยจวินมั่ว แต่เมื่อไม่มีหลักฐานคนเหล่านั้นจะทำอันใดได้
…
ตกดึก ซังหรงเดินกลับไปยังกระโจมของเขาด้วยอารมณ์เดือดดาล ในกระโจมมีชายที่สวมชุดทหารธรรมดานายหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว “ท่านแม่ทัพ”
ซังหรงเห็นสีหน้าของเขาแปลกๆ ในใจพลันรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที “เกิดเรื่องกับคุณหนูใหญ่และบุตรเขยหรือ”
ชายผู้นั้นส่ายหน้าเบาๆ พลางตอบกลับไปว่า “ตอนที่ข้าน้อยไปถึง…ก็เห็นเพียงศพที่นอนเกลื่อนเต็มพื้น ราวกับว่าถูกปล้นฆ่าอย่างไรอย่างนั้น ทรัพย์สินถูกชิงไปจนหมดเกลี้ยง ศพของคุณหนูใหญ่และท่านบุตรเขยนอนอยู่ในนั้นด้วย เพียงแต่ว่า…ใบหน้าถูกทำลายเสียโฉมจนหมดขอรับ” พวกเขาล้วนเป็นคนสนิทของหนานกงฮุย ย่อมต้องรู้แล้วว่าสองศพนั้นเป็นของหนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์หรือไม่ แต่เพราะมีการทำลายใบหน้าให้เสียโฉม รับประกันได้ว่าถึงเวลานั้น แม้จะเป็นท่านแม่ทัพไปดูด้วยตนเองเองก็คงจะแยกไม่ออกว่าเป็นศพของทั้งสองหรือไม่
ทว่าการที่ถูกคนฝีเท้าเร็วตามไปเจอเรื่องนี้ก่อนก็พลอยทำให้หดหู่ใจไม่น้อย
ชายคนนั้นหยิบซองจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็มอบจดหมายฉบับนั้นให้กับท่านแม่ทัพด้วยด้วยความนอบน้อม “นี่คือจดหมายที่เจอในที่เกิดเหตุขอรับ”
นี่เป็นเพียงจดหมายธรรมดาฉบับหนึ่งเท่านั้น ซองจดหมายถูกผนึกด้วยตราประทับ แม่ทัพซังหรงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นรีบเปิดจดหมายมาอ่าน หลังจากที่อ่านจดหมายจบแล้ว สีหน้าของเขากลับดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่นานสีหน้าก็กลับมาสงบดังเดิม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เช่นนี้…ก็ดี”
ซิงเฉิงจวิ้นจู่เป็นน้องสาวร่วมสายเลือดของหนานกงฮุย บุตรสาวและบุตรเขยไปถึงที่นั่นก็คงจะไม่ลำบากอันใด แม้ว่าในตอนนี้สถานการณ์ของราชสำนักและจวนเยี่ยนอ๋องจะยังไม่ชัดเจน แต่ทว่า…ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันของเขาและการวางแผนของฮ่องเต้แล้ว ถือเป็นการยากที่ซังหรงจะรักษาความไว้วางใจจากราชสำนักไว้ได้
ซังหรงนำจดหมายจุดไฟตะเกียงบนโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เพียงครู่เดียวจดหมายฉบับนั้นก็กลายเป็นกองขี้เถ้าทันที
“ท่านแม่ทัพ แล้วพวกข้า…”
“ถอนกำลังคนกลับมา ทำเหมือนไม่รู้เรื่องอันใดทั้งนั้น” ซังหรงเอ่ยขึ้น
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอตัว”
ชายหนุ่มประสานมือคารวะพร้อมกับถอยออกมาด้วยความนอบน้อม ในกระโจมใหญ่เหลือเพียงซังหรงลำพัง ซังหรงหลับตาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ชื่อเสียงเรียงนามของคุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่สมดั่งคำร่ำลือ ฝ่าบาท…กระหม่อมจะไม่ทรยศเจ้านาย แต่ขอแค่ฝ่าบาท…”
ทางด้านเว่ยจวินมั่วก็ได้พาตัวหนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์ออกจากเอ้อโจวตรงมาที่เสียนหนิง จากนั้นก็ให้คนพาพวกเขาไปส่งที่เฉินโจวทันที ยามนี้หนานกงฮุยและซังเนี่ยนเอ๋อร์ไม่สามารถให้ใครเห็นหน้าได้ หากมีคนเห็นหน้าทั้งสองเข้าเกรงว่าซังหรงคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่แท้ ซังหรงคือหัวหน้าแม่ทัพที่ไม่เลวทีเดียว ถือเป็นคนฉลาดหลักแหลมและหาได้ยากยิ่ง คุณชายเว่ยไม่คิดจะใช้วิธีนี้คร่าชีวิตของซังหรงอย่างแน่นอน
พวกหนานกงฮุยสองสามีภรรยาถูกส่งไปยังหยาเหมินของเมืองเฉินโจวอย่างรวดเร็ว และในเวลานี้ที่หยาเหมินก็กำลังต้อนรับแขกที่มาเยือนอีกจำนวนหนึ่ง
หนานกงมั่วนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่พลางจ้องมองหนานกงชวี่ที่กำลังนั่งถอนหายใจออกมาเงียบๆ เป็นเหมือนที่ฉินจื่อซวี่เอ่ยไว้ไม่มีผิด นี่ก็พึ่งจะผ่านไปไม่นานเท่าใด หนานกงชวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเฉินโจว ส่วนสาเหตุที่หนานกงชวี่ปรากฏตัวขึ้นที่เฉินโจวนั้นก็ง่ายดายมาก เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ หนึ่งกองทัพมิอาจมีคำสั่งทหารจากหลายแม่ทัพ หลังจากที่เซียวเชียนเหว่ยเข้าไปในกองทัพแล้ว เหล่าบรรดาพลทหารก็ถูกแบ่งแยกเป็นสามกอง นำกองโดยเซียวเชียนเหว่ย หนานกงชวี่ และเซียวเชียนจย่งตามลำดับ เซียวเชียนจย่งยังดีเพราะไม่ค่อยเผด็จการในอำนาจทหารมากนัก ผู้ใดเอ่ยมีหลักการและมีเหตุผลเขาก็ฟังผู้นั้น แน่นอนว่าในบางครั้งบางคราวเขาก็ไม่ฟังใครเลย แต่เซียวเชียนเหว่ยนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่เขาเข้าไปถึงกองทัพแล้ว ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังพุ่งเป้าไปที่หนานกงชวี่ ถึงขั้นจะดึงตัวหนานกงชวี่มาไว้ในค่ายของเขาเสียด้วยซ้ำ