หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 553 หมอเซียนกลับมาอีกครั้ง (3)
ตอนที่ 553 หมอเซียนกลับมาอีกครั้ง (3)
เหยาเยี่ยนอวี่เอาห่อผ้าที่อยู่ในมือเซียงหรูยื่นมือไปแล้วพูด “ท่านอาจารย์ ในนี้เป็นเสื้อกันหนาวสองชุดและเศษเงินตำลึงหนึ่งถุง อย่างไรท่านก็ต้องรับไว้ เป็นสินน้ำใจเล็กๆ จากพวกเราสองสามีภรรยาเจ้าค่ะ”
ชิงอวิ๋นจื่อยกยิ้ม ไม่ได้มากความ ยื่นมือรับห่อผ้าแล้วแบกบนไหล่ พลางพูดขึ้น “เอาเถอะ พวกเจ้ากลับไปเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า นางไม่ได้ถามอาจารย์ว่าจะกลับมาอีกเมื่อใด และก็ไม่ได้ถามว่าอาจารย์จะไปไหน นางกับอาจารย์ผู้เฒ่าคบหากันมาสามเดือน ยอดฝีมือเฉกเช่นเขาไม่มีสิ่งใดใต้หล้านี้ผูกมัดไว้ ไม่ว่าจะที่ไหน เวลาใด เขาแค่อยากไปก็ไปทันที สรรพสิ่งใต้หล้านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย ชีวิตนี้เขาขวนขวายเพียงใช้ชีวิต ‘อำเภอใจ’ เท่านั้น
ดังนั้นางยิ้มจางๆ พลางประสานมือคารวะ “ท่านอาจารย์ รักษาสุขภาพด้วย”
ชิงอวิ๋นจื่อก็ยิ้มจางๆ กลับไม่พูดไม่จาแล้วหันหลังเดินจากไป เหยาเยี่ยนอวี่มองเขาฝีเท้าที่ก้าวไม่ช้าไม่เร็ว นึกถึงคำพูดที่เขาบอกตนเอง ‘จิตใจสงบ ชีพจรร้อยเส้นไม่ติดขัด’
ร่างกายมนุษย์คือจักรวาล กำลังภายในใจก็คือพลังที่ปรับใช้ในร่างกาย สรรพสิ่งทั้งหมดในจักรวาลเป็นวงโคจรของกันและกัน ซึ่งไม่มีวันหยุดโคจร ร่างกายก็ไม่มีวันหมดลง มนุษย์แค่ต้องใจนิ่งสงบ ถึงจะใช้กำลังที่คาดการณ์ไม่ได้
ตอนชุดสีเทาของชิงอวิ๋นจือหายไปจากผืนป่าแห่งนี้ เว่ยจางถอนหายใจเบาๆ ลอบพึมพำว่าท้ายที่สุดก็อันเชิญเทพเจ้าองค์นี้จากไปได้เสียที หลังจากนั้นฮูหยินก็จะตกเป็นของตัวเองคนเดียว จะไม่หายหน้าหายตาไปติดต่อกันสองสามวันอีก
“พวกเราควรกลับเมืองหลวงแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่พิงไหล่ของเว่ยจาง แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“จริงด้วย” ความรู้สึกชื่นชมยินดีที่เพิ่งผุดขึ้นมาในใจก็ถูกทำลายไปทันที ในเมืองหลวงอวิ๋น ปี่เซี่ยยังทรงปรารถนาว่าพระเนตรจะกลับไปเป็นเหมือนวันวาน แล้วกำลังรอฮูหยินของตนกลับไปรักษาอยู่
“ให้พวกนางเก็บข้าวของ พวกเราสองคนจะกลับเดี๋ยวนี้” ผ่านการฝึกฝนมาสามเดือน กำลังภายในของเหยาเยี่ยนอวี่ยิ่งแข็งแรงขึ้นทถกวัน เวลานี้เมื่อนึกถึงเมืองหลวงอวิ๋น ก็มีความรู้สึกราวคืนสู่เหย้า
ไม่ใช่ว่านางรีบกลับมากู้ชื่อเสียงแย่งผลประโยชน์ แต่เพราะว่านางมีเรื่องให้เฝ้าคะนึงถึงมากมาย สี่เดือนที่นางอยู่ที่นี่ไวเหมือนธนู บิดา พี่ชาย และคนในครอบครัวอื่นๆ ที่อยู่ในเมืองหลวงอวิ๋นคงจะชีวิตวันเดียวเหมือนปี นางไม่ใช่ชิงอวิ๋นจื่อ ท่องไปทั่วโลกไม่ได้
