หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 534 พลิกวิกฤตเป็นโอกาส (3)
ตอนที่ 534 พลิกวิกฤตเป็นโอกาส (3)
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้เอ่ยคำพูดด้านหลังออกมา แค่กล่าวถึงเว่ยจางที่เห็นสองคนนั้นจะกลับแล้ว ก็รีบสั่งเซียงหรูทันที “ไปปูที่นอนให้ฮูหยิน ฮูหยินเหนื่อย ต้องการพักผ่อนแล้ว”
เซียงหรูพลันเข้าไปปูที่นอน เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยเสียงเบา “รอให้พวกเขากลับไปก่อนค่อยหลับดีไหม ไม่เช่นนั้นจะเสียมารยาท”
“คนอื่นไปดูหนุ่มเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้าแล้ว จะมีธุระของพวกเราอีกหรือ รีบหลับเถอะ ถ้าพรุ่งนี้ฝนหยุดตกแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเก็บเห็ด” แม่ทัพเว่ยพูดไป ก็พยุงฮูหยินเดินเข้าไปในเรือน คืนนั้นพวกเขาต้องดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่ร่วมสังวาสกันแน่นอน
เช้าวันที่สอง ฝนหยุดตกดั่งที่คาด
แม่ทัพเว่ยทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พาฮูหยินไปเก็บเห็ดแล้ว
เหยาฮูหยินยืนอยู่กลางป่าพงไพร นางเดินเขย่งเท้าบนพื้นหญ้าเปียกน้ำค้างอย่างระมัดระวัง จากนั้นยืนบนก้อนหินก้อนหนึ่ง กางแขนเงยหน้าขึ้นสูดอากาศอันบริสุทธิ์ พอเริ่มอารมณ์ดีก็จะร้องเพลง อากาศกลางหุบเขาฟ้าหลังฝนเย็นชุ่มฉ่ำ…
จากนั้นนิ่งเงียบไป แล้วไม่ต่อท่อนต่อไป!
“บทเพลงนี้ของพี่สาวดียิ่งนัก เหตุใดถึงไม่ร้องต่อล่ะ” ซูอวี้เหิงตลบกระโปรงวิ่งไป น้ำค้างทำให้รองเท้าปักลายดอกบัวสีเขียวของนางเปียกไปนานแล้ว ลายดอกบัวเปื้อนด้วยโคลน
เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือไปดึงนางเหยียบขึ้นบนก้อนหิน แล้วพูดยิ้มๆ อย่างจนปัญญา “เพราะไม่มีท่อนต่อไปอย่างไร”
ซูอวี้เหิงเบะปาก แล้วเปรย “พี่เหยามักจะพูดเช่นนี้ นานทีจะเห็นพี่สาวร้องเพลงอย่างมีความสุข กลับหยุดร้องเหมือนกำลังหวาดระแวงอะไรอีกแล้ว อันที่จริงร้องเพลงเพียงแค่สื่ออารมณ์ของตัวเองออกมาเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าท่านร้องได้ดีหรือแย่ล่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่มองดวงหน้าอันงดงามของซูอวี้เหิง ภายในใจตะลึงงัน เป็นเช่นนั้น ข้ามักจะเป็นเช่นนี้ แต่ก่อนเพราะมีฐานะเป็นบุตรอนุภรรยา จึงไม่กล้าแสดงออก ภายหลังเพราะมีอำนาจของเหล่าตระกูลชั้นสูงคอยกดขี่ ทำให้นางต้องเก็บนิสัยอันแท้จริงของตนเองไว้ และตอนนี้ ท่ามกลางผืนป่าหลังฝนนี้ มีเพียงคนรักและสหายอยู่ด้วยกันเท่านั้น อันที่จริงไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เหตุใดถึงไม่ปล่อยความเป็นตัวของตัวเองออกมาล่ะ
พอนึกถึงซูอวี้เหิง ว่าไปแล้วนางก็ไม่ได้ดีไปกว่าตน เป็นบุตรีอนุภรรยาเหมือนกัน ทั้งบิดาและมารดาของนางก็ไปเขตตอนใต้ตั้งแต่นางยังเด็ก ทิ้งนางให้อยู่กับครอบครัวบุตรคนโต ถึงแม้องค์หญิงต้าจั่งจะรักใคร่และเอ็นดูมาหลายปี ทว่าองค์หญิงต้าจั่งกลับสวรรคตไปเร็ว ตอนนี้พูดได้ว่าบิดามารดาก็ไม่ได้รักนาง กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นนี้ได้ ทำให้คนอิจฉาจริงๆ
เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงเรื่องพวกนี้ ภายในใจก็รู้สึกมีความตั้งใจปรารถนาขึ้นมาทันที ความรู้สึกเช่นนั้นก็ค่อนข้างน่าแปลก ราวกับตอนที่นางยืนกล่าวสุนทรพจน์บนเวที ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองตอนเผชิญกับสถานการณ์อันน่าตื่นเต้นค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง
ข้าไม่ได้แย่กว่าคนอื่น แม้กระทั่งยังแกร่งกว่าพวกเขาอีกด้วย
พวกเขาทำได้ ข้าก็ทำได้ และเรื่องที่ข้าทำได้ พวกเขาก็อาจทำไม่ได้
ข้าไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหน พวกเขาทั้งหมดต่างยอมแพ้ในความรู้ความสามารถของข้า
ข้าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุด!
