หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 552 หมอเซียนกลับมาอีกครั้ง (2)
ตอนที่ 552 หมอเซียนกลับมาอีกครั้ง (2)
เฉินซินรีบขานรับแล้วจากไปทันที
ทว่าทุกอย่างในใต้หล้านี้ไม่ได้เป็นไปตามปรารถนาเสมอไป คนที่ส่งไปตามหมอหลวงเลี่ยวกลับมาภายในหนึ่งชั่วยาม บอกว่าร่างกายของซู่ผินเหนียงเหนียงไม่สู้ดีนัก ฮ่องเต้สั่งให้หมอหลวงเลี่ยวเข้าวังหลวง ไม่ได้กลับมาหนึ่งคืนแล้ว
และผ่านไปสองเค่อ เฉินซินก็กลับมาอย่างเร่งรีบ บอกว่าเมื่อคืนราชครูเซียวไม่ค่อยสบาย ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงคอยเฝ้าอยู่สำนักแพทย์ ไม่ได้กลับจวนแม่ทัพเลย ยามนี้สำนักแพทย์มีทหารรักษาการณ์ของฮ่องเต้คอยรักษาความปลอดภัยอยู่ แม้กระทั่งแมลงวันตัวหนึ่งยังบินเข้าไปไม่ได้
เหตุใดถึงได้บังเอิญมากเช่นนี้! เฟิงฮูหยินมองซูอวี้ผิงด้วยความประหม่า แล้วถอนหายใจยาวๆ “ทำเช่นไรดี”
“ต้องเชิญหมอหลวงคนอื่นมา! ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในนรีเวชวิทยา! แล้วส่งคนไปจวนไป๋ด้วย!” ซูอวี้ผิงรีบสั่งการ
ทั้งสองพวกต่างก็ออกไปเชิญคนมารักษา
เวลานี้ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น นภาทิศตะวันออกทอแสง หมู่ดาวค่อยๆ หางหายไป ความสว่างคืบคลานเข้ามา ทว่าเฟิงซิ่วอวิ๋นที่อยู่ในเรือนไม่มีแม้แต่กำลังจะพูดอะไรออกมาเลย
หมอตำแยทั้งสองไม่ได้ดีไปกว่านางเลย ต่างก็วุ่นกับการดูแลนางมาทั้งคืน ต้องคอยเช็ดเลือดเช็ดน้ำ ทั้งยังนวดท้องให้นาง มิหนำซ้ำยังยอมแบกสตรีมีครรภ์เดินไปเดินมาในเรือน เพื่อทำให้ทารกขยับลงด้านล่างได้มากขึ้น ทำเอาเสื้อผ้าทั้งสองคนเปียกโชก
เฟิงฮูหยินก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่เหนื่อยล้า แล้วจับมือของนางไว้ พลางกล่อม “เจ้าวางใจเถอะ ข้าส่งคนไปเชิญหมอหลวงมาแล้ว หมอหลวงกำลังจะถึงเดี๋ยวนี้ ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“พี่สาว…บุตร…ข้า…” เฟิงซิ่วอวิ๋นพูดไป น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงมาไม่หยุด
เฟิงฮูหยินจะไม่เข้าในความรู้สึกของนางได้อย่างไร นางกลัวว่าตนเองจะรักษาชีวิตทายาทท่านโหว แล้วไม่สนใจว่านางจะเป็นหรือตาย อย่างไรทายาทสำคัญที่สุด และนางนึกว่าครรภ์ของตนเองเป็นเพศชาย นางที่เป็นอนุภรรยา ตายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าหากบุตรชายตายไป ท่านโหวก็จะไม่มีบุตรชาย