“เซินเจียง เตรียมม้า” เว่ยจางสั่งด้วยดวงหน้านิ่งเฉย
“ขอรับ” เซินเจียงที่อยู่ด้านหลังรีบวิ่งกลับมา ไม่นานก็จูงเฮยเฟิงและเถาเยาออกมาพร้อมกัน
เหยาเยี่ยนอวี่รับบังเหียนม้าแล้วกกระโดดควบหลังม้า จากนั้นหันไปสั่งเซียงหรูด้านหลัง “เจ้ากลับไปเก็บของ พาพวกเขากลับจวนพรุ่งนี้”
เซียงหรูพลันน้อมคำนับ เพิ่งจะตอบกลับก็เห็นม้าถีบไม่หยุด ตอนเงยหน้ามอง ฮูหยินและแม่ทัพเร่งม้าจากไปแล้ว
อากาศเดือนสิบนั้นเหน็บหนาวแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่สวมชุดคลุมยาวสีขาวโพลน ไม่ได้มวยผม เพียงแค่ใช้เชือกสีม่วงมัดรวบไว้หลังศีรษะ ม้าสีแดงที่อยู่ใต้ร่างวิ่งอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าและผมดำเงาสลวยปลิวไปกับสายลม มองจากที่ไกล ฉากนี้ราวกับภาพวาด
เว่ยจางจงใจลดความเร็วติดตามอยู่ด้านหลัง ตลาดทางที่ติดตามไป ภายในใจก็รู้สึกมีความสุขยิ่ง จวบจนถึงแม่น้ำล้อมเมืองหลวง เหยาเยี่ยนอวี่ถึงจะชะลอความเร็ว เว่ยจางเร่งม้าวิ่งอยู่ระดับเดียวกับนาง
“จะกลับจวนก่อน หรือจะเข้าวังหลวง?” เหยาเยี่ยนอวี่ถามเว่ยจางที่อยู่ด้านข้าง
เว่ยจางยิ้มจางๆ “เจ้าอยู่กับผู้เฒ่าน่ารังเกียจนั่นนานเกินไป แม้กระทั่งกฎของวังหลวงก็ลืมไปแล้วหรอกหรือ สภาพเช่นนี้จะเข้าวังหลวงได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องกลับมาเปลี่ยนชุดเครื่องแบบราชการก่อน จากนั้นค่อยยื่นป้ายเข้าเฝ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “ไม่ได้ลืมกฎระเบียบหรอก ข้าแค่คิดว่าฝ่าบาทน่าจะรอไม่ไหวแล้ว”
เว่ยจางนึกถึงทหารรักษาการณ์ของฮ่องเต้ที่มาเร่งถึงบ้านนาวัวจวูอยู่หลายครั้ง จึงอดยิ้มจางๆ ไม่ได้ “เวลาแค่ครึ่งเค่อน่ะ กลับจวนเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
ทว่าสองสามีภรรยาก็ยังคิดว่าประเมินความตื่นเต้นดีใจของฮ่องเต้ที่มีต่อแสงสว่างต่ำเกินไป
อันที่จริงตอนพวกเข้าเข้าประตูก็มีคนมองออกว่าเป็นใครแล้ว ดังนั้นมีคนรีบไปรายงานทหารจินหลิน และผู้บัญชาการทหารจินหลินได้ยินข่าวคราวนี้ก็ไม่ได้มากความอะไร รีบไปกราบทูลทันที
ทหารจินหลินคือกองกำลังที่อยู่ในกำมือของเฉิงอ๋อง คนพวกนี้ไม่เพียงแต่รับผิดชอบความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าอวิ๋นเท่านั้น ยังมีหน้าที่ส่งสารอย่างว่องไว ดังนั้นแม่ทัพเว่ยกลับถึงเมืองหลวงไม่ถึงสองเค่อ อัครเสนาบดีเฟิงและคนอื่นๆ พิงอยู่บนตั่งไม้ในตำหนักจื่อเฉินได้ยินว่าฮ่องเต้ได้รับข่าวคราวว่าแม่ทัพฝู่กั๋วและฮูหยินของเขาเดินทางเข้าเมืองหลวงโดยผ่านประตูใต้แล้ว
