หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 535 พลิกวิกฤตเป็นโอกาส (4)
ตอนที่ 535 พลิกวิกฤตเป็นโอกาส (4)
“เดิมทีเขาก็คือนักกวียอดนิยมอยู่แล้ว! ข้าเชยชมเขาสองคำแล้วจะทำไม”
“เจ้าเอ่ยชมบุรุษคนอื่นตอนอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษตนเองหรือ”
“นั่น…นั่นเป็นแค่คนยุคโบราณเท่านั้น! คนเขาเสียชีวิตไปกี่ปีแล้ว!”
“คนโบราณก็ไม่ได้!”
“เจ้าไม่พอใจหรือ!”
“อืม!” ข้าไม่พอใจ! แล้วจะทำไม
เหยาเยี่ยนอวี่มองใครบางคนมีสีหน้าเย็นชา ท่าทางของเขากำลังสื่อว่าหากเจ้าไม่ยอมรับผิด ข้าจะไม่สนใจเจ้า ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่นวดขมับ แล้วพูดว่า “เอาเถอะ อย่าไปไหนเลย ยังต้องเก็บเห็ดอีก! เดินขึ้นไปอีกหน่อยก็ถึงยอดภูเขาแล้ว”
เว่ยจางเงยหน้ามองไปรอบทิศ ดั่งที่คาด เขาเอาแต่เรียกร้องฮูหยินตนเอง ดังนั้นตอนอารมณ์เดือดพล่านก็จะเดินไวขึ้น ฝีเท้าก้าวเดินว่องไว เดินไปสองสามก้าวแล้วนั่งลง อุ้มนางมาวางบนตัก พร้อมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าชอบปัญญาชนมากกว่าใช่หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะพุ่ง “เจ้าโง่ อะไรคือปัญญาชน อะไรคือแม่ทัพ ข้าชอบใครเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ใครจะดีเท่านั้น ใครจะเทียบเท่าเจ้าได้ ข้าชอบเจ้า ข้ารักเจ้า”
เพิ่งจะเอ่ยจบ เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าแขนที่กอดรัดตัวเองนั้นกระชับขึ้น รัดจนนางหายใจไม่ค่อยออก จากนั้นรู้สึกวิงเวียนศีรษะตาลายไปสักพัก ตอนได้สติกลับมา ร่างนางก็ถูกแม่ทัพเว่ยกดทับไปแนบชิดกับหินสีนิลอันใหญ่
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ พูดใหม่อีกรอบ” แววตาเว่ยจางดั่งเพลิงกาฬ สายตาคู่นั้นจับจ้องดวงตาของนางไว้ แววตาเฉียบคมดั่งมีดทิ่มแทงกลางใจนางทันที
“จะให้พูดกี่รอบก็ได้ คนที่ข้าชื่นชอบคือเจ้า ข้ารักเจ้า” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ ยื่นมือลูบคิ้วของเขา “ไม่ว่าจะภพไหน ข้าก็รักแต่เพียงเจ้าคน…!” คำว่า ‘เดียว’ ยังไม่ทันพูดออกมา ก็ถูกแม่ทัพจุมพิตแล้ว
จูบที่ดุเดือดเช่นนี้รุกรานอย่างมาก การรุกรานนี้รุนแรงถึงขั้นทำให้หางตาของนางมีหยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมา
“บ้าไปแล้ว!” เหยาเยี่ยนอวี่เลียริมฝีปากที่เจ็บปวด ได้กลิ่นคาวเลือด