ถึงเวลานี้แล้ว เฟิงฮูหยินกลับให้คำมั่นสัญญาใดๆ กับนางไม่ได้ เพราะไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินจากสรวงสวรรค์ ทว่านางก็ยังปลอบโยน “วางใจเถอะ”
ระหว่างเสวนา ด้านนอกก็มีคนมารายงาน “เรียนฮูหยิน หมอหลวงหลิวจากสำนักหมอลวงมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เชิญเข้ามาเถอะ” เฟิงฮูหยินพูดไป ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
หมอหลวงหลิวเป็นขุนนางหมอหลวงขั้นที่ห้า และยังเป็นหมอหลวงเฉพาะทางด้านนรีเวช หลังจากเข้ามาก็น้อมคำนับให้เฟิงฮูหยิน พลางหันไปจับชีพจรให้ซิ่วอวิ๋นทันที
“หมอหลวง เป็นเช่นไรบ้างแล้ว” เฟิงฮูหยินถามด้วยความกระวนกระวาย
หมอหลวงหลิวมองสตรีมีครรภ์ที่หลับตา แล้วลังเลสักพักพลางพูด “พูดออกมาจะดีกว่า”
เฟิงซิ่วอวิ๋นที่กำลังทนทุกข์ทรมานได้ยินคำพูดนี้ก็ลืมตามองหมอหลวงด้วยหวาดกลัว เห็นหมอหลวงปั้นหน้าลุ่มลึก กลับไม่มองนางแม้แต่ปราวเดียว นางจึงมองเฟิงฮูหยินทันที แล้วอ้อนวอนเสียงเบา “พี่สาว…”
เฟิงฮูหยินพยักหน้าให้นางแล้วพูดขึ้น “เจ้าวางใจเถอะ” จากนั้นหันไปทางฝั่งหมอหลวง “หมอหลวง เชิญทางนี้”
“ฮูหยินตั้งครรภ์แค่แปดเดือนกว่า โบราณว่ากันว่าครรภ์เจ็ดเดือนมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าครรภ์แปดเดือน ดังนั้น…” หมอหลวงหลิวใคร่จะพูดก็หยุดลง แล้วถอนหายยาวๆ แล้วส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง
“หมอหลวงช่วยคิดหาวิธีด้วยเถอะ!” ซูอวี้ผิงปั้นหน้าย่ำแย่ เมื่อครู่เพิ่งเกิดเรื่องน่ายินดี ตอนนี้อย่าปล่อยให้คนตายได้ไหม
หมอหลวงหลิวลอบมองสีหน้าบูดบึ้งของท่านโหว แล้วพูดอย่างจนปัญญา “ชี่และเลือดฮูหยินยังคงอ่อนแอเกินไป อีกอย่างถึงเวลานี้เด็กยังไม่ออกมา เกรงว่า…จะเป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้นข้าน้อยเองก็สุดความสามารถแล้วเหมือนกัน!”
ซูอวี้ผิงนิ่งงันไปทันที แล้วค่อยๆ หันไปมองฮูหยิน แววตาดูซับซ้อนยิ่งนัก
ลึกๆ เฟิงฮูหยินถอนหายใจด้วยความหนักใจ แล้วพูดว่า “ท่านโหวเป็นคนตัดสินเถอะ”
ซูอวี้ผิงหันไปมองหมอหลวงหลิว ผ่านไปสักพักถึงจะถามขึ้น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหากเด็กคลอดออกมาไม่ได้ในยามใด จะเป็นอันตรายอย่างมากหรือ”
“เป็นเช่นนี้ จวบจนน้ำคร่ำหมด เด็กยังไม่ออกมา ฉะนั้น…”
“รักษาชีวิตผู้ใหญ่ไว้เถอะ!” ซูอวี้ผิงพูดไปก็ค่อยๆ หลับตาลง นิ้วมือกำราวจับเก้าอี้อย่างแน่น “ได้โปรดหมอหลวงช่วยรักษาชีวิตผู้ใหญ่ไว้ด้วย”