ข้าเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร!
“พี่สาว? เจ้าคิดอะไรอยู่” ซูอวี้เหิงขยับไปใกล้แล้วมองนัยน์ตาเป็นประกายของเหยาเยี่ยนอวี่ มีบางเวลาที่นางเหมือนจะรู้สึกบางอย่างผิดปกติไป พี่เหยาตรงหน้าไม่ค่อยเหมือนแต่ก่อน!
เพียงแต่กำลังจะครุ่นคิดให้เข้าใจว่านางไม่เหมือนแต่ก่อนตรงไหน เหยาเยี่ยนอวี่ก็ยิ้มขึ้นก่อน “ข้ากำลังคิดว่าบทเพลงท่อนต่อไปมันร้องอย่างไร!”
“หา? เช่นนั้นพี่เหยานึกออกแล้วหรือ”
“นึกออกแล้ว เจ้าฟังให้ดี…อากาศกลางหุบเขาฟ้าหลังฝนเย็นชุ่มฉ่ำ อากาศเย็นย่ำต้นสารทฤดูเย็นสบายเป็นพิเศษ แสงจันทร์ส่องประกายในป่าสนอันเงียบสงบ น้ำพุใสไหลรินบนโขดหิน หญิงสาวกลางดงไผ่หัวเราะรื่นเริง ใบบัวล่องลอยอยู่ใต้เรือ ปล่อยให้ความงามของสารทฤดูหายไป เคลิบเคลิ้มไปกับทิวทัศน์สารทฤดูอันงดงาม” เหยาเยี่ยนอวี่ท่องบทกวีนี้ออกมาเสียงดัง แม้กระทั่งตอนท่องถึงสุดท้าย กลับรู้สึกว่าอันที่จริงแล้ว มนุษย์เราเกิดมาทั้งทีก็มีใช้ชีวิตให้มีความสุข ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยไปทุกวันก็คงไม่เลว
“บทกวีนี้ไพเราะนัก!” ซูอวี้เหิงรีบปรบมือชื่นชม “วาจาไพเราะเหลือเกิน ความรู้ด้านวรรณกรรมของพี่เหยายอดเยี่ยมจริงๆ!”