มือหยาบกร้านของเว่ยจางนวดริมฝีปากบวมแดงของนางเบาๆ พูดเสียงแหบพร่า “เยี่ยนอวี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็รักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้ายิ้ม ภายในใจกำลังคิดว่า ถึงจะเป็นภพก่อนหน้า หรือภพนี้ ทุกอย่างเป็นความจริง ภพที่แล้วข้าไม่ได้ชอบใครมากเช่นนี้มาก่อน และไม่มีใครรู้ว่าภพหน้าจะได้ไปอยู่ไหน เมื่อดื่มดื่มน้ำเบญจรสบนแม่น้ำแห่งความจนใจแล้ว เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือใคร
แต่ก็ช่างเถอะ แม้กระทั่งวันพรุ่งนี้ นางยังไม่เคยคิดเลย แล้วยังมีกะจิตกะใจนึกถึงภพหน้าด้วยหรือ
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เหยาเยี่ยนอวี่จะปล่อยวางเรื่องทุกอย่างในใจ ละทิ้งสายใยทั้งหมด เริ่มตั้งใจมอบความรักให้เขาและยอมให้ถูกรัก
ในบ้านนาเล็กๆ เช่นนี้ นอกจากบ่าวคนสนิทสองสามคน ไม่มีใครมารบกวนอีก มีแค่นางกับเว่ยจางสองคนเท่านั้น ราวกับอยู่ในสวรรค์บนดิน
อารมณ์ชื่นมื่น สภาพร่างกายฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากบำรุงร่างกายไปสิบกว่าวัน นอกจากกำลังภายในที่ยังไม่ฟื้นฟูแล้ว ร่างกายของเหยาเยี่ยนอวี่ดีขึ้นหกเจ็ดส่วนแล้ว
ทันใดนั้นก็ถึงเทศกาลสารทจีน นี่เป็นประเพณีของแคว้นต้าอวิ๋นที่จะทำพิธีส่งดวงวิญญาณ
วันนี้ของทุกปี ตระกูลชั้นสูงมากมายจะเอาเงินจ้างกางกระโจมตั้งป้ายชื่อ สร้างแท่นบูชา แสดงละครเพลง สวดมนต์ จัดงานเลี้ยงมังสวิรัติ นอกเมืองหลวงอวิ๋นและแจกข้าวสาร…
นี่เป็นเทศกาลที่ตระกูลนับถือศาสนาพุทธให้ความสำคัญเป็นพิเศษ พิธีบวงสรวงลัทธิเต๋า พระพุทธศาสนานิกายมหายาน เรียกว่าเทศกาลอุลลัมพน
ซูอวี้เหิงผู้จัดการพิธีบวงสรวงลัทธิเต๋าของจวนแม่ทัพเว่ย แล้วยังมีฉังเหมาที่ยุ่งเข้ายุ่งออก แค่ถึงตอนนี้ เว่ยจางพาเหยาเยี่ยนอวี่ไปปล่อยโคมไฟลอยน้ำสองสามดวงที่แม่น้ำหู้เฉิงนอกเมืองอวิ๋น หลังจากอธิษฐานให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็จูงมือนางเดินไปตามแนวแม่น้ำ
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ผู้คนสัญจรไปมา เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างขายโคมไฟลอยน้ำหลากสี และยังมีคนถือตะกร้าเร่ขายเมล็ดพันธุ์แห้งและของกินจุกจิก ปกติเหล่าคุณหนูที่ไม่ค่อยไปไหนมาไหน วันนี้ก็ออกมาเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนกับสหาย เหล่าคุณชายที่ยังหนุ่มจึงถือโอกาสเจอกับหญิงสาวในงานเฉลิมฉลอง แม่น้ำหู้เฉิงอันเงียบสงบกลับคึกคักอย่างมาก
เหตุเพราะเห็นคนเชิญศิษยานุศิษย์มาทำพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ จัดพิธีโออ่าอลังการ กลายเป็นที่ดึงดูดสายตาของชาวบ้าน จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่พูดว่า “พวกเราก็ไปจุดธูปขอพรในวัดเถอะ?”