เวลานั้นอัครเสนาบดีกำลังทูลฮ่องเต้เกี่ยวกับขุนนางที่ได้รับการคัดเลือกจากการสอบช่วงวสันต์ในปีหน้า หวงซงที่อยู่ข้างพระกายฮ่องเต้ลอบเข้ามาอย่างเงียบๆ จากนั้นกระซิบข้างหูของฮ่องเต้ ไม่รอให้เขาเอ่ยจบก็ยกมือขึ้นทันที “เอาเถอะ อย่าพูดอีกเลย”
อัครเสนาดีบดีเฟิงตะลึงงัน ภายในใจคิดว่าตนเองพูดอะไรผิดไป เงยหน้ามองหวงซงที่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดก็เข้าใจแล้ว ฮ่องเต้มีเรื่องที่สำคัญกว่าการสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์ ดังนั้นรีบถวายบังคม “กระหม่อมขออำลา”
เหยาหย่วนจือและขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ต่างก็หมอบกราบลง ช่วงนี้ฮ่องเต้ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เฟิงจงเยี่ยบังอาจกว่าแต่ก่อนมาก ชอบทำตัวเป็นอาวุโสเที่ยวดูถูกคนอื่นไปเรื่อย
เหยาหย่วนจือส่งยิ้มที่ค่อนข้างเย้ยหยันให้เฟิ่งจงเยี่ย “ได้โปรดวางใจ”
เฟิงจงเยี่ยไม่กล้ายึดเยื้ออีกต่อไป ต่อให้ยืดเยื้อไปก็คงถูกฮ่องเต้ว่าต่อเขามีใจประสงค์ร้าย ดังนั้นถือโอกาสตอนที่ฮ่องเต้ยังไม่ตรัสสิ่งใด รีบออกจากตำหนักพร้อมๆ กับขุนนางพวกนั้น
ทันใดนั้น คนในตำหนักจื่อเฉินหายไปหมด ฮ่องเต้พิงอยู่บนตั่งไม้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เมื่อครู่มีคนมารายงานเจิ้น บอกว่าแม่ทัพใหญ่ฝู่กั๋วและสตรีผู้หนึ่งขี่ม้ากลับมาพร้อมกัน ดูท่าทางที่หวานชื่นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาลึกซึ้งมาก ทว่าสตรีผู้นั้นเหมือนไม่ใช่บุตรีของเจ้า กลับคล้ายนักรบคนหนึ่งที่อยู่ในเจียงหู เจิ้นตรัสให้คนไปรายงานจวนแม่ทัพ เจ้าอยู่ช่วยเจิ้นดู สตรีที่ทำให้เว่ยจางหมายปองจะอัศจรรย์มากเพียงใด”
เหยาหย่วนจื่อได้ยินก็รู้สึกตกตะลึง ลอบครุ่นคิดเว่ยจางไม่เหมือนเป็นบุรุษหลายใจ ถึงแม้ร่างกายเยี่ยนอวี่ไม่หายดี แค่ต้องตั้งใจพักฟื้นร่างกายดีๆ คงไม่ถึงขั้นนี้ เขาไปควงยอดสตรีเจียงหูมากจากไหนกัน ถึงกล้าควงให้เห็นกันทั่วเมืองเช่นนี้ ทำให้คนของฮ่องเต้มาเห็นเข้าหรือ
ฮ่องเต้กำลังสงสัยและคาดเดาไปเอง ด้านนอกก็คือเสียงขันทีส่งมา “ทูลฝ่าบาท แม่ทัพฝู่กั๋วและฮูหยินเหยาเยี่ยนอวี่มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเจ้าค่ะ”
“เป็นเหยาเยี่ยนอวี่จริงหรือ” คำพูดเมื่อครู่ของฮ่องเต้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจงใจหยอกเย้าเหยาหย่วนจือ ทหารจินหลินคือใคร แม้กระทั่งสตรีที่อยู่ข้างกายแม่ทัพเว่ยแล้วจะมองไม่ออกหรือ ทว่าถึงแม้จะมีคำพูดของทหารจินหลิน ทว่าตอนนี้ได้ยินเหยาเยี่ยนอวี่มาจริงๆ ฮ่องเต้ยังคงรู้สึกปลื้มปิติอย่างยิ่ง และไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่