“นี่ไม่ใช่เพราะว่าความรู้ด้านวรรณกรรมของข้าดี แต่เป็นเพราะนักกวีเขียนได้ดีต่างหาก” ซูอวี้เหิงพูดยิ้มๆ
“เป็นนักกวีท่านใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยิน” ซูอวี้เหิงไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“เป็นนักกวีท้องทุ่งคนหนึ่ง เขานามว่าหวังเหวย บทกวีนี้เรียกว่า ‘หุบเขาสารทฤดู’”
“หวังเหวย?” ซูอวี้เหิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง “เป็นลูกศิษย์ของตระกูลหวังจวนจือจ้าวหรือ” ซูอวี้เหิงถามอย่างจริงจัง
“อ้อ…” เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้า หน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อย
ซูอวี้เหิงจะเดาต่อ ถังเซียวอี้ก็ดึงนางไปแล้ว “เมื่อครู่ข้าเห็นทางโน้นมีเห็ดใหญ่มาก พวกเราไปเก็บเห็ดแล้วเอาไปให้จิ้งไห่โหวฮูหยินเถอะ”
“ดีๆ ” พอกล่าวถึงจิ้งไห่โหวฮูหยิน ซูอวี้เหิงลืมคำถามเมื่อครู่นี้ทันที แล้วติดตามถังเซียวอี้จากไป
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองแม่ทัพเว่ยปั้นหน้าหม่นหมองอยู่ตรงนั้น เขาไม่ส่งเสียงใดๆ พอเห็นแล้วรู้สึกเกรี้ยวโกรธอีกครั้ง จึงยื่นมือไปดีดหน้าผากเย็นชาของเขาหนึ่งที แล้วถามด้วยความเบิกบาน “ใครไปทำอะไรให้เจ้าอีกแล้ว”
“หวังเหวยคือใคร” เว่ยจางยื่นมืออุ้มนางลงจากก้อนหิน
“เป็นนักกวีที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง เขาประหนึ่งต้นหยกเล่นลม สง่าผ่าเผย มากความรู้ความสามารถ เลื่องชื่อไปไกลนับหมื่นลี้ ชื่อเสียงดีงามจารึกไว้ในประวัติศาสต์ตลอดกาล!” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวอย่างมีเหตุผล
เหยาฮูหยินมีวิสัยทัศน์ล้ำเกินไปมาโดยตลอด บุรุษทั่วไปย่อมไม่เข้าตานางอยู่แล้ว นึกถึงตอนแรกที่แม่ทัพเว่ยพยายามสู่ขอนางสุดความสามารถ วันนี้บุรุษผู้ใดบ้างที่ได้รับการเชยชมมาจากนาง?
แม่ทัพเว่ยเม้มปาก ราวกับว่าอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงถามอย่างไม่ละอายใจ “พวกเจ้ารู้จักกันได้อย่างไร ตอนนี้เขาอยู่ไหน ประจำตำแหน่งอะไร”
“เอ่อ…” เหยาเยี่ยนอวี่เกือบสำลักน้ำลายตนเอง จึงไอติดต่อกันสองที แล้วพูดยิ้มๆ “ข้าไม่ได้โชคดีจนถึงขั้นที่รู้จักปัญญาชนเช่นนี้”
“ดังนั้นเจ้าแค่เคารพและนับถือเจ้าหมอนี่ใช่ไหม” แม่ทัพเว่ยโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ สตรีที่รักเคารพนับถือบุรุษคนอื่น นี่มันเกินไปหรือเปล่า! ต้องทนไม่ไหวแน่นอน!
เหยาเยี่ยนอวี่มองบุรุษที่กำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ยกมือจับคางที่มีเคราเล็กน้อย พลางส่ายหน้าและเปรยว่า “เหตุใดเจ้าถึงน่าเกลียดน่าชังมากเช่นนี้”
“พูดประเด็นมา อย่าหยอกล้อเวลานี้” แม่ทัพเว่ยสะบัดหน้า มือเล็กๆ หลุดออกจากคางของเขา
“ประเด็นน่ะมี ข้าแค่เห็นผู้ที่นามว่าหวังเหวยในตำราเท่านั้น! เขาน่าจะเป็นนักกวีในราชวงศ์ก่อน…ก่อนหน้านี้ข้าบังเอิญพลิกบทกวีที่เขาแต่งสามสี่บท ก็รู้สึกว่าไม่เลว เลยคิดว่าบางครั้งเอามาร้องให้คนอื่นฟังได้ ฉะนั้นเลยท่องจำไว้” เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นึกไม่ถึงว่าคนบางคนจะว่างจนคิดจะเอาเรื่องกับคนโบราณ ดื่มน้ำส้มสายชูไปครึ่งขวด เปรี้ยวหรือไม่ หา”
“เจ้าจงใจยั่วอารมณ์ข้า!” ปลายหูแม่ทัพเว่ยแดงระเรื่อขึ้นมา เขาถลึงตามองคนในอ้อมกอดด้วยความโกรธเคือง
“ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นเสียหน่อย เจ้าคิดไปเอง กลับมาโทษคนอื่น” เหยาฮูหยินแค่นเสียงไม่พอใจ แล้วหันหน้าไปทางอื่น
“เมื่อครู่ตอนซูฮูหยินถาม เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดตรงๆ พูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่นั่นแหละ ถึงกับต้องเชยชมนักกวีคนหนึ่งจนยกชูขึ้นฟ้าเลยหรือ” แม่ทัพเว่ยว่างเว้นไปสักพักแล้ว ปากไวและมากความกว่าที่ผ่านมา