“นี่ตอนกลางคืนแล้ว จะไปจุดธูปได้อย่างไร” เว่ยจางถามด้วยความรู้สึกขบขัน
ดั่งคาด เหยาฮูหยินยังคงดื้อดึง “วันนี้ไม่เหมือนปกติ ต่อให้จุดธูปไม่ได้ ในวัดต้าเปยต้องมีพิธีกรรมอื่นแน่นอน เช่นนั้นพวกเราไปถวายเงินเถอะ เชิญพระอาจารย์สวดมนต์ให้กับวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตรก็ยังดี”
“วิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตร?” เว่ยจางขมวดคิ้ว
“เจ้าออกรบเป็นประจำ มักสังหารผู้คนมากมาย พวกเราไปถวายเงินสวดมนต์ จะได้สบายใจขึ้น ดีหรือไม่” เหยาเยี่ยนอวี่เปรยด้วยเสียงต่ำ
เว่ยจางจับมือนางไว้แน่นๆ ผ่านไปสักพักก็ตอบกลับ “ได้”
วัดต้าเปยเป็นวัดราชวงศ์ ในวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดนี้ไม่ได้ยุ่งเหมือนวัดอื่นๆ ทว่าก็ยุ่งกว่าปกติ เหล่าพระสงฆ์ยังคงทำพิธีปล่อยวิญญาณร้ายออกจากนรก
เว่ยจางจูงมือฮูหยินเดินเข้าวัดก็ได้กลิ่นธูปฉุนจมูก มีเณรน้อยเดินเข้ามาน้อมคำนับ เว่ยจางชี้แจงจุดประสงค์ที่มาเยือนในวันนี้คร่าวๆ เณรน้อยกำลังจะพาพวกเขาไปห้องโถงหลัก ด้านข้างก็มีพระที่ดูมีอายุท่านหนึ่งเดินมาหาเว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่ “อมิตาภพุทธ! โยมทั้งสองมาเสียที!”
“อ้อ?” เหยาเยี่ยนอวี่ถามด้วยความตกตะลึง “ท่านอาจารย์หมายความว่า…มีคนรอพวกเรามาเยือนตลอดเวลาเลยหรือ”
“เชิญโยมทั้งสองตามอาตมามา” พระสงฆ์ชรากลับไม่ยอมมากความแม้แต่คำเดียว
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองเว่ยจาง เว่ยจางยื่นมือไปดึงนางเดินตามพระอาจารย์ไปด้านหลัง
อารามด้านหลังถือว่าสะอาดกว่าด้านหน้ามาก เว่ยจางจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เดินตามท่านอาจารย์เข้าไปในลานกว้างใหญ่ หลังจากเดินเข้าประตูลาน พระจารย์ชะงักฝีเท้า แล้วโค้งคำนับ “เชิญโยมทั้งสองเข้าไปกันเถอะ พระอาจาร์ใหญ่รอมานานแล้ว”
“ขอบคุณอาจารย์เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่น้อมคำนับให้พระสงฆ์ชราผู้นี้ แล้วเดินตามเว่ยจางเข้าไปในลาน
ในลานแห่งนี้ปลูกต้นเย่ว์กุ้ยร้อยปีอยู่สองต้น เวลานี้กำลังผลิดอกพอดี ต้นเย่ว์กุ้ยประดุจร่มคันใหญ่ปกคลุมทั้งสวนให้ร่มเย็น ใต้ต้นวางตั่งไม้เรียบไว้สองอัน บนตั่งไม้มีโต๊ะขนาดเล็ก บนโต๊ะมีน้ำชาสองถ้วย
พระอาจารย์และนักพรตเต๋ากำลังนั่งลิ้มรสชาและเสวนากันอยู่ พระอาจารย์ที่ว่าคือท่านอาจารย์คงเซียง ส่วนนักพรตเต๋าท่านนั้นมีผมขาวโพลน ทว่ากลับดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เพราะเห็นสองสามีภรรยาเข้ามา อาจารย์คงเซียงยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “แม่นางอัศจรรย์ที่ข้าเคยบอกท่านมาถึงแล้ว”
“อ้อ?” นักพรตเต๋าท่านนั้นเงยหน้ามองไป ใช้สายตากวาดเว่ยจางแล้วจับจ้องไปยังเหยาเยี่ยนอวี่โดยตรง ตอนที่รอให้นางเดินเข้ามาใกล้ ถึงจะเปรยด้วยเสียงเบา แล้วส่ายหัวอย่างดูหมิ่น “ไม่เห็นมีอะไรอัศจรรย์เลย เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น แม้กระทั่งพระอาจารย์ยังเชยชมนางแล้ว”