ขณะที่พูดคุย คุณชายสามตระกูลไป๋นามไป๋จิ้งชุน คุณชายสามท่านนี้ไม่เหมือนคุณชายใหญ่ที่เข้าประจำการในสำนักหมอหลวง เขาเชี่ยวชาญด้านนรีเวชวิทยา ทั้งยังมีประสบการณ์ครบครัน เขามา หมอหลวงหลิวกลับผ่อนคลายไปมาก
ทว่าคุณชายไป๋ท่านนี้ก็คาดว่าคงจะรักษาชีวิตทารกไว้ไม่ได้ ต่อให้คลอดออกมาก็คงสิ้นใจภายหลังแน่นอน ต่อให้ไม่สิ้นใจ เกรงว่าวันข้างหน้าคงกลายเป็นเด็กพกพร่องทางสมอง แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดตรงๆ เช่นนี้ ทว่าท่านโหวฟังเข้าใจแล้ว
ทันใดนั้นคุณชายไป๋ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี สุดท้ายก็คลอดบุตรออกมาได้ และเฟิ่งซิ่วอวิ๋นสลบไปในตอนสุดท้าย
ผัวจื่อยกถาดที่คลุมด้วยผ้าขาว เฟิงฮูหยินหันหน้าไปทางอื่นพร้อมผายมือ ซูอวี้ผิงไม่ได้ลืมตาตลอดมา บุรุษในสนามรบที่หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา วันนี้ยังหลั่งน้ำใสๆ ออกมา
เหยาเฟิ่งเกอฟังหลี่หมัวมัวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนจบ แล้วถอนหายใจเบาๆ “ช่างน่าสงสารยิ่ง อีกสองสามวันก็จะได้ลืมตามองโลกแท้ๆ นางกลับหกล้มได้อย่างไร สาวใช้ที่รับใช้นางมัวทำบ้าอะไรอยู่”
“บ่าวไปแอบถามสาวใช้ชั้นล่างที่คอยรับใช้อี๋เหนียง นางบอกว่าตอนที่อี๋เหนียงหกล้ม รอบกายไม่มีคนหรือสิ่งของอยู่เลย สาวใช้คนนั้นบอกว่านางตั้งใจให้ตนเองหกล้มเจ้าค่ะ” ซานหูยิ่งพูดเสียงยิ่งทุ้มต่ำ มีเพียงพวกนางสองคนได้ยินเท่านั้น
“ไม่ใช่หรอกกระมัง!” เหยาเฟิ่งเกอตะลึงงันฉับพลัน แล้วครุ่นคิดไปครึ่งวัน
ตั้งใจหกล้ม อยากคลอดก่อนกำหนด ต่อให้จะช้ากว่าบุตรชายสกุลหลี่ก้าวเดียว ก็ถือว่าเกิดในวันเดียวกัน หรือว่าอยากให้บุตรเป็นคนโต? เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิดจึงเข้าใจความคิดของเฟิงซิ่วอวิ๋น แล้วต่อว่าเสียงเบา “ผู้ที่น่าเวทนาย่อมทำในสิ่งที่ทำให้คนอื่นเกลียดชังดั่งคาด ยัยอสูรพิษนี้ถือว่าหาเหาใส่หัว!”
เสียงฤดูใบไม้ร่วงจางหายไป เมื่อจักจั่นตัวสุดท้ายหยุดร้อง หมอกกล่าวลาป่าพงไพรจางหายไปพร้อมกับฝนอันหนาวเย็น ห่านป่ากลับใต้ ลมหนาวทางฝั่งเหนือพัดโชยมา ชาวนาเริ่มสวมเสื้อผ้าหนา พวกขุนนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีขนเล็กๆ
ชิงอวิ๋นจื่อที่อาศัยอยู่บ้านนามาสามเดือนเศษ ก็ตัดสินใจอำลาเหยาเยี่ยนอวี่ในวันที่สิบเดือนสิบ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ แค่ส่งผู้เฒ่าออกจากประตูบ้านนาอย่างอาลัยอาวรณ์
นักพรตเต๋าที่แก่เฒ่าผู้นี้จากไปเหมือนขามา ยังคงสวมชุดพรตเต๋าผืนบาง ลอยตัวกลางอากาศราวกับเทพเซียนมาเยือนบนโลก